.....ปกติแล้วช่วงเทศกาลหยุดยาวต่างๆ ผมมักไม่ค่อยออกไปไหน เบื่อสภาพความแออัดวุ่นวายบนท้องถนนที่มุ่งหน้าออกต่างจังหวัด แต่ช่วงวันแม่ที่ผ่านมาเพื่อนกลุ่ม off-road โทรมาชวนให้นั่งรถเล่นไปเป็นเพื่อนขับรถขึ้นดอย ที่จ.เพชรบูรณ์กันสักหน่อย เราก็เห็นว่า เออ ! ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องขับรถเองให้เมื่อยก้น แถมขึ้นไป camping บนดอยตื่นเช้ามาได้นั่งจิบกาแฟสูดอากาศสดชื่น ชมทะเลหมอกให้เพลิดเพลินใจแถมได้ถ่ายภาพสวยๆบนนั้นอีกด้วยว่าแล้วก็จัดกระเป๋าเก็บของโดยที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร..

คืนวันศุกร์ราวๆ 3 ทุ่มกว่า เพื่อนขับ jeep มารับแล้วออกเดินทางฝ่าการจราจรที่หนาแน่นของเมืองกรุง เพื่อไปรวมตัวกันที่ปตท. หล่มสัก ระหว่างทางแวะสมทบกับเพื่อนอีกคันแถววังน้อย พอมาถึงเส้น ลพบุรี-เพชรบูรณ์ มี jeep อีกคันขับตามมาห่างๆ พอเราเลี้ยวเข้าปั๊มก็ขับมาจอดเทียบ คุยไปคุยมาได้ความว่า เขาเห็นพวกเราคุยกันในเพจของกลุ่มเลยใจง่ายเก็บเสื้อผ้าพร้อมรบมาดักรอและขอร่วมแจมด้วย ขับต่อมาเรื่อยๆจนถึงปตท.หล่มสัก แวะเติมแก็ส เช็คสภาพรถ และตุนน้ำมันไปไว้ใช้ระหว่างทาง ก่อนจะงีบหลับเอาแรงกันสักครู่

ราวๆ 7 โมงครึ่งออกเดินทางต่อผ่านแยกแคมป์สนไปประมาณ2-3 โลเลี้ยวขวาแวะตุนเสบียงตรงปากทางเข้า "หมู่บ้านม้งที่ใหญ่ที่สุดในสยามบ้านเข็กน้อย"แล้วขับเข้าไปตามถนนในหมู่บ้านที่ตรงไปทางห้วยน้ำขาว ก่อนจะแยกขวามือเข้าไปตามป้ายบอกทาง "ดอยตั๋วเพ่ง-ผาตัด ระยะทางก็แค่ 10 กิโล ตามโปรแกรมเราจะไปตั๋วเพ่งกันก่อนแล้ววนไปออกทางภูแผงม้า ภูทับเบิก แล้วค่อยมาเข้าผาตัดอีกวันนึง ซึ่งเส้นทางหลังจากนี้จะเป็นทางปูนแคบๆผ่านไร่กะหล่ำปลีของชาวบ้านจนไปสุดทางปูนที่เป็นดินแดงเละๆ เป็นหลุมเป็นบ่อบ้างเล็กน้อย ซึ่งจุดนี้รถของพี่เอ็มสมาชิกใหม่ในกลุ่มที่เจอกันระหว่างทางความร้อนขึ้น ไปต่อไม่ได้ จึงใช้สลิงผ้าใบลากขึ้นไปจอดพักรถกันบนเนินก่อนเพื่อเช็คสภาพ

วิวตรงเนินที่เราพักเช็ครถกันตรงนี้ สวยงามทีเดียว มองเห็นทุ่งนาสีเขียวขจีตัดกับทิวเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า อากาศเช้านี้ค่อนข้างสดชื่น เพราะมีฝนตกเมื่อคืน สักพักมีกลุ่มรถมอเตอร์ไซด์วิบากขับผ่านมาคงจะจุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ละคนแต่งตัวสีสันฉูดฉาดพร้อมเปื้อนโคลนในชุด full option กันเต็มที่

หลังจากเช็คสภาพรถพี่เอ็มแล้วรอให้เครื่องเย็นก็ออกเดินทางต่อ จากนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่ปากทางเข้าดอยตั๋วเพ่ง

สภาพเส้นทางเป็นดินโคลนเหลวและดินหนังหมูที่เรียบและลื่นมากก็อย่างที่เห็น วินซ์กันตั้งแต่ปากทางเข้า

กว่าจะผ่านพ้นแต่ละจุดมาได้ ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมถึงต้องขึ้นกันแต่เช้ากับระยะทางแค่ 10 กิโลเมตร ต่อจากนี้ก็เริ่มไต่ขึ้นเขา ทำเวลากันได้ไม่มากเพราะสภาพถนนที่ทั้งเละและลื่นสุดๆ ค่อยๆคืบคลานต่อแถวเรียงหนึ่งกันขึ้นไป

แต่ล่ะช่วงแต่ล่ะตอนไม่ใช่เรื่อง่ายๆที่จะผ่านไป มีปัญหาให้ต้องแก้ไขตลอดเส้นทาง

ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ความรู้และประสพการณ์จากชาวคณะ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามที่อับจนหนทาง ต่างคนต่างระดมความคิดและร่วมมือกันจนผ่านพ้นปัญหาไปได้ 

จากเช้าล่วงมาจนถึงเกือบบ่ายสาม เราขึ้นมาพบเพื่อนอีก 2 คันที่ล่วงหน้ามานอนรอเราตั้งแต่เมื่อคืน และได้พยายามสำรวจเส้นทางที่จะทะลุไปทับเบิกแต่ไปต่อไม่ได้ ด้วยเพราะสภาพเส้นทางที่โหดมากในช่วงหน้าฝน และได้ข่าวจากกลุ่ม off-road ของคนในพื้นที่ที่ขับตามมาว่า เส้นทางทีจะทะลุไปทับเบิกป่าไม้ไม่ให้เข้าไปแล้ว เลยระดมความคิดตกลงกันว่าเราจะไปนอนที่ผาตัดเลยดีกว่า แต่กลับทางเก่าที่เรามา

เราแวะจอดตรงบริเวณลานคอกวัว ที่เป็นจุดที่ชาวบ้านนำวัวขึ้นมาเลี้ยงและเป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดนึง แต่ทัศนวิสัยไม่ดีหมอกลงปกคลุมไปหมด ซึ่งจริงๆจุดนี้ถ้าฟ้าเปิดจะมองเห็นทิวเขาและวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วอยู่เบื้องล่าง

ขากลับต้องลงทางเก่า แต่ต้องจอดรอการจราจรที่ขึ้นลงทางเดียวกันหากมีรถสวนขึ้นมา  สักพักมีรถขาขึ้นส่งม้าเร็วมาขอยืมเครื่องมือไป ได้ข่าวว่าล้อขาดติดหล่มอยู่กลางทาง สภาพเส้นทางขาลงไลน์ของล่องล้อรถที่ลึกอยู่แล้ว ลึกกว่าเดิมจากรถสองกลุ่มที่ขึ้นมา สภาพเส้นทางไม่ควรเรียกว่าทางเพราะมันเละไปหมด

เราลงมาถึงท้ายไร่กะหล่ำของชาวบ้านแวะล้างเนื้อล้างตัวจากลำธารที่ไหลมาจากภูเขา แล้วทำอาหารเย็นกินกันง่ายๆ จริงแล้วนี่ถือเป็นอาหารเช้าของพวกผมเลยก็ว่าได้ เพราะรองท้องมานิดหน่อยที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเมื่อตอนเช้า เสร็จภาระกิจเติมพลังก่อนจะออกเดินทางไป night short กันที่ผาตัดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า..ตรงจุดนี้พี่เอ็มขอแยกตัวกลับก่อนเพราะสภาพรถยังไม่พร้อมเท่าไหร่ เกรงว่าจะเป็นภาระให้พวกเรา ต้องบอกว่าพี่เอ็มคิดถูกแล้ว เพราะหลังจากนี้คือ "นรก" ชัดๆ 555

เส้นทางผาตัดหลังจากนี้ผมคิดว่าคงไม่หนักเหมือนตอนกลางวัน ผมได้ยินมาว่าตั๋วเพ่งที่ไปมาโหดกว่าผาตัดก็เบาใจลงหน่อย อีกไม่กี่ชั่วโมงคงขึ้นไปนอนกางเต้นท์สบายๆบนยอดดอยแล้ว..แต่ผมคิดผิด เส้นทางนี้ในยามวิกาลมันต้องใช้สติมาข่มจินตนาการได้ยินเสียง ว.จากรถของพี่ตาทีมผู้นำคันหน้าดังมาเป็นระยะๆว่าจุดนี้มีเหว จุดนี้เบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวา ต้องปั่น ต้องส่ง จนหลังๆกลุ่มเริ่มแตกออกเป็น 3 ช่วงของเหลี่ยมเนินที่มืดมิด 2 คันหน้าอยู่โค้งหน้า 2 คันหลังก็กำลังวินซ์กันอย่างเมามัน คันของผมอยู่ตรงกลางเนินที่ชันและลื่น ฝนก็ตกพรำๆอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ทางยิ่งลื่นมากเป็นพิเศษ ลงไปลากวินซ์แต่ละครั้งใช้เวลามากกว่าปกติ เดิน 1 ก้าวถอยหลัง 3 ก้าว รถก็คอยแต่จะไถลลงต้องใช้วินซ์กับต้นไม้ค่อยๆไต่ขึ้นไปพักอยู่บนเนินเพื่อให้พ้นจุดที่อันตราย วินาทีนี้ต้องช่วยตัวเอง มองนาฬิกาเวลานั้นก็ ตี 2 เข้าไปแล้ว ว.สอบถามกันตกลงว่าเราคงต้องนอนกลางทาง ข้าวปลาไม่ต้องพูดถึง ข้าวมื้อเช้ากินกันตอนเย็น ข้าวมื้อเย็นไว้กินกันตอนเช้า เสียงว.จากรถทุกคันเริ่มหายไป เราหลบฝนเข้ามานอนอยู่ในรถ เพื่อนผมพอหลังพิงเบาะได้ก็หลับไปเพราะความเพลียที่ขับรถมาทั้งคืนและได้นอนงีบแค่นิดเดียวที่ปั๊ม ที่นี้ก็เหลือแต่ผมที่เกิดจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ในยามนี้ขึ้นมา ข่มตาไม่ลงกับเรื่องเล่าแถวนี้ที่เคยได้ยินมา เลยจิบวิสกี้เรียกไออุ่นให้กับร่างกายที่เปียกชื้นมาทั้งวันก่อนจะผลอยหลับไปเพราะความล้ามาทั้งวันโดยไม่รู้ตัว

เราเริ่มเดินทางกันแต่เช้า สภาพเส้นทางที่ฝนพรำทั้งคืนทั้งลื่นๆ และ เละโคตรๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีหนทางไต่ขึ้นไปโดยไม่ได้รับบาดแผล จากสภาพรถตอนนี้เริ่มมีอาการบอบช้ำให้เห็นกันเป็นแถว ถ้าฝืนอาจจะไปตายกลางทาง เห็นสมควรว่าไว้มาแก้มือหน้าหนาวจะดีกว่า จากนั้นรีบทำมื้อเช้ากินกันก่อนที่จะไม่ได้กิน

ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์บิดมาแต่ไกลๆ พอพ้นโค้งก็เห็นแก็งค์ไอ้ตัวเล็กซิ่งลงเนินมาน้ำกระจาย มันเป็นความชอบของชีวิตลูกผู้ชายที่ชอบอะไรลุยๆ ที่บางคนอาจจะนึกสงสัยว่า "ทางดีดีมีไม่ไป ทางจังไรทำไมไปกันจัง"

หลังจากนี้ก็อีหรอบเดิม ทั้งวินซ์ทั้งลากแต่ที่เพิ่มเติมมาคือความลื่นอันเกิดจากฝนเมื่อคืนที่มาช่วยทำให้เส้นทางในการขับรถลงเขาน่าหวาดเสียวกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพราะได้แต่บังคับพวงมาลัยอย่างเดียว ปล่อยไหลเป็นสกีบก เพราะเบรคเอาไม่อยู่ได้แค่ประคองอาศัยขอบทางที่เป็นเนินสูงเป็นตัวช่วยซับแรงกระแทก ซึ่งถ้าหากไหลลงมาแรงเกินอาจมีพลิกคว่ำได้ง่ายๆ 

พ้นทางออกมาได้ถึงกับโล่งใจ จุดที่บอกเป็นเหวลึกน่ากลัวในยามค่ำคืนเผยให้เราเห็นภาพอันสวยงามในยามกลางวัน ธรรมชาติบางครั้งก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก  

ถึงแม้ภาระกิจที่เราทำจะไม่สำเร็จ แต่วิวจุดนี้ก็ช่วยเยียวยาหัวใจได้บ้างกับบนเส้นทางที่น้อยคนจะเข้าถึง 

ขอขอบคุณมิตรภาพของเพื่อนร่วมทางบนเส้นทางผจญภัยรูปแบบใหม่ของผม ทริปนี้ทำให้ผมได้เห็นอีกมุมนึงจากการเดินทาง ได้เห็นถึงการเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆหากเราร่วมมือและไม่ทอดทิ้งกันทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี 


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด






สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.02 น.

ความคิดเห็น