หนองคาย

จังหวัดหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ย้อนกลับไปได้ตั้งเเต่ครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่สาม ภูมิประเทศที่ติดกับลุ่มเเม่น้ำโขงสรรสร้างค์ความหลากหลายพื้นที่ได้อย่างลงตัว หนองคายเป็นเมืองเเห่งตำนานพญานาค เป็นดินเเดนที่พุทธศาสนารุ่งเรือง เเละเป็นที่บรรจบกันของวัฒนธรรมไทย ลาว เเละญวน คู่ควรเเก่การมาเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่ง

สำหรับทริปหนองคายไม่ง้อใครของเราครั้งนี้ จุดเริ่มต้นมาจากความอัดอั้นที่อดเที่ยวในเทศกาลปีใหม่ค่ะ 555 ประจวบกับความบังเอิญที่ไปพบโปรโมตงานเเข่งขันถ่ายภาพของทางจังหวัดในโซเชียล นี่ไง ได้ข้ออ้างไปขออนุญาตแม่พอดีเลย

การเดินทางไปหนองคายหลักๆ มีอยู่สามวิธีค่ะ วิธีเเรกคือเน้นรวดเร็ว เครื่องบินโลดค่ะ ไปลงสนามบินอุดรเเล้วก็มีรถโดยสารต่อมาที่หนองคายเลย วิธีที่สองคือรถไฟค่ะ เเนะนำว่าถ้าไม่ได้คุมงบมากจนเกินไปซื้อบริการตู้นอน เดินทางตอนกลางคืนไปเลยค่ะ ตื่นมาเราจะได้มีเเรงพร้อมเที่ยว ไม่งั้นไปสลบเหมือดในที่พักอีกครึ่งค่อนวัน เสียเวลาไปอีก

ส่วนวิธีที่สามที่เราเลือกใช้ในครั้งนี้คือรถบัสค่ะ สามารถจองผ่านเว็บไซต์ (เลือกที่นั่งได้) จากนั้นไปชำระเงินที่ 7 eleven เเล้วนำใบเสร็จไปออกเป็นตั๋วที่เคาน์เตอร์ที่หมอชิตได้เลยเด้อ (เราออกเดินทางจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 ค่ะ) เราเคยไปอยู่ 2 เจ้า แอร์อุดร กับนครชัยเเอร์ค่ะ (มีงบหน่อยก็เลือกอย่างหลัง นอนหลับสบายค่ะ 555)

ระหว่างรอรถที่ชานชาลา

สำหรับทริปนี้ เรา scope down ให้เหลือเเค่ภายในอำเภอเมืองเท่านั้นค่ะ เพราะข้อจำกัดสำคัญของเราคือเวลา ถ้าใครไม่มีปัญหาตรงนี้แนะนำว่าจะนั่งบัสไปลงอำเภอสังคม เเวะเที่ยวก่อนสักคืนก็ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ เพราะที่นี่เข้าขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ส่วนใครอยากสัมผัสกับตำนานพญานาค ก็เเนะนำให้แวะโพนพิสัยด้วยค่ะ

วาร์ปกลับมาที่ทางเราเลือกโดยสารรถบัสรอบ 22.30 น. เเล้วไปถึงสถานีขนส่งหนองคายตั้งเเต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกคนสามารถใช้บริการรถสกายเเล็ปไปส่งยังจุดหมายได้เลย เเต่สำหรับทางเรานั้น อยากเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ค่ะ

เดินออกมาจากขนส่งออกถนนใหญ่ ให้เน้นตรงไปค่ะ เพราะจุดมุ่งหมายเเรกของเราคือริมน้ำโขงนั่นเอง

ถึงเเล้ว พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น :D

เรือจากฝั่งสปป.ลาวเริ่มออกหาปลา

เย็นดี 555

จากที่เราเดินผ่านตามตรอกซอกซอยมาเเล้วเริ่มใจคอไม่ดีว่าอะไรมันจะเงียบกริบขนาดนี้ อย่าท้อค่ะ เดินต่อมาให้ถึงริมโขง ที่นี่เราจะได้เห็นคนท้องที่ออกมาทำกิจกรรมกันเเต่เช้าตรู่ ส่วนมากจะเป็นการกายบริหาร หรือปั่นจักรยาน มีพระสงฆ์ออกบิณฑบาตร ชาวประมงเริ่มออกหาปลา ภาพกิจวัตรง่ายๆ เเต่รู้สึกเพลิดเพลินยามสังเกต ที่สำคัญวิวดีมากก ตอนนี้ขอยกให้ริมโขงเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ พระอาทิตย์ขึ้น - ลงจับใจที่สุด

ข้อเเนะนำ : คนที่เที่ยวอำเภอเมือง เเนะนำหาที่พักใกล้ริมโขงค่ะ เพราะใกล้ร้านอาหารขึ้นชื่อ ใครชอบจิ้มจุ่มหมูกระทะ บอกเลยมีเรียงรายเป็นเเถบตามลำน้ำนี่แหละ 555 ถ้าเดินต่อมาทางด้านขวาตอนกลางคืนก็จะมีร้านอาหารเปิดท้ายมากมายขายด้วยค่ะ เตรียมนอนพุงอืดกันยาวๆ ส่วนถนนคนเดิน / Night Market (ตลาดริมโขง) มีเฉพาะวันเสาร์ค่ะ

หลังจากที่อัปเปหิตัวเองไปถึงที่พัก (เราพักที่โรงแรมกลางเมืองแอทหนองคายค่ะ จองผ่าน Traveloka คืนละ 600 กว่าบาท) เเละอาบน้ำอาบท่าจนเรียบร้อย ปรากฏว่าหลับค่ะ 55 ตื่นมาอีกทีท้องก็ร้องหิวเเล้ว ดังนั้น จึงขอประเดิมมื้อใหญ่มื้อเเรกที่หนองคายด้วยร้าน "แดงแหนมเนือง" ร้านอาหารขึ้นชื่อที่ชาวหนองคายทุกคนต้องรู้จัก (เดินกลับมาที่ริมโขงอีกครั้งค่ะ) เมนูเเนะนำก็ต้องชุดแหนมเนือง เเหนมซี่โครงหมู เเล้วก็ปอเปี๊ยะค่า

หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยก็ได้เวลาสำรวจเมืองค่ะ เราเลือกที่จะเช่าจักรยาน (วันละ 50 บาท คืนก่อนห้าโมงเย็น) ขี่เลียบน้ำโขงไป โดยมีจุดหมายหลักเป็นสะพานมิตรภาพไทย - ลาวค่ะ ช่วงที่เราไปจะลำบากหน่อยที่ทางจักรยานริมโขงมันยังไม่เรียบร้อยดี มีก่อสร้างเป็นระยะๆ ทำให้ต้องออกมาขับตรงถนนถี่เหมือนกัน มีเลียบถนนใหญ่ด้วย กรุณาขับขี่อย่างไม่ประมาทนะคะ55

หว่างทางก็มีสถานที่ๆ น่าสนใจหลายที่ค่ะ เราเลือกที่จะเลี้ยวเข้าไปยังสวนสาธารณะหนองถิ่น เพราะคิดว่าร่มเงาของต้นไม้จะช่วยคลายร้อนได้บ้าง แต่สรุปว่าใครอยากมาพักผ่อน หรือทำกิจกรรมใดใดที่สวนสาธารณะมาตอนเช้ากับเย็นเถอะค่ะ สู้แดดไม่ไหว ขอหนีร้อนไปพึ่งเย็นที่วัดที่ผ่านโดยบังเอิญเเถวนั้นเเทน

วัดนี้ชื่อวัดมีชัยทุ่งค่ะ อยู่ภายในบริเวณสวนสาธารณะหนองถิ่นนั่นแหละ จุดเด่นนะคะ เข้าไปเเล้วเงียบ เงียบมากกกก เงียบสงบสุดๆ 555 สถาปัตยกรรมก็สวยงามใช้ได้เลยค่ะ ใครชอบถ่ายภาพลองมาเดินๆ ดูได้ น่าจะได้มุมสวยๆ เยอะกันอยู่

สามารถพบศิลปกรรมที่เป็นพญานาคได้ทั่วไปเลยค่ะ

เมื่อเขตวัดช่วยให้เราจิตใจสงบร่มเย็นขึ้นมาบ้างเเล้ว เราก็ไปต่อกันค่ะ คราวนี้ปั่นยาวๆ ไปจนถึงสะพานมิตรภาพเลย ใครอยากข้ามไปฝั่งลาว บริเวณทางขึ้นสะพานมีรถตู้บริการเพียบค่ะ เเต่สำหรับวันนี้เราขอสำรวจทัศนียภาพรอบๆ ก็พอ

อันที่จริงตามที่ดูรีวิวมา ก็คาดหวังจะเห็นเด็กน้อยกระโดดลงน้ำโขงอย่างสนุกสนาน เเต่ไปถึงช่วงนั้นดวงไม่ค่อยดีมีแต่ Site Construction 5555 เเต่ไม่เป็นไร เราเน้นชิล ขี่จักรบ้าง เดินทอดน่องบ้าง ไม่ต้องรีบค่ะ

บนสะพานสามารถเดินขึ้นไปได้นะคะ เเต่ไปได้เเค่ครึ่งทางก็ห้ามเข้าเเล้ว เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านเเล้วค่ะ (สังเกตได้จากธงชาติ)

เอ้อ มันมีทางลงไปเดินเลียบน้ำโขงได้เลยนะคะ คำเตือน กรุณาเเต่งกายทะมัดทะเเมง เพราะหวิดจะหน้าคว่ำหลายรอบเเล้วค่ะ 555

ขอเปิดวาร์ปมาตอนเย็นย่ำ เป็นช่วงเวลาที่ครึกครื้นที่สุดของชาวเมืองหนองคายค่ะ เรายังคงอยู่กันบริเวณริมน้ำโขง เเต่คราวนี้มาอยู่อีกปีกนึงเเทน สถานที่ชื่อลานวัฒนธรรมหน้าวัดลำดวนค่ะ เดิน/ ขี่จักรยานให้ผ่านแดงแหนมเนือง ผ่านตลาดท่าเสด็จเเล้วก็เลียบโขงมาเรื่อย เราก็จะได้ยินเสียงคึกคักมาเเต่ไกลเชียวค่ะ

ลานวัฒนธรรมลำดวนเป็นจุดรวมพลชาวเมืองหนองคายที่เเท้จริง กิจกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขี่จักรยาน เต้นแอโรบิกด้วยบาสโลบ (การเต้นรำหมู่ของชาวลาว) เเม้เเต่เต้น cover มีอยู่ที่นี่ 55 เด็กเล็กเด็กโตที่เลิกเรียนก็มาวิ่งเล่น หรือหาอะไรกินกันอย่างครึกครื้น ไม่เหงาเหมือนตอนกลางวันเเล้วล่ะ

ไฮไลท์สำคัญของลานวัฒนธรรมเเห่งนี้คือน้ำพุพญานาคยักษ์นี้เองค่ะ ถือเป็น Landmark ที่สำคัญของอำเภอเมืองหนองคายเลยทีเดียว อันที่จริงตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟเปิดน้ำพุอย่างอลังการงานสร้าง เเต่ทางเราได้รับการยืนยันจากพ่อค้าเเม่ขายในละเเวกนั้นเเล้วว่า ไฟเสียมาประมาณ 3 วันได้5555 อดเห็นเลย เเต่ไม่เป็นไร ไม่มี Effect ก็ยังสวย

สำหรับอาหารเย็น ก็จัดการเเถวนั้นเลยค่ะ Street Food มากมาย ราคาย่อมเยาพร้อมเสิร์ฟตลอดทั้งคืน :D

วันต่อมาขออนุญาตวาร์ปไปสปป.ลาวค่ะ ใครมีพาสปอร์ตอย่าลืมเอาติดตัวไปด้วยนะคะ เเต่ถ้าใครไม่มีก็สามารถทำบัตรผ่านเเดนชั่วคราวได้ค่ะ จุดขึ้นรถหลักๆ มีสองที่ค่ะ ที่เเรกคือบริเวณเชิงสะพานมิตรภาพที่ได้พูดถึงไปแล้ว อีกที่นึงก็ที่ขนส่ง (ที่เดียวกับที่ลงรถขามา) ค่ะ ค่ารถคนละ 55 บาทเท่านั้น รถมีเป็นรอบๆ นะคะ ไม่ได้ออกคลอดเวลา ฉะนั้นเช็ครอบไปกลับบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ดีๆ ก่อนเด้อ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราวาร์ปกลับมาที่หนองคายค่ะ 5555

วันที่สามเป็นวันที่เราจะกลับกันตอนค่ำ ฉะนั้นวันนี้เราต้องเที่ยวให้คุ้ม !

ใครรู้จักทะเลบัวเเดงบ้างคะ จะบอกว่าหนองคายก็มีทะเลบัวเเดงเหมือนกันนะเออ เเต่ตอนเราไปมันเบาบางไปมากเหมือนกัน เเต่ก็ยังสวยใช้ได้อยู่ วิธีการเดินทางนะคะ อย่าคิดว่าจะปั่นจักรยานค่ะ ไกลโข บางทีการรู้จักใช้เงินเเก้ปัญหาบ้างก็เป็นทางเลือกที่ดี สนับสนุนคนท้องถิ่นค่ะ 55555

สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของคุณลุงสกายแล็ปคนนึงที่จอดรถอยู่หน้าโรงแรมค่ะ ต่อรองราคากันเสร็จสรรพได้เหมาในราคา 400 บาททั้งไปและกลับ (อันนี้ไม่ทราบเรทราคาจริงๆ ค่ะ เเต่ดูจากระยะทางเเล้วก็ถือว่าไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่)

คุณลุงอัธยาศัยดีค่ะ เเล้วรู้อะไรไหมคะ คุณลุงไม่เคยไปทะเลบัวเเดง 55555555 ต้องถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดไม่นานของจังหวัดเลยทีเดียว ไม่เป็นไรค่ะเปิด GPS คลำทางกันไป เดี๋ยวก็เจอ

คำเตือน : หาที่ยึดเกาะให้มั่น ซิ่งได้ใจจริงๆ

พอมาถึงที่เราก็ทำการจ่ายค่าเรือนำชมคนละ 100 บาทค่ะ ประมาณเกือบชั่วโมงได้ เรือเป็นเรือพายนะคะ มีความเนิบๆ Slow life ดี เราชอบมากๆ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ได้ยินเเต่เสียงนก เสียงเเมลง เสียงฝีพายกระทบน้ำ เเละเสียงเม้าท์มอยของเรือเรา 5555 โชคดีมากที่เราได้เจอคุณลุงใจดีอีกเเล้ว บรรยากาศการนั่งเรือของเราจึงไม่เงียบเหงาเลยค่ะ

อย่าลืมใส่ชูชีพด้วยเด้อ

ด้วยความที่ทะเลบัวเเดงแห่งนี้ยังค่อนข้างใหม่ เราคิดว่ามันเลยเป็นกำไรของพวกเราในครั้งนี้ที่ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านจริงๆ ด้วย ธรรมชาติที่สวยงามไม่ได้สร้างเเค่เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวนะคะ เเต่มันยังหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวท้องถิ่นอีกด้วย

ดอกบัวสีสดมาก ถ้ามาช่วงเมษา เค้าว่าจะเป็นฤดูที่บัวเเดงขึ้นหนาเเน่นที่สุด

นักพายเรือมือวางอันดับหนึ่งของเราในครั้งนี้

หมายเหตุ : ใครที่ต้องการมาเที่ยวทะเลบัวเเดง ช่วงเวลาเช้าตรู่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ เนื่องจากดอกบัวจะบานเต็มที่ เเละมีนกออกมาหากินเยอะ ยังไงก็เเล้วเเต่อย่าเกิน 11.00 น. นะ :D

กลับมาจากทะเลบัวเเดง บวกกับหาข้าวกินก็บ่ายพอดีค่ะ เเต่เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกมาก ไป ไปเช่าจักรยาน !

ภาพจาก google map

Route จักรยานของวันนี้เราจะไปเริ่มต้นกันที่ "ตลาดท่าเสด็จ" ค่ะ ตลาดท่าเสด็จนี่ก็เป็นอีกจุดเช็คอินของบรรดานักท่องเที่ยวสายช็อป มีจำหน่ายเสื้อผ้า ของที่ระลึก เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว เเละอีกสารพัดหมวดหมู่ เดือนดูกันจนมึนเเน่นอน

ล็อคจักรยานก่อน

น้องตัวใหญ่มาก !

ขี่จักรยานเลยมาจากตลาดท่าเสด็จ เราก็จะพบกับ "พระธาตุหล้าหนอง" หรือพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคาย สันนิษฐานความสูงใหญ่ของพระธาตุได้สิบกว่าเมตร เชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุค่ะ

สามารถนั่งเรือไปใกล้ๆ องค์พระธาตุกลางน้ำได้นะคะ

พระธาตุรูปแบบจำลองที่สร้างขึ้นใหม่ริมตลิ่ง มีจัดงานบุญบั้งไฟทุกๆ เดือน 6

ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ ศาลาเเก้วกู่ หรือที่ชาวหนองคายเรียกว่า วัดเเขก ซึ่งเป็นอีกที่ๆ น่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นที่รวบรวมรูปปั้นคอนกรีตขนาดมหีมาเอาไว้ ให้บรรยากาศที่ขลังมากทีเดียว

ศาลาแก้วกู่เเห่งนี้สร้างจากแนวคิดของปู่เหลือ หรือคุณบุญเหลือ สุรีรัตน์ ที่ว่าทุกศาสนาสามารถผสมผสานเข้ากันได้

ปางนาคปรกขนาดยักษ์ที่ดูแปลกตา

ภายในศาลาแก้วกู่มีบ่อปลาขนาดใหญ่ด้วย สามารถเข้าไปพักผ่อน ให้อาหารปลาได้ตามอัธยาศัย

และเเล้วก็ได้เวลาวกกลับมาที่ริมโขงเช่นเดิม อย่าลืมมาให้ทันเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมันสวยมาก สวยจริงๆ ระหว่างที่รอจะสังเกตได้ว่าเริ่มมีบรรยากาศคึกคักของตลาดริมโขงรออยู่เเล้ว

ก่อนกลับ ขอลาไปด้วยฉากที่ประทับใจที่สุดของวัน พระอาทิตย์เเละลำน้ำโขงกำลังบอกลาเรา ; )

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับการเที่ยวหนองคายเเบบชิลๆ 55 บอกเลยว่าทั้งหมดนี่คือเเค่เศษเสี้ยวความประทับใจหนึ่งที่เรามีต่อที่นี่ ยังมีอีกหลายที่ๆ เรายังไม่มีโอกาสได้สัมผัส เเละเเน่นอนว่าทริปนี้เป็นเพียงเเค่การจุดประกายให้เราได้กลับมาที่นี่เเละได้ค้นหาอะไรอีกหลายอย่างในโอกาสต่อไป

ขอบคุณนะคะที่ตามมากันจนถึงตรงนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นหนึ่งหนทางที่ทำให้ทุกคนเก็บดินแดนเล็กๆ ลุ่มน้ำโขงเเห่งนี้ไว้เป็นช้อยส์ในใจได้นะคะ :D


Chitarra

 วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 23.23 น.

ความคิดเห็น