“ลำพูน” หรือเดิมเรียกว่า “เมืองหริภุณไชย” เมืองที่เป็นแหล่งรวบรวมประเพณีวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของอาณาจักรล้านนาและยังมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานที่สุดในภาคเหนือ

การออกเดินทางสำรวจจังหวัดลำพูนในครั้งนี้ อ้อมเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะมีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ก็อยากเก็บแรง เก็บเวลาในการขับรถระยะทางไกลๆเอาไว้เที่ยวดีกว่าแม้ว่าจังหวัดลำพูนจะไม่มีสนามบินแต่ก็เหมือนมีนั่นแหละ เพราะว่ามีระยะทางห่างจากสนามบินเชียงใหม่แค่ 40 กิโลเมตรเอง ขับรถแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว


เมื่อลงเครื่องและหารถเช่าได้แล้วก็ไม่รอช้าขับรถออกจากสนามบินเชียงใหม่มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองจังหวัดลำพูน และสถานที่แรกของเรา เมื่อมาเยือน จ.ลำพูน คือ "วัดสันป่ายางหลวง"

วัดสันป่ายางหลวง เป็นวัดขนาดเล็กใจกลางเมืองลำพูน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดขนาดเล็กก็เป็นวัดที่ติดอันดับ 1 ใน 5 วัดที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นวัดทางศาสนาพุทธแห่งแรกของแดนล้านนา มีการสร้างเจดีย์และนำอันเชิญพระอัฐิธาตุกลางกระหม่อมของอัครสาวกคือ พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร มาประดิษฐานไว้

ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างที่วิจิตรสวยงาม โดยเฉพาะพระวิหารพุทธรัตนมหานทีศรีหริภุญชัย หรือวิหารพระโขงเขียว เป็นที่ประดิษฐานพระหยกเขียวซึ่งนำมาจากแม่น้ำโขง ซึ่งเหมือนพระพุทธศีศากยโคดม องค์ปัจจุบัน


ออกจากวัดสันป่ายางหลวง ก็ไปต่อที่ "วัดพระธาตุหริภุณชัย" ที่ประดิษฐานพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองลำพูนมาช้านานนับกว่าพันปี


เมื่อเราผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้วสิ่งแรกที่เห็น คือ วิหารหลังใหญ่เรียกว่า "วิหารหลวง" เป็นวิหารที่มีพระระเบียงรอบด้าน และมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งวิหารหลังนี้สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2466


ด้านหลังวิหารหลวงเป็นองค์พระธาตุหริภุณชัย องค์เจดีย์เป็นแบบล้านนาไทยแท้ๆลักษณะใกล้เคียงกับ พระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูง 25 วา 2 ศอก ฐานกว้าง 12 วา 2 ศอก 1 คืบ ภายในบรรจุพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ และพระธาตุหริภุณชัยยังเป็นองค์พระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปี ระกา อีกด้วย



หลังจากกราบขอพรพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองแล้ว ก็ไปต่อที่ "วัดจามเทวี" หรือที่ ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดกู่กุด" ซึ่งวัดนี้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ แห่งนครหริภุญชัย


ตามหลักฐานที่ได้พบศิลาจารึกเชื่อว่า พระราชโอรสของพระนางจามเทวีคือ พระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อถวายพระเพลิงพระนางจามเทวี แล้วโปรดให้สร้างเจดีย์เหลี่ยมมียอดหุ้มด้วยทองทองเรียกชื่อว่า "สุวรรณจังโกฏิ"


พระเจดีย์สุวรรณจังโกฏิ หรือพระเจดีย์จามเทวี เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมแบบ พุทธคยาในประเทศอินเดีย แต่ละด้านมีพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่เป็นชั้นๆ ทั้งสี่ด้านด้านละ 15 องค์ รวม 60 องค์


จากนั้นขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 106 (ลำพูน - ลี้) มุ่งหน้าตรงไปยัง "วัดหนองเงือก" ซึ่งตั้งอยู่บ้านหนองเงือก ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่แสดงให้เห็นถึงศิลปกรรมฝีมือช่างพื้นบ้าน สิ่งที่น่าสนใจได้แก่ ศิลปะปูนปั้นที่ซุ้มประตูของวัด และหอไตร ซึ่งเป็นศิลปกรรมแบบพม่า


ชมความสวยงามของศิลปกรรมฝีมือช่างพื้นบ้านกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปกราบขอพรรอยพระพุทธบาท ที่ "วัดพระพุทธบาทตากผ้า" กันบ้าง


ตามตำนาน วัดพระพุทธบาทตากผ้า ได้กล่าวไว้ว่าในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าได้เสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ในดินแดนสุวรรณภูมิ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) พระองค์ได้เสด็จไปในที่ต่าง ๆ กระทั่งเสด็จถึงบริเวณวัดพระพุทธบาทตากผ้าแห่งนี้ซึ่งเป็นผาลาด จึงได้ทรงอธิษฐานประทับรอยพระพุทธบาทลง ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการบูชาของมวลเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายและพระองค์ได้ตรัสให้พระอานนท์เอาจีวรไปตากบนผาลาด ใกล้บริเวณที่ประทับ ซึ่งปรากฏเป็นรอยเลือนลางอยู่ ดังนั้น วัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดพระพุทธบาทตากผ้า” มาถึงทุกวันนี้


หลังจากกราบสักการะขอพรรอยพระพุทธบาทกันแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่ายแล้ว เราจึงตัดสินใจตรงเข้าที่พักกันเลยโดยที่พักของเราในวันนี้คือ “บ้านไพลินรีสอร์ท”

บ้านไพลิน รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทสไตย์โมเดิร์นขนาดเล็ก มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 16 ห้องทุกห้องผู้เข้าพักจะสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศไร่นาและทิวเขาได้อย่างอย่างใกล้ชิดและด้วยราคาที่เป็นมิตร ที่นี่จึงเป็นที่พักอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวพลัดเปลี่ยนแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย

มาดูทางด้านของห้องพักกันบ้าง ที่นี่มีห้องพัก 2 ประเภทคือ แบบ Deluxe Room Twin และแบบ Deluxe Room Double ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะต่างกันแค่ประเภทของเตียงนอนในห้องเท่านั้นเอง และในส่วนของราคา ก็มีให้เลือก 2 แบบเช่นกัน คือแบบไม่รวมอาหารเช้า ราคาเริ่มต้นที่ 750 บาท และแบบที่รวมอาหารเช้า ราคาเริ่มต้นที่ 1, xxx บาท ก็อย่างที่บอกว่าที่นี่ราคาเป็นมิตร น่าคบหาจริงๆ


สำหรับมื้อเย็นต้องที่นี่เลย "ครัวกันเอง" ห่างจากที่พักของเราไม่ถึง 500 เมตร บรรยากาศในร้านก็เป็นกันเองสมชื่อร้านเขาแหละ ส่วนเรื่องอาหารก็อร่อยแบบยกนิ้วโป่งให้เลย อาหารอร่อยบรรยากาศดี มีบริการห้องคาราโอเกะด้วยนะ สำหรับใครที่มาเป็นกรุ๊ปต้องไม่พลาดที่นี่เลย


หลังจากกินอิ่มนอนหลับกันมาทั้งคืน เรามาดูในส่วนของอาหารเช้ากันบ้างดีกว่า อาหารเช้าจะจัดบริการอยู่ที่ร้าน“เดอ ลิน คาเฟ่” ตั้งอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทนี่เอง แต่หากใครที่เลือกแบบไม่รวมอาหารเช้า ที่ร้านก็มีบริการทั้งอาหาร กาแฟสดและเบเกอร์รี่ต่างๆ ในราคาเบาๆ เช่นกัน

ขอแอบกระซิบกันหน่อยว่าอาหารและขนมที่นี่อร่อยมาก ใครมาพักที่นี่แล้วไม่มาทานถือว่าพลาดของดีเมืองลี้เลยหละ ให้ภาพเล่าเรื่องความอร่อยเองละกันเนอะ


หลังจากอิ่มหนำกับมื้อเช้าที่แสนอร่อยแล้ว เราก็ออกเดินทางไปที่ "วัดพระบาทห้วยต้ม" ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอลี้ ภายในวัดมีวิหารที่บรรจุร่างของครูบาวงศ์พระนักพัฒนาที่ชาวล้านนาเคารพศรัทธา ซึ่งไม่เน่าไม่เปื่อยไว้ในโรงแก้ว มีรอยพระพุทธบาทที่เชื่อว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ณ ที่นี่ ครูบาวงศ์จึงได้สร้างรอยพระบาทจำลองครอบของจริงไว้

ออกจาก วัดพระบาทห้วยต้ม แวะมาซื้อของฝากติดไม่ติดมือกลับบ้านกันที่ "ศูนย์วิจัยงานหัตถกรรมบ้านห้วยต้ม" กันบ้าง ภายในจะจำหน่ายสินค้าจากชาวบ้านในชุมชนบ้านห้วยต้ม ซึ่งเป็นสินค้าทำมือแทบจะทุกชิ้น จึงถือว่าสินค้าที่จำหน่ายที่นี่เป็นสินค้าที่มีชิ้นเดียวในโลกเลยก็ว่าได้

หลังจากช็อปสนั่นกันกระจายได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านกันแล้ว เราก็เดินทางไปต่อที่ "วัดมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย" ภายในวัด มีเจดีย์ศรีเวียงชัยสีทองเหลืองอร่าม เป็นสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาศิลปะล้านนาที่สร้างด้วยศิลาแลงทั้งองค์ มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฐานกว้างเท่ากับพื้นที่ ๑ไร่ ส่วนสูงจากบัวยอดฉัตรลงมาถึงพื้นยาว 64.39 เมตรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอำเภอลี้ให้ความเคารพนับถือกันมาก ซึ่งองค์เจดีย์นี้จำลองมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า จึงมีอีกชื่อว่า ชเวดากองเมืองไทย

และสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ "วัดพระพุทธบาทผาหนาม" นั่นเอง ความจริงเราตั้งใจกันไว้ว่าจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ แต่ในช่วงเช้าฟ้าฝนไม่เป็นใจให้เราสักเท่าไหร่ แต่ยังไงซะก่อนเดินทางกลับก็ขอขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองลี้ กันสักหน่อย




สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ “บ้านไพลินรีสอร์ท” ที่พักราคาย่อมเยาแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและการใส่ใจดูแล ที่ทำให้เราได้มีที่นอนอุ่นๆ บรรยากาศดีๆในการเดินทางครั้งนี้

และที่ขาดไม่ได้เลย ในการออกเดินทางของอ้อมในทุกๆครั้งก็นี่เลย ประกันเดินทางในประเทศTIP FLY SURE จากทิพยประกันภัย ที่ดูแลกันตลอดระยะเวลาในการเดินทางครั้งนี้ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล จะขึ้นเขา ลงห้วยก็อุ่นใจหายห่วง ในราคาเบาๆ เพียง 55 บาท/คน/เที่ยว หรือจะเหมาให้ดูแลตลอดทั้งทริปก็เพียง 129 บาท/ท่าน ราคาถูกกว่าซื้อผ่านสายการบิน 50% แต่ได้คุ้มครองสุงสุดถึง 4,000,000 บาท



ขั้นตอนการซื้อก็ง่ายแสนง่าย เมื่อเราซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็จัดการติ๊กประกันเดินทางที่พ่วงมาด้วยออก แล้วเข้าไปซื้อที่ www.tipinsure.com/tipflysure จากนั้นก็กรอกรายละเอียด ข้อมูลต่างๆ ตามที่ระบบกำหนด และสุดท้ายก็ชำระเงิน แล้วรอรับกรมธรรม์ทางอีเมล เพียงเท่านี้เราก็เดินทางได้อย่างอุ่นใจหายห่วงแล้ว


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้อประกันเดินทางได้ที่ www.tipinsure.com/tipflysure




และสุดท้ายจริงๆขอฝาก เพจเล็กๆที่รวบรวมการเดินทาง ที่พัก ที่กิน ในสถานที่ต่างๆที่อ้อมได้พบ ได้เจอมา ด้วยนะคะ..........อยากเที่ยว ต้องได้เที่ยว

https://www.facebook.com/wanttotravel29/

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว Want To Travel

 วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.05 น.

ความคิดเห็น