โอ้โหหหหห... นี่มันสวรรค์ชัดๆ ABC ที่เคยผ่านหูผ่านตามาหลายเดือน จริงๆแล้วมันชื่อ Annapurna Base Camp มันคือภูเขาลูกหนึ่งในเมืองโพคารา ประเทศเนปาล มันเหมือนภาพในฝันที่คนแถวบ้านมักจะเอามาติดผนังหรือเอามาทำเป็น wallpaper ให้ตายเถอะ สถานที่แบบนี้มันมีอยู่จริงในโลกใช่ไหม? ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพตรงหน้า มันคือภาพภูเขาน้ำแข็งที่มีแสงส่องมาจากฟ้า มันถือชายคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนหิมะ ท่านกลางพื้นหลังที่ขาวโพลน มันคืออยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว กุต้องไปที่นั่นให้ได้ ฮาๆๆ
ผมเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวการ trekking ABC ดูว่าการที่เราจะขึ้นไป Base Camp ของเขาลูกนี้ เราต้องเตรียมตัวอย่างไหร่ ต้องใช้อะไรบ้าง ต้องขออนุญาตหรือไม่ วิธีการเดินทางเป็นอย่างไร งบประมาณที่ใช้จ่ายประมาณไหน พร้อมกับหาเพื่อนรู้ใจร่วมทริปไปกับทริปครั้งใหญ่ทริปนี้
เมื่อทุกอย่างพร้อม การเดินทางครั้งนี้ก็เริ่มขึ้นครับ เราจะต้องนั่งรถต่อจากโพครา (Pokhara) ไปยังจุดเริ่มต้นการเดินเท้า ซึ่งจุดเริ่มต้นการเดินทางนั้น มีอยู่หลายจุดด้วยกัน แต่ในครั้งนี้ เราจะเริ่มต้นเดินทางจากหมู่บ้านนายาบุล (Nayabul) ครับ ต้องบอกแบบนี้ครับ การเดินทางในสายของ Annapurna Base Camp นั้น ระหว่างทางจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่ ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะห่างกันราวๆ 1 – 2 ชั่วโมง และสภาพภูมิประเทศก็มีแต่ภูเขาและทางชัน บางช่วงอันตราย เพราะเป็นเหวลึก บวกกับสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ นักเดินทางที่ไปจึงต้องเตรียมความพร้อมมาอย่างดี ทั้งอุปกรณ์ และร่างกายของตนเองที่พร้อมจะรับกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างการเดินทางได้อยู่เสมอ เอาหละ อ่านมาถึงตรงนี้ ผมว่าทุกคนคงพร้อมแล้ว ที่จะเดินทางไปพร้อมๆ กันผม เอาเป้แบกขึ้นหลัง แล้วเดินไปพร้อมๆ กันเลยครับ...
การเดินทางไปถึง Annapurna Base Camp แล้ว ปกติจะใช้เวลา 8 วันครับ แต่ครั้งนี้ เนื่องจากเราเวลาไม่เยอะขนาดนั้น เราต้องลากงานกันไปเราจึงวางแผน ว่าเราจะใช้เวลาเดินทางแค่ 6 วัน โดยใช้เวลาเดินขึ้น 4 วัน และใช้เวลาเดินลง 2 วันครับ สำหรับทริปครั้งนี้ เราจะไม่พูดถึงเส้นทางไป Poon Hill ครับ เราจะเดินสายตรงขึ้น Annapurna Base Camp ที่เดียวเลย ระยะทางรวมไปกลับอยู่ที่ 80 กิโลเมตร และจุดที่สูงที่สุดที่เราจะไปคือบริเวณธงมนต์บน Annapurna Base Camp ที่ 4,130 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ช่วงแรกของการเดินทาง ทุกคนร่าเริงแจ่มใสครับ เพราะวิวทิวเขาที่นั่นมันยิ่งใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ สภาพภูมิประเทศสวยงาม บรรยากาศดี เดินกันไปคุยกันไปชิวๆ ระหว่างทางจะมีแพะ มีแกะ ที่ชาวเขาเค้าเลี้ยงไว้ แล้วปล่อยทิ้งไว้ตามทุ่งหญ้าด้านล่าง ตลอดทางมีแม่น้ำเคียงขนานตลอดครับ ชาวบ้านทำการเกษตรกัน บางช่วงจะมีบันไดหินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว สำหรับวันแรกมีประมาณ 2,000 ขั้น ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงชุมชนหนาแน่นอยู่ เหมือนเดินชมชีวิตชาวเขา ดูวีถีชีวิตความเป็นอยู่ และเป็นการวอร์มร่างกายให้กับตัวเองในช่วงเริ่มต้นการเดินทาง
ช่วงนี้สภาพภูมิประเทศเริ่มจะเป็นป่าเฟิร์นครับ ทางจะชันมากในช่วงออกจากจินนุกาณฏา (Jhinnukanda) เรียกว่าเหนื่อยเอาเรื่องเลยครับ แล้วก็จะสลับขึ้นๆ ลงๆ เรื่อยๆ ตลอดทาง ป่าจะเริ่มทึบลงเรื่อยๆ มีน้ำตกเล็กๆ ตามไรทาง มีสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ประมาณ 3 สาย คือแม่น้ำนี่ก็มาจากข้างบนเทือกเขา Annapurna ครับ เกิดจากน้ำฝน และน้ำที่ละลายจากหิมะ ส่งผ่านไปยังตัวเมืองเนปาล ให้ชาวบ้านได้ใช้ในชีวิตประจำวันกัน และช่วงนี้แหละ ที่นักเดินทางจะเริ่มเห็นดอกกุหลาบพันปีข้างทางเรื่อยๆ ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ชันที่สุดในการเดินทางครับ
ช่วงนี้เริ่มแรกก็ข้ามสะพานกันมาเลย ทิ้งกลิ่นอายความเป็นป่าดิบชื้นได้ไม่นาน ทุกอย่างจะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพเป็นสีเหลืองครับ ป่าไม้ที่เคยกลายเป็นสีเขียวบนภูเขา ก็จะเริ่มแห้งกลายเป็นสีเหลืองขาว เกิดจากการคายน้ำ เพื่อให้ตนเองอยู่รอด เพราะบรรยากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ความดันอากาศเริ่มต่ำลง ความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงมากกว่า 2,500 เมตร อาการแพ้ความสูง ลักษณะอาการจะเริ่มวิงเวียนศีรษะ ปวดหัว เหนื่อยง่าย ละอยากอาเจียน เป็นต้น ระหว่างทางของรูทวันนี้ จุดคลายแม็กซ์อยู่ที่ฟิชเทลครับ (Fish tale) อยู่บริเวณสะพานที่สองของช่วงนี้ครับ ตอนเดินอยู่ก็อย่ามัวแต่หันไปข้างหน้าครับ หันมองรอบข้าง และหันหลังกลับมาบ้าง แล้วจะรู้ว่าความงดงามที่เรียกว่ามหัศจรรย์ มันเป็นยังไง สภาพภูมิประเทศจากเหลืองๆ ก็จะถูกทับถมด้วยสีขาวจากหิมะในช่วงปลายทางของวันนี้ครับ และจุดพักของคืนที่สามนี่เอง ที่เราจะได้เห็นยอดเขามาชาปุแช (MBC : Machhapuchere Base Campe) อย่างใกล้ชิด และคืนนี้แหละ ที่เราจะได้นอนในอุณหภูมิติดลบ ท่านกลางภูเขาหิมะ
วันนี้เราจะต้องรีบตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อนเดินขึ้นไปที่ Base Camp เหตุก็เพราะ ถ้าไปสายกว่านี้ แดดจากดวงอาทิตย์จะแรงมาก และเมื่อส่งมากระทบกับหิมะ จะทำให้เราตาลาย หรือตาพร่าไปเลย ทุกคนควรเตรียมแว่นกันแดดมาด้วย และอีกเหตุผลหนึ่ง เราต้องรีบทำเวลาเดินลงมาคืน เพราะอากาศข้างบนหนาวพอสมควร ระหว่างทานงจะมีแต่หิมะขาวโพลนตลอดเส้นทางเดินเลยครับ ไม่ไกลมาก แต่จะเหนื่อยเร็ว เพราะว่าสภาพความกดอากาศต่ำ ทุกคนที่ไปเดินทางรูท Annapurna Base Camp จะต้องพกยาแก้ปวดหัว และยาแก้แพ้ความกดอากาศต่ำหรือความสูงไปด้วย แต่รับรองว่าภาพที่คุณจะได้เห็น มันคุ้มค่าเกินราคาจริงๆ
- ไม่จำเป็นต้องจ้างไกด์นำทาง เพราะทางที่เราไป ใช้เพียงแค่ใบ Permission ใบเดียว ก็สามารถเดินทางไปถึงแคมป์หรือหมู่บ้านระหว่างทางได้โดยง่าย อีกอย่าง เส้นทางมีป้ายบอกทางชัดเจน และมีเส้นเดียวเท่านั้น แต่หากเพื่อนๆ อยากอุ่นใจ มีไกด์นำทาง ค่าไกด์จะอยู่ราวๆ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันครับ
- ไม่ว่าจะมาโดยสายการบินอะไร หลังจากลงมาถึงเนปาลแล้ว การเดินทางต่อของเราคือไปโพคารา (Pokhara) ซึ่งผมแนะนำอยู่สองทาง คือบินไป แพงหน่อย แต่รักษาเวลาได้ หรือเหมารถไป อันนี้ราคาถูกและเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเยอะครับ แต่เราก็จะได้เห็นบรรยากาศระหว่างทางของเมืองเนปาลไปด้วย เรียกได้ว่ามีข้อดีข้อเสียที่แตกจ่างกันครับ
- สำหรับอุปกรณ์ Trekking ของเหล่าขาจร หรือกลุ่มนักเดินทางที่ไม่ได้ออกเดินป่าปีนเขาเป็นประจำ แนะนำให้มาเช่าที่โพคารา (Pokhara) ครับ ราคาไม่แพง แถมคุณภาพถึงด้วย
วันที่หนึ่ง : Siwai – Jinnukhanda
วันที่สอง : Jinnukhanda – Dovan
วันที่สาม : Dovan – MBC
วันที่สี่ : MBC – ABC แล้วลงมาที่ Dovan
วันที่ห้า : ลากยาวจาก Dovan ลงมาถึง Siwai จุดเริ่มต้นในการเดินเท้า
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ทริปเส้นทางสวรรค์บนดินแห่งนี้ น่าสนใจพอที่จะทำให้เพื่อนๆ อยากที่จะจัดของยัดใส่กระเป๋า แล้วแบกใส่หลังนั่งเครื่องบินมาลงที่ประเทศเนปาลแห่งนี้หรือเปล่า แต่สำหรับผม ทริปสวรรค์บนดินครั้งนั้น ยังจำมาถึงวันนี้ไม่เคยลืมเลย แล้วเจอกันระหว่างทางครับ
Mi Palapilii
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.31 น.