สวัสดีครับ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปปีนเขาที่ดอยหลวงเชียงดาวมาครับ

ทริปนี้ผมเช่ามอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ทั้งหมด 10 วัน

เนื่องจากมีเวลามาก และไม่รู้จะไปไหน เอาวะ! ไปปีนดอยหลวงเชียงดาวละกัน


เมื่อตอนปลายปี 2557 ผมเกือบจะได้ไปปีนดอยหลวงเชียงดาว

แต่ดันมีทริปฮ่องกง ทำให้ทริปดอยหลวงเชียงดาวล่มไป เพราะเที่ยวบ่อย กลัวจะโดนไล่ออกจากบ้าน

และตอนต้นเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วก็เกือบจะได้ขึ้น แต่เวลาดันไม่พอ เลยได้ไปแค่บ้านระเบียงดาว

จนมาถึงปีนี้ มีเวลามากถึง 10 วัน เลยมีโอกาสได้มาพิชิตดอยหลวงเชียงดาวตามที่เคยตั้งใจไว้


จะเป็นยังไง ไปชมกันเลยยย...


เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อน ก่อนจะไปปีนดอยหลวงเชียงดาว เราลองมาดูข้อมูลคร่าวๆสักนิด


ดอยหลวงเชียงดาว เป็นภูเขาสูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย

มีความสูงถึง 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล รองมาจาก ดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก

ด้านบนมียอดเขาอยู่หลายยอด แต่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวมีอยู่ 2 ยอด คือ

ยอดดอยสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว ความสูง 2,225 เมตร

และยอดกิ่วลม ความสูง 2,145 เมตร


ดอยหลวงเชียงดาวเปิดให้ขึ้นไปท่องเที่ยวเป็นเวลา 5 เดือน

ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ถึง 31 มี.ค. ของทุกปี


เส้นทางขึ้นดอยมีอยู่ 2 เส้นทาง

โดยทั้ง 2 เส้นทางจะมาบรรจบกันที่ 3 แยก และหลังจากนั้นเป็นเส้นทางเดียวกัน

ไปสู่อ่างสลุงซึ่งเป็นจุดกางเต้นท์


1. เด่นหญ้าขัด เป็นเส้นทางที่เดินง่ายที่สุด ทางลัดเลาะริมเขา เดินไปเรื่อยๆ สบายๆ

ระยะทางถึง 3 แยก ประมาณ 5 กิโลเมตร

แต่การเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นเดิน ต้องนั่งรถยนต์ขึ้นไปประมาณ 30 กิโลเมตร

เป็นทางลูกรัง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งจากที่ทำการจนถึงจุดเริ่มเดิน


2.ปางวัว เส้นทางนี้จะสั้นกว่าทางเด่นหญ้าขัด แต่มีความชันกว่า เดินเหนื่อยกว่า

โดยมีระยะทางถึง 3 แยก ประมาณ 3 กิโลเมตร

ช่วง 1.5 กิโลเมตรแรก เป็นทางขึ้นเขา มีความชัน ต้องเดินขึ้นไปเรื่อยๆ

ส่วนอีก 1.5 กิโลเมตร จะเป็นทางราบสลับเนินไปเรื่อยๆจนถึง 3 แยก


หลังจากมาบรรจบกันที่ 3 แยก เราต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร

ก็จะถึงลานกางเต้นท์อ่างสลุง


ทั้งสองเส้นทางต้องจ้างรถกระบะ ไปส่งยังจุดเริ่มเดิน โดยราคาไปเส้นเด่นหญ้าขัดจะแพงกว่า

เพราะระยะทางไกล และเป็นทางดินลูกรัง

เส้นเด่นหญ้าขัด เที่ยวละ 1200 บาท

เส้นปางวัว เที่ยวละ 600 บาท

ถ้าให้แนะนำ ก็ขึ้นทางเด่นหญ้าขัด และลงทางปางวัว ก็จะไม่ต้องเหนื่อยมากครับ

มีค่ามัดจำขยะ 300,600 บาท (แล้วแต่เจ้าหน้าที่จะเก็บ โดยจะได้คืนเมื่อนำขยะลงมา)

- ค่าธรรมเนียมเข้าเขตคนละ 20 บาท

- ค่ากางเต้นท์หลังละ 30 บาท

และค่าธรรมเนียมนำรถเข้าเขตอีกคันละ 30 บาท

ดอยหลวงเชียงดาวจำกัดนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 150 คน

เพราะฉะนั้นเราต้องโทรไปจองก่อน โดยสามารถโทรติดต่อได้ที่ 053-456623




7 มกราคม 2559


เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ผมขับมอเตอร์ไซค์ เข้าไปติดต่อที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว

บอกว่าผมมาคนเดียว พรุ่งนี้ขอขึ้นดอยหลวงเชียงดาวได้มั้ย

จะแบกของเอง และไม่ต้องการคนนำทาง ส่วนการเดินทางไปยังเส้นทางเริ่มเดิน จะโบกรถของชาวบ้านขึ้นไปที่ปางวัว

แต่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ ยังไงก็ต้องจ้างคนนำทาง

ถึงแม้เส้นทางจะไม่ได้ยาก แต่เกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วใครจะรับผิดชอบ


เจ้าหน้าที่เลยแนะนำว่า ตอนพรุ่งนี้เช้า ให้ลองจอยกับกรุ้ปอื่นดู

ผมก็โอเค ลองดูพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน

คืนนี้ตอนแรกผมจะไปผูกเปลนอนที่ด่านตรวจ ตรงทางขึ้น เส้นทางไปบ้านระเบียงดาว

แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถนอนในห้องประชุมได้ ก็โอเค งั้นดีเลยย




ช่วงค่ำ เลยออกมาหาซื้อเสบียงในตัวเมืองเชียงดาว เพื่อเตรียมขึ้นไปทานบนเขาพรุ่งนี้

โชคดี เป็นวันที่มีถนนคนเดินพอดี เลยเดินเล่นซะหน่อย

ปกติจะจัดเดือนละ 2 ครั้ง คือวันพฤหัสบดี ในสัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน



หลังจากซื้อของเรียบร้อย ก็ขับรถกลับไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เจอกรุ้ปอื่นมานอนในห้องประชุมเหมือนกัน

ซึ่งพี่ๆเค้าจะขึ้นดอยหลวงเชียงดาวพรุ่งนี้เหมือนกัน ผมก็เลยขอแจม ติดรถไปด้วยคน


8 มกราคม 2559

เช้านี้ตื่นมา ผมเข้าตัวเมืองไปหามื้อเช้าทาน ก่อนจะกลับมายังที่ทำการ

ผมขอจอยไปกับพี่ๆ 4 คน โดยขึ้นทางเด่นหญ้าขัด และลงทางปางวัว

จ้างลูกหาบ 1 คน โดยให้เป็นคนนำทางด้วยเลย



หลังจากจัดแจงสัมภาระ ลงชื่อขออนุญาตเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทาง



จากที่ทำการเขต มาถึงที่เด่นหญ้าขัด ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ

เส้นทางเป็นทางลูกรัง ระยะทางประมาณ 30 กิโล ไกลมากก นั่งรถเด้งไปเด้งมา เมื่อยกันเลยทีเดียว




10.30 น. ก็ได้เวลาเริ่มเดิน

ผมแบกเป้เอง ลองเอาไปชั่งดู น้ำหนักประมาณ 17 กิโลกรัม

โอ้ บ้าไปแล้ว ผมเองยังตกใจกับน้ำหนักกระเป๋าของตัวเอง

นี่ผมสามารถเป็นลูกหาบได้เลยนะนี่ ฮ่าๆๆ

ในกระเป๋ามีทั้งถุงนอน หม้อ เตาแก๊ส อาหาร น้ำ ไฟฉาย และอื่นๆอีกมากมาย

เรียกได้ว่าบ้าหอบฟางมากๆ


ประกอบกับลืมรองเท้าผ้าใบไว้ที่เชียงใหม่ ทำให้ต้องใส่รองเท้าแตะเดิน

เมื่อเช้าอากาศหนาว ผมเลยใส่เสื้อกันหนาวจัดเต็ม

เดินไปได้ไม่ถึง 10 นาที ต้องถอดจนเหลือเสื้อยืดตัวเดียว 555555



ทางเดินเป็นทางง่ายๆ เดินสบายๆ ชิวๆ



ลัดเลาะไปตามป่า


ช่วงแรกผมให้พี่ๆเดินนำ แล้วผมคอยเดินตามปิดท้าย



มองไปด้านซ้ายก็จะเป็นวิวภูเขา



ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งนิดๆ ก็มาถึงที่ 3 แยก

พักดื่มน้ำ ทานข้าวประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดินต่อ

โดยผมขอล่วงหน้ามาก่อน เพราะพี่ๆเค้ายังไม่หายเหนื่อยกัน



หลังจาก 3 แยก จะเป็นทางขึ้นเนินไปเรื่อยๆ เริ่มต้องใช้พละกำลังในการเดิน

เหงื่อไหล ไคลย้อยเลยทีเดียว



วันนี้ท้องฟ้าสวยมากก อากาศดีสุดๆ และแดดก็เปรี้ยงปร้าง



เดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆไม่ได้สนใจอะไร มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออก ฟึดฟัดๆ

พอมองย้อนกลับไปด้านหลัง ก็ต้องตะลึง มันสวยมากกก

รู้สึกจะเรียกว่า ดอยสามพี่น้อง



เนื่องจากผมแบกกระเป๋ากว่า 17 กิโล ทำให้เหนื่อยเป็นพิเศษ

กว่าจะผ่านแต่ละเนินไปได้ ต้องใช้ทั้งพลังกาย และพลังใจ

งั้นขอกางแขนรับพลังหน่อยแล้วกัน 5555




มองย้อนกลับไป นี่เราก็เดินมาไกลเหมือนกันนะเนี่ย

เดินไปตดไป สบายใจจังหนออ



ระหว่างทางมีวิวสวยๆให้แวะถ่ายรูปตลอด

แต่บางครั้งมันก็เหนื่อยจนแม้แต่จะหยิบกล้อง ยังไม่อยากหยิบเลย



ถามลูกหาบกรุ้ปอื่นว่าใกล้ถึงยัง ก็บอกว่าใกล้แล้วครับ

ถามมาหลายคน ก็บอกว่าใกล้แล้ว ใกล้แล้ว

ใกล้ตรงไหนนว้า เดินมาตั้งนานละ เห้อออ



เหนื่อยแค่ไหน ร้อนแค่ไหน ก็ต้องเดินต่อไป


ในที่สุด เวลา 15 นาฬิกาตรง ผมก็เดินมาถึงลานกางเต้นท์อ่างสลุง

แล้วก็ต้องตกใจกับมวลมหาประชากร คนมากางเต้นท์กันเพียบบ

ในใจก็นึกสงสัย นี่เรามาถึงช้า หรือเค้ามาถึงเร็ว หรือเค้ามากันตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ

ผมนั่งรอจนถึง 15.40 น. และแล้วพวกพี่ๆทั้ง 4 คน ก็เดินมาถึง



ตอนแรกพี่ๆจะชวนนอนเต้นท์ด้วยกัน แต่ผมกลัวว่าพี่เค้าจะนอนไม่สบาย

เลยขอมาผูกเปลนอนคนเดียว

ตอนเกือบ 4 โมงครึ่ง เลยนัดกันเดินขึ้นยอดหลวงเชียงดาว




จากจุดกางเต้นท์ต้องเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ



หลังจากนั้นก็จะเป็นทางขึ้นชันๆ เป็นดินลื่นๆ

ต้องค่อยๆเดินช้าๆอย่างระมัดระวัง บางช่วงต้องปีนหินขึ้นไป



เดินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นภูเขาลูกอื่นๆ



พักเหนื่อยซะหน่อย

แต่ละคนต่างถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งนึง เคยมาพิชิตดอยหลวงเชียงดาว




และแล้วก็เดินมาถึงยอดดอยหลวงเชียงดาว ความสูง 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล

คุ้มค่า สวยสมคำร่ำรือจริงๆ



ทุกคนต่างจับจองที่นั่ง รอชมพระอาทิตย์ตกดิน

คนอื่นๆต่างมากันเป็นกรุ้ป เป็นคณะ

ทำไมเรามาคนเดียวน้ออ



หลายๆคนยืนต่อคิวเพื่อที่จะถ่ายรูปคู่กับป้ายใบนี้

ผมเองก็เช่นกัน



เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไป



พระอาทิตย์จากไป ความหนาวก็เข้ามาแทนที่



ทุกคนต่างทยอยกันเดินลงกลับไปยังเต้นท์ของตนเอง

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงอยู่ด้านบน รอชมดวงดาว และรอถ่ายรูปทางช้างเผือกในค่ำคืนนี้

และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น



คืนนี้ท้องฟ้าใสแจ๋ว ไม่มีเมฆ ทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย



มองออกไปเห็นเมืองอยู่ไกลๆ ด้านล่างนู่นน



ถ่ายรูปจนถึงเวลาทุ่มครึ่ง ก็เริ่มชวนกันลงด้านล่าง

เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังคงถ่ายรูปอยู่ด้านบน

เพราะอากาศด้านบนมันช่างหนาวเหน็บเกินจะทน หนาวแบบ หนาวโครตๆ หนาวจนไม่รู้จะอธิบายยังไง


ก่อนจะลงเลยขอถ่ายทางช้างเผือกซะหน่อย

ของจริงเป็นคล้ายๆหมอกจางๆ ไม่ได้เห็นชัดแบบในรูป

ตอนเดินขึ้นว่ายากแล้ว ตอนเดินลงยากกว่า เพราะมันมืดมากกก

รองเท้าแตะก็ช่างลื่นซะเหลือเกิน




ลงมาถึงด้านล่าง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเข้าเต้นท์ของตนเอง

มีเพียงผมเท่านั้น ที่ไม่มีเต้นท์ให้นอน

เลยตั้งเตา ต้มมาม่าร้อนๆทาน เพื่อให้ความหนาวบรรเทาลง

พอหนังท้องตึง หนังตาจะได้หย่อน ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเปล



เช้าวันใหม่ เวลาตี 4

ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางความเหน็บหนาว

เนื่องจากผมนอนเปล ทำให้ความหนาวนั้นแทรกซึมผ่านเปล และทะลุถุงนอนเข้ามา

เมื่อคืนเลยหลับๆตื่นๆเกือบทั้งคืน ต้องเอามือซุกอยู่หว่างขา แล้วนอนขด งอแขน งอเข่า

ทรมานนอะไรเยี่ยงนี้


ผมนัดพี่ๆไว้ตอนตี 4 ครึ่ง เพื่อเดินขึ้นไปยังยอดกิ่วลม ชมพระอาทิตย์ขึ้น

กว่าจะบังคับตัวเองลุกขึ้นมาจากเปล และออกมาจากถุงนอนได้

ต้องใช้ความพยายามมากๆ


และแล้วก็ได้เวลาเดินสู่ยอดกิ่วลม

ระยะทางประมาณ 500-600 เมตร

ระหว่างทาง เนื่องจากความมืด ผมก็มัวแต่ก้มมองทาง


ผมเดินผ่านดงอุจจาระ กลิ่นนี่โชยเลยย ไม่ใช่แค่กองเดียว มันมี 2-3 กองเลย

ตอนแรกพี่ๆที่เดินตามมาก็สงสัย ว่านี่เรามาถูกทางกันรึเปล่าวะ

ผมก็บอกว่าถูกสิ มันมีทางเดินอยู่ จนพี่คนนึงถอดใจจะเดินกลับละ

ผมเลยให้พี่ๆรอก่อน เดี๋ยวเดินล่วงหน้าไปดูทางให้

เดินจนมาทะลุอีกด้าน ถึงได้รู้ว่า นี่เราเดินมาผิดทางนี่หว่า

ทางหลักก็มีดันไปเดินผ่านดงอุจจาระ 55555

เลยเดินย้อนกลับไปทางหลัก ตามพี่อีกคนที่ถอดใจกำลังจะลงละ

ถึงได้รู้ว่า ทางหลักมันเป็นเนิน ทำให้มองไม่เห็น

เห้อออ ตลกตัวเองจริงๆ กลิ่นอุจจาระนี้จะไม่มีวันลืม


เดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ และแล้วก็มาถึงยอดกิ่วลม

อากาศหนาววมากก ลมแรงสุดขั้ว สมกับชื่อกิ่วลมจริงๆ

นั่งรอทนหนาว ทนลม จนแสงของวันใหม่ได้เริ่มขึ้น




หมอกด้านล่างค่อยๆก่อตัวขึ้น กลายเป็นทะเลหมอก




พระอาทิตย์ค่อยๆพ้นขอบฟ้ามาแล้วว แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ

ลมพัดมาที่นี่เสียวหลังวาบๆ




หันไปด้านหลังก็พบกับยอด 3 ยอด

โดยยอดดอยหลวงเชียงดาวคือยอดขวาสุด

และเล็กๆด้านล่างนั่นคือลานกางเต้นท์




ด้านบนยอดกิ่วลม จะเป็นหิน เวลาเดินต้องค่อยๆเดิน ไม่งั้นลื่นล้มแน่นอน



ทุกคนแต่งกายกันจัดเต็มมากก เพราะอากาศด้านบนมันหนาวมากจริงๆ



ผมถ่ายรูปจนถึง 7 โมงครึ่ง ก็ค่อยๆเดินลงด้านล่าง กลับไปยังลานกางเต้นท์

ที่รีบลงไม่ใช่อะไร มันหนาวววว มือชา หน้าชา ไปหมดแล้ว




กลับมาถึงลานกางเต้นท์ ก็ทานข้าว เก็บของ เตรียมตัวเดินลงด้านล่าง

โดยผมนัดพี่ๆทั้ง 4 คน ไว้ตอน 9 โมงเช้า




เนื่องจากผมรู้สึกปวดท้องนิดๆ เลยบอกพี่ๆว่าจะเดินล่วงหน้าไปก่อน

ถ้าลงไปถึงปางวัวแล้วไม่เจอผม ก็ให้ไปเจอกันที่ที่ทำการด้านล่างเลย

หลังจากนั้นผมก็เดินลงเขาด้วยความเร็วสูง




แวะถ่ายรูปเล็กๆน้อยๆ

ผมเริ่มปวดขาตั้งแต่เมื่อวาน ยิ่งตอนขึ้นยอดเขาเมื่อวานตอนเย็น ปวดจนแทบเดินไม่ไหว

แต่ไม่ได้ปวดสองข้าง ดันปวดแค่ข้างซ้ายข้างเดียว

น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานเดินไปสะดุดหิน เพราะมัวแต่ก้มมองจอโทรศัพท์



ผมใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมงก็ลงมาถึง 3 แยก

เลยแวะพักประมาณ 5 นาที ก่อนจะเดินลงต่อ


ทางลงปางวัว ช่วง 1.5 กิโลเมตรแรกจาก 3 แยก ยังเป็นทางเดินง่ายๆ ลงเขาธรรมดา

แต่ช่วง 1.5 กิโลเมตรหลัง ก่อนถึงจุดสตาร์ท จะเป็นทางลงเขา ที่ค่อนข้างชัน

และดินยังเป็นดินชื้นๆ ทำให้ลื่น




ผมเดินพลาด จนรองเท้าหูหลุด !!

ใช่แล้ว หูรองเท้าแตะหลุด บ้าไปแล้วว แล้วชั้นจะทำยังไงง

ผมเลยถามลูกหาบที่เดินสวนกันว่าอีกไกลมั้ย เค้าบอกไม่ไกล

ก็เลยเดินเท้าเปล่าลงมา แล้วมือก็ถือรองเท้าแตะอีกข้างลงมาด้วย

นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินขึ้น ต่างมองด้วยความสงสัยปนตลก และตกใจ

ว่าไอ้นี่บ้าป่าววะ เดินเท้าเปล่าลงเขา 5555555


จริงๆมันสามารถยัดกลับลงรูได้ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์ช่วย

และขี้เกียจยัด เลยคิดว่าค่อยกลับลงไปยัดข้างล่างดีกว่า



จาก 3 แยก ใช้เวลาอีกประมาณเกือบๆชั่วโมง ก็ลงมาถึงจุดสตาร์ท

รวมระยะเวลาจากลานกางเต้นท์จนถึงจุดสตาร์ทที่ปางวัว ผมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

ตอนแรกก็ดีใจ ว่ารองเท้ากระต่ายดาว ราคา 35 บาท

จะสามารถใช้พิชิตดอยหลวงเชียงดาวได้

แต่ที่ไหนได้ ดันมาตกม้าตายตอนจบ เห้อออ



ลงถึงจุดสตาร์ทตอนประมาณ 11 โมงนิดๆ

คิดว่าพี่ๆเค้ากว่าจะลงมากันคงอีกนาน

ผมเลยโบกรถกระบะ เพื่อลงด้านล่างไปยังที่ทำการเขต


โบกคันแรก เค้าก็เรียกให้ขี้นรถเลย ใจดีมากกก

พี่เค้าขับซิ่งมาก เอียงซ้ายเอียงขวาตลอดเวลา ผมนี่แทบกลิ้ง




นั่งรถจนลงมาถึงปากทางเข้าที่ทำการเขต

ผมก็ค่อยๆเดินเท้าเปล่าเข้าไป



นั่งรอ ยืนรอ เดินรอ อาบน้ำรอ ยัดหูรองเท้ารอ เวลาผ่านไปจนถึงประมาณบ่าย 2 โมง

พวกพี่ๆทั้ง 4 คน ก็กลับลงมาถึงที่ทำการเขต ทำการจ่ายค่ารถ ค่าลูกหาบ


ค่ารถ ผมจะช่วยออกให้ แต่พี่เค้าบอกว่าไม่เป็นไร

ต้องขอบคุณพี่ๆทั้ง 4 ด้วยครับ ที่ให้ผมติดรถขึ้นไปยังเด่นหญ้าขัด

ก่อนจะแยกจากกัน เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย




สำหรับคนที่มาคนเดียวและอยากขึ้นดอยหลวงเชียงดาว

อันดับแรกให้โทรไปถามก่อน ว่าวันที่จะไปคนเต็มหรือยัง

ถ้ายัง แนะนำให้ไปนอนที่ทำการเขตก่อน หรือไปช่วงเช้าวันเดินขึ้นประมาณ 8 โมงเช้า

และหากรุ้ปอื่น ขอแชร์ค่ารถขึ้นไปด้วย

นอกจากจะได้ขึ้นดอย ยังได้เพื่อนใหม่ๆอีกด้วย


ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ สำหรับ 4 คน 2 วัน 1 คืน

ค่ารถขึ้นทางเด่นหญ้าขัด ลงปางวัว 1800 บาท

ค่าลูกหาบ 2 คน 2 วัน 500 x 2 x 2 = 2,000 บาท

ค่าธรรมเนียมคนละ 30 x 4 = 120 บาท

ค่าธรรมเนียมรถ 30 บาท

รวม 3,950 บาท ตกคนละประมาณ 987 บาท

(ไม่รวมค่าอาหาร + ค่าเดินทางมาที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า)


ดอยหลวงเชียงดาว ถามว่าเดินยากมั้ย

ผมบอกเลยว่าไม่ยาก แค่เดินไกลนิด และเหนื่อยหน่อย

ยิ่งถ้าไม่ได้แบกของเอง นี่เดินสบายๆ

ขาขึ้นถ้าเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รีบ ก็ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง

ส่วนขาลง ก็อาจจะเร็วกว่าหน่อย ประมาณ 3-4 ชั่วโมง

ใครว่างๆ มีโอกาสลองไปเที่ยวดูนะครับ รับประกันว่าทุกคนจะต้องหลงรักภูเขาลูกนี้แน่นอน


ทริปนี้เป็นการเดินเขาที่ผมจะไม่มีวันลืม

ใส่รองเท้าแตะเดินขึ้นเขาทีไร เป็นอันต้องมีเรื่องให้เจ็บป่วยทุกที

คราวก่อนใส่รองเท้าแตะขึ้นภูสอยดาว ก็ไปเป็นไข้อยู่ด้านบน

คราวนี้ก็เดินสะดุดหิน จนทำให้ปวดขาไปหลายวัน

แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ครั้งหน้าจะได้ระมัดระวังมากกว่านี้


ขอจบรีวิวการเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวไว้เพียงเท่านี้นะครับ

พบกันใหม่รีวิวหน้า หรือใครอยากติดตามการเดินทาง


เข้าไปพูดคุย สอบถามได้นะครับ

https://www.facebook.com/hoyberryz

หรือ Instagram : hoyberry


ขอบคุณครับ


hoyberry

 วันพฤหัสที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.51 น.

ความคิดเห็น