เมื่อลมหนาวมาเยือน หลายคนคงคิดถึงเขา...เราหมายถึงขุนเขานะคะ ก็ต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อไปสัมผัสลมหนาวกันใช่ไหม และแน่นอนจังหวัดยอดฮิตก็ไม่พ้น จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ ขึ้นเหนือไปอู้คำเมืองแอ่วธรรมชาติกันนะคะ

ด้วยความที่เราไม่ได้ไปเชียงใหม่นานพอสมควร ทำให้เราอยากไปในหลายที่มากมาย แต่ด้วยเวลาอันจำกัน แค่ 3 วัน 2 คืน เราก็เลยจัดแบบสไตล์ Slow Life ที่ไม่ได้เน้นที่เที่ยวหรือที่กินจนแน่นทริปไปหมด เหมือนเที่ยวตามธรรมชาติและตามเวลาที่พาเราไปสร้างความทรงจำและสิ่งดีๆ เพราะบางทีความสวยงามของการเดินทางอาจไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายกันก็ได้...แต่มันอยู่ที่เรื่องราวระหว่างการเดินทางต่างหาก.....งั้นเราไปดูความสวยงามระหว่างกันเลยจร้า

เราเริ่มต้นกันด้วยสนามบิน ซึ่งครั้งนี้ก็ใช้บริการ Air Asia ขอบอกว่าไม่ประทับใจเลยค่ะเพราะด้วยคนใช้บริการเยอะทำให้เราลองไปเช็คอินที่ตู้บริการเช็คอินของทางสายการบิน ซึ่งก็ถามแล้วว่าถ้า Booking เดียวกันที่นั่งจะติดกันใช่ไหมค่ะ เจ้าหน้าที่ตรงนั้นบอกใช่ค่ะ พอเช็คอินปุ๊ป มีกระดาษแผ่นบางๆ ที่ปลิวก็หายได้เลยออกมา 2 แผ่น คล้าย boarding pass ซึ่งเราก็ให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อความชัวร์ และคิดว่าเราไม่ได้บินนาน และบวกกับการนอนน้อย เดี๋ยวจะมีปัญหา เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่า ที่นั่งติดกันค่ะ เราก็ขึ้นไปหาอะไรทาน แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ และต้องการขอใบกำกับภาษี ก็ลงมาที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส รอคิวเพื่อขอใบกำกับภาษี แล้วก็ยื่นใบปลิวทั้ง 2 ใบออกมาให้เจ้าหน้าที่ เขาก็ถามว่าจะออกแยกทั้งสองใบหรือหรือรวมเป็นใบเดียว เราก็ถามว่ามันต่างกันอย่างไร เขาก็บอกว่า ขาไปที่เช็คอินนี่ที่นั่งติดกันแล้วค่ะ ถ้ามีการออกใบกำกับภาษีแยกขากลับจะมีปัญหาเรื่องที่นั่งไม่ติดกันนะคะ เราก็เลยถามว่า ควรทำอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็บอกให้มาขอตอนขากลับ หรือขอทีหลัง เราก็รับทราบตามนั้น

ถึงเวลาขึ้นเครื่อง อุตส่าห์ตื่นเช้ามาเช็คอิน แต่ได้นั่งท้ายเครื่อง และที่นั่งก็แยกกันอีก ปรี๊ดไหมค่ะ และพอแจ้งพนักงานบนเครื่องหรือแอร์โอสเตสนางก็พูดว่า เดี๋ยวจะดูที่นั่งให้อีกทีนะคะ ถ้าที่นั่งไม่เต็ม เราก็รอค่ะ...สิ่งที่ได้รับคือ ไม่มีการแจ้งใดๆ ปล่อยให้ผู้โดยสารนั่งแยกกันไปแบบนั้น...มันเลยเป็นความไม่ประทับใจอย่างมากสำหรับการบริการในครั้งนี้ เพราะการจอง Booking เดียวกัน มันหมายความว่า ลูกค้าต้องการนั่งด้วยกันติดกัน ไม่ใช่แยกกัน แล้วแจ้งลูกค้าอีกแบบ หรือไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ทางสายการบินจะมองว่า ก็ลูกค้าเยอะ ที่นั่งเต็ม หรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าระบบมันดี มันจะไม่มีปัญหาตั้งแต่ต้น และถ้าการมีพนักงานมากมายหลายส่วน หรือมีพนักงานไม่ประจำ ก็ควรมีการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่แจ้งผิดๆ ถูกๆ แล้วบอกว่ามีการจัดที่นั่งแบบ Random ซึ่งถ้าอย่างนั้นระบบก็ยิ่งแย่อยู่ดีค่ะ..บอกตรงๆว่า เริ่มต้นทริปก็ไม่สวยงามแล้วสินะ

พอถึงสนามบินเชียงใหม่ เราก็รีบไปรับรถที่จองไว้กับ AVIS ซึ่งก็ต้องรอรถอีก แต่ก็ดีตรงที่ พอไม่ได้รถที่จองไว้ ทาง AVIS ก็ upgrade ให้เป็นรถรุ่นที่ใหญ่กว่า ดีกว่าแต่ราคาเดิม มันต้องอย่างนี้สิค่ะ นี่ถึงเรียกว่าการบริการที่ดี

เราออกจากสนามบินเพื่อมุ่งหน้าบ้านแม่กำปอง ซึ่งอยู่ในอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก อยู่บนเนินเขาท่ามกลางธรรมชาติ มีต้นไม้ ลำธาร และน้ำตกอยู่ในตัวหมู่บ้าน จึงสามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี..เขาว่ากันอย่างนั้นนะคะ ก็ต้องไปดูกันมีรถแล้วนิค่ะ

จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้น 1141 ข้ามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง และ ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จากนั้นตรงต่อไปยังเส้น 1317 และต่อด้วย 3005 แล้ววิ่งขึ้นไปทางตำบลห้วยแก้ว ทางศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ระยะทางรวมประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พูดง่ายตั้ง GPS อากู๋ (google Map)พาไปได้หมด แต่ด้วยเราไม่ชำนาญทางก็ค่อยๆ ไป และเส้นทางขึ้นเขา ถนนเล็กมาก ซึ่งมันไม่ได้มีป้ายบอกว่า ด้านบนรถขึ้นไม่ได้ ไม่ควรขึ้น หรือควรใช้บริการรถสองแถว หรืออะไรที่ชัดเจน เพราะที่เที่ยวแต่ละจุดหรือที่พัก จุดชมวิวแต่ละที่ มันไกลกันพอสมควร ที่สำคัญไม่มีที่จอดรถเลยค่ะ

เราขับรถกันไปถึงร้านชมนกชมไม้พอเห็นที่จอดก็เข้าไปจอดเลย แต่ก็จอดไม่ได้ค่ะ เพราะถ้าเราจอดแบบไม่นึกถึงคนอื่น เขาก็จะออกกันไม่ได้ เพราะมันมีคนจอดแบบนั้น ทำให้เราต้องหาทางกลับรถ ซึ่งยากลำบากมาก แล้วเราก็ต้องเที่ยวแบบชมวิวกานไป หิวก็หิว เพราะตอนแรกตั้งใจจะไปหาอะไรทานที่นั่น

แต่เราก็ยังคงมองหาที่จอดรถและร้านอาหารกันไปเรื่อยๆ และแล้วเราก็ได้ที่จอด และเหมือนฝั่งตรงข้ามจะเป็นร้านอาหารโชคดีเป็นของเรา...เพราะนั่นคือ ร้านอาหารโครงการหลวงตีนตก ที่คิดว่าอยากจะแวะ แต่ตอนขึ้นไปไม่ทันได้สังเกต มัวแต่ระวังรถสวนกันไปมา

ร้านอาหารโครงการหลวงตีนตก ซึ่งเป็นร้านที่อิงแอบแนบธรรมชาติมาก ติดลำธาร อาหารสดอร่อย ที่สำคัญผักปลอดสารพิษแน่นอนเพราะที่นี่ปลูกเอง และยังมีกาแฟพันธุ์อาราบิก้า รวมไปถึงเค้กแสนอร่อยมากมายจริงๆ ถือว่าคุ้มล่ะที่ได้มาแม่กำปองและทานอาหารที่นี่ค่ะ ลองไปชมบรรยากาศกันนะคะ

เราออกเดินทางจากแม่กำปอง เพื่อกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม CMOR หลังห้างเมญ่า เราจองผ่าน Agoda และโทรมาคอนเฟิร์มเรื่องห้องพักอีกที ทางเข้าอาจงง เพราะที่จอดรถอยู่ด้านหน้าอีกด้านของทางเข้า พี่รปภ.น่ารักค่ะ เข้ามาพนักงานก็ต้อนรับดี มี Welcome drink เป็นอัญชันมะนาว

แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ..เราก็เซ็นเอกสารในการเข้าพักไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะโทรมาคอนเฟิร์มเรื่องห้องก่อนเดินทางล่ะ และที่สำคัญเหนื่อยและเพลียกับการเดินทางพอสมควร พอพนักงานพาเขาลิฟท์เท่านั้น เราก็งง เนื่องจากจองไว้คือชั้น 7 แต่พนักงานกดชั้น 4 เราก็อธิบายให้ฟัง ทางพนักงานก็ให้เราขึ้นไปดูห้องพักก่อน เราไม่ใช่คนเรื่องมากนะ แต่เราไม่ชอบการบริการที่มันบิดเบือน วิวนอกระเบียงก็ไม่ใช่วิวดอยสุเทพ เลยขอเปลี่ยน แต่พอลงมาพนักงานที่เช็คอินแจ้งว่า ขอโทษนะคะ ไม่มีห้องให้เปลี่ยนแล้วค่ะ เพราะไม่มีข้อมูลแจ้งใดๆ ไว้ และที่สำคัญเมื่อสักครู่ห้องชั้น 7 เพิ่งเข้าเช็คอินไป.. งานนี้ปรี๊ดอีกรอบค่ะ ทำไมทำงานกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีการโทรคอนเฟิร์ม หรือพนักงานไม่ได้แนะนำให้จองชั้นและห้องไว้ให้ จะไม่ว่าเลยค่ะเพราะคิดว่าเราอาจเช็คอินช้าเอง แต่นี่มันไม่ใช่ แถมพนักงานก็พูดว่า ไม่เห็นมีพนักงานคนไหนแจ้งอะไรไว้ เราก็เลยบอกชื่อ และบอกพนักงานที่พูดไปว่า มันไม่ใช่ปัญหาของพี่ แต่พี่ต้องการจะเปลี่ยนห้องค่ะ เราบอกแล้วว่าจะรีวิวโรงแรมและห้องให้ แต่สิ่งที่ได้รับคือ การบริการที่ไม่ประสานงานกัน หรือประสานงานภายในมันไม่ดีพอ แล้วยังพูดจากับลูกค้าแบบว่า ก็ไม่ได้รับเรื่องนิค่ะ มันไม่ใช่ทางแก้ไข หรือการให้บริการที่ดี รออยู่เกือบ 30 นาที และสิ่งที่ได้รับคือ ห้องแบบที่จองไว้แต่ชั้น 6 เราก็ขอขึ้นไปดูก่อนพอเข้าไปเราเห็นวิวดอยสุเทพ และสภาพห้อง เราก็โอเคค่ะ พอรับได้ เพราะว่าอยากพักผ่อนล่ะ บางทีการใส่ใจในรายละเอียดของลูกค้าและการแก้ไขมันเป็นสิ่งที่ดีกว่าการที่จะเริ่มต้นปฏิเสธลูกค้า โดยที่ไม่เช็คอะไร ถ้ากรณีอย่างนี้บางที่เขา upgrade ห้องให้ด้วยนะคะ อย่างน้อยไม่ต้องปล่อยให้ลูกค้ารอนาน นี่คือการเข้าพักที่ CMOR โรงแรมระดับ 4 ดาวในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เข้าพักครั้งแรกก็ไม่ค่อยประทับใจแล้วค่ะ ตอนจองเคยคิดว่าเป็นที่พักที่อยากพัก ถ้าดีจะแนะนำต่อ เพราะด้วยฟังก์ชั่นในการตกแต่งห้องถือว่าลงตัว สวย สะอาด น่าพักเลยทีเดียว แล้วยังมีคอมเม้นท์มาว่า บริการดี อาหารอร่อย แต่กลายเป็นเจอแบบนี้ ..ก็ต้องรีวิวกันตามจริงนะคะ เก็บภาพของห้องมาฝากค่ะ



พออาทิตย์เริ่มจะลาลับดอยสุเทพ จากการที่เฝ้าดูอยู่พักใหญ่ มันก็ค่อยหายลับไปหลังวิวดอยสุเทพ เราก็ต้องเตรียมตัวออกท่องราตรีของเมืองเชียงใหม่กันสักนิดตามมาดูกันนะคะว่า...เราจะพาไปไหนบ้าง

เริ่มต้นด้วยการนั่งตุ๊ก-ตุ๊กของโรงแรม แล้วไปต่อด้วยรถแดงที่ไปไหนต่อไหนก็คนละ 20 บาท แต่ขึ้นไปก็ต้องรีบบอกนะคะว่า จะไปไหน เพราะถ้าไม่บอกเขาจะไปส่งคนอื่นที่บอกก่อนเรา ทั้งๆ ที่สถานที่ที่เราจะไปนั้นเลี้ยวขวาก็ถึง แต่คนขับตรงไปแทนอะไรทำนองนี้ค่ะ

เราตั้งใจไปวัดแห่งหนึ่ง วัดพระสิงห์ค่ะ หรือชื่อเต็มว่า วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเปิดกลางคืน พอเข้าไปอยากบอกว่าสวยมากค่ะ วิหารหลวงสีทองเหลืองอร่าม เดินเข้าไปข้างใน อาจเงียบนิดหนึ่งนะคะ เราตั้งใจมากราบพระธาตุหลวง พระธาตุประจำปีมะโรง ปีเกิดของเราเองค่ะ ซึ่งพระธาตุองค์นี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วยนะคะ และอีกอย่างคือบริเวณใกล้ๆ พระธาตุนั้นคือวิหารลายคำ ที่บอกตรงว่า ยืนด้านหน้าวิหารเหมือน องค์พระพุทธรูปด้านในดึงดูดให้เราเข้าไปมากมายค่ะ ซึ่งพอเข้าไปภายในสวยงามมาก และองค์พระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้าก็คือพระสิงห์ หรือพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปีจึงมีการนำองค์พระแห่ไปรอบเมืองเพื่อให้ผู้คนได้สักการะและสรงน้ำกันถือว่าความตั้งใจของเราสัมฤทธิ์ผลอีกหนึ่งอย่าง เพราะเราตั้งใจว่าครั้งหนึ่งเราต้องมากราบพระธาตุประจำปีเกิดเพื่อความเป็นสิริมงคลกันซักครั้งในชีวิต

หลังจากนั้นก็ได้เวลาหาของกินและเดินเล่นแล้วสินะคะ วันเสาร์เราก็ต้องไปเดินที่ถนนคนเดินวัวลาย ซึ่งพอไปถึงรถติดมาก กว่าจะได้ลง ไม่สามารถหาร้านลงได้ ก็เข้ามาเดินเล่นในถนนคนเดินก่อน มันไม่ใช่การเดินค่ะ มันคือการไหล คนเยอะมาก ไหลไปตามทางเรื่อยๆ พอถึงเหมือนการถนน ก็มีคนพาเข้าไปยังทางเข้าวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าจะมีวัดอยู่ทางนั้น วัดแห่งนี้เหมือนกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง เราก็เลยถามชาวบ้านแถวนั้น นั่นคือพิธีใส่บาตรดอกบัว แต่เราไม่มีดอกบัว เขาก็บอกว่า ถวายปัจจัยก็ได้ค่ะ เราก็เดินกันไปใส่บาตร แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าตอนที่ทำพิธีก็เหมือนอุโบสถมืดแต่ก็น่าจะสวยนะคะ เพราะลายแกะสลักวิจิตร แต่พอใกล้จะจบพิธี..เราก็ถึงกลับอึ้ง เพราะทางวัดเปิดไฟ อุโบสถสีเงินสวยวิจิตรตระการตามากค่ะ แล้วทางวัดก็รดน้ำมนต์ให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคลกันไปตามชมภาพกันนะคะ


บอกตรงๆ ว่าขนลุก เพราะคนข้างๆ ปรกติไม่ค่อยชอบเข้าวัด แต่ครั้งนี้เค้าเป็นคนพาเราเข้าไปแล้วมาเฉลยทีหลังว่าเหมือนถูกดึงเข้าไปค่ะ แต่ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตามเราถือว่าเป็นเรื่องดีค่ะ เพราะถือว่าได้ทำบุญ ได้รับพรและน้ำมนต์ และได้ชมความวิจิตตระการตาของวัดแห่งนี้ นั่นคือวัดศรีสุพรรณ ค่ะ ถ้ามีโอกาสก็ไว้ไปชมกันนะคะ

หลังจากนั้นเราก็ออกมาเดินบนถนนคนเดินต่อเพื่อที่จะหาอะไรทานหรือไม่ก็ทะลุออกไปอีกฝั่งหนึ่ง ท้ายๆ ถนนคนเริ่มน้อย แต่ก็ยังไม่มีร้านนั่งทานอะไรได้ก็เลยคิดกันว่า เปลี่ยนแผนไปหาร้านนั่งชิลแถวนิมมานทร์ล่ะกันเราก็เดินไปเรื่อยๆ แอบเห็นกำไลข้อมือกับแหวนที่อยู่ติดกัน เราก็เลยจัดมา 1 ชุด มันถือว่าเป็นของที่ระลึกสำหรับทริปนี้เลยนะคะ แล้วพอมาถึงสุดถนนคนเดินวัวลาย ก็เลยเรียกรถแดงไปที่ถนนนิมมานทร์ทันทีแต่ครั้งนี้ด้วยราคาสูงขึ้นมาหน่อย เพราะเหมือนสีรถออกชมพู ราคาคนละ 40 บาทค่ะ

พอถึงถนนนิมมานทร์ เราก็ไม่รู้ว่าจะลงร้านไหน ซอยไหน ก็แล้วแต่ว่าคนขับรถจะจอด พอจอดเราก็หาร้านที่พอจะนั่งทานได้ เดินข้ามถนนไปมา จนผ่านร้าน Beer Lab บรรยากาศดี แต่คนเยอะมากไม่รู้จะมีที่ไหม ก็เดินเลยกันไปจนถึงผับชื่อดังอย่าง Warm up และศูนย์อาหารซึ่งก็แทบไม่มีอะไรขายเราก็เลยกลับมาที่ร้าน Beer Lab ซึ่งก็มีที่นั่งอยู่ด้านบนเราก็ได้ที่เคาน์เตอร์บาร์ ก็ถือว่าโอเคนะคะแต่สักมีคนที่นั่งอยู่ริมด้านนอกของชั้น 2 นั้นเช็คบิลออกไป เราก็รีบขอเปลี่ยน ขอบอกว่า บรรยากาศดีมากค่ะ อาหารอร่อย สไตล์ฟิวชั่น ที่สำคัญมีเบียร์หลาหลายให้จิบกันไปเบา-เบา เคล้าเสียงเพลงเพราะๆ ท่ามกลางอากาศเย็นๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่


ถือว่าคุ้มนะคะได้สัมผัสแสงสีและชีวิตยามค่ำคืนของเชียงใหม่กันไปอีกแบบแต่เสียดายที่ร้านปิดเร็วไปนิดหนึ่งค่ะ เที่ยงคืนก็ปิดล่ะ ก็ต้องรีบกินอาหารและเบียร์กันเลยทีเดียวแล้วก็นั่งรถแดงกลับโรงแรมค่ะ งานนี้รถแดงส่งถึงโรงแรมเลยค่ะ ถือว่าได้สัมผัสไนท์ไลฟ์ของตัวเมืองเชียงใหม่ได้คุ้มค่านะคะ หลับสบายแล้วค่ะ..คืนแรกนี้

Morning ด้วยวิวดอยสุเทพกันนะคะ

ตื่นมาก็ต้องไปหม่ำอาหารเช้าที่โรงแรมตามที่เขารีวิวกันว่าอร่อยแต่พอลงไปทานมันก็ไม่เท่าไหร่นะคะ แถมมีไม่หลากหลาย แล้วเมื่อวานบอกว่า ห้องเต็ม แต่สิ่งที่เตรียมรับลูกค้ามีเหมือนไม่เพียงพอ เราลงมาไม่สายนะคะก็เลยหม่ำประทังชีวิตไปก่อนค่ะ แล้วก็ขึ้นไปพักอีกนิด พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์ ขอบอกว่ามีพนักงานโทรตามด้วยนะคะ แค่ช้าไป 15 นาที แต่ตอนเช็คอินบ่าย 2 เมื่อวานไม่มีตาม ปล่อยห้อง ไม่จัดห้องตาม Request กว่าจะได้เข้าห้องช้ามาก เหมือนตอนต้อนรับไม่ต้อนรับให้ดี แต่พอตอนให้กลับนี่แทบจะไล่กันเลยทีเดียว ก็ถือว่ามาครั้งเดียวค่ะ กับ CMOR เชียงใหม่ ถึงห้องจะดีแค่ไหน รปภ.น่ารัก คนขับรถตุ๊ก-ตุ๊กโรงแรมมารยาทดี แต่ถ้าการบริการของพนักงานต้อนรับ การประสานภายในการจองห้องไม่เป็นตามที่คุยกันไว้ และอาหารเช้าที่มีรีวิวหรูดูดี แต่มันไม่เป็นตามนั้น เราก็ต้องรีวิวตามจริงนะคะ ไม่อยากให้ใครเสียความรู้สึกเหมือนเราค่ะ

ออกจากโรงแรมเราก็จะขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพแต่ก็เที่ยงกว่าจะบ่ายโมงล่ะ ก็ต้องหาอะไรหม่ำก่อน แถวนั้นก็จะมีข้าวซอยลำดวน-ฟ้าฮ่าม 2 หน้าร้านดูเล็กๆ ต้องจอดรถข้างทาง แต่พอเข้าไปร้านดูดีนะคะ คนส่วนใหญ่เหมือนคนต่างจังหวัดที่มาเที่ยวเกือบทั้งนั้นเลยค่ะ งานนี้ตั้งใจมากินข้าวซอย ก็จัดกันไปทั้งข้าวซอยเนื้อ ข้าวซอยไก่ และก็ออร์เดิร์ฟเมือง และน้ำตะไคร้ใบเตยแสนอร่อย ถือว่าคุ้มนะคะ ถึงแม้ข้าวซอยอาจยังไม่เข้มข้นเท่าไหร่ ก็ถือว่าโดยรวมโอเคก่อนขึ้นดอยค่ะ



ถึงเวลาขึ้นดอยสุเทพกันแล้วค่ะ เราก็ต้องเจอ GPS พาไปทางลัดในหมูบ้านอีก..แต่ดี่ที่ยังผ่านหน้า มช. ผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ ผ่านครูบาศรีวิชัย จนขึ้นมาเรื่อยๆ ทางก็คดลดเลี้ยวไปเรื่อย ผ่านโค้งปราบเซียนอย่างโค้งขุนกัณฑ์ โค้งหักซอกก่อนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ ถือว่าเป็น.โค้งตำนานที่นักศึกษามช. น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนะคะและพอถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เราก็ขึ้นไปด้านบนด้วยกระเช้าค่ะ แต่ตอนนี้เขาทำเหมือนเป็นลิฟท์ค่ะ


พอถึงวัดแน่นอนค่ะ ถ้าใครใส่สั้นไป ก็ต้องใส่ผ้าถุงคลุมนะคะ แต่ไม่ใช่เราแล้วเราก็ขึ้นไปกราบสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่ต้องขึ้นไปกราบไม่อย่างนั้นถือว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่กันนะคะ และที่นี่เป็นพระธาตุประจำปีมะแม ซึ่งก็เป็นปีเกิดของคนข้างๆ ซึ่งพระธาตุองค์นี้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุด้วยเช่นกัน และสิ่งที่เราจะเห็นคือการเดินรอบพระธาตุ 3 รอบ พร้อมท่องบทสวดบูชาพระธาตุตามใบที่มีวางไว้ให้ นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ที่มีโอกาสได้เดินเวียนรอบพระธาตุครบ 3 รอบกับคนเกิดประจำปีนี้ อย่างน้อยก็เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตเค้าและเราสินะแล้วเราก็เดินดูรอบๆ พระธาตุ รวมถึงไปชมวิวที่จุดชมวิวที่สามารถเห็นวิวตัวเมืองเชียงใหม่ วิวสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าสวยนะคะ แต่ภาพถ่ายด้วยมือถือ และด้วยอากาศยังเย็นๆ ทำให้ภาพอาจมีเหมือนหมอกจางในภาพนะคะ แต่ก็ถือว่าสวยในความทรงจำของเรานะคะ


แต่พอขากลับเราลงทางบันไดนะคะ แล้วก็มีเด็กน้อยชาวเขามานั่งเล่นบ้าง มาเชิญชวนให้มาถ่ายรูปด้วยกันกับพวกเขาเพื่อแลกกับค่าขนม 20-30 บาทแล้วแต่ว่าใครจะให้เพิ่มหรือเปล่า หลายคนก็คนตื่นแต่เช้า ง่วงก็ง่วง แต่ก็ยังต้องทำงานแลกเงินไม่ได้ไปเล่นแบบเด็กทั่วไปกันนะคะ



และเราก็ออกเดินทางเพื่อไปดอยม่อนแจ่ม เราตั้งใจไปอยู่กับธรรมชาติ เพราะคิดถึงเขา ก็เลยอยากไปให้เขาโอบกอด ซึ่งเส้นทางก็คดเคี้ยวตามเคย แถม GPS พาไปทางลัดอีก ขอบอกว่าสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ แทบไม่เห็นอะไรมากมาย มีผ่านเด่นชัดคือสนามกีฬา 700 ปี ถือว่ายังอลังการเหมือนเดิมขับไปเรื่อยๆ จนต้องหาร้านกาแฟพักกันสักนิด เป็นร้าน แอ่งดอย คาเฟ่ ซึ่งน่าจะส่วนหนึ่งของร้าน โป่งแยงแอ่งดอย ที่อยู่ในแม่สาวัลเล่ย์ รีสอร์ท บรรยากาศร่มรื่น สดชื่นไปด้วยดอกไม้ ต้นไม้นานาพันธุ์ ได้ยินเสียงน้ำจากลำธารด้วย เรานั่งพักดื่มกาแฟ และนำ้สตรอว์เบอร์รี่สดปั่น หอมหวานชื่นใจมากเลยค่ะ อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะมันสดชื่นจริงๆ ค่ะ แต่ก็ต้องไปต่อ



แล้วเราก็ออกเดินทางเพื่อไปต่อให้ถึงดอยม่อนแจ่ม เพื่อเข้าอินที่พักก่อน เพราะคืนนี้เรามาให้ขุนเขาโอบกอดกันที่ ม่อนอิงดาว อากาศก็ยังเย็นๆ อยู่ บ้านพักเราอยู่ด้านบน เห็นวิวโดยรอบสวยงาม ธรรมชาติร่มรื่น ดอกไม้ต้นไม้นานาพันธ์ และยังมีห้องพักหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นห้องพักบนตึก ห้องพักแบบวิลล่า ห้องพักแบบขอนไม้ที่ลานดูดาวด้านบน แต่ที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นที่แปลกไปจากในเมือง คือมีถังแก๊สอยู่ด้านนอก แต่ทางรีสอร์ทก็จะบอกวิธีใช้ห้องน้ำ และก็ควรปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยกันนะคะ และที่นี่ก็เต็นท์บริการ แต่ห้องน้ำรวมนะคะ บางทีการเข้าพักที่ไหนก็ตาม เราควรอ่านกฎระเบียบของแต่ละที่ให้เรียบร้อยกันด้วย เราก็ให้ธรรมชาติบำบัดด้วยการนั่งชมบรรยากาศ ถ่ายรูปเล่น สัมผัสอากาศเย็นกันพักใหญ่กันไป ก่อนที่จะเริ่มมืดไปมากกว่านี้ค่ะ



ที่นี่พอค่ำปุ๊ป ไฟตามทางก็ถูกเปิด มองแล้วเหมือนหิ่งห้อยตัวใหญ่เล่นตามระดับขั้นบันได และอาหารค่ำสำหรับวันนี้...เป็นหมูกระทะค่ะ ตอนแรกที่รีสอร์ทแนะนำ เราก็คิดว่า กินหมูกระทะเนี่ยนะ แต่เมื่อเขาแนะนำก็ต้องลองสิค่ะมันก็สมราคากับอาหารบนดอย แต่พอจำนวนคนน้อย อาหารก็ดูเหมือนเยอะเลยทีเดียว


และขอบอกว่า..มันฟีลมากมายค่ะ เพราะแค่หัวค่ำยังเย็นสุดๆ ถ้าไม่ได้เจ้าหมูกระทะ งานนี้สงสัยจะอยู่ข้างนอกนานไม่ได้เลยค่ะ พอทานเสร็จก็นั่งดูดาว สัมผัสความหนาวเย็น จิบแอลกอฮอล์เบา-เบา ตามอัธยาศัย บอกเลยว่านี่แหล่ะ...สวรรค์บนดอย..ธรรมชาติบำบัดที่ไม่เคยผิดหวัง คืนนี้ก็หลับพักผ่อนในอ้อมกอดขุนเขากันไปนะคะ

Morning ชาวโลกกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะทอแสงสวยงาม ตอนแรกตื่นมารอดูตอนพระอาทิตย์จะขึ้น แต่กว่าจะขึ้นและด้วยหมอกยามเช้า อากาศหนาวสะท้านก็ต้องกลับไปซุกตัวในผ้าห่ม ตื่นมาอีกทีคือพระอาทิตย์มาปลุกแล้วค่ะ


แล้วก็ได้เวลาเช็คเอ้าท์ แล้วเราก็ไปหาอะไรหม่ำที่ร้านฝั่งตรงข้าม ม่อนอิงดาวนั่นแหล่ะ ขอบอกว่า...อาหารราคาหลักร้อย วิวหลักล้านจริงๆ ง่ายๆ กับไข่กระทะ อาหารจานโปรดของคนข้างๆ ทานไปชมวิวไป......อิ่มและฟินมากมายค่ะ


แล้วเราก็มุ่งหน้าไปม่อนแจ่ม ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่ขอบอกว่าทางคดเคี้ยวและแคบมากค่ะ พอถึงก็ไปจอดรถในลานจอดรถ แล้วก็เดินขึ้นไปอีกนิดนะคะ

พอถึงม่อนแจ่ม ก็จะเจอร้านอาหาร ร้านกาแฟ แต่ที่นั่งอาจไม่เยอะนัก อากาศก็ยังเย็นอยู่ วิวก็อาจไม่สวยมากนัก เพราะเริ่มบ่ายแล้ว แต่ไหนๆ ก็ไปแล้ว ก็เก็บมันไว้ในความทรงจำ สำหรับธรรมชาติที่ควรกับการพักผ่อน เราก็นั่งดื่มชา-กาแฟ ถ่ายรูป พักกันสักนิด ก่อนที่ต้องยิงยาวเข้าตัวเมืองค่ะ


และระหว่างทางไปที่จอดรถ เราเจอของโปรดของเรา..นั่นก็คือ สตรอว์เบอร์รี่ค่ะ..ลูกใหญ่มาก ราคาไม่แพง แบบว่า อยากเอากลับบ้านมากมาย แต่ก็กลัวช้ำ จึงจัดมาแค่กล่องเดียวให้รู้สึกว่า..คุ้มล่ะ..ที่ได้หม่ำสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์ พันธุ์พระราชทาน 80


ระหว่างก่อนเข้าเมืองก็ยังพอมีเวลาเราก็แวะไปที่วัดพระธาตุดอยคำ เพื่อสักการะหลวงพ่อพระทันใจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น ถือว่าเป็นอีกวัดที่สวยงามนะคะ และโชคดีที่ตอนไปนั้นคนไม่เยอะ เพราะได้ข่าวว่าที่นี่มีคนมาสักการบูชากันมากเลยทีเดียว ไปชมภาพกันค่ะ


จากนั้นเราก็เริ่มเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อที่จะมื้อเย็นรับประทานกันนะคะ แต่ก็วนกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ผ่านวัดที่สวยงามหลายวัด จนคนข้างๆ ก็พาเข้าไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดลอยเคราะห์ ด้วยชื่อวัด..ก็มาเพื่อลอยเคราะห์ให้ออกไปจากตัว แล้วรอรับแต่สิ่งดีๆ กันนะคะ อันนี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่การทำบุญก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในการมาเที่ยวเหมือนกันนะคะ เพื่อความสบายใจ เราก็ทำกันไปค่ะ ไม่เสียหาย และที่สำคัญ ถ้ามีคนอยากทำบุญ อย่าไปขัดนะคะ ควรสนับสนุนด้วยซ้ำค่ะ เพราะการทำบุญก็เป็นการทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเค้าเองนะคะ



เมื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์กันเรียบร้อย ก็ต้องหาอะไรหม่ำล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน เราก็ไปทานที่ร้านเฮือนเพ็ญ ซึ่งที่ร้านนี้มีสองส่วน ในส่วนที่เราไปนั้นจะเปิดตั้งแต่เช้าจนถึง 5 โมงเย็น อาหารก็จะมีมากกว่า และจะมีอหารจานเดียวอย่งข้าวซอยหรือว่าขนมจีนน้ำเงี้ยวด้วยแต่อีกส่วนจะเปิดหลังจากนี้ ซึ่งข้างในจะตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งเราก็รอไม่ไหว ต้องหม่ำแล้วล่ะเราก็สั่งเต็มที่เลย อย่าง แกงฮังเล ตำถั่ว ไส้อั่ว ลาบคั่ว อิ่มแปล้กันไปค่ะ


อุ๊ย! เวลาเหลือค่ะ คนข้างๆ ใจดีพาไปวนหาร้านนั่งเล่นแถวนิมมานทร์กันอีกนิดหนึ่ง เจอร้านนี้เลยค่ะ บรรยากาศดี ตกแต่งสวย เป็นอาหารฟิวชั่น แต่เราไปหม่ำขนมและชา-กาแฟแทนค่ะ ร้านนี้เป็นเหมือน HOMEMADE หลายสิ่ง ใส่ใจในรายละเอียดของร้าน การจัดวางอาหาร ขนม ลองไปดูที่เราสั่งสิค่ะ ก็ถือว่าคุ้มนะคะ อร่อยดี เพลงเพราะ บรรยากาศเหมาะแก่การดินเนอร์กันอีกรอบเลยนะเนี่ย เรานั่งกันอยู่พักใหญ่จนใกล้เวลาที่จะต้องคืนรถ และเช็คอินที่สนามบินเชียงใหม่


ก่อนกลับเราก็สนุกสนานกับการลุ้นๆ ว่าจะตกเครื่องไหม เพราะวนหาปั๊มเติมน้ำมัน และจุดคืนรถเช่า ซึ่งทางเข้าอยู่อีกด้านหนึ่งค่ะ และพอมาเช็คอินตั๋วเครื่อง พนักงาน AIR ASIA ก็เชิญชวนให้เช็คที่ตู้เช็คอินอัตโนมัติ เราก็รีบบอกปัญหาที่เจอว่า ตอนขามาที่นั่งแยก ถ้ามั่นใจว่าที่นั่งจะไม่แยกเพราะเป็นบุ๊กกิ้งเดียวกัน..เราก็จะเช็คอินตรงตู้นี้ พนักงานทำหน้าแบบว่า..งั้นคุณพี่เชิญต่อแถวเช็คอินที่เคาน์เตอร์ดีกว่าค่ะ ซึ่งแถวก็ยาวอีก เราก็เลยบอกไปว่า..อีกนานไหม พี่จะตกเครื่องรึป่าว ถึงจะมีเจ้าหน้าที่พาไปอีกแถวหนึ่งเพื่อรีบเช็ค เราก็รีบเข้าไปที่ Gate แต่พอเข้านั่งปุ๊ป มีการเลื่อนเวลาขึ้นเครื่องออกไปอีก15-20 นาที แบบว่ารีบกันมาก และคนอื่นๆ ก็มากันพร้อม ทำให้ตอนขึ้นเครื่องก็เลยเร็วกันมาก เครื่องออกไม่ช้ามากนัก และที่สำคัญถึงไวกว่ากำหนดค่ะ ถือว่าทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม

และมีความทรงจำที่ดีในหลากหลายรูปแบบ อย่างที่หลายๆ คนบอก..โลกมันกว้าง คนข้างๆ จึงสำคัญ นี่มันใช่เลยนะคะ เพราะการเดินทางกับใครสักคน ถ้ามันลำบาก เหนื่อย หรือเจออุปสรรคปัญหาใดก็ตาม แต่ถ้าเราได้ไปกับคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อย่างน้อยมันก็จะผ่านไปได้ด้วยดี การใช้ชีวิตกับใครสักคนตลอด 24 ชั่วโมงมันไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไปนะคะ..ไม่ว่าจะไปด้วยกันในสถานะใดก็ตาม..แฟน เพื่อน พี่น้อง ครอบครัวสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตในการท่องเที่ยวอย่างมีความสุข คือเราต้องรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มองในมุมของคนที่เราไปด้วยกัน เหมือนถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน..ทริปนั้นก็จะเป็นทริปที่สร้างความทรงจำระหว่างกันและกัน... หลายคนอาจมองที่ปลายทางที่จะไป แต่มักลืมว่า...ความสวยงามของการเดินทางมันขึ้นอยู่ที่ระหว่างและคนที่เราไปด้วยกันได้เหมือนกันนะคะ...ขอบคุณผู้ร่วมทริปที่ดูแลกันตลอด สร้างความเซอร์ไพร์สได้ในหลายโมเม้นท์ ขอบคุณของขวัญวันเกิดในครั้งนี้อีกครั้ง...ขอบคุณคนของกำลังใจนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ แล้วไปด้วยกันอีกนะคะ..ฝากติดตามการไปเที่ยวในแบบ Once Slow Life กันอีกได้นะคะ...^_^

Once Chill Life

 วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.56 น.

ความคิดเห็น