หลังจากที่เราเดินทางด้วยการนั่งรถไฟไปหาดใหญ่ครั้งที่แล้ว เที่ยวหาดใหญ่กันแบบ one day trip เลยทีเดียว

แล้ววันลายังเหลือ เลยอยู่เที่ยวต่อจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน ด้วยการนั่งรถตู้มาที่ จ.ตรัง

แต่หากใครอยากนั่งรถไฟมา จ.ตรัง ก็กด 1690 สอบถามราคาได้ หรือเลือกเดินทางด้วยวิธีอื่น ก็ลองหาข้อมูลใน

อินเตอร์เน็ตเองอีกทีนะคะ เพราะครั้งนี้เรานั่งรถตู้จากหาดใหญ่มา จ.ตรัง แค่ 120 บาทเอง ราวๆ 2 ชม.

ก็ถึง

คิวรถ 2 แถว จากแถวตลาดกิมหยงหาดใหญ่ไปตลาดท่าเกษตร 10 บาท เพื่อขึ้นรถตู้ไป จ.ตรัง ที่นั่นนะคะ

หลับตลอดทาง แป๊บๆ ก็มาถึง จ.ตรังแล้ว แต่ที่พักยังไม่ได้หานี่สิ เลยนั่งพักที่สถานีขนส่งแล้วลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต เจอโฮสเทลน่ารักเพิ่งเปิดใหม่ A local Something Hostel แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ลองโทรจองที่พักอีกที่ไว้แล้ว ซึ่งเป็นแพลนของเราที่จะอยู่เที่ยวตรังต่ออีกวัน คือที่พักบนเกาะลิบง เสี่ยงมากอะ มาแบบไร้แพลน มาจองเอาดาบหน้าเองหมดเลย แต่ที่พักว่างหมดเลยนะ เนื่องจากมาวันธรรมดา และเป็นช่วงมรสุมของเกาะแล้ว แต่เอ๊ะ! มรสุมแล้วจะไปทะเลทำไม เดี๋ยวมาติดตามกันต่อค่ะ

ตอนนี้โฮสเทลจองได้แล้ว มีห้องว่าง เดี๋ยวไปดูที่พักกันค่ะ ความจริงที่นี่มีเพจของที่พักนะคะ เข้าไป A local Something Hostel ใน facebook ได้เลย แล้วสอบถามที่พักทาง inbox ได้ หรือจะโทรไปคุยก็ได้ วิธีเดินทางจากสถานีขนส่งตรังไปที่พักก็ตามนี้เลยค่ะ

ถ้าสัมภาระไม่เยอะ จากสถานีขนส่ง จ.ตรัง นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาก็ได้ค่ะ 50 บาท รถตุ๊กๆ อาจจะประมาณ 60 บาท หรือมากกว่านั้น ก็นั่งสบายๆ แต่เรามันสายแว้น ซ้อนพี่วินมา ถามที่พักได้เลยว่าถ้านั่งวินมาให้มาลงตรงไหน พี่วินก็คุยเก่ง ชวนเม้าท์ตลอดเวลา และวนหาที่พัก แป๊บเดียวก็เจอ แต่ถ้าเดินมาจากสถานีรถไฟ

เดินได้อยู่นะ อยู่ไม่ไกลสถานีรถไฟด้วย

ไอ้เราก็นั่งวินมาแบบหัวฟูเลย เจอที่พักหวานๆ ดั่งห้องนอนเจ้าหญิงเข้าไปก็เขินนิดหน่อย ปกตินอนแต่โฮสเทลสีดาร์กๆ คุมโทนสบายๆ นี่มาซะหวานเลย ทุกอย่างจะดูซอฟต์ลงเมื่อเป็นพาสเทลจริงๆ ที่พักน่ารักมาก แกร๊ๆๆๆๆๆๆ เก็บความกรี๊ดไว้ในใจ ถ่ายรูปไม่หยุด


แถมช่วงที่มายังมีส่วนลดด้วย เราเลือกห้องนอนรวมหญิง ค่าห้องจากราคา 490 บาท ลดให้ 10% เหลือ 440 บาท บวก ค่าประกันกุญแจห้อง 100 บาท ก็จ่ายไปก่อน 540 บาท ไม่มีอาหารเช้า แต่กาแฟ โอวัลติน ขนมปัง หน้าเคาท์เตอร์กินฟรีนะคะ

เราพักอยู่ชั้น 4 สงสัยยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะได้ข่าวว่าเพิ่งเปิดใหม่ได้ 5 เดือน (ตอนที่ไปตอนกลางเดือน พฤษภาคม 2560 นะคะ) ในห้องมี 8 เตียง เราก็คิดว่าจะมีรูมเมท แต่ทั้งคืนสรุปเราเหมาห้องคนเดียวเลยจ้า ส่วนตัวมาก แอร์หนาวมาก ห้องพักและห้องน้ำสะอาดมากด้วย อยากนอนกลิ้งนานๆ

ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น ไม่เคยเจอพายุแบบค่อยๆ ลอยมาแล้วเห็นชัดขนาดนี้ แล้วมาโครมเลยฝน อยู่บนท่าเรือแล้วฝนซัดมา ทั้งเปียกทั้งหนาว เหนื่อยหรือลำบากเหรอ ไม่นะ เรามองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลย คืออะไรที่มันเป็นอุปสรรคหรือเราไม่เคยเจอเราก็ได้เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ จากการเดินทางในแต่ละครั้งของเรานี่แหละ


เข้าที่พักก็เก็บกระเป๋าพักผ่อน แล้วออกมาเดินเล่นรอบๆ เมืองถ่ายรูปตึกสีลูกกวาดใน จ.ตรัง ตรังนี่ก็ไม่แพ้หาดใหญ่เลยนะ ตึกสีลูกกวาดและตึกเก่าเต็มไปหมดเลย ชอบมาก


เราเดินเที่ยวแบบไม่ค่อยหาร้านที่เป็นจุดเช็กอิน ที่ต้องมาเท่าไหร่ เดินไปเจอร้านตรงไหนก็แวะตรงนั้น เก็บของแล้วเดินมาสำรวจสถานีรถไฟตรังก่อนเลย เพราะรอบนี้ยังไม่มีโอกาสได้มานั่ง เลยถ่ายรูปและสำรวจบริเวณรอบๆ สถานีรถไฟไปก่อน

เจอพี่สามขา หมาเซเลบแห่งสถานีรถไฟ จ.ตรัง


ใกล้ๆ สถานีรถไฟมีร้านโกปี๊ ร้านกาแฟสไตล์วินเทจ ที่ส่วนใหญ่มีแต่อาม่า อาอึ้มนั่งคุยกัน รวมถึงวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวบ้างประปราย ราคาไม่แพง กาแฟแก้วละ 40-50 บาท

ก็สั่งทั้งข้าวผัดปู ,ปูจ๊อ ,กาแฟ รวมๆ อาหารและเครื่องดื่มก็ 120 บาท อ่อ...ตอนแรกสั่งสุกี้น้ำ รอนานมาก สรุปไม่มี เลยต้องเปลี่ยนเมนูเป็นข้าวผัดปูแทน

อากาศช่วงกลางวันค่อนข้างร้อน เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็เหนื่อยแวะพักอีกแล้ว เดินหลงมาถึงย่านเมืองเก่า และแวะพัก ทับเที่ยงโอลด์ทาวน์



ร้านกาแฟเก๋ๆ ตอนแรกเหมือนเดินหลงมาอะ คือตอนแรกไม่รู้จริงๆ ว่าจะเป็นร้านกาแฟเลยนะ นึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือ gallery ลองเข้าไปใกล้ๆ ถึงเห็นว่าเป็นร้านกาแฟ

จะสั่งกาแฟก็ไม่รู้จะสั่งอะไรดี ดูเมนู เห็นชื่อกาแฟแต่แรก ชื่อแปลกดี แต่...เดี๋ยวนะ กาแฟแต่แรก อะไรอะ อ๋อ...สรุปก็กาแฟเย็นนั่นแหละ เป็นกาแฟเย็นใส่นมที่ขมมาก ขมมากกกกกกก งงว่าทำไมขมแบบนี้ แต่ก็กินเกือบหมด อิ่มขนมด้วย ขนมก็เน้นขนมไทยๆ ไม่แพงเลย ทั้งขนมกับกาแฟก็รวม 80 บาท

และของตกแต่งในร้านก็เป็นของวินเทจ ,งาน DIY , ขนมไทย , หนังสือเล่มเก่า ไม่มีแอร์นะคะ แต่ wifi แรงดี

เราเดินถ่ายรูปสำรวจร้านไปเรื่อยๆ ก็เจอห้องกระจกที่เก็บอุปกรณ์บางอย่างไว้ เลยถามเด็กที่ร้าน เขาบอกที่นี่เคยเป็นโรงกลึงเก่า แล้วเอามาทำร้านกาแฟ ข้างในก็เป็นอุปกรณ์โรงกลึง ไม่เปิดให้ดู เจ้าของหวงมาก และของก็ประเมินค่าไม่ได้ด้วย

เรานั่งอยู่จนมืดเลย มืดจนไฟดับไปรอบหนึ่งแล้วนั่งต่อ ฮ่าๆๆ ก็มืดจนไปไหนไม่ได้ แถมสังโอ้เอ๋วมากินด้วย กลิ่นน้ำผึ้งมะนาว อร่อยดี อร่อยเลย ทำไมเพิ่งมากินตอนจะกลับ กินได้หลายถ้วยเลยนะความจริง อร่อยดี ถ้วยละ 30 หรือ 35 นี่แหละ ไม่แน่ใจ

ไฟดับสักพักไฟติดก็เช็คบิลกลับ แต่ก็ยังไม่กลับจริงๆ หรอก

พอไฟทั้งเมืองติดแล้วก็ออกจากร้าน กำลังจะเดินไปที่พัก แล้วเหลือบมองไปทางสถานีรถไฟอีก มีตลาดนัดรถไฟจ้า เห็นว่ามีทุกศุกร์-อาทิตย์ โชคดีอีกแล้ว เจอตลาดนัดรถไฟที่ของกินเยอะและคึกคักมาก คึกคักตั้งแต่ได้ยินเพลงที่น้องๆ ใช้ในการแสดงนี่แหละ ดึงดูดเวอร์ เป็นเครื่องดนตรีของทางใต้ แต่ฟังรู้เลยนี่มันเพลงกุหลาบเวียงพิงค์นี่นา ผสมผสานเวอร์


ของกินเยอะและถูกมาก ละลานตาเต็มไปหมด เยอะมากจริงๆ เลือกไม่ถูกเลย คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

สัญลักษณ์ของตรังสินะ น้องพะยูน เสียดายไม่ได้ซื้อมา น่ารักอะ น่าร้ากกกกกก


ต่สิ่งที่ทำให้งงและอดขำไม่ได้เลยคือ เรื่องปกติของคนที่นี่ เรื่องปกติที่คิดว่า เราไม่เคยเห็นมาก่อนอะ โต๊ะ เก้าอี้ของร้านค้าตั้งอยู่กลางทางเดินเลย คือไม่ได้อยู่ริม แต่อยู่ตรงกลางแบบนี้เลย คนก็นั่งกินตรงนี้เลย อยากนั่งนะ แต่งง และเขินอยู่ เอาตรงนี้เลยเหรอ มาคนเดียวนะ ถ้าเราเป็นคนท้องถิ่นเราคงกล้านั่ง แต่นี่มาแบบงงๆ อยู่ อะไรอะ ตั้งตรงนี้เลยเหรอ งงไป ฮาไป มาคิดอีกที เออ ทำไมวันนั้นไม่นั่งกันนะ เท่จะตาย ฮ่าๆๆ

เจอน้องหมาอีกแล้ว น้องหมานั่งเฝ้าร้านสเต็ก เราเลยตั้งชื่อว่าน้องสเต็ก ลุงแกบอกว่าตอนแรกก็โยนชิ้นที่เป็นเศษๆ ให้ แต่เดี๋ยวนี้พัฒนามานั่งรอชิ้นที่ดีๆ แล้ว งือ น้องน่ารัก น้องมากดดันคุณลุงให้โยนเนื้อให้

น้องแอบมองแรง ฮ่าๆๆ “มานุดอย่าถ่ายรูปเลา เลาเสียมาธิ เลากำลังจากิน”


ตัวอ้วนๆ แบบนี้ ถ้าจับอาบน้ำดีๆ นี่น่ารักเลยนะ

ร้านเริ่มเก็บประมาณสองทุ่มกว่าสามทุ่ม แล้วก็ได้เวลากลับ ซื้อยำผลไม้ไปกินที่โฮสเทลอีก

แต่พอมานั่งทานยำผลไม้ที่โฮสเทลปุ๊บ ก็นั่งทานข้างล่างหน้าเคาท์เตอร์นะ แล้วดันเห็นคนเข้า-ออกที่โฮสเ ทลเยอะจัง เหมือนจะเดินขึ้นบันไดไป และยังเป็นผู้ชายเยอะด้วย เลยถามน้องที่ดูแลก็บอกว่าข้างบนเป็นร้านนั่งดริ๊ง ถ้ายังไงขึ้นไปได้ นี่แบบตาลุกวาว แววตาแห่งความขี้เมา ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ แววตาของความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

ตอนแรกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำแล้วก็วาร์ปขึ้นมาบนดาดฟ้า แต่ไปๆ มาๆ เลยวาร์ปมาก่อน เฮ้ย! ดีอะ ดีมาก ลมบนดาดฟ้าก็เย็น เพลงก็ดี เป็นร้านนั่งเล็กๆ เห็นว่ามีแต่แขกประจำ ขาจรไม่ค่อยรู้ จะรู้ก็จากลูกค้าที่มาพักที่โฮสเทลแล้วบังเอิญรู้ว่ามีร้านนี้อยู่บนดาดฟ้านี่แหละ

วิวดี ลมตึง เพลงก็เพราะ โดนเด็กเชียร์ให้ลองเบียร์นอก กะจะมาเบียร์ไทย เอ้า! เล่นไปขวดละ 249 บาท มึนเลย เบียร์ไม่มึน แต่มึนเงิน กะประหยัดไม่มีของมึนเมาในทริปนี้แล้วนะ ฮ่าๆๆ หลวมตัวเลย แต่ก็อร่อยดี กับแกล้มฟรีนิดหน่อย

ปกติไปเที่ยวคนเดียวเราไม่ค่อยออกกลางคืนหรือนั่งร้านแบบนี้นะ เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง แต่นี่ร้านอยู่ในที่พัก คือค่อนข้างดีและปลอดภัย และก็เซฟตัวเองด้วยว่าของที่สั่งมา ดื่มไม่เยอะ และไม่เมาแน่นอน ควบคุมสติตัวเองให้พาร่างลงไปนอนบนเตียงในห้องได้ แบบนี้ก็โอเคนะ มานั่งได้ ไม่อันตรายมาก เจ้าของก็รู้ว่าเราพักที่นี่ เมามากก็หิ้วเราลงไปที่ห้องด้วยแล้วกัน เอ้า! แบบนี้ก็ได้เหรอ ฮ่าๆๆ

ขวดกระจึ๋งนึงไม่สะทกสะท้านเลย แอบแพงไง เลยขวดเดียวแล้วกลับห้อง แต่ก็แอบนั่งนานจนร้านปิดถึงกลับห้องนะ เพลงเพราะแล้วลมก็เย็นดีด้วย ไม่ต้องกลัวกลับดึกเพราะห้องเราอยู่ข้างล่าง แล้วก็ลืมคิดด้วยว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า มัวแต่นอนดึกอีกแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาเก็บของ เตรียมตัวข้ามเกาะกันค่ะ

เมื่อเช็กเอ้าท์ออกจากที่พักแล้ว ก็เดินไปเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์แถวสถานีรถไฟ (เพราะมองดูแล้วแถวหน้าที่พักไม่มี เดินไปเรื่อยๆ ไม่ไกลมาก ไปดูแถวสถานีรถไฟ มีให้เลือกหลายคันกว่านะ) ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างจากสถานีรถไฟตรัง ไป สถานีขนส่งตรังก็ 50 บาทเหมือนเดิม ไปถึงก็ซื้อตั๋วรถตู้ไปหาดยาว 50 บาท

รอคนแล้วไม่มีคนมาเลย เราเลยขึ้นรถมาคนเดียว คิดว่าจะรับคนระหว่างทางอีก ก็ไม่มี สรุปเหมารถมาคนเดียวเลยจ้า แต่ค่ารถตู้ไม่ได้คิดเพิ่มนะ 50 บาทเท่านั้น

ตอนแรกคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเขาก็บอก มีรถตู้วนมารับแถวตลาดกลาง (คาดว่าเป็นตลาดสดแถวในเมือง) เอ้า! สรุปนั่งวินมาขนส่ง แล้วรถตู้ขนส่งวนกลับมาที่เดิม ที่ที่เราออกมาน่ะเหรอ เซ็งเลย แต่ไม่เป็นไร เอาชัวร์กว่า ไปขึ้นที่ท่ารถกลัวคนเต็ม แต่รอบนี้ดันไม่มีคนเลย ท่าทางจะเที่ยวช่วงมรสุมนี่แหละดี คนน้อยดี

คนน้อยเพราะเป็นช่วงมรสุมไง มรสุมแล้วใครเขาจะมาทะเลกัน แต่เราดันมา ระยะทางจากขนส่งไปท่าเรือก็ไกลเอาเรื่องนะ นั่งรถเป็นชั่วโมงเลยกว่าจะถึง ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางมากนัก


และแล้วก็มาถึง ท่าเรือบริเวณหาดยาว ที่เรากำลังจะข้ามไปเกาะลิบง ค่าเรือ 40 บาท ต่อคน แต่ต้องรอให้ครบ 12 คนก่อน แต่ถ้าอยากไปเร็วกว่านี้ ก็เหมาไปเลยในราคาจ่าย 12 คน เป็น 480 บาท เราก็รอชาวบ้านก่อน และด้วยลักษณะดิน ฟ้า อากาศ เริ่มไม่เป็นใจละ ท้องฟ้ามาครึ้มๆ ละ

มาแล้ว ฝนมาแล้วจ้า ไม่ได้มาแค่ฝนปรอยๆ แต่มาเป็นพายุเลย มืดครึ้มมาเลย ใจหนึ่งก็ร้อนรนเมื่อไหร่จะได้ข้ามไปเกาะ คนที่โฮมสเตย์เขาก็โทรเช็กเรา เราบอกต้องรอพายุก่อน รอไปรอมา 2 ชม.เลย กว่าฝนจะหยุดแล้วข้ามไปได้ มีทั้งชาวบ้านและชาวต่างชาติที่ติดอยู่บนฝั่งกับเรา

ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น ไม่เคยเจอพายุแบบค่อยๆ ลอยมาแล้วเห็นชัดขนาดนี้ แล้วมาโครมเลยฝน อยู่บนท่าเรือแล้วฝนซัดมา ทั้งเปียกทั้งหนาว เหนื่อยหรือลำบากเหรอ ไม่นะ เรามองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลย คืออะไรที่มันเป็นอุปสรรคหรือเราไม่เคยเจอเราก็ได้เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ จากการเดินทางในแต่ละครั้งของเรานี่แหละ

หลังจากฝนหยุดปุ๊บ เฮ้ย! ทำไมสวย มีหมอกด้วย บรรยากาศคนละเรื่องเลย และแล้วก็ได้เวลาลงเรือเพื่อข้ามฝั่งไปเกาะลิบงแล้ว


ถึงท่าเรือเกาะลิบงแล้ว โทรบอกเจ้าของโฮมสเตย์ เขาว่างเลยมารับถึงที่เลย ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไป ความจริงถ้าไม่มีใครมารับก็จะมีมอเตอร์ไซค์มาถามหลายคน ว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ส่วนใหญ่คนท้องที่จะรู้จักกันหมด อย่างของเราพักที่ “จะไหนโฮมสเตย์” ค่ามอเตอร์ไซค์ก็จะ 30 บาท


คนนี้แหละที่มารับเรา เรียกจะไหน เหมือนจะเป็นภาษาทางอิสลามเขาเรียกอะนะ จะไหนแปลว่าพี่ อะไรทำนองนี้ไหม เราก็ไม่แน่ใจ

เดินทางเข้าที่พักเก็บของกันค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงมรสุม แต่ถ้าหนักจริงๆ จนข้ามมาเกาะลิบงไม่ได้ เขาก็ไม่ได้แนะนำให้ลูกค้ามานะคะ แต่ตอนที่เรามาไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ยังพอมีแดด ท้องฟ้าโปร่งอยู่บ้าง ที่พักเราเป็นบ้านมีหลายห้อง แต่วันที่มา มีเราเป็นแขกคนเดียวเลย ฮ่าๆๆ เขาก็เลยดูแลเป็นพิเศษ

หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย ทั้งวัน ถึงลิบงก็ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว พอออกมาจากห้องจะไหนก็มาเสนอโปรแกรมทัวร์อีก ให้ออกไปหาปลา ลากอวน เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่สนใจทำกัน แต่บางคนก็มักจะข้ามมาทานอาหารทะเลที่โฮมสเตย์แล้วก็กลับฝั่ง แต่อันนี้สำหรับคนที่มาพัก ก็จะมีกิจกรรมแนะนำให้ หลักๆ คือการดูพะยูน แต่ฤดูกาลดูพะยูนต้องดูตอนน้ำใสๆ เลย ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พอช่วงเมษายน น้ำก็ไม่ใสแล้ว มองไม่ค่อยเห็นพะยูน แต่กิจกรรมอย่างอื่นก็ทำได้ เช่น การลากอวนหรือดูนกนี่แหละ โอเคค่ะ ตกลง เราจะไปลากอวนที่สันหลังมังกรของเกาะลิบงกัน ผู้นำทางของเราครั้งนี้คือบังหยัด และเด็กน้อยอีก 2 คน

บังหยัด - เสื้อเขียว

อานิก - เสื้อเหลือง (ที่เรือเขียนชื่ออานิกด้วยนะ นี่ลูกเจ้าของเรือเลยใช่ป้ะ? ไฮโซ ฮ่าๆๆ )

โอ๊ค - เสื้อน้ำเงิน ยืนอยู่บนเรือ

พาไปดูกระชังกุ้งก่อนเลย และให้อาหารกุ้งมังกร ให้ลองจับด้วย จับเฉยๆ แต่ไม่ได้กิน ฮ่าๆๆ

นี่ก็ครั้งแรก ไม่เคยจับกุ้งมังกรเป็นๆ หรอก บังให้อาหารไปก็บ่นไป กุ้งมังกรเลี้ยงยาก เรื่องมากเรื่องการกิน ต้องกินอาหารที่สดๆ ปลาไม่ดี มีกลิ่นก็ไม่กิน มิน่าล่ะ กุ้งมังกรถึงแพ๊งแพง น้ำหนักไม่ได้ก็ยังไม่ขาย

อันนี้ปลาดุกทะเล บังหยัดบอก เด็กๆ จะกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะคิดว่าคือฉลาม เออ ก็แอบเหมือนฉลามเด็กเหมือนกันนะ แต่ไม่ใช่ อันนี้ปลาดุกทะเล สังเกตจะมีเส้นขอบขาวๆ ข้างๆ ตัวปลา

แล้วก็ออกเรือกันต่อ แอบตื่นเต้น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะให้เราทำอะไรบ้าง ไม่เคยออกเรือไปลากอวน หาปลาเลยอะ

มีคนถามว่า ตรังมันทะเลอันดามันเลยนะ ทำไมไปที่นี่ ไม่เห็นมีอะไร ใครบอกไม่มีอะไร มีชาวบ้านนี่แหละ เขาคือพลังงานบวกสำหรับเราเวลาเราไปเที่ยว

เมื่อเราโตขึ้นสไตล์การท่องเที่ยวของเราก็จะเปลี่ยนไป เราชอบเที่ยวแบบนี้ ถ้าคนอื่นไม่ชอบเราก็ต้องมาคนเดียว บังถามว่า ทำไมมาคนเดียว ไม่พามาหลายๆ คน จะได้สนุก บอกบังว่า จะเที่ยวคนเดียว เอ๊ย! เผลอโปรโมทเพจ 5555 บอกแค่ว่าหนูนั่งรถไฟเที่ยว เพื่อนไม่อึดพอ หนูพามาด้วยไม่ได้ ขี้เกียจฟังเพื่อนบ่น ฮ่าๆๆ พูดแค่นี้บังก็เข้าใจเลย

การมาครั้งนี้เหมือนมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอะ เป็นคนเหนือที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ลงใต้มาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะที่มีพี่น้องมุสลิมทั้งเกาะ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เราว่าเราอยู่ได้ แต่อาจจะไม่มีหมูให้กินแค่นั้นเอง ก็กินอาหารทะเลไง

มาถึงเกาะแบบหิวโหยไม่ได้กินข้าวทั้งวันก็ตัดสินใจมาหาปลากับเขาซะละ กลัวจะหน้ามืดหัวทิ่มลงทะเลจะแย่ เป็นชาวประมงนี่มันไม่ได้ง่ายเลย


การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่งเริ่มต้น ชีวิตรู้จักแค่ปลาดุกปลานิล กินแค่นี้ ทางเหนือก็เลี้ยงแค่นี้ แต่เอาตัวมาแช่ทะเล จับปลาตัวไหนได้ก็ไปถามบังเหมือนเด็กเลย "บังๆ นี่ปลาอะไร" ไม่ต้องกูเกิ้ลเลย ถามตรงนี้แหละ คุยแลกเปลี่ยนกัน ที่บ้านหนูจับปลาใช้เบ็ด ไซ ยอ แห แค่นี้ บังก็ยุลากเลยลากอวนเลย ฮ่าๆๆ บอกพ่อลากอวนนะ โหย บ่อปลาที่บ้านไม่ได้กว้างเหมือนทะเลเลยค่ะบังหยัด

"ปลากระบอก" แต่ถ้าไม่ใช่ปลาก๊ะบอกเราได้น้าาาาาาาา ฮ่าๆๆ ปลากระบอกนี่อร่อยเลย อร่อยเลยแหละ เพิ่งเคยรู้จักและเพิ่งเคยจับเป็นๆ ที่เด็ดมาจากอวนแบบนี้ ตื่นเต้นเวอร์


หลังจากน้ำลด ก็ย้ายอวนมากลางทะเลมากขึ้น อยู่ดีๆ ปลากระบอกซึ่งขายได้ราคาดี มาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด

บังหยัด : แปลกเนาะ ปกติมากับนักท่องเที่ยวคนอื่นเขามาเป็นกลุ่มไม่เห็นได้ปลาเยอะเหมือนเธอมาคนเดียวเลย สงสัยคนอื่นมัวแต่กรี๊ด เห็นอะไรก็กรี๊ด ปลาตกใจเลยหนีหมด

เรา : หนูคงอยู่กับทุ่งนา บ่อปลามาตั้งแต่เด็ก คงชินกับอะไรแบบนี้แล้ว แต่ถ้าเจอพะยูนหนูกรี๊ดจริงๆ นะ อีกอย่างหนูมากับพายุ คลื่นเลยซัดปลามาติดอวนหมดเลย ฮ่าๆๆ

ในความโชคร้ายที่มาคนเดียวแต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่นะ


หนีบลูกมาด้วย เห็นไหม รักลูกยิ่งชีวิต บังก็กำลังแงะออกมาจากอวนอยู่ ถ้ามีสัตว์ที่เราไม่ต้องการ มาติดอวน เราก็ปล่อยเขาไป โดยเฉพาะพะยูนเด็ก บังบอกเคยเห็นร้องไห้ขอชีวิตเหมือนเด็กเลย

หน้าตาของหญ้าทะเลที่พะยูนต้องกินวันละ 40 กิโลกรม ต่อ 1 ตัว หญ้าเล็กนิดเดียว กว่าจะกินอิ่มต้องใช้จำนวนเยอะเหมือนกันนะ แต่ที่นี่มีหญ้าทะเลเยอะมาก มีพอให้พะยูนได้กินเป็นพันๆ ตัวเลยนะ

"แมงกะพรุนตัวน้อย" ถ้าตัวไหนลอยติดอวนมาก็จะถามก่อนอันนี้จับได้ไหม มีพิษไหม อย่างตัวนี้ไม่มีพิษ ก็ดึงมาจากอวนแล้วปล่อยเขาลงทะเลไปซะ น้องยังเด็ก

ส่วนตัวนี้มีพิษ ส่วนที่สีชมพูสวยๆ นี่แหละ ตัวพิษเลย (ความจริงมีชื่อเรียกแมงกระพรุนชนิดนี้นะ บังบอกแล้วเราลืมไปแล้ว) โดนพิษก็ไม่ค่อยเป็นอะไรมาก บังบอกว่าก็อาจจะแดงๆ คันๆ เหมือนแพ้อะไรสักอย่างนั่นแหละ


แป๊บๆ น้ำก็จะแห้ง น้ำแห้งเร็วมาก แต่แมงกะพรุนก็ไม่ยอมขยับตัว เลยมาแห้งติดโคลนทะเลแบบนี้

บังเลยต้องพากลับทะเลใหม่ ปล่อยให้ลอยไปเลย เราถามบังนะว่าที่นี่เขาไม่จับแมงกะพรุนขายกันเหรอ เอาไปใส่เย็นตาโฟร์ได้ไหม ไม่แน่ใจ บังบอกว่าก็พอมีอยู่ แต่มันหนัก กิโลละไม่กี่บาทเอง ไม่กี่บาทนี่คือถูกมากนะ 4-5 บาท หรืออาจถูกกว่านั้นอะ หนักก็หนัก ราคาก็ถูก เดี๋ยวนี้คนที่นี่ก็ไม่นิยมจับไปขายกันแล้ว มันไม่คุ้ม เออ ฟังดูแล้วก็ไม่คุ้มจริงๆแหละ

ลงทะเลแบบนี้ใช่ว่าจะปลอดภัย ก็มีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ที่เป็นพิษกับเรา เช่น ปูไม้ขีดไฟตัวนี้ หนีบแล้วเจ็บมากกว่าโดนปูทั่วไปหนีบ ถามว่าเคยโดนหนีบเหรอ ก็ไม่ เรื่องนี้บังก็เล่าให้ฟังอีกนั่นแหละ

ปูตัวเล็กตัวน้อยก็จับมาส่อง

นกพลัดถิ่นความจริงจะมีเยอะช่วงเดือนพฤศจิกายนนะ มาเป็นพันๆ ตัว มีนักวิจัยและนักส่องนกมาส่องเต็มเลย

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเกาะก็จะมาหาปลากินที่นี่ เรียกว่านางน่าจะพากันมาปาร์ตี้เม้าท์มอยตามประสานกมากกว่า จะเรียกว่าพลัดถิ่นก็ไม่เชิง เพราะเหมือนนัดกันมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีแล้วก็กลับ ถึงเวลาก็จะมี จนท.จากหน่วยงานต่างๆ มาดูแลและเฝ้ารอ แต่นี่ก็หลงฤดูมาเดือนนี้พอให้เราเห็นบ้าง นกมาหากินตามสันหลังมังกร น้ำเริ่มลดก็มาละ มากินปลา กินสัตว์น้อยๆ ในทะเล นกมาจากหลากหลายประเทศ ตามประสาชาวบ้านที่นี่บางคนก็มาดู บางตัวบินมาติดตรงนั้นตรงนี้ก็ช่วยออกมา บางตัวที่ข้อเท้ามีสลักชื่อประเทศไว้ด้วย แต่เป็นภาษาอังกฤษหมด ชาวบ้านก็อ่านไม่เข้าใจ มาเรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นกันอีก แต่เขาพอจะแกะได้เบื้องต้น เช่น ตัว J ก็ Japan อะไรทำนองนี้อะ

บัง : บังไม่รู้จักชื่อนกหรอก ก็เรียกนกอูดังหมด

เรา : ทำไมต้องอูดังอ่ะ

บัง : ก็ร้องเสียงอูอู ดังๆ ยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ

คุยกับอานิกและโอ๊คน้องจะไม่ค่อยคุยกับเราเท่าไหร่ เหมือนเขินๆ น้องก็สำเนียงใต้สุดพลัง เราก็ ห๊ะ? อะไรนะ? อยู่นั่นแหละ ฟังไม่ออก หรือคงเพราะน้องรำคาญเราวะ ฮ่าๆๆ น้องบอกมาล่องเรือทุกเย็นมากับบัง มากับนักท่องเที่ยว ขับเรือหางยาวเป็น ลากอวนเป็น จับปลาเป็น คือเป็นชาวประมงตั้งแต่ยังเด็ก

เรา : บังแล้วน้องไปเดินเก็บขยะแถวนั้นทำไม

บัง : ไปเก็บพวกกระป๋อง กะละมัง ขยะที่ไม่ใช้แล้วเอามาไว้วิดน้ำบนเรือน่ะ

เรา : แล้วขยะส่วนใหญ่ทำไมกองฝั่งนั้นหมดเลยอะ

บัง : ฝั่งนั้นเป็นรีสอร์ท ของทิ้งจะเยอะ เด็กๆ ชอบเก็บมาเล่น

เรา : แถวนั้นมีรีสอร์ทด้วยเหรอ

บัง : มี พวกนายทุน คนรวยมาเปิดน่ะ บางคนไม่อยากนอนโฮมสเตย์ ก็มานอนรีสอร์ท

เรา : อ่อ อืม (รู้เลยค่ะคุณกิตติคะว่าตอนนี้ในใจฉันคิดอะไรอยู่)

บัง : เด็กพวกนี้มาทุกวัน แต่ขี้เกียจ ช่วยแป๊บเดียวก็ไปเล่นละ ฮ่าๆๆ

ถึงวันนี้เข้าใจเพลงที่ร้องตั้งแต่เด็กๆ เลยว่า "ตาอินกับตานา หาปลาเอามากินกัน ได้ปลามาทุกวัน รักกันก็ปันกันไป"

ปลาที่เราช่วยกันหา คัดปลา แยกปลาแล้ว บังก็เก็บใส่ถุงให้ใหญ่เลย ถึงจะเหมาเรือมา ปลาส่วนหนึ่งแบ่งให้เราด้วย คือเป็นของเราหมดเลย เอาไปให้ที่โฮมสเตย์ทอดกินกันสดๆเลย ไม่คิดว่าจะต้องมาอยู่กลางทะเลหาปลาจนถึงกลางคืนมืดค่ำขนาดนี้ โคตรภูมิใจเลย ปลาที่ฉันจับเองกับมือ และกำลังจะเอาไปทำกับข้าว

เย็นนี้ หน้ามืดหลายรอบเนื่องจากทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร แทบจะกลืนปลาเป็นๆ

ตื่นเต้นมาก ไม่เคยลงทะเล แช่น้ำ หาปลาจนมืดค่ำขนาดนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งตื่นเต้น เจออะไรใหม่ๆ อยากรู้อยากเห็นเรื่องทะเลเต็มไปหมด

ระหว่างล่องเรือกลับก็จะมีแสงไฟจากคนที่เพิ่งลงทะเล ถามบังว่าเขามาทำไม บังบอกเขามาหาหอยชักตีน ได้ราคาดีเลยแหละ เสียดายที่เราไม่ได้เลย แต่ที่บ้านก็มีให้กินนะ

บังบอกมืดมากแล้ว เดี๋ยวจะพาไปดูหิ่งห้อยต่อ ตัดภาพไปที่หมดแรงแล้ว เรานั่งบนมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างกลับที่พัก เจอหิ่งห้อยข้างทางไม่เยอะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา บังบอกวันก่อนผุดมาเป็นพันๆ ตัวเลย เพราะฝนตก เราบอกแค่นี้ก็เห็นเยอะแล้ว เพราะไม่เห็นหิ่งห้อยมานานแล้วเหมือนกัน บวกกับเพลียมาทั้งวัน อยากกลับแล้ว

จะไหนรู้ว่าเราต้องหิวมากแน่ๆ เพราะมาถึงเก็บกระเป๋าแล้วลงเรือไปกับเขาเลย หลังจากยื่นปลาในถุงให้ไปทอด แล้วรอกิน เราก็ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ซักผ้าด้วย ฮ่าๆๆ เอาเป้ไปใบเล็กนะ แต่เอาผงซักฟอกไปซักผ้า ตาก ขี้เกียจหอบเสื้อไปเยอะ 5 วัน ใส่เสื้อผ้าวนเวอร์ จะไม่ซักก็ไม่ได้ เป็นคนเหงื่อเยอะสุดไรสุด ใช้ชีวิตแมนๆ กันไป ถึงที่พักก็ซักผ้าตาก เลยพกแต่ตัวบางๆ ไปจะได้แห้งเร็ว ยีนส์ไม่ชอบพก หนัก!

มื้อนี้ 150 บาท ชุดเล็ก ชุดใหญ่ก็ 250 บาทหรือมากกว่านั้น ปลื้มกับปลากระบอกที่อร่อยมาก หามาเอง หอยชักตีนหาไม่ได้ก็ยังมีตุนให้ หอยแครงใหญ่เกือบเท่าถ้วยน้ำจิ้ม ใบเหลียงผัดไข่อร่อยมาก แกะปูไม่เป็นจะไหนก็แกะให้ โดยรวมที่ชื่นชมอาหารคือหิว ขอข้าวสองจาน!!

เวลาไปนอนโฮมสเตย์ แล้วไปคนเดียว เจ้าบ้านเขาบอกกลัวเราเหงา จะมานั่งกินด้วย นี่คงเป็นสิ่งที่ชอบที่สุดเพราะถ้ามาสองคนขึ้นไปเขาคงปล่อยแขกเป็นการส่วนตัว แต่นี่กินไปคุยไป เรามักจะได้ความรู้ใหม่ๆ จากเจ้าบ้านเสมอ ยิ่งจะไหนอารมณ์ดีมาก คุยไปหัวเราะไป แถมถือศีลอดวันแรก ตอนเย็นก็กินข้าวกับเราอร่อยเลย .......ได้เวลา ยิงคำถามค่ะ

ช่วง "สนทนาชาวบ้านเจ็ด"

เรา : ทำไมต้องจะไหน

จะไหน : ความจริงชื่อไหน จะนำหน้าคือพี่สาวในภาษาอิสลามที่คนที่นี่เรียก

เรา: เอ้า! ที่กรุงเทพบางคน ในภาษาอิสลามเรียกพี่สาวว่านิ

จะไหน : ก็เหมือนกัน แต่ละท้องถิ่นเรียกไม่เหมือนกัน อย่าง 3 จังหวัดชายแดนใต้เรียกผู้ชายว่าแบ แทนบัง เขาก็เขินๆ กันนะ อยู่ดีๆ มาแบๆ

เรา: ทำไมต้องกันตัง

จะไหน :เพี้ยนมาจากตวง หรือที่บ้านเธอเรียกลิตรนั่นแหละ เป็นภาษามลายู

เรา: ตรังแปลว่า

จะไหน : ตรังก็ภาษามลายูเหมือนกัน แปลว่าแสงสว่าง

เรา : รู้สึกยังไงกับนักท่องเที่ยวที่มา

จะไหน : ก็มีหลากหลาย บางคนมากินข้าวแล้วกลับ ไม่ค้าง บางคนเลือกเยอะหน่อย โทรมาสั่งอาหาร ถามว่ามีนั่นนี่ไหม อยากกิน ฝรั่งมาก็ตัวโตมาก เดินทีบ้านไม้ของฉันกระเพื่อม ฮ่าๆๆ บางคนถามหาเหล้า หรือคาราโอเกะ บอกไม่มีก็งอน

เรา : เห็นเลี้ยงแมวทุกบ้าน มีหมาหลุดมาไหม

จะไหน : มี แต่ไม่ใช่ของที่นี่ ลูกค้าอุ้มมาจากฝั่งแล้วทิ้งไว้ แต่เราให้เข้าบ้านไม่ได้ ต้องปล่อยตามเวรตามกรรม อยู่ป่า อยู่ข้างนอก

เรา : ฮือ สงสารน้อง / อย่าเอาน้องมาเลยนะ

ความจริงคุยกันเยอะแยะกว่านี้ จำไม่ได้ละ ได้ความรู้ใหม่ๆ มากมายที่มาจากคนใต้จริงๆ อันไหนวิชาการหน่อยเราก็ดูเน็ตเทียบได้ แต่เราอยากฟังเขาก่อน อยากฟังเรื่องราวที่ออกมาจากความรู้สึกของเขาก่อน

ถ้าข้อมูลอันไหนผิด ใครทราบ แย้งได้ หรือนำมาแชร์กันได้

เหนื่อยมาก เพลียมาก กินข้าวเสร็จ สลบถึงเช้า กะจะตื่นเช้ามาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น กลับสายเฉยเลย แล้วกะว่าจะวิ่งมาดูน้ำจืดในทะเลด้วยก็วิ่งไม่ทัน น้ำขึ้นเร็วมาก

ที่พักมีอาหารเช้าให้ด้วย แต่เป็นอาหารที่ไม่ได้ทำเองนะ จะไหนไปหาซื้อแถวนี้ให้ กะจะตื่นเช้าไปหาดูตลาดซะหน่อย แต่ก็ตื่นไม่ทันอย่างที่บอก เหมือนบริเวณนี้จะไม่มีตลาดด้วย เป็นเหมือนร้านขายของเล็กๆ ตามหน้าบ้านของแต่ละคนบนเกาะมากกว่า อยู่แบบพอเพียง ใครทำอะไรได้ก็เอามาขาย หาอะไรได้ ก็เอามาขาย ประมาณนี้ มื้อเช้าของเรา 70 บาท เอาอะไรมาให้กินเยอะแยะเนี่ย


"น้ำจืดในทะเล"

กะจะตื่นเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่สลบเหมือด จากการไปเป็นชาวประมงมา เลยผิดแผน แดดส่องหน้าเป็นสัญญาวันใหม่ หลังจากกินอาหารเช้าที่จะไหนหิ้วมาให้จากตลาด อิ่มแล้วก็ชี้ให้ดู

จะไหน : เห็นไม้นั่นไหม นั่นน้ำจืดในทะเล เราทำสัญลักษณ์ไว้ มีปักอยู่เป็นจุดๆ

เรา : ทำไมรู้ว่าเป็นน้ำจืดล่ะคะ

จะไหน : ก็สังเกตว่าทำไมนกไปกินน้ำในทะเล พอไปดูใกล้ๆ เป็นบ่อน้ำจืด

เรา : กรี๊ดดดดดด อันซีนนนนนน แล้วทำไมน้ำทะเลไม่กลบเหรอคะ แล้วกลืนเป็นน้ำเค็ม เป็นน้ำเดียวกัน

จะไหน : ไม่ๆ ผุดขึ้นมาไม่มีวันหมด

กรี๊ดดดดดด วิ่งค่ะวิ่ง!!

ชะนีวิ่งไปวิ่งมา จะไปดู หลงทางลงจ้า ลงไปไม่ทัน น้ำทะเลมาเร็วมากขึ้นปื๊ดๆๆเลย รักษาชีวิตไว้ก่อน ถ่ายไกลๆ เห็นแค่นี้

ไม่ทันจริงๆ


ถ้าไม่ติดพายุและมีเวลามากขึ้น ก็อยากอยู่ต่อหลายๆ วัน สะพานที่ข้ามไปไม่ค่อยดีแล้ว กำลังจะซ่อม เรือที่เหมาความจริงเขามีกิจกรรมเยอะตั้งแต่เช้าจนค่ำ ทำเอาหมดแรง สลบจนไม่อยากทำอะไร ไม่อยากไปไหนต่อได้เลยนะ เพราะต้องออกแดดทั้งวัน ล่องเรือดูพะยูนบางทีน้องพะยูนขี้เล่นก็จะมาเล่นข้างๆ เรือเลย แต่ก็ใช่ว่าจะเจอทุกคน มาผิดฤดูไปหน่อย ไม่งั้นข้างล่างจะเป็นน้ำเขียวใสเห็นพะยูนชัดเลย ซ้ายมือจะเป็นหน้าผาให้นักท่องเที่ยวได้ท้าทายความสูงปีนดูพะยูนด้วย เพราะบริเวณนั้นหญ้าทะเลจะเยอะมากที่สุด

จะไหนเล่าว่าวันก่อนมีคนมาเกี่ยวพะยูนไป 2 ตัว เสียใจมากกับการลักลอบแบบนี้ ราคาสูงมาก เรียกว่าตัวหนึ่งอาจขายได้ถึง 1 ล้านบาท คนที่นี่รักพะยูนมาก เพราะเขาคือตัวบ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของเกาะเช่นกัน เรามีเจ้าหน้าที่ มีสายคอยสอดส่องดูแลพะยูน แต่บางครั้งก็ไม่ทันจริงๆ

และตอนเจอบังหยัด ยังเล่าด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมีความสุขว่า เคยลากอวนเจอลูกพะยูนติดอวนมา ตัวเท่าเด็กตัวเล็ก อุ้มมาก็เด็กแบเบาะดีๆ นี่เอง น่าสงสารมาก น้ำตาไหลเหมือนคนเลย ถ้าติดอวนมาก็ต้องรีบปล่อย

วิธีน่ารักๆ กับการจัดการพะยูนพลัดถิ่นของคนที่นี่คือ ที่พลัดถิ่นเพราะมัวแต่มากินหญ้าทะเลจนลืมกลับ เวลาน้ำขึ้นน้ำลงจะไม่ทราบเวลา ก็มาเกยตื้น คนที่นี่ต้องเฝ้า 2-3 วัน รอระดับน้ำขึ้น-ลง แล้วทั้งผลัก ทั้งสอนวิธีลงน้ำ จนกลายเป็นเรื่องน่ารักๆ ตลกๆ ของคนที่นี่ไปเลย เพราะพะยูนพลัดถิ่นจะดูงงๆ กับการหลงทางของนางนิดหน่อย


อากาศสายๆ จะแอบร้อนหน่อย แต่ลมตึง วิวดี เราชอบ

มองจากฝั่งหอคอย ก็จะเห็นบริเวณหน้าที่พักเรา จะไหนโฮมสเตย์

สะพานพังไปมากแล้ว กำลังจะรื้อและทำสะพาน ทางไปหอดูพะยูนใหม่ ในปี 2561 นี้แหละ สร้างเป็นปีเลย กว่าจะเสร็จ ขึ้นไปบนหอดูพะยูน ก็แอบเหนื่อยนิดหน่อย

และไปเจอเด็กน้อย แอบเก็บรูปมา เนี่ย ชอบถ่ายภาพอะไรแบบนี้ เห็นแล้วมันสดชื่นดี

ชอบเกาะลิบงตรงที่เป็นเกาะที่มีแต่มุสลิม และมุสลิมเขาไม่เลี้ยงหมา เลี้ยงแต่แมวหมดเลย ถามจะไหนว่ามีน้องหมาไหม เขาบอก มี แต่เป็นน้องหมาที่มากับลูกค้าแล้วเขาลืมทิ้งไว้บนเกาะ ก็ต้องปล่อยตามมีตามเกิด ให้ข้าวบ้าง แต่ไม่จับ ไม่ให้เข้าบ้าน บางทีก็หนีเข้าป่าไป สงสารน้องหมา อย่าเอามาเลย ที่นี่เขาไม่เลี้ยงหมากัน เลี้ยงแต่แมวอย่างที่เห็น เลี้ยงกันเกือบทุกบ้าน แล้วแมวเป็นสัตว์ที่ออกลูกหลายตัวเหมือนกันนะ มีแมวเหมียวเต็มไปหมด นี่แหละความชอบของเราอีกอย่างหนึ่ง ก็เราเป็นทาสแมว

ที่โฮมสเตย์ขายนะคะ ขายชิ้นละ 100 บาท อยากได้อยู่ แต่ขี้เกียจขนกลับ เพราะเดี๋ยวไปเที่ยวต่อ เป้เราไม่ใหญ่พอ อยากได้ แต่ไม่อยากเอาไป

เช็กเอ้าท์ออกแล้ว ที่นี่ไม่มีเอทีเอ็ม หากใครอยากจ่ายเงินก็โอนผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารได้นะ จะไหนเขามีแอป ทันสมัยไหมล่ะ สะดวกดีนะ เห็นว่าจะมีร้านค้าที่รับโอนเงิน ถอนเงินด้วย ผ่านแอปนี่แหละ เวลาใครจะถอนเงิน ก็ไปที่ร้านค้าที่รับ โอนผ่านแอปให้เขา แล้วเขาให้เป็นเงินสดมา เออ สะดวกดีอะ ถึงจะเป็นชาวบ้านบนเกาะ แต่ก็ทันสมัยด้วย รู้จักประยุกต์ใช้กับตัวเอง เพราะที่นี่ไม่มีเอทีเอ็ม

ได้เวลากลับ จะไหนก็ไปส่งที่ท่าเรือ พร้อมกับฝากฝังคนที่รู้จักกำลังจะขึ้นเรือพร้อมเรา ถามเขาว่าจะเข้าเมืองไหม เขาก็รับปากจะไปส่งให้

ลาก่อนนะคะลิบง คงคิดถึงมากๆ จะกลับมาอีกนะคะ กลับมาดูพะยูน ในฤดูพะยูน รอบนี้พลาดดูพะยูนไปเพราะมาผิดฤดู แต่ก็ได้อะไรกลับไปหลายอย่างเลย สนุกมาก

ตอนแรกขอนั่งหลังก็ได้ เกรงใจ แต่เขาให้นั่งข้างหน้าเลย ติดรถกระบะพี่เขาที่ท่าเรือหาดยาว มาลงที่สถานีรถไฟ เพราะเป็นทางผ่านเขา พี่เขาไม่ผ่านสถานีขนส่ง แต่มาถึงก็พักที่สถานีรถไฟก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวค่อยไปสถานีขนส่งต่อ เพื่อจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อในจังหวัดต่อไป

ค่าเสียหายในการมาตรังครั้งนี้ ถ้าตัดการซื้อขนม น้ำ ค่าใช้จ่ายยิบย่อยไปหลักๆ ก็มีดังนี้ค่ะ

ค่ารถตู้จากหาดใหญ่-ตรัง 120 บาท , ค่าวินมอเตอร์ไซค์มาโฮสเทล 50 บาท , ค่าห้องพัก 440 บาท (จ่าย 540 บาทไปก่อน ค่าประกันกุญแจ 100 บาท ได้คืนทีหลังนะคะ) , ค่ากาแฟและอาหารร้านโกปี๊ 120 บาท , ค่ากาแฟและขนมที่ทับเที่ยงโอลด์ทาวน์ 80 บาท , ,ค่าซื้อยำผลไม้ที่ตลสาดนัด50 บาท , ค่าเบียร์ที่โฮสเทล 249 บาท ,

ค่าวินมอเตอร์ไซค์ไปขนส่ง 50 บาท ,ค่ารถตู้ไปหาดยาว 50 บาท , ค่าเรือข้ามไปลิบง 40 บาท , ค่าทัวร์ออกเรือไปลากอวน ดูนก ให้อาหารกุ้ง ปลา 600 บาท , ค่าอาหารเย็น (อาหารทะเลสด) 150 บาท (ชุดเล็ก) , ค่าอาหารเช้า 70 บาท , ค่าที่พัก จะไหนโฮมสเตย์ คืนละ 300 บาท ,

ค่าเรือขากลับ 50 บาท (คนน้อยบวกเพิ่ม) , ติดรถกระคนบนเกาะ เข้ามาที่สถานีรถไฟ (ฟรี) รวมๆ แล้ว ก็ประมาณ 2,519 บาท ตัดไป 3,000 บาท ไปเลยแล้วกันเนาะ อันนี้เฉพาะเดินทาจากรถตู้ข้ามจังหวัดด้วยนะคะ หากใครตั้งใจเดินทางจากที่อื่นมาตรังโดยเฉพาะก็บวกค่าตั๋วที่เราจองไปเท่านั้นเองค่ะ เราเที่ยวแบบไม่เน้นกินมาก เน้นถ่ายรูปตลอด


หลังจากนั้นใครอยากจะเดินทางกลับด้วยรถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน ก็เลือกได้ตามสบายตามการวางแผนนะคะ แต่เรายังไม่หยุดแค่นี้ เพราะเรากำลังวางแผนไปเที่ยวจังหวัดต่อไป



การนอนโฮมสเตย์ คือต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคุณอย่าคาดหวังอะไรกับการเข้ามา ถ้าจะพูดถึง การนอนโฮมสเตย์ที่เข้าถึงชีวิตชาวบ้านเขาจริงๆ คือการทำเหมือนเขาทุกอย่างนั่นแหละ

ที่นอนไม่ได้จัดหรือซื้อให้ใหม่แบบที่คนเมืองชอบ

อาหารทานในสิ่งที่เขาทาน ไม่ได้แยกไว้เฉพาะที่คนเมืองกินได้ อาจจะไม่มีอาหารดีๆ มากมาย

ห้องน้ำใช้รวมกับเจ้าบ้าน

ทำกิจกรรมที่คนท้องถิ่นทำ

เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับจะไหนว่าโฮมสเตย์จริงๆ มันต้องแบบนี้แหละ แต่ที่นี่เข้าใจว่าเริ่มมีลูกค้าเข้าทุกวัน และลูกค้าอาจติดสบายบ้าง แต่ทุกอย่างก็เพื่อรายได้ส่วนหนึ่งของคนบนเกาะ

ไว้จะกลับมาอีกนะ

"ลิบง หลงจัง"

หากชอบการเดินทางและเรื่องเล่าของเรา ติดตามเราได้ที่เพจ “จะเที่ยวคนเดียว” นะคะ













Boe_Stories

 วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.30 น.

ความคิดเห็น