เราชื่อ น้องหนู
เรารักการเดินทาง ชอบแบกเป้เข้าป่า ชอบเที่ยวภูเขา
เรามีความสุขเมื่อเห็นหมอกในตอนเช้า
เราชอบกินผลไม้ และ ชอบแว๊นมอเตอร์ไซต์ขึ้นเขาให้ลมตีหน้า
เราทำเพจเพื่อบันทึกความทรงจำและแบ่งปันเรื่องราวดีๆ กดติดตามเราได้ที่ http://www.facebook.com/seasonjourney
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
เวลาทำการ
เปิดฤดูการท่องเที่ยว : 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม
ปิดฤดูการท่องเที่ยว : 1 มิถุนายน - 30 กันยายน
อัตราค่าบริการ
ราคาบัตร : เด็ก นักเรียน นักศึกษา 20 บาท, ผู้ใหญ่ 40 บาท
*จำหน่ายบัตร ตั้งแต่เวลา 07.00-13.30 น. (ขึ้นภูได้ไม่เกิน 14.00 น.) เนื่องจากความปลอดภัยนะยูววว
ค่าที่พัก :
- นำเต้นท์มาเอง : ชำระค่าขอใช้พื้นที่กางเต้นท์ได้ที่ทำการอุทยานด้านล่างพร้อมกันตอนซื้อบัตรเลย
ค่าบริการ 30/คน/คืน
- จองบ้านพัก / จองเต้นท์ของทางอุทยาน : ไม่ต้องชำระในส่วนนี้น้า
*เว็บไซต์จองที่พักของอุทยาน http://nps.dnp.go.th/
กรมอุทยานอนุญาติให้สามารถจองล่วงหน้าได้ 60 วัน มีจำนวนจำกัดน้า
- เต้นท์เอกชน : บนภูกระดึงมีเต้นท์เอกชนให้บริการหลายร้าน ส่วนใหญ่ถ้าทางอุทยานมีเต้นท์ไม่เพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำให้ไปเช่าจากเต้นท์เอกชน ราคาไม่แพงมากนัก 200-250 บาท/เต้นท์/คืน ใครที่ไม่ได้จองที่พักกับทางอุทยานไว้ล่วงหน้าเหมือนเรานี้ ก็อย่าได้หวั่น ขึ้นมาถึงแล้วเราจะไม่ยอมลงไปง่ายๆ
ค่าอุปกรณ์ / ที่นอน :
- หมอน 10 บาท/ใบ/คืน
- แผ่นรองนอน 20 บาท/คืน
- ถุงนอน 30 บาท/คืน
- ผ้าห่ม 30 บาท/คืน
สิ่งที่น่าจะจำเป็น
- รองเท้า ถุงเท้า : ใส่สบาย ไม่กัด พื้นไม่ลื่น ข้างหน้าตรงปากรองเท้าควรแข็งแรง (เพราะตอนลงจากภูกระดึงมันต้องใช้ยันตลอด) *หนีบรองแตะไปใช้บนข้างบนด้วยก็ดี จะได้พักเท้าด้วยนะ
- ยา : สำหรับคนมีโรคประจำตัว และ ยาสามัญต่าง เช่น ยาแก้ปวด ยาหม่อง ยาดม ยานวด
- สเปรย์ : กันยุง กันทาก (ช่วง พฤศจิกายน - เมษายน ไม่ค่อยเจอทากแล้วล่ะ แต่ ''ยุง'' เจอทุกช่วง)
- ไฟฉาย : ควรมีติดไว้เผื่อหาของในเต้นท์ หรือ เดินไปทานข้าว อาบน้ำ ตอนกลางคืน
- หมวก : กันแดด กันหมอก และน้ำค้าง
- อุปกรณ์ electronic : แบตสำรอง (Power Bank) มือถือ กล้อง เพราะบนภูกระดึงจะใช้ไฟเพียง 6 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่มเท่านั้น แต่ทางอุทยานก็มีบริการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ศูนย์บริการ (มีค่าบริการ)
- เสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว(ควรเป็นแบบมี hood)
- ทิชชู่เปียก และ แห้ง
สิ่งทีสำคัญมากกว่านั้น คือ จิตใจที่พร้อม และ มี passion "ใจไหว กายก็สู้ตาม''
การเดินทาง
- รถทัวร์ : ขึ้นรถได้ที่สถานีหมอชิต มีรถอยู่หลายบริษัท เลือกได้เลยสุดแต่ใจจะไขว่ขว้า
- รถไฟ : ขึ้นได้ที่สถานีหัวลำโพง
- เครื่องบิน : ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง มาลงสนามบินเลย (ควรบินรอบเช้าๆเลย เพราะเดี๋ยวมาไม่ทันขึ้นอุทยาน)
-การเดินทางของเรา : พอดีเรามาทำธุระที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นพอดี เลยเริ่มจาก ขอนแก่น แล้วกันเนอะ แต่!!
กว่าจะมาถึงขอนแก่นได้ก็น้ำตาไหลยันตาตุ่ม เพราะเราจำเป็นต้องเดินทางช่วงปีใหม่พอดี๊พอดี 30 ธันวาคม โอ้โน การเดินทางทุกช่องทาง เต็มและหมด!! ทั้งเครื่องบิน รถบัส รถทัวร์ รถไฟ แต่เหมือนดั่งสวรรค์มาโปรด หรือ ฟ้ากลั่นแกล้งฉัน ไม่รู้ นึกได้ว่าทุกปีรถไฟแกก็มีแบบขบวนเสริมตลอดๆ ก็เลยลุย เก็บสำภาระแล้ววาบไปหัวลำโพงทันที
พอมาถึงสถานีหัวลำโพง เราก็รีบไปสอบถามเจ้าหน้าที่
ฉัน : "ขบวนเสริมไปขอนแก่นยังมีไหมค้า"
เจ้าหน้าที่ : "ขบวนเสริมชั้น 3 เต็มแล้ว เหลือตั๊วยืนนะหนู"
ฉัน : หน้านิ่ง (ในใจ - what is ตั๊วยืน!!ของชั้น 3 วะ)
เจ้าหน้าที่ : รับไหมหนู
ฉัน : ค่า รับค่า (รับงงๆ แล้วเดินจากมา) ดูในใบตั๊ว อีก 2 นาที รถไฟออกกกกกก ว๊าก อยากกรีดร้อง
วิ่งๆๆ ไปถึงโบกี้ชั้น 3 จะขึ้น เอิ่มๆ จะขึ้นยังงายยยยย แต่ละประตูทางขึ้นมีมนุษย์จับจองห้อยโหนอย่างกับรถสองแถว ไปหน้าปากซอย
เดี๋ยว!! ใจเย็น คือ ลุงจะอย่างนี้ไปถึงขอนแก่นเลยใช่ม๊า
เอายังไงๆ ถ้าไม่ขึ้นก็ไม่ได้ ไม่มีทางไหนแล้วนอกจากเหาะ เราเลยตัดสินใจเอาเตารีดนาบตัวให้แบนแล้วแทรกขึ้นมา
พอขึ้นมาก็เข้าใจหัวอกของลุงเลยว่าทำไมเลือกไปอยู่ตรงนั้น
*จงจินตนาการตามฉัน : ที่นั่งหลังตรงนั่ง 3คน/เบาะ ข้างๆบนเบาะมีคนนอน ช่องทางเดินคนนั่ง หน้าห้องน้ำคนยืน ประตูที่คิดว่ามันคือช่องรับอากาศสำหรับรถไฟชั้น 3 คนยืน ปิด ปิด หมดเลย ในสมองตอนนั้นมีประโยคหนึ่งวาบมา "เอิ่ม กุสามารถเอาสรีระและสัมภาระไปอยู่ตรงไหนของโบกี้นี้ได้บ้างหรือ"
เมื่อเริ่มเข้าใจคำว่า ''ตั๊วยืน ชั้น 3!!'' ก็ทำหน้าที่ต่อไป คือ ยืน!น่าจะเกือบๆถึงอยุธยา มันก็ฟ้ามึดแล้วอ่านะ แบบกล้ามน่องไม่ไหวล๊าวว เราเลยพยายามแทรกตัวนั่งหย่อนตูดลงไปบนพื้นอย่างนิ่มนวล แล้วไม่คิดจะลุกไปไหนอีกเลย
เราก็ทำตัวหลับๆตื่นๆมาจนถึง สถานีขอนแก่น ในช่วงเช้ามืด น้ำตาจิไหล เดินแทบไม่เป็นเลยทีเดียว จากนั้นเราก็ไปทำธุระต่างๆนาๆ จนเสร็จก็คิดในใจ กว่าจะมาถึงนี่! จะกลับไปง่ายๆก็ใช่ที่ ไปเที่ยวหน่อยดิ๊ ก็เสริชๆๆเปิดๆๆ ปิ๊ง ''ภูกระดึง'' ยังไม่เคยไปเลย เอาหน่อยโวย ฮึกเหิมๆ
เราเริ่มออกจาก สถานีขนส่งขอนแก่น นั่งรถไปลงผาลงเค้า : ราคาประมาณ 70 บาท มั้งนะ (จำไม่แม่น ไม่เกิน 100)
ขึ้นรถสองแถวแดงไปอุทยาน : จอดข้างๆร้านเจ้กิม หน้าป้อมตำรวจ (ขากลับก็เหมือนกัน รถสองแถวแดงจะจอดในอุทยานที่เดียวกับขามา) ราคา 30 บาท/คน
พอไปถึงก็จัดแจงทุกอย่างให้เสร็จ แล้วเราก็เดินไปขึ้นภูระดึงกันเลยยยยย
ที่ด้านล่างเค้ามีบริการลูกหาบด้วย ราคา 30 บาท/กิโลกรัม แต่ด้วยความหยิ่งของฉัน คิดว่าของในเป้มันไม่ได้หนักมากขนาดนั้นนนนน ประมาณ 4 กิโล กล้องบนคอรวมเลนส์ อีก กิโลกว่าๆ ถ้าเดินทางราบมันก็ไหวอ่านะ แต่ด้วยทางที่เดินขึ้นมันชันและบางช่วงก็ต้องใช้มือจับต้นไม้โน่นนี่นั่น
เราจึงขอแนะนำ เดินตัวเปล่าๆเถอะ โปรดมอบหน้าที่ให้ลุงและป้าลูกหาบที่กำยำทั้งหลาย
ระยะทาง : จากด้านล่างจนถึงยอดภูกระดึง ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
ระยะเวลา : ใช้เวลาทั้งหมด 4 - 5 ชั่วโมง
เส้นทาง : เชิงเขา - ปางกกค่า - ซำแฮก - ซำบอน - ซำกกกอก - ซำกอซาง - พร่านพรานแป - ซำกกหว้า - ซำกกไผ่ - ซำกกโดน - ซำแคร่ - หลังแป
ซำแฮก
เริ่มจากเชิงเขา ไปถึง ''ซำแฮก'' มีความรู้สึกว่าป้ายบอกทางซำนี้คงหายไปล่ะมั้ง == แต่ยังยิ้ม เฮอาได้อยู่ จุดนี้มีน้ำ ผลไม้ ที่นั่ง ห้องน้ำ บริการด้วยนะ สภาพแต่ละคน นั่งหอบแฮก สมชื่อซำเลย
ซำบอน
เราเดินมาไม่นานเราก็ถึง ''ซำบอน''
สภาพร่างกายยังไหวนะยูวว เหงื่อซึมๆ 5555555
ซำกกกอก
ตะเกียดตะกายจนมาถึงซำถัดมา ''ซำกกกอก''
เดินขึ้นมาพร้อมลูกหาบที่แบกของเต็มป่า อยากจะถามแกว่ารับฝากของเพิ่มไหม
ฮือ อยากโยนทิ้ง
ซำกอซาง
เรามาถึง ''ซำกอซาง'' ประมาณเที่ยงกว่าๆ
กล้ามน่องก็เริ่มดึงๆล่ะหนิ เลยขอพักยาวๆหน่อย
จุดนี้มีร้านอาหาร น้ำดื่ม ลานพัก ห้องน้ำพร้อม
อาหารมีทั้ง อาหารตามสั่ง ไอติมโบราณ ผลไม้ เช่นแตงโม ก็มี
ราคาสินค้าก็ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับที่เค้าต้องแบกขึ้นมา
ของฝากก็มีน้า ควรซื้อขากลับเนอะ
คุณลุงคนนี้กำลังลงจากภูกระดึง แกบอกว่าแกมาทุกปีเลย ให้เรามาบ่อยๆเหมือนแกนะ
นี่แกเดินขึ้นและเดินลง ในวันเดียวกัน!!
กราบค่ะ
พร่านพรานแป
ไม่กี่อึดใจก็มาถึง ''พร่านพรานแป''
เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ลืม หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายนะยูวววว
ซำกกหว้า
เดินตุ่มๆมาจนถึง ''ซำกกหว้า'' ขอนั่งพักสักหน่อย
นั่งมองลูกหาบแบกขึ้นไปคนแล้วคนเล่า
ในใจ คือ เรามีทำไม ทำไมถึงมา ตั๊วยืนชั้น 3 ยังไม่พออีกหรือ นั่งพึมพำไปสักพัก ก็อึบแล้วเดินหน้าต่อไป เพราะถ้าเดินลงก็บ้าล่ะ
ไปต่อ!
ซำกกไผ่
ถัดมาเป็น ''ซำกกไผ่'' น่าจะเพราะสองข้างทางเป็นต้นไผ่โอบล้อม
เป็นเส้นทางที่สวยมากเลย
ซำกกโดน
คลานมา อ่ะ ไม่ใช่ เดินและปีนมาจนถึงซำรองสุดท้าย ''ซำกกโดน''
พอขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ หมอกก็ยิ่งหนาขึ้น หนาขึ้น
สิ่งที่เจอต่อจากนี้ คือ
ปีน
ปีน
ปีน
ต่อไปเรื่อยๆ เริ่มมีความไม่สนุก หน้าเริ่มอึน เหงื่อยกำลังไหลหมดตัวแล้วหรือ ฮาฮ่า
โหดจริงอะไรจริง ไม่พูดมาก เหนื่อย!
ซำแคร่
ลากสังขารมาจนถึงซำสุดท้าย ''ซำแคร่'' เส้นทางจากนี้ไปจะเป็นเหมือน จุดเอาชนะใจตัวเอง
มันยิ่งกว่าความเหนื่อย แต่เราก็ยังสั่งกล้ามแขนให้ยกกล้องลั่นชัตเตอร์ มาเก็บไว้
คุณป้าคุณลุงที่เดินสวนมาแกก็บอกตลอดทางว่า อีกนิดเดียวลูกๆ ใกล้แล้วๆ
ซำแรกๆก็เชื่อแกหรอก แต่พอมาถึงตรงนี้ โปรดอย่าหลอกหนูววววว
แง่
ทางคือชัน จนถึง ชันมากกกกก
เฮือกสุดท้าย คือ บันได ที่อยากหาอะไรมาวัด มันเกือบจะ 90 องศา แล้วนี่ (70 องศาเห็นจะได้)
หลังแป
สุดท้ายแล้ววววว
เมื่อเราเดินขึ้นมาถึงหลังแป เราก็ต้องเดินทางราบต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลกว่าๆ
ซึ่งมันชิลมากกกก เมื่อเทียบกับทางที่ผ่านมา
คุณลุงก็จะเปลี่ยนจากแบกสัมภาระกับไม้ มาเป็นเข็นรถเข็นแทน สตรองมากๆเลยเนอะ
สองข้างทางมีค้นไม้ขึ้นอุดมสมบูรณ์ หมอกหนาขั้นเรื่อยๆๆ
ไป! เดินกันต่อ
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ไม่นานเราก็มาถึงที่พักแล้วค่ะ
รีบเดินไปจับจองผ้มห่ม หมอน กันเนอะ
ถึงตอนนี้ก็เกือบๆห้าโมงเย็น เราก็รีบไปที่เต้นท์จัดแจงข้าวของ นั่งพักสักพักกกใหญ่
หกโมงเย็นเราจะไปหาอะไรทานกันจ้า
หนังท้องตึง หนังตาหย่อน
ก่อนที่หนังตาจะหย่อย หนังท้องก็ต้องตึงด้วยจิงม๊า
ออกเดินมาหาอะไรทาน อยู่ไม่ไกลจากที่พัก
มีอาหารหลากหลาย แต่ที่คนนิยมทานคงจะเป็นหมูกระทะ แบบฟิวอากาศหนาวๆ ได้ทานหมูกระทะร้อนๆ โอยยยยย
ยังมีไข่ปิ้ง ข้าวจี่ อีกด้วย
นอกนั้นก็จะมีอาหารทั่วไปเลย ทั้งอาหารตามสั่ง โจ๊ก เกาเหลา ปาท่องโก๋เลือกได้ตามใจชอบน้า
และแล้วก็ได้เวลาที่เรารอคอย นอน!
บอกเลยว่าหลับสนิท สนิทมากๆๆ
เอ้อลืมบอกไปว่าด้านบนมีบริการห้องน้ำ แยกชายหญิง แต่ต้องต่อคิวกันหน่อยเนอะ ไม่นานๆ
เราตั้งปลุกไว้ตีหน้าครึ่ง รีบไปล้างหน้า แปรงฟัน และไปทานข้าวเช้ากัน ก่อนออกไปเที่ยวบนภูก่อนเดินทางกลับ
มีอาหารขายตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรทานกันเนอะ
SURVEY
หลังจากเราเติมพลังงานมาเต็มที่แล้ เราก็กางแผนที่กันเลย
เลือกที่ๆไม่ไกลมาก เพราะเราต้องเผื่อเวลาเดินลงจากภูเพื่อกลับบ้านด้วยเนอะ
ได้ความมาว่าที่นั่น คือ ''ผานกแอ่น''
ทางเดินสามารถไปได้หลายทาง แต่บางเส้นทางก็จะมีป้ายเตือนว่าห้ามไปทางนี้ก่อน-หลังกี่โมง เพื่อความปลอดภัยก็ทำตามกันน้า
ลานวัดพระแก้ว
ระหว่างทางจะไป ผานกแอ่น เราจะผ่าน ''ลานวัดพระแก้ว'' มีพระพุทธรูปกลางลานกว้าง
อย่าลืมแวะไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลนะคะ
ผานกแอ่น
ถึงแล้วววววว ''ผานกแอ่น'' วิวกว้างมาก สามารถมองเห็นเมืองด้านล่างได้หมดเลย
เรานั่งอยู่ที่นี่นานเลย มิวิวถ่ายภาพ ที่ปิกนิคได้ด้วยนะคะ
กลับบ้าน
หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ
เรารีบเดินกลับมาที่เต้นท์เพื่อเก็บข้าวของ ได้เวลาเดินลงจากภูกระดึงแล้วเนอะ
ถ้ามีเวลามากกว่านี้อยากจะค้างอีกสักคืน
ถ้าใครมีโอกาสลองหาเวลามาทดสอบใจตัวเองได้ที่นี่ ''ภูกระดึง'' นะคะ
การมาที่นี่เราได้อะไรหลายอย่าง รอยยิ้ม คำพูดให้กำลังจากคนแปลกหน้าที่เดินสวนกัน ความมีน้ำใจของคนรอบข้าง
ขาลงจากภูกระดึง คนที่เดินข้างหน้าเรา ขาพลิก แบบเดินต่อไม่ได้เลย ต้องนำเปลพยาบาลขึ้นมาช่วยเหลือ ยังไงก็ระวังๆกันด้วยน้า
อย่าลืมติดตามเพจรีวิว สถานที่ใหม่ อาหารอร่อยๆ ของเราด้วยนะคะ
กดติดตามได้ที่นี่เลยจ้าhttps://facebook.com/seasonjourney
seasonjourney
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 18.00 น.