กราบสวัสดีพี่ๆน้องๆทุกท่านครับ คราวนี้ผมจะพาไปเที่ยวเวียดนามใต้กันนะครับ

จริงๆไปมาสักพักละ แต่ดองนานไปหน่อยยย....

เรื่องราวเริ่มจากเมื่อปีก่อนผมได้ลาออกจากงานที่เก่า และมีเวลาว่าง 1 สัปดาห์ก่อนจะเริ่มงานใหม่ครับ ด้วยความที่อยากเห็นทะเลทรายมาพักใหญ่ๆ และหนังเรื่อง "เรา สองสาม คน" ทำให้ได้รู้ว่ามีทะเลทรายน้อยๆอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา ทำให้ผมตั้งเป้าหมายของทริปนี้เป็น White Sand Dune ที่ Mui Ne ประเทศเวียดนามครับ

เนื่องจากมันเป็นต้นเดือนมิถุนายนที่ไม่มีวันหยุด และไม่มีโปรตั๋วใดๆ (เผอิญออกจากงานกระทันหันมากครับ ตัวผมเองก็ไม่ได้แพลนว่าจะมีเวลาไปเที่ยวไหน) ทำให้ผมคิดว่าคงยากที่จะหาเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย เลยตัดสินใจไปคนเดียวครับ!! เป็นทริปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของผม แต่ตลอดทริปนี้แทบจะไม่มีเวลาอยู่คนเดียวเลยครับ 555


แผนการเดินทางของผมนะครับ



ค่าใช้จ่าย

ตอนผมไปค่าเงิน 1 THB = ประมาณ 660 VND ครับ วิธีคิดก็ง่ายๆ ของราคาเท่าไหร่ จับหาร 1,000 แล้วคูณ 1.5 หรือบวกครึ่งครับ

ค่าครองชีพนี่ที่ค่อนข้างสูงกว่าไทยครับ ถ้ากินอาหารในร้านมื้อนึงจะเฉียดๆร้อยบาท และของกินเช่น น้ำขวด ที่ขายตามร้านข้างทางจะมีโก่งราคาต้องดูร้านดีๆครับ


จะเห็นว่าค่าตั๋วโหดร้ายมาก


South Vietnam Tips

- คนเวียดนามพูดอังกฤษพอได้งูๆปลาๆครับ เค้าเลิกพูดฝรั่งเศสไป 2-3 Gen แล้ว เจอนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสมาที่นี่เยอะเพราะคิดว่าคนที่นี่พูดได้

- พกเงินดอลล่าติดตัวไปด้วยนะครับ บางบริษัททัวน์ และโรงแรมจะรับเงินดอล ซึ่งจะพกสะดวกกว่าใช้ด่องครับ แลกกลับง่ายด้วย

- คนที่นี่(HCMC) ส่วนใหญ่จะผิวคล้ำ หน้าตาเคร่วเครียด แววตาแข็งๆ แต่เนื้อในเป็นคนดีครับ เคยโดนชาวเวียดนามดุให้เก็บกระเป๋าดีๆเดี่ยวโดนฉก อารมณ์แบบเป็นห่วงนะ แต่ไม่แสดงออก

- ใน HCMC รถมอไซต์เต็มบ้านเต็มเมืองครับ เสียงแตรจะดังทุก 5 นาที ไปวันแรกๆจะตกใจ หลังๆจะเริ่มชินครับ การบีบแตรที่นี่เหมือนเป็นการสื่อสารธรรมดาของเค้า ไม่ใช่การตำหนิติเตียนอะไรครับ

- การข้ามถนนเป็นสิ่งท้าทาย ถ้ารอให้รถว่างแล้วค่อยข้าม ทริปนี้คงใช้เวลาสัก 12 วัน เราต้องใจแข็งเดินข้ามไปตรงๆเลย รถจะขับหลบให้เอง ต้องยอมรับว่ามอไซต์ที่นี่ขับกันเก่งครับ แต่! ห้ามเดินข้ามไปแล้ว ถอยหลังกลับ มันจะอันตรายมากครับ

- ที่พักถ้าเป็น Hostel ทำใจเรื่องความทรุดโทรมนิดนึงนะครับ

- เรื่องการโกง ได้ยินเค้าเตือนๆหนาหู มีแน่นอนครับ เพื่อนผมที่เคยไปโดนล้วงเอาสมาทโฟนไปเรียบร้อย ต้องระมัดระวังตัวให้ดีครับ

- แท๊กซี่ไม่จำเป็นอย่าใช้ครับ ถ้าใน HCMC วัยรุ่น วัยกลางคน เดินเท้าเที่ยวได้ เมืองเค้าสวยด้วย มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแซมร่มรื่นตลอดทาง

- ตามสวนสาธารณะของ HCMC มักจะเจอคู่รักมาสวีทกันครับ ตอนเย็นๆจะมีลูกเล็กเด็กแดงปูย่าตายายออกมาทำกิจกรรมสันทนาการกัน มีชีวิตชีวามากทีเดียว

- ร้านเหล้าที่นี่คนนั่งพื้นปูเสื่อกันหน้าร้านครับ และมักจะมีคนขับจักรยานมาดีดกริ่งใส่เราเสมอๆ //You know what I men

- อาหาร ผมไม่ค่อยสันทัด ส่วนใหญ่จะเป็นเฝอ ข้าว หมูย่าง บาเเก๊บ พวกอาหารเวียดนามแบบร้านในบ้านเราต้องเข้าไปกินในร้านใหญ่ๆครับ

- ฟามงูเหลาว คือตรอกข้าวสารของ HCMC คุณจะหาได้ตั้งแต่ที่พัก ทัวน์ ยันสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน

- มี 7-11 อยู่ทั่วไป ของไม่ต่างจากไทย ใครกินอาหารยากก็มีมาม่าไว้ประทังชีพครับ

- รถทัวน์ของทางใต้ค่อนข้างทรุดโทรมครับ รถไป Da Lat พอโอเคบ้าง แต่รถไป Mui Ne นี่มันสึสๆมากกก ไว้จะเล่าให้ฟังครับ

- Da Lat เป็นเมืองน่ารักฟรุ้งฟริ้ง อากาศเย็นๆ หมอกยามเช้า ดอกไม้สวยๆ

- Da Lat หนาวนะครับ ใครไปหน้าหนาวเอาเสื้อหนาวไปด้วย จำเป็นๆ (บางปีหิมะตกนะ)

- Mui Ne ร้อนนะครับ ใครไปหน้าร้อน ไม่ต้องเอาเสื้อไปครับ //ผิด (ร้อนมากจนตอนบ่ายไม่มีใครออกมาจากบ้าน)

- ทริปนี้ Temperature Shock มาก ดึกๆ ร้อนๆที่ HCMC ไปตื่นเช้าควันออกปากที่ Da Lat บ่ายๆเจอตะวันแผดเผาที่ Mui Ne

- โปรดเตรียมตังไปทานอาหารทะเลที่ Mui Ne ที่ตลาดประมงราคาถูกมากๆ (อันนี้เพื่อนบอกมา ผมไปคนเดียวเลยกินที่ร้าน ราคาก็พอไหวอยู่ครับ)

- โปรดเตรียมน้ำจิ้ม Seafood ไปด้วย ที่นั่นไม่มีให้ครับ เป็นมะนาวกับผงเค็มๆ แทน

- ทะเล Mui Ne อย่าลงนะครับ ยิ่งใกล้ๆเมือง เพราะทะเลที่นี่เป็นทั้งแหล่งทำมาหากิน และสุขาแบบเร่งด่วนของคนแถวนั้น

- My Tho คือบางกระเจ้าของชาวเวียดนามครับ แค่ไม่มีเลนจักรยาน 555

- ใครมีเวลาแนะนำให้ไปค้าง Home stay ที่ My Tho ครับ เค้าจะมีเป็นทัวน์ให้ไปใช้ชีวิต Slow Life กับชาวบ้านที่นั่น

- จาก HCMC จะมี Day Tour หลายเส้นทางมาก ผมไม่ได้แพลนไปเลยสุ่มไป My Tho ซึ่งผมเฉยๆกับมัน คนที่กำลังจะไปลองหาที่ๆตัวเองชอบดูนะครับ

- เส้นทาง HCMC - Da Lat - Mui Ne จะเป็นสามเหลี่ยมครับ เราสามารถสลับไป Mui Ne ก่อนก็ได้กรณีที่เราจะขึ้นไปทางเหนือต่อจาก Da Lat (เช่น Hoi An, Hue)


Day 1 : Trail in Saigon

เริ่มต้นวันด้วยพายุโหมกระหน่ำที่สนามบินดอนเมืองครับ 5ห้ากว่าๆ คนมหาศาลสภาพน่าจะเป็นทัวน์จีนลงครับ กว่าจะโหลดกระเป๋าได้ก็เกือบชั่วโมงนึง (โดนครอบครัวคนจีนแซวคิวไป) Gate ของผมอยู่ไกลมาก เรียกว่าเลย Gate ไปก็สุดทางเดินแล้ว ตอนไปถึง Gate ยังไม่เปิด มีคนอยู่นิดหน่อยมานั่งรอครับ เป็นคนเวียดนามซะส่วนใหญ่ เจอสาวเหนือ 3 คนจะเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเหมือนกันครับ ได้เพื่อนใหม่ตั้งแต่ที่ Gate เลยทีเดียว


สักพักฝนหยุด พระอาทิตย์ขึ้น Gate ก็เปิดครับ เราเดินทางออกจากประเทศไทยตอน 7 โมงด้วยสายการบิน Air Asia ครับ สังเกตว่าแอร์บนเครื่องจะใส่กางเกงยีนส์ ไม่ใช่กระโปรงแบบบินในประเทศครับ



ลงสนามบินที่ HCMC ประมาณ 9 โมงครับ ใช้เวลาในสนามบินไม่นานก็ออกมาถึงด้านหน้าได้ แถวๆทางออกจะมีเคาเตอร์ขายซิมโทรศัพท์ครับ มีหลายแบบมาก ผมกะสามสาวเหนือเจอกันอีกรอบตอนไปซื้อซิมครับ เลยตัดสินใจเดินทางไปด้วยกันเลย ผมใช้ของ Vinaphone (เจ้าที่ถูกสุด 55 ) ราคาซิมอยู่ที่ 149,000 VND แต่เป็นไมโครซิม ผมต้องใช้นาโนซิม ต้องเสียค่าตัดอีก 25,000 VND ครับ ใช้โทรและ 3G ได้ 15 วันครับ



ซื้อซิมเสร็จก็ออกมาจากสนามบิน หน้าสนามบินคนมหาศาลมาก เหมือนมารอรับดาราอะไรประมาณนั้น เดินไปทางขวาจะมีป้ายรถอยู่ครับ เราต้องนั่งรถบัส 152 เพื่อไปลงที่ฟามงูเหลา (Pham Ngu Lao) ราคา 5,000 VND ครับ



คนมาเต็มมาก ขาดแค่ป้ายไฟเท่านั้น //ผิด



รถบัสโล่งๆ ผมบอกคนขับรถให้ช่วยบอกหน่อยถ้าถึงแล้ว


ตอนนี้ผมก็ได้เห็นถนนในเวียดนามเป็นครั้งแรก สมคำร่ำลือจริงๆทั้งเรื่องแตร ทั้งมอเตอร์ไซต์ที่กินพื้นที่ 80% ของถนน รถจะวิ่งผ่านวงเวียนตลาดเบนถั่น (Ben thanh) จุดสังเกตคือจะมีรูปปั้นคนขี้ม้าอยู่กลางวงเวียน (Tran Nguyen Han Statue) ถ้าเห็นก็แปลว่าจะถึงแล้วครับ


ประเทศเค้า Utilize พื้นที่ถนนได้ดีมาก แทบไม่มีพื้นที่ๆไม่ใช้งานเลย


วงเวียนตลาด Ben thanh ครับ


เราลงที่ Pham Ngu Lao แล้ว แพลนของผมคือหา Tour สำหรับรถไป Da Lat Day Tour และที่พักครับ ที่เลือกจะใช้ Tour เนื่องจากผมแพลนนั่งรถนอนไปคืนนี้ไปถึงประมาณตี 5 ไม่คิดว่าจะมีที่พักเปิดครับ และต้องหา Day Tour สำหรับเที่ยวในวันนั้นด้วย ซึ่งใช้การเหมา Tour จากที่นี่น่าจะเซฟกว่า โดยผมติดต่อที่หน้าร้าน Vietsea [ http://www.vietseatourist.vn/ ] ครับ เลือกเจ้านี้เพราะเห็นคนไทยใช้บริการค่อนข้างเยอะ ราคาหน้าร้านจะถูกกว่าในเวปไซต์นะครับ ต่อรองได้ในจุดหนึ่ง


แผนที่รอบๆ Pham Ngu Lao นะครับ


ผมใช้บริการของ Vietsea ใน Da Lat ทั้งหมด คือ รถนอนจาก HCMC + Day Tour + ที่พัก 1 คืน + รถไป Mui Ne ครับ ค่อนข้างทรมานกับค่าโรงแรมครับ เนื่องจากผมไปคนเดียวแต่ต้องเสียตังเหมือนนอน 2 คน จริงๆนอน Hostel จะถูกกว่ามาก ค่ารถข้ามเมืองไม่ต่างจากจองเองเท่าไหร่ (ดริฟกัน 40 บาท) สิริรวมทั้งหมด 49 USD ครับ เมื่อเจรจาเสร็จ Vietsea ให้แผนที่เที่ยวเมืองกับน้ำมา 1 ขวด และรับฝากกระเป๋าเราให้ครับ ตอนเย็นเข้ามาอาบน้ำที่ห้องน้ำเค้าได้นะครับ (ใช้สายยางนะ 55)


เมื่อจัดการเรื่องทัวน์เรียบร้อยแล้ว ผมก็หาข้าวกินแถว Pham Ngu Lao อันนี้ให้สามสาวนำไป ผมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องอาหารเท่าไหร่ เราเดินเข้าซอยที่อยู่ถัดจาก Vietsea ไป ซอยนั้นจะมีทั้งบริษัททัวน์ ที่พัก และร้านอาหารครับ พวกเราไปได้ร้านที่ชื่อว่า Sinh Cafe เป็นเหมือนร้านตามสั่งธรรมดานี่แหละครับ ราคาก็แรงอยู่จานละเกือบร้อยทั้งนั้น ผมสั่งข้าวหน้าหมูย่าง 65,000 VND ครับ



ปากซอยจะมีต้นไม้ใหญ่ยู่ครับ


ซอยร่มรื่น รถไม่เยอะมาก


ทานเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาสำรวจเมืองโฮจิมินห์ แห่งนี้ซะทีครับ วันนี้เราจะเดินเท้ากันล้วนๆ โดยเบื้องต้นคิดไว้ว่าจะไปที่โบสถ์ Notre Dame ครับ และข้ามไปไปรษณีย์ไทย เอ้ย ไปรษณีย์เวียดนามที่อยู่ตรงข้าม เดินต่อไปดู independent Palace และ เดินเล่นในตลาด Ben Thanh ครับ



เส้นทางตาม Google Map เลย ป้ายที่นี่เป็นภาษาเวียดนามนะครับ ถ้าจะมาแบบไม่ใช่อินเทอร์เนต ต้องจำตัวอักษรชื่อถนนให้ดีไม่งั้นอาจจะหลงได้



เอ้า ไปกันเลยยย ~

พวกเราเดินย้อนกลับมาเจอตลาด Ben Thanh อีกรอบครับ แต่ยังไม่เข้าไป มุงตรงไปยัง Notre Dame Cathedral ก่อน แถบๆ Pham Ngu Lao สภาพเมืองโดยทั่วไปจะเป็นตึกแถวไม่สูงมากครับ ถ้ามองออกไปไกลๆก็จะเห้นตึกสูงๆเป็นแบคกราว มีตึกหน้าตเหมือน Stark Tower อยู่ตึกนึงสูงเด่นเป็นสง่า (Bitexco Financial Tower) ที่สังเกตได้ชัดคือต้นไม้ร่มรื่นมากครับ ตามริมถนนจะมีต้นไม้สูงชะลูดตลอดทางเลย



วงเวียนตลาด Ben Thanh ที่มีแบคกราวน์เป็น Stark Tower พอดีครับ



เป๊ะ มากกกก



มีต้นไม้สูงประทับทั่วทุกถนนหนทางเลย


สตาบัคก็มีนะเออ



สตรีทอาร์ทก็มีนะะและแล้วหลังจากเดินบ้างหลงบ้าง แวะนั่นนู่นนี่ 1 ชั่วโมงเป๊ะ เราก็มาถึงที่ Notre Dame Cathedral แล้วครับ หรือที่เรียกทางการว่า Basilica of Our Lady of The Immaculate Conception เป็นวิหารที่สร้างในสมัยฝรั่งเศสปกครองประเทศ โดยอิง Design มาจาก Cathédrale Notre-Dame de Paris ในประเทศฝรั่งเศส (วงหน้าต่างกลางวิหาร)


วิหารแห่งนี้เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-เสาร์นะครับ เข้าได้ 2 รอบคือ 08:00 AM - 10:30 AM และ 03:00 PM - 04:00 PM ครับ

ซึ่งผมไปถึงบ่ายสอง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเค้าปิดช่วงเที่ยงถึงบ่าย เลยเข้าใจว่าปิดวันนี้ (มีป้ายบอกนะ แต่ภาษาเวียดนามล้วน) พลาดสุดๆ TT-TT


ตอนนี้แดดร้อนมาก ผมจึงหนีเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์กลางที่อยู่ตรงข้ามก่อน ซึ่งที่ทำการนี้สร้างในสมัยฝรั่งเศสปกครองเวียดนามเช่นกัน โดยเห็นได้ชัดจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่าง Gothic และ Renaissance ครับ


ใครอยากส่งจดหมายกลับไทยก็ส่งจากที่นี่ได้นะครับ ฝรั่งมาเขียนโปสการ์ดกันเพียบเลย


สถานที่ต่อไปที่เราจะไปคือ Independent Palace โดยอ้อมด้านหลังของ Notre Dame Cathedral ไปครับ



ด้านหลังวิหารก็สวยไม่แพ้ด้านหน้าครับ



เดินทะลุผ่านสวนอันร่มรื่น



หยุดทักทายหมาน้อย 3 ตัว (ดูท่าจะร้อน)

และแล้วเราก็มาถึง Independent Palace ครับ ที่นี่เป็นอดีตศูนย์บัญชาการของเวียดนามใต้ในช่วงสงครามเวียดนาม และเป็นสถานที่ยุติสุดสงครามเวียดนามในเหตุการณ์ Fall of Saigon ที่รถถังของเวียดกงพังประตูพระราชวัง และยึดเวียดนามใต้ไว้ได้


ด้านข้างวังจะมีจุดขายตั๋วครับ ค่าเข้าคนละ 30,000 VND สวนด้านหนาจะมีพวกรถถังจัดแสดงครับ ด้านในจะเป็นห้องประชุม ประวัติสถานที่ ห้องบัญชาการ หลุมหลบภัย และอาวุธสงกรามสมัยนั้น บนดาดฝ้ามี ฮ.จอดอยู่ลำนึง


ระหว่างอยู่ในวังนั้นฝนตกลงมาครับ หนักมากด้วย ทำให้ผมต้องติดอยู่ในนั้นพักใหญ่ๆเลย พอฝนเริ่มซาก็ห้าโมงเย็นกว่าๆแล้ว บรรดาพิพิธภัณฑ์ต่างๆก็ปิดหมดแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปตลาด Ben Thanh เลยเพื่อจะได้มีเวลาเดินเล่น และหาอาหารเย็นทานครับ


ระหว่างทางผ่านโรงหนังด้วย เลยแวะเข้าไปดูนิดนึงว่าต่างกับบ้านเราแค่ไหน แอบนึกถึงสมัยเมเจอร์ฮอลลีวู้ดปากเกร็ดรุ่งเรือง 555

และแล้วพวกเราก็กลับมาถึงตลาด Ben Thanh ตอนเกือบหกโมงเย็น ฝนยังปรอยๆนิดๆ พวกเรากินเข้าร้านอาหารทานข้าวเย็นก่อน ร้านที่เข้าวันนี้คือ Pho24 บริเวณด้านข้างตลาด แถวนั้นร้านอาหารเยอะมาก โดนค่าเฝอไป 55,000 VND และ Saigon Bia อีก 15,000 VND


พวกผมเดินเล่นในตลาดอารมณ์คล้ายๆสวนจตุจักร มีพวกของฝาก เสื้อผ้า กระเป๋าขาย เดินได้ไม่นาน พวกเราเดินก็กลับมาแถว Pham Ngu Lao ครับเส้นด้านหลังตอนนี้เปิดเป็นตลาดกลางคืน มีร้านเหล้ามากมาย โดยร้านที่นี่จะปูผ้าใบยาวออกมาหน้าฟุตบาทให้คนนั่งครับ


ตรงข้าม Vietsea เหมือนจะเป็นสวนอะไรสักอย่าง มีชาวบ้านเข้าไปกันเต็มเลย พวกเราเลยตามไปดูมั่ง พบว่ามันเป็นอัฒจรรย์ครับ วันนี้คล้ายๆงานวันเด็กมีการแสดงของเด็กๆ และขนมขายเต็มเลย เป็นโชคดีของพวกเราที่ได้มีโอกาสซึมซับวัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆอันนี้ ที่สังเกตได้คือหลังจากการแสดงจบ ครอบครัวชาวเวียดนามต่างมายืนรอรถเมล์กันครับ มีส่วนน้อยที่หิ้วกันขึ้นมอเตอร์ไซกลับ ไม่เห็นใครใช้รถยนต์เลย


หลังจากดูโชว์เสร็จ พวกเราก็กลับมาที่ Vietsea เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวขึ้นรถต่อไป Da Lat ครับ ผมซื้อน้ำขวดใหญ่ไว้ไปกินบนรถด้วย โดยซื้อจากร้านของชำข้าง Vietsea 10,000 VND ราคาเท่าน้ำขวดเล็กที่ขายในร้านแถวที่เที่ยวเลย เผลอไม่ได้มันโก่งราคากันจริงๆครับ ร้านแถวๆ Pham Ngu Lao จะมีเบียร์นอกขายเต็มเลย พวก Blood-wiser Corona Saporo ราคาถูกมากๆด้วยครับ ตกกระป๋องละ 30-40 บาท

22.30 พวกเราก็ไปรอรถนอนกันบริเวณหน้าบริษัทรถทัวน์ Phung Trang ครับ ทาง Vietsea จะแจกเป็นใบเสร็จมาเป็นของรถ ของโรงแรม และของทัวน์ครับ เราใช้การยื่นใบนี้ไปเลยในการใช้บริการ รถนอนที่มารับเราเลทนิดหน่อยครับ มาถึง 22.50 รถนอนจะมี 3 แถว 2 ชั้น เป็นเตียงขนาดพอดีตัว มีช่องให้เอาขายื่นลงไป พนักงานจะแจกถุงพลาสติกเอาไว้ใส่รองเท้าครับ คนไซส์มาตรฐานจะนอนได้สบายครับ สูงเกิน 175 จะเริ่มยืดขาได้ไม่สุดแล้ว แถวหลังสุดจะเป็นเตียงยาว 2 ชั้นให้มุดเข้าไปนอนรวมกัน ไม่น่านอนอย่างรุนแรง แลดูอึดอัดมาก แนะนำว่าตอนซื้อตั๋วให้พยายามบอกเค้าไว้ว่าไม่เอาหลังสุดนะครับ รถไม่มีห้องน้ำต้องเข้าให้เรียบร้อยก่อนขึ้นนะเพราะระหว่างเป็นเป็นภูเขาไม่มีที่ให้จอดแวะ



Day 2 : Da Lat เมืองสายหมอกดอกไม้

ตีห้ากว่าๆ หลังจากหลับๆตื่นๆกับรถทัวน์ที่ขับส่ายไปสายมาพร้อมบีบแตรทุก 10 นาที ตอนนี้เราก็มาถึงสถานีขนส่งเมือง Da Lat เรียบร้อยแล้ว ตอนลงจากรถมาช๊อคมาก เนื่องจากอากาศหนาวจนควันออกปาก และด้วยความเชื่อที่ว่าเวียดนามอยู่ละติจูดใกล้เคียงกับไทย อากาศน่าจะร้อนๆเหมือนกัน ผมจึงแพคตัวเองมากับเสื้อยืดล้วนๆ ณ จุดๆนี้ถึงกับอยากเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มทีเดียว


แผนที่เมือง Da Lat ในพื้นที่ๆผมอยู่นะครับ เมือง Da Lat ไม่ใหญ่มากครับ เส้นทางจากตลาดไปยังที่พักเพียงแค่ 1 Km เท่านั้นเอง

จากสถานีขนส่งเราต้องนั่งรถมินิบัสต่อมายังตัวเมืองครับ โดยจะมีรถมารออยู่และถามเราว่าจะไปลงโรงแรมไหน ของผมมีใบเสร็จจาก vietsea อยู่แล้วเค้ามีรถมารับชัดเจนครับ สำหรับคนที่ไม่มีที่พักก็อยากจะให้เค้าไปส่งที่ตลาดก่อนก็ได้ครับ แล้วจึงค่อยเดินหาเอา แต่อย่างที่ผมแจ้งไว้ตอนต้นคือ Hostel ต่างๆจะไม่เปิดจน 7 โมงครับ

รถมารับพาผมไปส่งโรมแรมครับ ชื่อว่า La Pensee Hotel ครับ อยู่ไม่ห่างจากตลาดเท่าไหร่ ตอนไปถึงไม่มีใครตื่นครับ ต้องกดกริ่งอยู่พักใหญ่ๆจึงจะมีพนักงานลงมาเปิดให้ครับ พอเอาใบเสร็จให้เค้าก็เหมือนว่าทาง Vietsea จะระบุวันที่เข้าพักไว้ผิด ทำให้ทางโรงแรมต้องโทรไปหา Vietsea ยุ่งกันนิดหน่อยครับ (จะบอกว่าพนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ พยายามคุยกันนานมากจนเค้าต้องเปิดเวป Translate ในคอมจึงพอจะเข้าใจกัน)

ตอนนี้ผมยังเข้าห้องไม่ได้ จึงฝากกระเป๋าไว้ที่ Desk ก่อน และไปล้างหน้าแปรงฟัน รถที่จะพาไป Day Tour จะมารับตอน 9.30 ครับ ตอนนี้ผมเลยพอมีเวลาไปเดินเล่นหาข้าวเช้าที่ตลาดเมือง Da Lat ครับ


บรรยากาศทะเลสาบตอนเช้า

ถนนก่อนถึงตลาดเช้าหลักๆจะขายพวกผักสดต่างๆครับ มีพวกร้านอาหารรถเข็นบ้าง เช่นหมูย่าง บาแก๊บ ด้านในของตลาด(หลังรูปปั้น)จะเป็นพวกของสดต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ และรอบๆข้างจะมีพวกดอกไม้ขายครับ คนค่อนข้างพลุกพล่าน มอเตอร์ไซต์ยังวิ่งกันฉวัดเฉวียนเหมือนเดิม สังเกตว่าพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ใส่งอบกันทุกคนครับ ต่างกับที่ HCMC ที่จะมีงอบให้เห็นน้อย ส่วนใหญ่จะอยู่ในร้านขายของเท่านั้น


กระบองเพชรก็มีนะมื้อเช้านี้ได้จัดบาแก๊บไป 15,000 VND และกลับมารอขึ้นรถที่โรงแรมครับ รถมารับตรงเวลาครับ เป็นรถตู้คนที่ไปเป็นคนไทยเกือบทั้งคัน โดยมีผม สาวสาวเหนือที่ติดมาด้วย (ตอนเเรกเค้าจะไปทัวน์นอกเมือกัน แต่คนขับแนะนำให้เปลี่ยนมาทัวน์นี้เพราะเมื่อคืนฝนตกทางอาจจะเข้าไม่ได้) และแก๊งสาวไทยอีกแก๊งนึง ทำให้รถคันนี้ค่อนข้างจะเฮฮาปาร์ตี้กัน

โดยที่ๆแรกที่ไกด์พามาคือพระราชวังฤดูร้อนครับ ที่นี่ตัวผมรู้สึกเฉยๆครับ ฟิ้วววววววว ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว


มีม้าให้ขี่ด้วยนะ

ที่ๆสอง จะเป็นโบสถ์คริสต์ Dalat Cathedral ครับ ชาวบ้านจะเรียกว่า Cock church เพราะมีไก่ตัวผู้อยู่บนยอดหอระฆังครับ เข้าไม่ได้นะ เดินข้างนอกอย่างเดียวครับ ที่นี่ขอผ่านแบบสั้นๆเช่นกัน ฟิ้วววววว

ต่อจากโบสถ์ไก่ เราจะไปขึ้นเคเบิลคาร์กันครับ โดยรถจะพาเราไปส่งที่สถานีขึ้น แล้วจะไปรอรับเราที่ปลายทางครับ เสียค่าขึ้นรอบละ 50,000 VND โดยเคเบิลคาร์จะพาเราวิ่งผ่านป่าสนสามใบ ระยะทางประมาณ 2.5 Km ครับ วิวป่าสนสวยมากกกก


รถจะจอดด้านล่าง เราต้องเดินขึ้นบันไดสั้นๆมาที่สถานี


วิวบนสถานีครับ หันกลับไปจะเห็นเมือง Da Lat


หันไปอีกด้านจะเจอป่าทึบ


ต่อคิวรอขึ้นเคเบิลคาร์ ขึ้นได้คันละ 4 คนครับ


ฟิ้ววววววววววว


วิวงามมากกกก


คันหน้ามาเป็นครอบครัวเลย


ถึงตอนลงเขาแล้ว เห็นปลายทางลิบๆ เป็นวัดครับ


ตอนจะถึงนี่แทบจะเฉียดหลังคาบ้านชาวบ้านเค้าปลายทางของเคเบิลคาร์คือ Truc Lam meditation Monastery เป็นสถานปฏิบัติธรรมครับ ถ้าลงไปด้านล่างจะเป้นทะเลสาบใหญ่เลย แต่ผมลงไปไม่ทันครับ


จุดต่อไปคือ Datanla waterfalls ครับ น้ำตกที่นี่ขึ้นชื่อตรงมีรางรถไฟเหาะลงไปถึงน้ำตกชั้นล่าง ซึ่งเราสามารถนั่งลงไปได้ครับ แต่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วก่อน จริงๆชั้นที่รถไฟเหาะพาไปเป็นเพียงชั้นแรกๆเท่านั้น ต่อจากรถไฟเหาะเราสามารถนั่งเคเบิลคาร์ลงไปได้อีก รวมถึงมีบางชั้นที่ต้อง Canyoning ขึ้นไปด้วยครับ


มีร้านขายต้นไม้ก่อนลงด้วย


ฟิ้ววววววววว


ตัวน้ำตกครับ คนเยอะมว้ากกกก


ถ้าจะลงต่อก็ทางนี้ครับ แต่ตอนผมไปเวลาน้อย ลงไม่ทันที่ถัดมาคือสถานีรถไฟของเมือง Da Lat จะมีหัวรถจักรไอน้ำจอดให้ถ่ายรูปครับ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ตอนนั้นฝนก็เทลงมาด้วยทำให้พวกเราอยู่ที่นี่ไม่นานครับ


ตอนนี้เที่ยงพอดี ทัวน์พาไปร้านอาหารในเมืองครับ ไม่ไกลจากโรงแรมที่ผมพักเท่าไหร่ ราคาทัวน์ไม่รวมอาหารนะครับ เราสั่งเองจ่ายเอง จะเดินออกไปกินร้านอื่นก็ได้ครับ แต่ตอนนั้นตกหนักมมากเลยไม่ได้ไปหาที่ไหนครับ อาหารราคาแอบแรงอยู่ ข้าวผัด 60,000 VND แหน่ะ

พอกินกันเสร็จเราไปต่อกันที่ Valley of Love ครับ จะเป็นสวนดอกไม้ และมีพรอฟหวานๆให้คู่รักมาสวีทถ่ายรูปกัน ไอ้เรามาคนเดียวก็ยืนมองตาปริบๆครับ แต่บรรยากาศก็ดีอยู่ อารณ์คล้ายๆดอยอ่างขาง แต่ดอกไม้ไม่เยอะเท่าครับ ตอนนั้นฝนซาแล้วด้วยเลยได้เดินเล่นนิดหน่อย


ที่ต่อมาแทบจะอยู่เยื้องๆกับ Valley of Love เลย คือ XQ Historical Village เป็นเหมือนศูนย์ศิลปาชีพที่รวบรวมเอาศิลปะวัฒนธรรมของ Da Lat ไว้ คล้ายๆสำนักศิลป์นิดๆ คนที่มาเรียนที่นี่จะต้องแต่งชุดอ่าวหญ่าย โดยงานศิลปะที่โดดเด่นของที่นี่คืองานเย็บปักถักร้อย ที่จะถักเป็นรูปภาพครับ มีทั้งภาพเหมือน ภาพวิว ไปยันภาพแนวแอบแสร๊ค ภาพเหมือนบางภาพจะปักทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สวยงามมาก และแพงมากเช่นกันครับ


บริเวณด้านนอกก็จะเป็นสวนหย่อมเหมือนเป็นที่พักผ่อนของศิลปินที่มาฝึกที่นี่ครับ โดยจะมีปรัชญาต่างๆแทรกอยู่ในแต่ละส่วนของสวนครับ และจะมีส่วนที่เป็นร้านน้ำชา และร้านอาหารด้วย เป็นสวนที่สงบร่มรื่นจิตใจมาก จริงๆถ้ามาเองอยากจะค่อยๆเดินดูจนมืดเลยครับ


หลังจากออกจากที่นี่ ทัวน์พาไปแวะซื้อของฝาก และชิมน้ำชาครับ ผมก็ไม่ใช่สายนี้ แยกไม่ออกเหมือนกันว่าอร่อยไม่อร่อยอย่างไร (ถ้าชิมเบียร์จะรื่นเริงมาก) และทัวน์ก็พามาส่งที่พักครับ ประมาณสี่โมงกลางๆ ผมพักผ่อนอยู่พักใหญ่ๆ และแล้วก็เจอว่ายาสีฟันหายไปไหนไม่รู้ เลยต้องออกไปซื้อที่ร้านชำแถวนั้นครับ (ต้องเสิร์จ Google เป็นรูปร้านชำให้ Desk ที่โรงแรมดู เค้าถึงคอยเข้าใจและบอกทางให้) ไปถึงร้านชำเจอว่ามีโยเกิร์ตขายด้วย เคยได้ยินในนี้ว่าโยเกิร์ตที่นี่อร่อยมาก เลยซื้อมาลองชิมครับ อร่อยจริงมั้ยแยกไม่ค่อยออกเท่าไหร่ครับ แต่รู้แน่ๆคือตังหายไป 18,000 VND ค่าโยเกิร์ต และ 25,000 VND ค่ายาสีฟันหลอดใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน (ปีกว่าๆแล้ว) ก็ยังใช้ไม่หมดครับ


หลังจากพักยาวๆไปแล้ว ผมกับสามสาวเหนือก็ออกไปเดินตลาด Da Lat กันครับ หาข้าวเย็นกินด้วย ซึ่งตอนเย้นนี้ตลาดคึกคักมาก คนเดินกันเต็มไปหมด ร้านอาหารก็พากันมาตั้งกันเต้มวงเวียนและทางเดินไปหมดครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเฝอ และอาหารปิ้งย่างทั้งหลาย พวกขนมก็จะเป็นพวกขนมปังและน้ำเต้าหู้ครับ วันนี้ก็จัดขนมแปลกๆไปอันนึง เฝอ 1 ชาม (20,000 VND) และขนมปังน้ำเต้าหู้ครับ


ทานเสร็จแล้วเราย่อยอาหารกันด้วยการหาที่พักราคาถูกให้กับสามสาวไว้นอนวันพรุ่งนี้ครับ โดยผมจะพักที่ Da Lat แค่คืนเดียว พรุ่งนี้จะไป Mui Ne ตอนเช้า ส่วนสามสาวเหนือจะอยู่เที่ยวที่นี่อีกวันหนึ่งครับ เค้าเลยจะเปลี่ยนไปหาที่พักที่ถูกกว่านี้ โดยถ้าดูแผนที่ Da Lat ที่ผมโพสไว้ด้จะมีบริเวณที่ตีกรอบเขียนไว้ว่า Hostel Area ครับ บริเวณนั้นจะมีตึกแถวที่เปิดเป็น Hostel เยอะ สามารถไปเดินต่อรองราคาได้ครับ โดยห้องถูกสุดที่ไปเดินถามน่าจะประมาณ 10 USD สำหรับ 3 คนครับ แต่ไม่แนะนำให้เดินหาตอนดึกๆ เพราะเปลี่ยวพอดูเหมือนกันครับ


ขากลับที่พักแวะทะเลสาบที่ผ่านตอนเช้า ไปนั่งชิลกันสักแป๊ปนึง บรรยากาศดีมากๆ อากาศเย็นๆ หมอกจางๆไหลลงปกคลุมไปทั้งเมือง เสียดายที่รูปถ่ายสื่อความรู้สึกนั้นออกมาได้ไม่ดีเท่าของจริง ผมว่าทุกท่านคงควรจะต้องมาสัมผัสเมืองแห่งนี้เองสักครั้งนึงแล้วล่ะครับ



Day 3 : Mui Ne เมืองแห่งทะเลทรายและชายฝั่ง

เช้าวันนี้ผมกลับมาลุยเดี่ยวอีกครั้งครับ หลังจากทีสามสาวเหนือมาเที่ยวเป็นเพื่อนตั้งแต่ลงเครื่องที่ HCMC แผนวันนี้คือขึ้นรถไป Mui Ne ตอนเช้า และเที่ยว Mui Ne ครึ่งบ่ายครับ ผมออกมาทานเข้าเช้าก่อนขึ้นรถ โดยเดินหาเอาในถนนหน้าที่พัก จะมีร้านมาตั้งโต๊ะอยู่นิดหน่อย วันนี้ก็จัดอาหารเช้าประจำชาติลาว และเวียดนามอีกแล้วครับ ราคา 30,000 VND ลองสั่งกาแฟมาชิมดู 13,000 VND (คนขายลดให้ 3,000 VND ด้วย น่ารักมาก><) กาแฟที่นี่ขมสุดๆ แต่ก็หอมดีครับ


พอถึงเวลารถบัสก็มารับครับ เป็นรถมินิบัสแบบไม่มีแอร์ พัดลมก็เช่นกันครับ เรียกว่าได้สัมผัสกาอาศภายนอกสุดๆ รถมีแถวละ 3 ที่นั่ง พอคนขึ้นเต็มทางเดินจะมีเก้าอี้พับลงมาปิดให้พอนั่งได้รวมเป็น 4 คน ทั้งคันก็ประมาณ 25 คนครับ ถ้านั่งกลางที่นั่งจะคับแคบไม่สบายครับ กระเป๋าเดินทางเราก็จะถูกอัดอยู่รอบๆตัวเรานี่แหละ ถ้านั่งริมหน้าต่างก็เตรียมเเขนเกรียมได้เลยครับ


เส้นทางจาก Da Lat ไปยัง Mui Ne จะเป็นเส้นทางคดเคียวขึ้นภูเขาครับ พื้นก็ค่อนข้างขรุขระ เราจะนั่งส่ายไปส่ายมาตลอดทางครับ วิวข้างทางก็จะเป็นวิวภูเขาสวยๆ แต่ถ่ายรูปลำบากเหลือเกินเพราะที่คับแคบมากครับ สุดท้ายผู้โดยสารในรถจะจบลงที่การหลับซะสว่นใหญ่เพราะเพลียจากลมร้อนครับ


ประมาณเที่ยงกว่าๆเราก็มาถึง Mui Ne ครับ รถจะจอดตรงข้ามบริษัท Sinh Travel ครับ สามารถเช่ามอเตอร์ไซขับ หรือให้เค้าหาที่พักให้จากตรงนั้นได้ครับ ถ้ามีที่พักอยู่แล้วก็จะมี Taxi จอดรอให้บริการอยู่ครับ

และแล้วเราก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางของทริปนี้แล้วครับ

เมือง Mui Ne ที่เที่ยวหลักๆมีแค่ 3 ที่เท่านั้นเองนั่นคือ Fairy Steam Red Sand Dune และ White Sand Dune ครับ จะเที่ยวให้ครบใช้เวลาครึ่งวันก็เพียงพอครับ โดยจากแผนที่จะเห็นว่าจุดที่ผมลงรถกับที่พัก (เพื่อนแนะนำมา) ค่อนข้างไกลกันอยู่ครับ และผมไม่อยากเช่ามอเตอร์ไซต์จากที่นี่เพราะเวลาคืนต้องขับกลับมาอีกจะยุ่งยาก ผมเลยใช้บริการ Taxi ครับ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอิดออดใดๆนอกจากแอบรู้สึกว่ามิเตอรฺ์วิ่งเร็วมาก และคนขับยึดเงินไป 5,000 VND บอกว่าเป็นทิป รวมทั้งสิ้นเสียหายไป 78,000 VND กับเส้นทาง 3 Km กว่าๆครับ

ที่พักผมไม่ได้จองล่วงหน้าครับ แต่ Walk in เข้าไปเลย ชื่อ Minh Anh Garden Hotel ด้านหน้าจะเป็นร้านของชำ เจอเจ้าของชื่อลุง Liam กับพี่ผญ.อีกคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้ TT) น่ารักมากก คอยดูแลถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตลอดครับ ห้องพักเค้าคิดหัวละ 10 USD ครับ ผมได้เป็นห้องสำหรับ 3 คน แต่ผมนอนคนเดียว มีแอร์ ตู้เย็น ทีวีครบเครื่องครับ มี Welcome Fruit เป็นแก้วมังกร ครับ

ชี้เป้า >> http://booking.com/5ce5f125c6758b06


ลืมถ่ายภาพที่พักมา เอาหมาน้อยหน้าห้องไปแทนนะคับ

หลังจากเก็บของเรียบร้อยก็ถึงเวลาลุยทะเลทรายกันแล้ว โดยผมเช้ามอเตอร์ไซต์ที่ร้านชำหน้าที่พัก ก็ของลุง Liam นั่นแหละครับ ค่าเช่าวันละ 5 USD ผมเช่า 2 วัน มีน้ำมันติดก้นถังมาให้ ตอนเอามาคืนก็พยายามให้เหลือใกล้ๆเดิมครับ สองวันใช้น้ำมันประมาณถังครึ่งครับ ผมเติมเต็มถังไป 2 รอบตกรอบละ 70,000 VND ครับ

โดยแรกสุดผมขับไปเติมน้ำมันก่อน ผมระบุไว้บนแผนที่ด้านบนครับ ไม่แน่ใจตอนนี้ยังอยู่มั้ยนะ 55 และยิงยาวต่อไป White Sand Dune ครับ เนื่องจากอยู่ไกลสุดครับ แค่ขาไปก็กินน้ำมันไปครึ่งถังแล้ว วิวข้างทางสวยมว้ากกกกกก


ถนนที่นี่ค่อนข้างดีนะครับ ลาดยางไปทุกที่เที่ยวส่วนใหญ่ ยกเว้น White Sand Dune ที่จะต้องขับลุยลูกรังเข้าไปช่วงประมาณ 3 km สุดท้าย และตรงหน้าทางเข้าจะเป็นเนินทราย แต่ก็ขับไม่ยากครับ

ผ่านทางเรียบหาดจะเป็นช่วงที่น่าเบื่อสุดคือถนนเลียบทะเลทรายดินลูกรังร้อนยาวและร้อนครับ แล้วก็ก็จะถึงทางเลี้ยวเข้าถนนดินลูกรัง ซึ่งจะเห็น White Sand Dune อยู่ลิบๆตรงข้ามทะเลสาบครับ


ตอนผมจะเลี้ยวเข้าทะเลทรายตามป้าย มีชาวเวียดนามขับมอเตอร์ไซสวนออกมา ถามว่าเป็นคน Local หรือนักท่องเที่ยว ถ้านักท่องเที่ยวให้ไปเข้าทางเข้าถัดไป ซึ่งผมก็ไปเข้าทางนั้น จะมีป้อมเก็บค่าผ่านทางเล็กๆอยู่ คิดค่าเข้า 10,000 VND อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าผมโดนหลอกหรือเปล่านะครับ เพราะเข้าทะเลทรายไม่น่าจะต้องเก็บตัง Red Sand Dune ก็ไม่ได้เสียค่าเข้า แต่โดนต้อนมาซะขนาดนี้แล้วก็เลยจ่ายไปครับ (มีฝรั่งตามมาต่อจากผม โวยวายยกใหญ่เรื่องเก็บตัง)

ขับเข้าไปผ่านเนินทรายจะลื่นหน่อยครับ ก็จะเจอร้านอาหารและจุดจอดรถครับ ที่นี่จะมีบริการให้เช่ารถ Jeep หรือ ATV ให้ขับเล่นในทะเลทรายด้วย และที่แปลกมากคือมีฟาร์มนกกระจอกเทศอยู่ข้างๆด้วย ถ้าเราไม่เช่ารถก็เดินตรงเข้าทะเลทรายได้เลยครับ แต่ถ้าจะขับรถเที่ยวจะต้องขับตามทางปูนที่เค้าปูไว้ให้ ไม่งั้นก็ต้องเหมาคนขับไปครับ ตัวเอมนั้นเดินเท้าเข้าไป จะได้สัมผัสบรรยากาศทะเลทรายเต็มๆซะที


บรรยากาศในทะเลทรายแบบนี้ผมเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกครับ แดดร้อน และลมแรงมาก หอบทรายปลิวใส่ขาและร้องเท้าเต็มไปหมดเลย หันไปด้านหลังพบว่ารอยเท้าที่เดินผ่านมาโดยทรายกลับหายไปหมดแล้วในเวลาไม่นานครับ ถ้ามองเส้นทรายที่พื้นจะเห็นว่ามันเปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลา สันทรายก็เช่นกันครับ มีการไหลไปมาตลอดเหมือนมีชีวิตจริงๆ


ผมเลือกเดินขึ้นไปบนสันทรายอันที่ใหญ่ที่สุดเพื่อขึ้นไปดูวิวของทะเลทราย ด้านข้างจะเป็นทะเลสาบที่เราเห็นตอนขับเข้ามาครับ


หลังจากเดินทะเลทรายจนหนำใจ เราก็มานั่งเคาะทรายออกจากรองเท้า และขับมอเตอร์ไซกลับไปที่ Fairy Steam ครับ Plan วันนี้จะไปแค่ 2 ที่แบบชิๆสบายๆ

Fairy Steam คือตาน้ำออกไหลออกมาจากทะเลทรายครับ การเที่ยวที่นี่จะต้องเดินลุยน้ำดูลวดลายของชั้นหินชั้นดินไปเรื่อยๆจนเจอจุดกำเนิดของลำห้วยสายนี้ครับ โดยจุดเริ่มต้นเดินคือทางลงลำห้วยเลย ตอนไปถึงก็งงๆว่าลงเดินตรงนี้เลยหรอ ดีที่มีคนแถวนั้นตะโกนบอกให้ลงไปเลย (มาแต่เสียงนะหาตัวไม่เจอ จนผมต้องตะโกนว่า Thank you ลอยๆกลับไป :/)


วิวข้างทางจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อารมณ์เหมือนเดินเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติครับ


บางช่วงเราสามารถไต่ขึ้นไปดูวิวด้านบนได้ครับ สังเกตจากรอยเท้า ถ้ามีรอยตะกายทรายแปลว่าปีนขึ้นไปได้ (ต้องดูด้วยนะครับว่ารอยตะกายมันไปถึงยอดรึป่าว ไม่งั้นแปลว่าคนก่อนหน้าไต่ขึ้นไม่สำเร็จ 55)


จุดหมายปลายทางหาไม่ยากครับ เพราะเดินตามลำห้วยตรงๆไปถึงจุดนึงจะเป็นทางแยกซึ่งถ้าตรงต่อไปจะกลายเป็นน้ำลึก พอเราเลี้ยวซ้ายก็จะเจอตาน้ำที่ฝุดออกมาจากชั้นดินครับ


จะเห็นว่ลำห้วยสายนี้เริ่มต้นจากแค่น้ำซึมจุดเล็กๆครับ เพิ่งเคยเห็นอะไรอย่างนี้เหมือนกัน

ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วครับ ผมกลับที่พักอาบน้ำพักผ่อนสักพักใหญ่ๆหลังจากลุยแดดมาทั้งวัน เห็นชัดๆเลยคือแขนช่วงที่จะโผล่ออกนอกเสื้อผ้า (ตอนยกกล้องขึ้นถ่าย) ได้เกรียมไปเรียบร้อยแล้วครับ

มื้อเย็นลุง Liam แนะนำให้ไปที่ร้านอาหารร้านนึง ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าไปถูกร้านจริงๆมั้ย ดูจากแผนที่ด้านบนนะครับ สังเกตไม่ยากเนืองจากเป็นร้านใหญ่ ที่นี่จะมีของสดเรียงกันอยู่หน้าร้านให้เรามาจิ้มๆใส่ถัง แล้วเค้าจะเอาไปทำให้จะเผา จะผัด หรือจะกินสดๆ ราคาไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ครับ หอยนางรมตัวใหญ่มากกกกก ส่วนใหญ่คนที่มา Mui Ne เค้าจะแนะนำให้ทานกุ้งล๊อบสเตอร์กัน แต่วันนั้นร้านที่ผมไปไม่มีครับ


ถ่ายมาอย่างเร่งรีบครับ วินาทีนั้นหิวมากกก เสียดายที่นี่ไม่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ด แต่จะมีมะนาวกับผงเค็มๆมาให้ทานคู่กัน นั่งฟังเสียงคลื่น กินหอยนางรม จิบเบียร์ Saigon มันชิลสบายดีจริงๆ (มื้อนี้หมดไป 425,000 VND ครับ กุ้งลายเสือครึ่งโล หอยแมลงภู่ 1 โล หอยนางรม 2 โล แล้วก็เบียร์ครับ) กินอิ่มเรียบร้อยผมก็กลับไปสลบที่ที่พักครับ หลับเป็นตายเลยคืนนั้น


Day 4 : Mui Ne Part II

เช้าวันที่ 2 ใน Mui Ne ผมตื่นสายไปเลยไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายแดงครับ ไปถึงตอนสว่างแล้ว มีคนมาเล่นสไลเดอร์ลงเนินทรายกันเต็มเลย

ทะเลทรายแดง หรือ Red Sand dune ขนาดไม่ใหญ่เท่าทะเลทรายขาวครับ อยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่ามาก คนก็เยอะกว่ามากๆเช่นกัน จากบนเนินทรายจะเห็นวิวเมือง Mui Ne ได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว ถ้ามาตอนพระอาทิตย์ขึ้นน่าจะฟินมากกก


จาก Red Sand Dune ผมไปแวะที่ Fisherman Village ต่อครับ ไม่แน่ใจว่าไปถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ เนื่องจากมีเรือจอดอยู่นิดเดียว เข้าใจว่าออกทะเลไปแล้วครับ ของขายก็มีอยู่ร้านนึง มีปู กุ้ง หอยขาย ราคาจะถูกกว่าในร้านอาหารครับ ปูโลละ 100,000 VND เอง


ที่ชายหาดจะมีเรือกลมๆคล้ายๆกะละมัง ชาวประมองจะไปโยนอวนจับสัตว์น้ำเล็กๆใกล้ชายฝั่งครับ เป็นเอกลักษณ์อันนึงของที่เมืองนี้เลย สัตว์ที่จับได้ก็จะเป็นพวกปูเสฉวน และปลาเล็กต่างๆครับ


ตอนนี้มีเวลา+น้ำมันเหลือ ผมเลยไปแว้นเล่นในตัวเมือง Mui Ne ครับ ตัวเมืองเป็นเมืองเล็กๆไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แถมชุมชนทะเลจะสกปรกมากเพราะเค้าใช้ทะเลเป็นที่ทิ่งขยะ และห้องน้ำครับ


และแล้วเราก็จะกลับไปยัง HCMC อีกรอบครับ รถขากลับผมฝากให้ลุง Liam ช่วยติดต่อจองให้ราคา 6 USD ของบริษัท Ha Phuong ครับ รถมารับถึงหน้าโรงแรมเลย ก่อนรถจะมาสามสาวเหนือก็ตามมาถึง Mui Ne พอดีครับ เลยมีโอกาสสวนกันแว๊บนึง

ก่อนขึ้นรถลุง Liam วิ่งเอาน้ำมาให้ขวดนึง คือลุงกับป้าที่นี่น่ารักมากกก Recommend รัวๆครับ รถขากลับคล้ายๆกับขาคือเป็นรถนอนครับ (ถึงจะเป็นตอนกลางวัน) ดีกว่าขาตรงมี Wifi ให้ใช้บนรถด้วย นั่งดู Youtube ไประหว่างทางได้เลย รถทัวน์จะตระเวนรับคนตามที่พักต่างๆครับ แล้วจะมาจอดแช่ที่ร้านอาหารนึงสำหรับให้รถที่นั่งรถมาจากที่ก่อนหน้าลงกินข้าวครับ ขึ้นรถเที่ยง แต่กว่าจะได้ออกจาก Mui Ne จริงๆปาไปบ่ายสองโมง แถมรถยังวิ่งหวานเย็น คอยรับคนรายทางและแวะให้ซื้อของฝากตลอด ตามตารางแจ้งว่ารถออก 13.00 ถึง 18.00 แต่มาถึงจริง 20.30 ครับ

และแล้วผมก็กลับมาที่ HCMC อีกรอบโดยลงรถที่เดียวกับที่ขึ้นไป Da Lat เลย สิ่งต่อไปคือการหาที่พักครับ ในแถบนี้ที่พักค่อนข้างเยอะตอนแรกว่าจะเดินหาเรื่อยๆ แต่พอมาถึงดึกขนาดนี้เลยไปที่ๆเพื่อนแนะนำมาครับ ชื่อว่า Backpacking Club Hostel พักเป็น Dorm คืนละ 5 USD รวมอาหารเช้าครับ อยู่ตรงข้ามจุดลงรถเลย เดินเข้าตรอกไป อาจจะมืดนิดนึงครับ มีป้ายนีออนชี้เป้าเด่นชัด สามารถเช่ามอไำซต์ และหา Day Tour จากที่นี่ได้ครับ มีพื้นที่ส่วนกลางให้นั่งเล่น มีหนังสือ กีตาร์ และตู้แช่ขายเครื่องดื่มครับ


ส่วนของห้องนอนค่อนข้างโทรมครับ 1 ห้องจะมีเตียง 2 ชั้น 2 เตียง กับที่นอนวางกับพื้น 2 อันครับ ทีเด็ดอยู่ที่มีห้องน้ำ Build-in อยู่ภายในห้องนอนเลย อาบกันแบบมีฉากกัน ด้านบนเปิดโล่ง ใครจะอึจะฉี่นี่ได้รับอานิสงส์อย่างเท่าเทียมครับ


เก็บของเรียบร้อยผมก็ลงไปจัดการคุยเรื่อง Day Tour วันสุดท้ายใน HCMC ครับ โดยโปรแกรมน่าจะเหมือนทัวน์อื่นๆ มีทั้งเที่ยวในเมือง (ซึ่งผมไปมาแล้ว) แม่โขงเดลต้า-พาไปดูดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ทัวน์ไปดูป่าโกงกาง และไปดูอุโมงค์กู่จี ผมลังเลระหว่าง แม่โขงเดลต้ากับป่าโกงกาง แต่สุดท้ายก็เลือกเดลต้าครับ เพราะใน Lonely Planet แนะนำไว้มากกว่าที่อื่น เสียค่าทัวน์ไป 8 USD

กลับขึ้นมาเตรียมนอน เจอชาวต่างชาติ 2 คนเป็นเพื่อนร่วมห้องครับ คนนึงงมาจากฝรั่งเศสไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ท่าทางง่วง อีกคนมาจากออสเตรเลียชื่อจอห์นครับ เค้ามาอยู่แถวๆ AEC พักใหญ่ๆแล้วศึกษาธรรมมะครับ คุยเรื่องการปฏิบัติสมาธิกับเค้าอยู่พักใหญ่ๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ไม่รู้คำศัพท์ 555 สักพักก็แยกย้ายกันนอนครับ


Day 5 : My Tho และหมู่เกาะแห่งลำน้ำโขง

วันเที่ยววันสุดท้ายในเวียดนามครับ เปิดโรงมาด้วยการที่แอร์ดับตอนตี 3 กว่าๆ อากาศร้อนมาก ได้ยินเสียงจอห์นหายใจแรงมาก กลัวจะขาดอากาศตายกันผมเลยลุกขึ้นมาพยายามเปิดจนได้ครับค่อยหลับต่อ 6 โมงเช้ากว่าๆก็ตื่นลงไปทานอาหารเช้าที่ทาง Hostel จัดไว้ให้ เป็นออมเล๊ตกับขนมปังครับ

พอถึงเวลาไกด์ทัวน์ก็มารับที่โรงแรม มาผมไปรวมกับลูกทัวน์คนอื่นๆ มีทั้งคนต่างชาติ และคนเวียดนามเองด้วย เพื่อรอขึ้นรถไปยังเมือง My Tho ครับ รถมาช้าตามเคยกว่าล้อจะหมุนก็ 8.30 แล้ว (ดึงผมมานั่งรอตั้งแต่ 7.30) ทัวน์นี้มีไกด์ชื่อรีเร หรือโลเล หรืออะไรนี่แหละครับ ฟังยาก พูดได้หลายภาษา อัธยาศัยดี ตลก และมี Service Mind มากครับ มี Interaction กับลูกทัวน์ตลอดเลย

ที่แรกที่ทัวน์พาไปคือศูนย์หัตถกรรมคนพิการครับ ส่วนใหญ่เค้าจะทำกระเบื้องสลักลาย อธบิายไม่ถูกเหมือนกัน และจะมีร้านขายอยู่ด้านหลังครับ ศูนย์ไม่ใหญ่เดิน 10 นาทีก็ครบรอบครับ


สถานที่ต่อไปคือเมือง My Tho ซึ่งเป็นเมืองริมแม่น้ำโขง อารมณ์คล้ายๆสมุทรปราทการบ้านเราครับ โดยทัวน์จะพาเราลงเรือด่วนเจ้าพระยา (หน้าตาแบบเดียวกันเป๊ะ) เพื่อพาเรานั่งไปชมเกาะแก่งต่างๆในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแห่งนี้ครับ


เกาะแรกที่แวะไปเรือเทียบท่าที่ฟาร์มเลี้ยงผึ้งครับ มีชาน้ำผึ้งให้ชิม และมีน้ำผึ้งขายครับ ตอนชิมชาเลยได้คุยกับคนที่มาทริปด้วยกันครับ ผมรู้สึกว่าเวลาคุยกับเพื่อนที่เจอกันระหว่างทาง มักจะได้ฟังเรื่องราวแปลกๆ และน่าสนใจเสมอครับ

เพื่อนคนแรก - เป็นผญ.ที่มาจากที่พักเดียวกับผมครับ ดู Self นิดๆ เค้าเพิ่งลาออกจากงานมาท่องเที่ยวแถบนี้เดือนกว่า (เพิ่งอายุ 23 เอง!) ที่ทำงานเก่าเค้าอยู่ที่ประเทศจีนครับ แต่ครอบครัวเค้าอาศัยอยู่ที่อังกฤษ ซึ่งจริงๆแล้วเค้าเกิดที่แคนนาดา โดยเป็นลูกครึ่งฟิลิปินกับละตินอเมริกัน ชีวิตดูสับสนนิสนึง

เพื่อนคนที่ 2 - หนุ่มมหาลัยชาวฝรั่งเศส เค้าอยากเป็นเภสัชกร แต่สอบไม่ติดเลยมาเรียนไบโอเคมีแทน เค้าเริ่มทริปนี้จากทางเหนือ ขี่มอไซต์ลงมาจากฮานอย แวะเที่ยวรายทางเรื่อยๆจนมาถึง HCMC นี่แหละครับ

เพื่อนคนที่ 3 - สาวมหาลัยจากฝรั่งเศสอีกคน (ไม่รุ้จักมักจี่กับคนก่อนแต่อย่างไร) ตอนแรกเค้ามากับแฟนขี่มอไซต์เที่ยวกัน แต่แฟนมีธุระด่วนเลยต้องบินกลับไปก่อน ทิ้งเค้าให้เที่ยวต่อคนเดียวครับ

เพื่อนคนที่ 4 - ทหารชาวยุโรป (ลืมไปแล้วว่าประเทศอะไร) เค้าเดินทางไปทั่ว AEC โดยจะสักชื่อประเทศที่เค้าไปมาไว้ที่ขาครับ เดาว่าป่านนี้ขาคงเป็นสีดำสนิทเรียบร้อยแล้ว 55

คุยกันสัพเพเหระ แต่ที่เจ็บสุดๆคือเวลาเค้าพูดถึงเมืองไทยมีแต่เตือนกันให้ระวัง Lady boy ตามสถานบันเทิง มีมาถามคอนเฟิร์มกับผมอีก เราก็ต้องยอมรับแต่โดยดี 5555


จากนั้นไกด์ก็จะพาเราเดินต่อไปทางด้านหลังครับ ทางเดินจะเป็นทางดินเล็กๆติดลำคลอง ผ่านบ้านชาวบ้านแถบนั้น อารมณ์เดินในบางกระเจ้า ที่ตรงพระปะแดงครับ โดยไกด์พาเราไปนั่งฟังเพลงพื้นบ้านของที่นี่และทานผลไม้พื้นเมืองครับ ประเด็นคือเราพื้นเพเดียวกับเวียดนามเลยไม่น่าตื่นเต้นครับ แต่ฝรั่งที่ไปด้วยดูตื่นตากับแก้วมังกรมาก


ถัดมาไกด์พาเดินมาทีทางลงคลองเล็กๆครับ จะมีเรือแจวจอดรออยู่ เค้าจะให้เราออกจากเกาะด้วยการนั่งเรือแจวครับ มีงอบแจกให้ใส่ด้วย ที่แปลกใจคือเรือแจวมันแล่นเร็วมากกก ฉวัดเฉวียนกว่าที่คิดเยอะเลย วิวริมคลองสวยดีครับ แต่มันคล้ายๆบ้านเราไปนิสนึง เลยไม่รู้สึกอลังการเท่าไหร่


เรือแจวพาเราออกมาที่แม่น้ำโขงครับ โดยเรือเราก็จะจอดรอรับอยู่เพื่อพาเราไปเกาะที่สอง ซึ่งจะเป็นโรงงานทำลูกอมมะพร้าวครับ อันนี้เล็กมากๆ เหมือนพาไปซื้อของฝากมากกว่าครับ


ต่อมาไกด์ก็พาไปทานอาหารครับ เป็นปอเปี๊ยะทอดสองอัน หมูย่างกระเทียม และข้าวครับ จานเล็กนิดเดียว หลังจากจุดนี้จะแบ่งทัวน์เป็น 2 กรุ๊ปครับ คือกรุ๊ปที่เป็น Day Tour เค้าจะพาไปส่งฝั่งและนั่งรถกลับ HCMC ส่วนอีกกรุ๊ปจะเป็น 2 Day Tour เค้าจะพาไปนอนบ้านชาวบ้านแถวนั้นท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตครับ ใครมีเวลาน่าสนใจมากลองดูครับ โดยสาวลูกครึ่งกับสาวฝรั่งเศสก็แยกไปกับทัวน์นั้นครับ


ผมนั่งรถกลับมาถึง HCMC ก็ห้าโมงกว่าๆแล้ว ถึงเวลากินข้าวเย็นพอดี เลยลองเดินหาร้านอาหารตามที่ Lonely Planet แนะนำไว้ครับ สรุปคือหาไม่เจอสักร้าน Fail ถึงขีดสุด ก็เลยแรนดอมเข้าร้านแถวนั้นครับ มื้อนี้กินเยอะเพราะตอนเที่ยงไม่อิ่ม 55 สั่งพอร์คชอป (ก็คือหมูปิ้ง) ซึ่งจะมากับเส้นหมี่ และข้าวครับ + ปอเปี๊ยะทอดอีกจาน รวม 90,000 VND ครับ


หลังจากทานเสร็จผมก็กลับมาที่พักครับ เจอสามสาวเหนือเพิ่งกลับมาจาก Mui Ne พอดีครับ เลยชวนกันไปเดินหาของฝากแถวตลาด Ben Thanh กัน โดยวันนี้หน้าตลาดเหมือนมีถนนคนเดินครับ มีของขายเพียบ และต่อราคาได้ครึ่งต่อครึ่งครับ ต่อง่ายต่อสนุกยิ่งถ้าเราจะเดินหนีเค้าจะยิ่งลดให้ครับ

ซื้อของเสร็จแล้วผมก็กลับมาพักผ่อนที่ Hostel เจอจอห์นขนของลงมาพอดี บอกว่าจะย้ายห้อง เมื่อคืนนอนแล้วปวดหัวมาก (เดาว่าเพราะแอร์ดับ) คืนนี้ทั้งห้องเลยเหลือคนผมกับเมทอีกคนนึงครับ

ผมนั่งเล่นอยู่ข้างล่างสักพักก็เจอฝรั่งตัวสูงใหญ่ผมยาวหยักโสก หน้าออกละตินนิดๆ แบกกระเป๋าลงมานั่งด้วย เลยได้คุยกันนิดหน่อยครับ เค้ามาจาก California, USA ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆครับ โดยแถบนี่เค้าไปที่จีนก่อน ลงมามาเลเซีย แล้วแวะทำงานหาเงินอยู่ที่ออสเตรเลีย 1 ปี จึงมาเที่ยวเวียดนามครับ คืนนี้เค้าจะไป Da Lat และขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยจนถึง ฮานอย - ลาว - ไทย เงินหมดเมื่อไหร่ก็หยุดหางานทำแล้วค่อยไปต่อครับ ชีวิตดูน่าสนใจมาก เป็นชีวิตในฝันของคนบางคนเลยทีเดียว

พอถึงเวลาเค้าก็ลาไปขึ้นรถ ส่วนตัวผมก็ขึ้นไปนอนครับ จบคืนสุดท้ายในเวียดนามไว้แต่เพียงเท่านี้


Day 6 : See You Again

วันนี้ผมจะต้องบินกลับแต่เช้าครับ โดยทานอาหารเช้าที่ Hostel Check Out และไปขึ้นรถ 152 กที่ป้ายเดิมเพื่อไปยังสนามบิน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าๆขึ้นกับการจราจรครับ ราคา 10,000 VND เท่าตอนขาไป


ถึงสนามบินขาออกจะต้องขึ้นไปชั้น 2 ครับ ผมบินกลับกับ Vietjet Air ครับ เคาเตอร์ทำงานช้ามาก ผมอยู่คิวที่ 3 แต่กว่าจะได้ Check-in รอเกือบครึ่งชั่วโมงครับ


เครื่อง Vietjet ค่อนข้างเก่าครับลวดลายบนเครื่องเป็นหน้าของบรรดาแอร์ฮอสเตสครับ มั่นมากๆ 55 บนเครื่องมีกลิ่นอับนิดหน่อย + คนเวียดนามแถวๆที่นั่งผมเอาข้าวขึ้นมากินครับ กลิ่นฉุนมาก แต่รอบนี้คนโล่งมาก แถวผมทั้งแถวมีผมนั่งคนเดียวครับ

ก่อนเครื่องออกมีเหตุไม่คาดฝันนิดหน่อย ตอนที่เครื่องกำลังวิ่งไปรันเวย์ก็มีประกาศแจ้งว่าจะขอกลับไปที่ Gate ใหม่เนื่องจากเครื่องขัดคล่องครับ ต้องให้ Engineer ขึ้นมาดอะไรซักอย่างบนเครื่องพักใหญ่ๆจึงออกบินได้ แอบเสียวอยู่นิดๆเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ผมเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างครบถ้วนทั้ง 32 ประการครับ

ก็จบลงแล้วครับ ทริปเวียดนามของผม ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านกันนะครับ หวังว่าจะเป็นข้อมูลช่วยให้เพื่อนๆที่อยากจะมาเวียดนามมาได้ง่ายขึ้นนะครับ เวียดนามเป็นประเทศที่ซ่อนความงามเอาไว้ไม่แพ้ไทยหรือลาวเลย ใครมีเวลาว่างสัก 5 วันก็ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งขึ้นไปทางเหนือธรรมชาติจะยิ่งอลังการกว่านี้ครับ

และขอขอบคุณสามสาวเหนือด้วยนะครับที่ทำให้ทริปลุยเดี่ยวของผมไม่โดดเดี่ยวนะครับ อยู่กันด้วยตั้งแต่เครื่องลง เดินขาลากด้วยกันใน HCMC ช่วยกันหาที่พักท่ามกลางความมืดใน Da Lat ไปด้วยกันบ้างแยกทางกันบ้าง มีเรื่องให้ตื่นเต้นได้เรื่อยๆจริงๆ ไว้มีโอกาสไปออกทริปด้วยกันใหม่นะครับ ^^

ก่อนจากกันขอแถมรูปบนเครื่องขากลับให้ชมครับ วิวประเทศเวียดนามจากมุมสูงมีอะไรแปลกๆให้ดูเรื่อยๆครับ


Mountain Seal

 วันพฤหัสที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.31 น.

ความคิดเห็น