ฝากติดตามที่ Facebook.com/NotAloneDad ครับ

PAGE พาลูกเมียเที่ยว #Notalonedad



สวัสดีครับ วันนี้กลับมาต่อจากกระทู้แรกที่เขียนเล่าเรื่องคนเป็นพ่อพาลูกเมียเที่ยว และถ่ายรูปครอบครัวให้พร้อมหน้า แต่ก็ไปเน้นเรื่องการบ่นกับการซื้อของซะส่วนมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนส่งมาให้ดูว่ากระทู้ถูก “แฉ-ร์” บน facebook page ของ pantip.com แบบว่าเป็นปรากฏการณ์มากสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เขียนอะไรอย่างผม 555



หลังจากนั้น ก็เห็นมี msg inbox ใน pantip ก็กดเข้าไปดู OHO!!! มีส่งมาว่าได้ pantip pick (ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่ามีรางวัลแบบนี้อยู่ในโลก 555) พร้อมกับได้พวงกุญแจที่ระลึกมาไว้ในกำมือ ผมนี่ไฟลุกขึ้นมาทันที จากว่าตอนสองรอไปอีกเดือน กลายเป็นว่ามือนี่แทบจะถูกดึงไปติดกับคีย์บอร์ดขึ้นมาทันใด (ถ้าใส่ Facebook status ได้ก็จะใส่ประมาณว่า “Feeling ฮึกเหิม” 555) แต่ติดว่างานเยอะ สุดท้ายกระทู้สองนี้ก็เกินเดือนอยู่ดี



ซองจดหมายส่งมาถึงมือ จาก พันทิป

ตัวนี้ชื่ออะไรไม่รู้ แต่มีแถบ PantipPick คาด อกมา พร้อมหน้าตาแสนทะเล้น

ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ถึงจะงงๆ ว่าอะไรคือ pantip pick แต่เมื่อมีคนชอบที่เราเขียน ก็นะ ถือโอกาสทำเพจขึ้นมา จะได้ไว้แชร์วิธีพาลูกตัวเล็กเที่ยวไปด้วยเลยในทริปต่อไปๆ create page ขึ้นมาวันเดียว มีคนมาตาม เกือบครึ่งพัน ส่วนใหญ่ก็น่าจะเพื่อนๆ ผมนั่นล่ะ เพราะผมเอา post pantip ไป share ใน facebook แถม invite page ไปด้วย(แหม่ โปรโมตตัวเองสุดๆ)



เข้าเรื่องๆ ทริปที่สองมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ Switzerland เมืองแสนสวยในฝันของทุกๆ คน

ต้นเหตุของการไป Swiss รอบนี้ เพราะผมอยากจะไปร่วมงานสัมมนาที่ เมือง ซูริค แต่ตอนนั้นก็คิดแล้วคิดอีกว่าแพงแน่ๆ จะไปดีมั้ย แต่พอหาตั๋ว EasyJet Newcastle-Geneva ก็เจอราคาตั๋วต่อเที่ยวต่อคน ราคา 20 ปอนด์ ของลูกราคาเด็กราคาเดียว 22 ปอนด์ (ถึงขนาดว่าราคาของลูกแพงกว่าเราซะงั้น) ก็เลยจองแบบไม่ต้องคิดมาก พร้อมจ่ายค่ากระเป๋าโหลดอีก 1 ใบ… หาา !!! อะไรนะ สามคนกระเป๋า 1 ใบ.... ใช่ล่ะครับ 1 ใบ ไม่มีบวก ไม่มีลบ ผมกับแฟนเป็นคนง่ายๆ ส่วนใหญ่เน้นของลูกที่จำเป็นๆ ที่เหลือของเราสองพ่อแม่มีเบียดๆ เข้ากระเป๋านิดเดียวเอง



ตอนไปก็ประมาณเมษาปีที่แล้ว ตอนนั้นลูกก็ 10 เดือนละครับ ความน่ารักก็ยังคงพีคอยู่เช่นเดิม (หลงลูกเหมือนเดิมเช่นกัน) เขียนรอบนี้จะพยายามใส่สาระเพิ่มลงไปบ้าง อะไรบ้าง เดี๋ยวคนจะหาว่ามาเขียนเพ้อเจ้ออย่างเดียว (ก็ภรรเมียอีกนั่นล่ะที่ว่า 555) พอก่อนจะบิน แน่นอนว่าก็ต้องเตรียมจัดกระเป๋า และเรื่องที่สำคัญไม่เป็นสองรองใคร ก็คือการเตรียมของลูกนี่ละครับ เพราะของที่จะเอาขึ้นไปใช้บนเครื่อง รู้ๆ กันอยู่ว่าต้องตามกฎระเบียบของสายการบิน (หรือสนามบิน) ฉะนั้น เวลาผม (จริงๆ คือ เมีย) เตรียมของลูก 10 เดือน ก็ต้องจัดสรรให้ดีว่า อันไหนขึ้น อันไหนโหลดใต้เครื่อง สำหรับทริปนี้ บินแค่ 3 ชั่วโมง ก็ไม่มีอะไรมาก จะเน้นเตรียมแค่



1. อาหารสำเร็จของเด็กสักถุงสองถุง โดยของผมเลือก Ella’s Kitchen มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ซึ่งผมอยากจะบอกว่า อาหารซองสำเร็จของเมืองไทยหลายๆ ยี่ห้อ (อยากทราบหลังไมค์ได้ครับ) เนี่ย คุณภาพไม่ได้เท่าที่อังกฤษเลย ค่อนข้างเหลว เวลาเด็กกินนี่เหมือนไม่มีกากอาหาร (คหสต)



2. แล้วเวลาขึ้นเครื่องก็ต้องคำนึงถึงลูกด้วยว่าแกจะเบื่อ ก็จะต้องมีของเล่นเด็กสัก 1-2 ชิ้น เน้นชิ้นเล็กๆ ไม่ค่อยมีเสียงไว้ก่อน จะได้ไม่รบกวนคนรอบข้าง อย่างของผมก็เลือกของเล่นชิ้นเล็กๆ มีซ้อนด้านใน เวลาเขย่าๆ จะมีเสียงเล็กๆ

3. อีกอย่างที่ต้องมีไว้คือ จุกหลอก เพราะว่าเวลาจังหวะที่เครื่อง take off หรือ landing เด็กเล็กๆ แกคงไม่สามารถบอกเราได้เวลาแกหูอื้อ เราก็ต้องให้แกดูดจุกหลอก หรืออีกวิธี จะใช้ขวดน้ำ หรือขวดนมลูกก็ได้



4. ผ้าอ้อม กับ wipe เช็ดตูดเด็ก ก็เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลย อย่างการบินสั้นๆ เนี่ย ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เตรียมเผื่อๆ ได้ แต่ถ้าเป็นการบินข้ามทวีปเนี่ย ต้องเผื่อเหตุไม่คาดคิดไว้ซักนิดนึงนะครับ ผมจำได้ตอนบินจากอังกฤษ ไปไทยรอบนึง ลูกผมกำลังตัวยืด เลยอึเกือบสิบรอบ ผ้าอ้อมเนี่ยเกือบไม่พอเลยทีเดียว ตอนนั้นกังวลมาก แต่สุดท้าย ผืนสุดท้ายรอดมาจนถึงเมืองไทย 555



5. นม อันนี้นี่ขาดไม่ได้เลย ของผมนี่จะง่ายหน่อย เพราะว่าตอนลูกผมเกิด น้ำหนักแกต่ำกว่าเกณฑ์ คุณหมอก็เลยให้กินนมสำเร็จสลับไปกับนมแม่ เนื่องจากนมแม่ไม่มีวิตามิน เค หรือ บี อะไรสักอย่างเนี่ยละ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) ลูกผมก็เลยชินกับการกินทั้งนมแม่ หรือจะนมผงก็ได้ ดังนั้น ปกติ เวลาจะไปเที่ยว ผมก็จะเตรียมนมผงใส่ถุงซิปไว้สองชั้น กันเผื่อชั้นแรกแตกไว้ด้วย แล้วก็เตรียมน้ำไปปริมาณคร่าวๆ แต่อย่างตอนที่แกเด็กมากๆ เนี่ย ผมจะเตรียมนมสำเร็จ ยี่ห้อเดียวกับนมผงที่ลูกผมกินเลยไปด้วย



นมผง โหลดใส่กระเป๋าเดินทางไปเลยกระปุกนึง

นมขวดพร้อมดื่ม

เรื่องนมนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเด็กเล็กๆ ถ้าเราไปเปลี่ยนนมที่แกกิน แกอาจไม่คุ้นชิน และทำให้ท้องเสียได้ ทริปนั้นก็อาจจะหมดสนุกไปเลยนะครับ อย่างของผมก็จะมีนมผมเป็นกระปุกใส่กระเป๋าใบใหญ่โหลดใต้เครื่องไปอีกด้วย (มีโอกาสจะมารีวิวการจัดการะเป๋าและของที่ต้องเอาไปใช้เพิ่มให้อีกที)

แต่กรณีคุณแม่คนไหน ให้นมแม่อยู่ ก็เตรียมนมแม่ตามสมควรเลยครับ เพราะคงแนะนำไม่ได้เนื่องจากปริมาณน้ำนมแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน



6. เสื้อหนาวต้องมีเผื่อไว้ตลอด เพราะเวลาขึ้นเครื่อง อากาศบนเครื่องจะค่อนข้างเย็นกว่าปกติ เราต้องทำให้มั่นใจว่าแกอยู่สบาย หลับสบาย เวลาลงเครื่องจะได้พร้อมเที่ยวทันที แต่อย่าหน้าเกินไปจนลูกขยับตัวไม่สะดวกนะครับ เดี๋ยวอารมณ์ไม่ดี



สาระนิดๆ ก็จบไปแล้ว ก็ต่อด้วยภาพครอบครัวเหมือนเดิมครับ ทริปนี้มีความต่างอย่างหนึ่ง คือ ผมเริ่มคุ้นชินกับการใช้กล้องมากขึ้น ก็เลยได้ถ่ายรูปเป็นระยะๆ ตลอดการเดินทาง ตอนแรกไปสนามบินก็ไปรอเตรียมขึ้นเครื่อง ซึ่งไฟลท์นี้ถือว่าสบายมาก เพราะคนโล่งเลย จะนั่งตรงไหนก็นั่งได้ ผมเลยได้ถ่ายรูปเล่นบนเครื่องด้วย ช่วยทำให้ลูกผ่อนคลาย (เหรอออออ)



บางคนถามผมลูกงอแงมั้ย?? เวลาอยู่บนเครื่อง ผมบอกได้เลยว่า “ไม่” เลยครับ ลูกผมนี่ขึ้นเครื่องครั้งแรกตอน 2 เดือน บินจากอังกฤษ กลับไทย แล้วก็ตอน 4 เดือนกลับไทยจากอังกฤษ เลยเคยชินกับเครื่องบิน เด็กคนอื่นร้องไห้งอแง นางก็แค่หันไปมองแล้วงงว่าร้องทำไม ... 555



มีครั้งหนึ่ง ตอนบินกลับมาไทยตอน 1 ขวบ เห็นได้ชัดเลยว่าคนนั่งข้างๆ ดูหน้าแกแบบเซงมาก พอรู้ว่าต้องนั่งใกล้กับเด็กเล็ก ... แต่พอลงเครื่องเท่านั้นละครับ หันกลับมาคุยกับแฟนผม บอกว่าน้องเก่งมากเลย ไม่ร้องไห้เลยซักครั้ง ชื่นชมมาก คนเป็นพ่อแม่นี่ proud มาก ขอบอก



ผมเลยอยากจะบอกพ่อแม่ทุกท่านว่าไม่ต้องกังวลเรื่องพาเด็กขึ้นเครื่องตั้งแต่ยังเล็กครับ ผมทำมาแล้ว (ปรึกษาคุณหมอตำแย (Midwife) ที่อังกฤษก่อนบิน แกบอกว่าได้สบาย ไม่เห็นต้องกังวลอะไร) (วีรกรรมพ่อแม่พาเที่ยวตอนอายุสองอาทิตย์ เดี๋ยวมาเล่าต่อวันหลังครับ น่าจะพอมีรูปจากมือถือบ้าง)



เห็นมั้ยครับ นั่งเล่นนั่งหาว ไม่สนใจใคร

ในที่สุดนั่งมา 3 ชม ก็มาถึง Geneva Switzerland ตอนประมาณ 10 โมงเช้า



ตามแผนการวันแรก รับรถแล้วจะรีบขับรถไปที่ Tasch เพื่อขึ้นไปที่เมือง Zermatt ก่อนเลย ก็เลยจัดการเรื่องรถเช่า แล้วก็รีบขับออกมา ผมเลือกที่จะขับรถมากกกว่าการขึ้นรถไฟ ด้วยเหตุผลหลักๆ เลยเพราะมีลูกเป็นเด็กเล็กครับ การจำกัดเวลาต่างๆ ให้กับลูกนั้นเป็นสิ่งที่ผมพยายามอยากจะเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ถ้าเค้าเที่ยวเต็มที่แล้วเหนื่อย อยากจะนอนพัก ก็ต้องปล่อยให้นอน ไม่ใช่ว่ารถไฟออกเช้า ต้องรีบเตรียมของ, อาบน้ำ, ป้อนข้าว, ลากกระเป๋า รีบๆไปขึ้นรถไฟ คนเป็นพ่อแม่คงรู้ดี แค่คิดก็นะ “โอ๊ยโอยยย” !!!



ขับออกมาได้สักระยะ ต้องบอกเลยว่า “WOW” (ถึงจะไม่ WOW เท่า Iceland ที่ First impression แบบสุดมาก)แต่ยังไงซะ สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยมาก และยังคงเป็นที่เที่ยวอันดับหนึ่งในใจของผมเลย (แต่แฟนผมบอกเป็นแค่ที่ 2 เท่านั้น เพราะเธอชอบ Oia, Greece ที่สุด) ระหว่างทางก็จะมีทะเลสาบ Geneve ผมก็ขับเลาะไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปจอดที่จุดๆ หนึ่ง ผมก็จำชื่อเมืองไม่ได้ รู้แต่ว่ามันสวยมากจริงๆ และคิดว่าจะแวะกลับมาตอนขากลับอีกทีหนึ่ง (แต่สุดท้ายกลับคนละทาง T_T)



อยากจะถ่ายรูปครอบครัวสวยๆ บอกให้ภรรเมียเดินลงไปขอบๆ อีก แต่ในเมื่อภรรยาเป็น ผบ. ย่อมไม่ทำตามคำสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา (ภรรยาบอกว่าอันตรายกลัวพลาดตกน้ำ) มุมที่ได้เลยออกแนวติดต้นไม้ แต่สำหรับผมภาพนี้ ก็ทำให้เราจำทุกการกระทำทุกคำพูดที่เราเถียงกันได้เลยกว่าจะถ่ายได้ภาพ 5555 เถียงแล้วเถียงอีกตามประสา คู่สามีภรรยา ประมาณ “ไม่เถียงเมีย ก็ไม่รู้จะไม่เถียงกับใคร”



แวะดูของตามร้านค้าต่างๆ แล้วก็ออกเดินทางต่อยาวเลยครับ ถ้าจำไม่ผิดเดินทางร่วม 3 ชม. กว่าๆ ก็มาถึงที่สถานีรถไฟที่จะขึ้นไปหมู่บ้าน Zermatt มีเวลาว่างก็แชะภาพครอบครัวกันสักภาพ แต่ดูหน้าเนีย (ลูกผม) อย่างเซ็ง ต้องนั่งรอในรถเข็น แล้วตอนนั้นไม่ยอมมองกล้องเพราะมองคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ครับเพราะเห็นกำลังถ่ายรูปเฮฮาปาจิงโกะ แต่พอเนียได้ออกจากรถเข็นแล้วขึ้นรถไฟ ได้เห็นวิว คราวนี้ก็ดี๊ด๊าเลยครับ



อยากกินของแม่

กำลังมองนักท่องเที่ยวไทยเซลฟี่กับรถไฟ

ได้ออกจากรถเข็น แล้วก็ได้กินสมใจมีความสุขขึ้นมาทันใด

เพลิดเพลินไปกับการดูวิวข้างนอก

ลงจากรถไฟ ก็ตรงไปโรงแรมที่จองไว้ แต่พอไปถึงโรงแรมบอกว่าห้องเต็ม ให้ไปที่โรงแรมในเครือของโรงแรมอีกที่หนึ่ง (ตอนแรกก็เคือง แต่เมืองมันสวย ช่วยไม่ได้ ก็ตามๆ ไป) โดยทางโรงแรมจะพานั่งรถไป เป็นรถกระป๋องคันเล็กๆ ก็ได้ประสบการณ์น่ารักๆ ไปอีกแบบ (ถ้าไม่มาเขียนในพันทิป ผมก็ลืมไปแล้วว่าได้นั่ง)

รถขับมาถึง ก็เข้าที่พัก check-in เสร็จเรียบร้อย ลูกสาวก็ผล็อยหลับไปบนรถเข็นเรียบร้อย ก็เลยออกไปเดินเล่นถ่ายรูปให้แฟนรอบเมืองเลย แต่อย่างว่าลูกหลับ ผมเลยขี้เกียจตั้งขากล้องถ่ายภาพครอบครัว ถ่ายให้ภรรเมียคนเดียวพอ ก็เลยข้ามข่วงนี้ไปเลยละกัน (ภรรยาบอกตลอด ตั้งแต่มีลูกนี่ไม่เคยเห็นหัวภรรยาอีกเลย 555) แต่ถ้าใครอยากเห็นบรรยากาศเมือง Zermatt ดูที่ Comment 4 ครับ https://pantip.com/topic/36550821/comment4



ระหว่างวันบังเอิญเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลาย check-in อยู่ที่ Zermatt วันเดียวกันพอดี (โลกกลมแท้) เห็นว่าพา ผบ. สดๆ ร้อนๆ มา Honeymoon ผมก็เลยนัดเจอกันกินข้าวเย็นกัน แล้วว่าจะขึ้นไปดู Matterhorn ด้วยกันวันพรุ่งนี้ ส่วนลูกผม ไปอยู่กับใครก็อยู่ได้ ไม่งอแง น่าจะเพราะว่าพาเที่ยวบ่อย เจอคนใหม่ๆ บ่อย ได้พูดคุยทักทายตลอด วันแรกกินข้าวเสร็จก็พักผ่อนครับ เตรียมลุยหนักวันพรุ่งนี้ต่อ

มาถึงวันที่สอง ตื่นเช้ามาอากาศดี ให้ลูกกินนม ถ่ายรูปเล่นเล็กน้อยก็ออกเดินทางไปเจอเพื่อนเพื่อขึ้นไปเที่ยวกันต่อ

ภาพห้องพักที่เค้าเปลี่ยนมาให้ อยู่ใกล้สถานีรถไฟ เลยครับ best western butterfly อะไรสักอย่าง ขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่แรกเดินไกล แถมขึ้นเนินบันได ต้องยกรถเข็น ที่ตรงนี้อยู่ตรงข้ามรถไฟ เดินใกล้ทางเรียบสะดวกตลอด ออกมาก็นัดเจอกับเพื่อน แล้วค่อยขึ้นรถไฟไปพร้อมกันต่อ ระหว่างบนรถไฟ น้องเนียก็ยังชิวๆ กินนม พร้อมไปนั่งตักเพื่อนผมได้สบายๆ



ขึ้นรถไฟไปถึงด้านบน Gornergat จุดที่มองเห็น Matterhorn ภูเขา chocolate ชื่อดังแต่ ขึ้อายแล้ว ผมคิดอย่างเดียวในหัว “ภาพครอบครัวๆๆๆๆ” เตรียมกดรีโมทชัตเตอร์รัวๆๆ เลยครับ 555 ปัญหามาเกิดเพราะเพื่อนผู้หวังดีอยากจะช่วยกดชัตเตอร์ให้ตอนถ่ายรูปครับ คือเพื่อนผมถ่ายรูปไม่เป็น แล้วเวลาผมตั้งกล้องถ่ายเนี่ย ก็จะเซ็ตไว้แบบ manual focus คราวนี้พอยืนไม่ตรงตำแหน่ง เพื่อนเราก้ไม่รู้ กดถ่ายๆๆ ให้ สุดท้าย เบลอทุกภาพครับ 555 ตอนนั่งรถไฟลงมา ผมเปิดกล้องดูถึงเพิ่งได้เห็นว่า หน้าเราเบลอหมดเลย ส่วนที่เราถ่ายให้เหมือนนี่คมกริบ เลยต้องรีบบอกลาให้เพื่อนไปท่องเมืองก่อน ส่วนเรานั่งรถไฟขึ้นไปถ่ายกันใหม่อีกรอบ พร้อมใช้วิธีเดิมๆ คือ เซตเอง เล็งเอง กดชัตเตอร์ด้วยรีโมตของตัวเอง



เพื่อนถ่ายให้ ไม่ต้องห่วง เบลอทั้งภาพ 555

แต่ถึงจะถ่ายเองได้ชัดยังไง ตอนนั้นก็มีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ น้องเนียหน้าเซงมากกก เพราะต้องใส่ Snow suit คือว่านางขยับตัวไปไหนไม่ค่อยได้ เลยหน้าบู่เป็นปลาทูแก่เลย 5555 คิดถึงกี่ครั้งก็ยังขำได้เสมอ (ต้องขออภัยหากรูปกับ Matterhorn มันเยอะไปนิด)

มท่า post ไม้ตายประจำครอบครัว ประกบแก้มตุ้ยนุ้ยของคุณลูก

ท่า post ประจำอีกซักภาพ

ถ่ายได้สักพักน้องเนียก็หลับตามเวลา

หลังจากนั่งพักจนน้องเนียตื่นมาอีกรอบ ก็ถ่ายกับป้าย gornegrat ซะหน่อย

อยากจะแนะนำ ให้กับคนที่จะพาลูก หรือพาผู้ใหญ่ไปเที่ยว และต้องเดินในบริเวณ ที่มีหิมะว่าให้พกหมุดเหล็กสวมรองเท้า (ไม่รู้เมืองไทยเรียกอะไร แต่ลอง Search คำว่า Cleat, Crampon, Spike – snow shoe บน ebay ดูก็ได้ครับ) ตอนนั้นผมซื้อมาเพราะจำได้ว่าตอนไป Iceland แล้วต้องเดินขึ้นเขาที่มีพื้นน้ำแข็งเกาะบางส่วน พื้นลื่น และอันตราย ผมกลัวว่าจะล้มไปพร้อมลูกมากๆ รอบนี้ก็เลยหาข้อมูล และซื้อมาลองใช้ --- ผลปรากฏว่าช่วยได้เยอะมากๆ เดินได้สะดวก มั่นใจขึ้นเยอะเลยครับ เพื่อนผมที่เจอ ใส่รองเท้า sketcher ไป บอกว่าเดินสบายมากๆ ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า เจ็บตัวฟรีเลยครับ (ลองดูในภาพด้านบนก็ได้ครับ รองเท้าผม กับรองเท้าแฟน จะใส่อยู่)



หลังจากได้ภาพกับภูเขา choco ที่ต้องการแล้ว ก็ถือว่าทริปนี้สำเร็จเสร็จสิ้นเหมือนดังเช่นการได้ภาพกับ แสงเหนือในทริปไอซ์แลนด์ ผมก็เลยชิวๆ ถ่ายนู่นถ่ายนี่ต่ออย่างมีความสุข โดยไม่ได้คิดเลยว่า ภูเขาลูกต่อไปที่ผมขึ้นนั้นยังมีวิวสวยๆ รอให้ผมไปเห็นอีก



อ่านต่อ วันที่ 3 ได้ที่ คอมเมนต์ 2

ฝากติดตามที่ Facebook.com/NotAloneDad

ฝากติดตามได้ที่เพจ www.facebook.com/notalonedad หรือ #พาลูกเมียเที่ยวครับ



วันที่สาม ตื่นมาก็มีถ่ายรูปเล่นรอรถไฟกันเล็กน้อย แล้วพวกเราก็ลงเขา แล้วขับรถจาก Tasch ไปต่อโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ Interlaken และไปพักที่ Lauterbrunnen วันนี้ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการขับรถ และแวะเมืองต่างๆ ระหว่างทางซะส่วนใหญ่ ซึ่งเราก็วางแผนว่าพรุ่งนี้เช้าจะไม่ไป Jungfrau ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ไม่อยาก “พิชิต” ยอดเขาสูงที่สุด แต่อยากจะไป “เห็น” วิวยอดเขาที่สวยที่สุดแทน (เพื่อนที่เจอกัน Zermatt บอก) ซึ่งอยู่ที่ Schiltorn (เหตุผลที่ผมเปลี่ยนแผนได้ เพราะผมไม่ได้ซื้อตั๋ว หรือจองห้องพักล่วงหน้าช่วงวันนี้ไว้ครับ เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเผื่อปรับเปลี่ยน)

ภาพเล็กๆ น้อยๆ ตอนก่อนออกจาก Tasch และตอนอยู่ที่ Interlaken


ยิ้มแฉ่ง ไม่ต้องใส่ snow suit

เดินเล่นหน้าร้าน chocolate ชื่อดัง Laderach เห็นได้ทั่วใน Swit

ถ่ายกับหน้าสถานีรถไฟขึ้น Gornergrat

ขี้นรถไฟออกจาก Tasch เพื่อขับรถต่อไป interlaken

เมืองน่ารักๆ แห่ง interlaken

หลังจากนั้นก็เข้าที่พักที่ Lauterbrunnen เราพักที่ hostel เล็กๆ ที่มีผับอยู่ด้านล่าง ห้องเล็กนิดเดียว แต่มองออกหน้าต่างจะเห็นน้ำตก แล้วก็มีเสียงน้ำตกตลอดเวลา แต่ถึงจะมีผับอยู่ด้านล่าง แต่ภรรยาบอกว่าเป็นคืนที่หลับสนิทมากที่สุดเลยตั้งแต่มา

ตื่นเช้ามาก็ออกมาแต่เช้า นั่งกระเช้าขึ้นไปด้วยสิทธิพิเศษของความเป็นคุณแม่พร้อมเด็กเล็ก ได้ขึ้นไปนั่งรอก่อนใครเพื่อน ตอนแรกเห็นสภาพอากาศแล้วตอนนั้นจำได้เลยว่า จ๋อยมาก คิดในใจ “จ่าย” มาตั้งแพง แต่อาจจะอดเห็นวิว เพราะทั้งฝน ทั้งเมฆหมอก ปิดทุกอย่างจนหมด มองไม่เห็นยอด ไม่เห็นทิวอะไรทั้งนั้น หนำซ้ำ กลุ่มทัวร์จีน มาขึ้นกระเช้าเดียวกัน จังหวะขึ้น ลง เปลี่ยนกระเช้า ไม่สนทั้งแม่ และเด็ก ชนแฟนผมกระเด็นเลย



อภิสิทธิ์คนเป็นแม่ลูกอ่อน

บรรยากาศรอบๆ ฝนตกจนแทบจะหมดหวัง

กลุ่มทัวร์จีนลง พร้อมชนแฟนกับกระเด็น

พอขึ้นไปข้างบนก็ไม่นั่งบนร้านอาหาร 007 เพราะคิดว่าไม่เห็นวิว แต่ขอถ่ายภาพกินข้าวเท่ห์ๆ ไว้ก็ยังดี 555 นั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นแหละครับ ขอบคุณพระเจ้า!!! ฟ้าเริ่มเปิด เริ่มเห็นภูเขา และแล้ว จุงเฟรา ก็โผล่ยอดมาให้เห็นพร้อมกับพี่น้องอีกสองยอด ผมจำได้ตื่นเต้นมาก รู้สึกว่ามันสวย แต่ว่าจากตรงนั้นไม่ค่อยจะมีมุมถ่ายรูปกับภูเขาสวยๆ เท่าไหร่เลย ก็เซงๆ นิดๆ แต่ก็ยังสนุกสนานกับการถ่ายอยู่ (ดูจากภาพได้ วุ่นวายมาก 555)

พอกินเสร็จก็พาลูกเมีย ออกไปเดินถ่ายรูปรอบๆ ลูกผมเห็นหน้า Jame Bonds จากป้ายที่ตั้งอยู่ แล้วไม่ยอมมองกล้องเลยครับ มัวแต่มองว่าไอนี่เป็นใคร?? มายืนทำอะไร?? ถ่ายรูปออกมานี่หยั่งกับครอบครัวเรามี 4 คน 5555



วิวบนร้านอาหารลอยฟ้า

เรา 3-4 คน ถ่ายกับ James

พอถ่ายภาพกันเสร็จ ก็ไปขึ้นกระเช้ากันต่อ เพราะเห็นที่ร้านอาหารแกบอกว่ามีจุดที่ถ่ายรูปได้อีก เราก็เลยออกเดินทางขึ้นกระเช้ากันต่อ พอขึ้นมาถึงจุดชมวิวนี่ ก็ “Wowwwww” หนักกว่าเดิมอีก รู้สึกว่ามันสวยมาก อากาศก็อบอุ่น เพราะแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา จนรู้สึกว่าความหนาวแทบจะหายไปหมด ตอนนั้นก็ถ่ายรูปครอบครัวกันรัวๆ เช่นเดิม ถ่ายสักพักลูกก็หลับ เราก็นั่งอาบแดดกันตรงนั้น เพราะมันอุ่นสบาย วิวสวยงามตามท้องเรื่อง



ภาพแรกกับ 3 พี่น้อง Jungfrau Eiger Monch ก่อน

พอเนียตื่นก็จับมาถ่ายด้วยซะเลย

แต่ตรงนี้ ผมก็ฝากเตือนพ่อๆแม่ๆ ที่จะพาลูกเที่ยวต่างประเทศนิดนึงนะครับ ว่าถึงบางทีอากาศจะเย็น แต่เวลามีแดดเนี่ย พยายามอย่าให้ลูกโดดแดดมาก ลูกผมนอนหลับโดนแดดไปแปป ก็ทำผิวลูกเสียได้ ผมเห็นหน้าผากลูกผมตอนลงจากเขาวันถัดมาเนี่ย มีรอยคล้ายๆ “กระ” ขึ้นบนหน้าผากเลย ผมคิดว่าสาเหตุ คือการที่เราอยู่บนเขาใกล้พระอาทิตย์มาก โดยเราไม่รู้ตัวว่าจริงๆ มันร้อนมากๆ T_T ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเอากันแดดสำหรับเด็กพกไปด้วยตลอดเวลานะครับ

หลังจากลงกระเช้าเสร็จ เราก็เลือกลงมาตรงหมู่บ้าน Grindewald ซึ่งเป็นทางเดินลงครับ เพื่อจะเดินเล่นชมวิวกัน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเท่าไหร่ แต่ Wowww รอบที่สาม สวยมากกกกก อีกแล้วครับ 555 (ถึงได้กลายเป็นประเทศสวยสุดอันดับหนึ่งในใจของผม) ตอนเดินลงเขาก็แทบไม่ได้ถ่ายรุปครอบครัวเลย เพราะมัวแต่คิดว่าได้ภาพวิวภูเขาแล้ว กลับมาดูภาพตอนนี้ บอกเลยว่า “เสียดายมาก” จริงๆ



เดินไปตอนแรกก็ยังสวยงามดี แต่ช่วงกลางๆ จะมีบ้านคนที่เลี้ยงม้า เลี้ยงแกะ บางบ้านนี่กลิ่นธรรมชาติมากครับ ผมเข็นลูกผ่านคอกม้า ว่าจะพาเนียเข้าไปดูม้าใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป ได้กลิ่นเหม็น เนียร้องไห้แง เลยครับ 5555 ตลกมาก ยังจำได้ถึงตอนนี้

เสร็จแล้ววันนั้นพักผ่อน วันถัดมาก็เดินทางต่อเพื่อไปเที่ยวเมือง Lucerne กับ Zurich ต่อ ตอนไปสองเมืองนี้ ก็ใช้เวลาไม่เยอะครับ เพราะปกติไม่ค่อยได้ชอบเที่ยวเมืองเท่าไหร่ ได้แวะ Lucerne ก็เพื่อจะไปดู สิงโตหน้าเศร้าที่ขึ้นชื่อ จะได้เก็บภาพไว้ว่าได้มาแล้ว 555



เดินเที่ยวเล่นเสร็จแล้ว ก็ขับรถออกจากเมือง เพื่อไปร่วมงานสัมมนาต่อแล้วครับ ผมก็ขอจบทริปนี้ไว้ที่ตรงนี้ละกันครับ



แล้วก็แวะต่อไป Zurich เป็นเมืองที่น่ารักดีครับ ตรงถนนคนเดิน ตึกเป็นสีๆ น่ารักทีเดียว



ขากลับจากสัมมนา และ Geneva



สรุปสั้นๆ สำหรับผม ทริป Swit นี่เป็นทริปที่ไม่ได้เร้าใจ หรือตื่นเต้นอะไรมากมาย ออกจะออกแนวชิวๆ สบายๆ ไปเรื่อยๆ ใครมีลูกเล็ก เด็ก ผู้ใหญ่ พามาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน ได้เห็นวิวสวยๆ ได้เห็นเมืองน่ารักๆ ได้

ทริปนี้เป้าหมายหลักๆ ของทุกๆ คน คงเป็นการมาเห็น ภูเขา Matterhorn อันเลื่องชื่อ กับการได้พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดซะมากกว่า ของผมก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ ได้ภาพถ่ายครอบครัวพร้อมลูกเมียคู่กับ Matterhorn คือเป้าหมายหลัก ส่วนอื่นๆ ที่เพิ่มเติมขึ้นมา ถือได้ว่าเป็น “ของแถม” คุ้มเกินคุ้มแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นวิวที่ Schiltorn หรือตอนลงเขามาตรงหมู่บ้านต่างๆ ถ้าไปได้อีกก็อยากจะพาลูกเมียไปอีกจริงๆ ชอบมากๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงพูดชมสวิซเซอร์แลนด์กันเยอะ



มาเขียนรีวิวรอบนี้ก็พยายามจะใส่สาระเพิ่มขึ้นไป (แม้จะน้อยนิดก็ตาม 55) แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่คิดที่พาลูกเล็กเที่ยว หรือเคย “กลัว” หรือ “กังวล” กับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อยามที่จะต้องพาออกไปนอกบ้าน ให้ “เปลี่ยนความคิด” และ “กล้า” ที่จะพาลูกออกไป เพราะบางสิ่งบางอย่าง ไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิด (คหสต)



หรือให้คุณแม่ทั้งหลายใช้กระทู้แล้ว tag สามีมา เพื่อชวนกันออกไปเที่ยว “แกมบังคับ” 555 ว่าอย่างทิ้งฉันกับลูกไว้เดียวดายนะ อย่างที่ผมเห็นคุณแม่ หรือคุณผู้หญิงหลายๆ ท่าน tag คุณพ่อ หรือคุณแฟน ใน facebook post ของ page ผมเยอะเลย 555

บางท่านอาจจะคิดว่าเด็กยังไม่รู้เรื่อง มองตามจริงการไปแบบนี้อาจจะเป็นการปรนเปรอความสุขส่วนตัวของพ่อกับแม่เท่านั้น ผมก็คงได้แค่ “เห็นด้วย” กับความคิดนั้น เพราะไม่มีความคิดไหนผิด หรือถูก แต่ที่แน่นอนคือ การไปเที่ยวแบบนี้ แม้ลูกจะไม่รู้เรื่อง แต่ที่แน่ๆ “เมีย” รู้เรื่อง และมีความสุขมากแน่นอน ดั่งวลี “Happy Wife, Happy Life” ครับ 555 สุดท้ายนี้ อยากให้ครอบครัวมีความสุข “พาลูกเมียเที่ยว” เถอะครับ



ใครสนใจก็ฝากไลค์ ฝากติดตามได้ที่เพจ www.facebook.com/notalonedad หรือ #พาลูกเมียเที่ยวครับ

ผมยังมีภาพไปเที่ยวที่ยังไม่ได้รีวิวอีกเยอะเลยครับ ฝรั่งเศษ กรีซ เยอรมัน ออสเตรีย อังกฤษ และแน่นอนครับประเทศไทย

บรรยากาศหมู่บ้าน Zermatt ครับ ตอนเดินเล่นกับภรรยาครับ

ความคิดเห็น