o0gyvclwvzql

ยินดีต้อนรับเข้าสู่เรื่องราวการโดดงานสั้นๆของผมในช่วงก่อนคริสมาสต์ไปร่อนเร่ในประเทศญี่ปุ่นนะครับ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนรีวิวเนื่องจากข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศนี้ในพันทิปค่อนข้างเยอะ แต่ไหนๆก็ไปแล้ว ขอช่วยเสริมข้อมูลให้คนที่จะเดินทางไปต่อสะดวกสบายขึ้นแล้วกันครับ

ทริปนี้เป็นทริป 6 วันครับ นอกจาก 2 วันแรกที่เราจะพักและเที่ยวที่ Kawaguchiko แล้ว ผมจะใช้โตเกียวเป็นเบสในการเที่ยวครับ ทุกที่จะไปกลับใน 1 วันทั้งหมด โดยสามารถสลับวันได้ไม่จำเป็นต้องเรียงตามที่ผมไป (แนะนำให้ปรับทริปตามสภาพอากาศครับ)


Japan Before Christmas Trip

Day 1 : Lake Kawaguchiko

Day 2 : Chureito Pagoda - Shinjuku

Day 3 : Gala Yuzawa - Sensoji (Asakusa) - Tokyo Illumination

Day 4 :Kamakura - Enoshima Island

Day 5 : Jigokudan Monkey Park (Nagano) - Tokyo Character Street

Day 6 : Mt.Takao (Christmas's Eve)

opx0rb6fxpyu

เส้นทางจะสะเปะสะปะนิดหน่อยนะครับ จริงๆควรจะเดินทางเป็นวงกลมจะประหยัดเวลาและค่าเดินทาง แต่ผมเน้นพักอยู่ที่โตเกียว เนื่องจากพาครอบครัวไปด้วยเลยไม่อยากแบกกระเป๋าย้ายไปมาเยอะครับ


5kaupqstyr2m

ทริปผมเดินทางไปกลับโดย Air Asia X ครับ

ขาไป DMK - NRT(Terminal2) รอบห้าทุ่มกว่าๆถึงนาริตะ 8 โมงเช้า

ส่วนขากลับ NRT(Terminal2) - DMK บินรอบสองทุ่มกว่าๆถึงดอนเมืองตี 1 นิดๆครับ


ya3wj4kn7ev5

ภายในประเทศใช้ JR East Pass ซึ่งจะใช้ได้ 5 วัน โดยวันไม่จำเป็นต้องติดกันครับ โดย Pass นี้จะมีส่วนลดค่าลิฟท์ และเช่าอุปกรณ์ที่ Gala Yuzawa ด้วย แต่ Pass ครอบคลุมไม่ถึง Kawaguchiko ครับ จะต้องจ่ายค่าส่วนต่ออีก 1,140 เยนบนรถไฟครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.jreast.co.jp/e/eastpass/index.html



แหล่งข้อมูลหลักๆผมได้มาจากพี่ๆในพันทิปที่ช่วยกรุยทางไว้ให้นะครับ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วยครับ

rym73r36ab4d

ใครๆก็ไปญี่ปุนได้ด้วยตัวเอง ( คู่มือและรีวิวการไปเที่ยวญี่ปุ่น ฉบับสมบูรณ์ )

http://pantip.com/topic/31614879

คู่มือเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) และทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ด้วยตัวเอง: A Practical Guide To Fujikawaguchiko

http://pantip.com/topic/32999895

"ลายแทงพาไป chureito pagoda เจดีย์ 5ชั้น กับฟูจิซังที่ใฝ่ฝัน(จะได้เห็นมั้ย???)" Trip Japan Summer Backpack 201

http://pantip.com/topic/30836269



cwh4m8tydlcd

และสำหรับท่านที่อยากจะไปที่ๆชาวบ้านเค้าไม่ค่อยไปกัน แนะนำ http://www.japan-guide.com/

ข้อมูลค่อนข้างครบถ้วนทั้งรายละเอียดที่เที่ยวและการเดินทางครับ


3gikiqr14r1n

สุดท้าย Web เจ้าประจำ http://www.hyperdia.com/ ที่ช่วยบอกเส้นทางรถไฟทั่วประเทศอย่างละเอียด



p9x3bwyu16tc

ท้ายสุดขอขอบคุณอุปกรณ์ในการเก็บภาพในทริปนี้ (ผมซื้อเองนะ เค้าไม่ได้สปอนเซอร์ให้ 55+)

FUJIFILM X-E2

XF18-135mmF3.5-5.6 R LM OIS WR

XF10-24mmF4 R OIS

XF55-200mmF3.5-4.8 R LM OIS

XF35mmF1.4 R (งอกระหว่างทาง)

แถม iPhone 6s สำหรับบางรูปและบางคลิป


Day 1 : Lake Kawaguchiko

มาเริ่มกันที่วันแรกนะครับ เครื่องผมลงเร็วกว่ากำหนดประมาณชม.นึงทำให้จากที่ควรจะถึง Narita 8 โมง กลายมาเป็น 7 โมงแทน ซึ่งผมไม่ได้โหลดกระเป๋าทำให้ขั้นตอนการผ่านตม.ทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 15 นาทีครับ มีช้านิดหน่อยตอนก่อนจะออกจากจุดตรวจกระเป๋า พนักงานเค้าถามนู่นนี่นิดหน่อย เช่น มาคนเดียวหรอ อยู่กี่วัน พักที่ไหน มีเพื่อนอยู่ที่นี่มั้ย มาครั้งแรกหรอ อะไรประมาณนั้นครับ (อาจจะถามเยอะเพราะผมมาคนเดียวโดยไม่มีกระเป๋าโหลด)

yuwwaju4f0kk

ภายใน Terminal 2 แดดเช้ามาพอดี ช่วงนี้(กลางธ.ค.)พระอาทิตย์ขึ้น 6.30 น.นะครับ

จริงๆแล้วทริปนี้ผมไปเที่ยวกับครอบครัวครับ หลังจากหนีไปแบคแพคคนเดียวมาหลายปี โดยครอบครัวผมบินกับการบินไทย จึงจะมาถึงก่อนและลงที่ Terminal 1 ครับ ขอย่อว่า T1 กับ T2 แล้วกันครับ การเดินทางจาก T1 ไป T2 ไม่สามารถเดินเท้าไปได้ครับ ต้องนั่ง Airport Bus วิ่งข้ามไป T1 ซึ่งจะมาทุก 15 นาที มีเวลาบอกชัดเจนครับ (ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะตอนนั้นหนาวมาก อุณหภูมิน่าจะ 5 องศากว่าๆ) แต่จาก T2 ก็สามารถซื้อ JR Pass และนั่งรถไฟออกจากสนามบินได้ครับ

พอข้ามมา T1 เรียบร้อยทางผมก็ต้องไปซื้อ JR East Pass ครับ ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักในกรเดินทางครั้งนี้ โดยใน T1 เคาเตอร์จะอยู่ชั้น B1F ถ้านั่งรถ Airport Bus มาก็เข้าประตูไปแล้วลงบันไดเลื่อนไปล่างสุดครับ สังเกตง่ายๆเคาเตอร์จะอยู่ใกล้ๆกับ Star Buck ครับ และแถวนั้นก็จะมี Lawson ให้ซื้ออะไรรองท้องด้วยครับ

0xo5ma7jjqe9

JR East Pass เราจะพกไว้ตลอด 5 วันที่ญี่ปุ่นครับ โดยวันไหนที่เราใช่ จนท.จะประทับตราไว้ที่ด้านล่างของ Pass

ที่แรกที่เราจะไปคือ Lake Kawaguchiko ครับ โดยถ้าเราดูใน Hrperdia จะมีรถหลายเที่ยวมากจาก Narita - Kawaguchiko ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องต่อรถหลายรอบเช่นกันครับ แต่จะมีรอบหนึ่งที่จะวิ่งตรงไปโดยไม่ต้องต่อรถคือขบวน LTD. EXP NARITA EXPRESS 8 ตอนผมไปรอบนั้นรถออกตอน 9:15 ครับ ซึ่งโชคดีที่เครื่องผมลงมาเร็วกว่ากำหนดทำให้มีเวลาซื้อ Pass และหาอะไรรองท้องครับ ถ้ามาลง 8 โมงตรงก็ต้องมีวิ่งกันนิดๆแหละครับ

zxdwg6xqfcas

การขึ้นรถเรามี JR East Pass แล้วก็จริงแต่หากว่าเราต้องการนั่งที่นั่งแบบ Reserve Seat คือจองที่นั่งนั่นแหละครับ ซึ่งรถบางขบวนไม่จำเป็นต้องจอง บางขบวนก็บังคับจองครับ ให้ Save สุดคือจองทุกขบวนไว้เลย เรามี Pass อยู่แล้วไม่เสียเงิน การจองก็ง่ายๆครับ เดินไปเคาเคอร์ JR บอกเค้าว่าเราจะขึ้นรถจากไหนไปไหน เวลากี่โมงเค้าก็จะออกตั๋วมาให้ ซึ่งจะมีที่นั่งระบุอยู่ โดยปกติจนท.จะเลือกที่นั่งติดหน้าต่างให้เราโดยอัตโนมัติครับ ถ้าเต็มจริงๆเค้าจึงจะถามว่านั่งติดทางเดินได้มั้ยครับ เมื่อตั๋วพร้อมแล้ว ก็ดูชื่อรถและเวลาจากจอที่ติดอยู่แถวทางเข้า ก็จะรู้ว่าต้องขึ้นที่ชานชาลาไหน แล้วก็ลงไปรอรถไฟได้เลยครับ


7om4wqsgo0it

ตั๋วก็จะหน้าตาประมาณนี้ (อันนี้ตั๋วไป Gala Yuzawa) ให้ดูตรง Car กับ Seat ครับ

โดยปกติเราจะต้องเสียบตั๋วเข้าในเครื่องเพื่อเดินเข้า แต่ถ้ามี Pass อยู่แล้วก็โชว Pass ให้จนท.ดูแล้วเดินเข้าได้เลยครับ ลงไปที่ชานชาลาจะมีป้ายบอกว่าจุดนี้คือตู้ที่เท่าไหร่ของรถไฟครับ ไปยืนรอให้ตรงตู้เราจะได้ชึ้นง่าย พอรถไฟมาเราก็เข้าไปนั่งในที่นั่งที่เราจองไว้ แล้วก็หลับยาวได้เลยครับ เพราะจาก Narita ไป Kawaguchiko มันตั้ง 3 ชั่วโมงครึ่งครับ ใครกลัวหิวก็ซื้อข้าวกล่องจาก Lawson ขึ้นมากินบนรถได้ครับ ทุกๆ 6 ตู้จะมีห้องน้ำให้ โอ่อ่ากว้างขวางมากกก (ลืมถ่ายรูปมาให้ดู)

3erborhn6wcb

NARITA EXPRESS 8 หน้าตามันล้ำดีจริงๆ

4jo2cq4289wo

ที่นั่งกว้างขวางปรับเอนได้ เหยียดขาได้สบายๆ มีจอคอยบอกว่าเราอยู่ที่ไหนแล้วโดยก่อนถึง Kawaguchiko เมื่อผ่านสถานี Otsuki จนท.จะมาเดินตรวจตั๋วครับ จุดนี้ JR East Pass จะไม่ครอบคลุม เราจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 1,140 เยนครับ หลังจากนั้นเราก็นั่งหลับๆตื่นไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นภูเขาไฟฟูจิเป็นสัญญาณว่าเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว โดยรถคันนี้จะผ่าน Fuji Q Highland ด้วย ถ้าใครอยากเล่นรถไฟเหาะก็มาแวะที่นี่ก็ได้ครับ

0grtq46fk5x7

Nice to Meet you Mt.Fuji

pm102fhl2sm8

12:41 เป๊ะๆ เราก็มาถึงสถานี Kawaguchiko

tcu7vr72moia

สถานีรถไฟที่มีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง

ลงมาจะบ่ายแล้วพวกผมรีบเอากระเป๋าไปเก็บที่พักและหาข้าวเที่ยงทานครับ ที่พักผมจะอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟพอดี จะสะดวกเรื่องการ Check-in แต่ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ต้องการดูวิวทะเลสาบครับ ถ้าแนะนำให้พีคสุดๆควรพักแถบ Oishi Park ครับ ตรงนั้นจะได้วิวภูเขาไฟฟูจิเต็มๆและสามารถเดินไปริมทะเลสาบได้ สายแลนด์จะออกมาเก็บดาวตอนดึกก็ทำได้สบายๆครับ

icwvb3fey7k7

9nq9pids4i64

ของพื้นเมืองที่นี่คือ Hoto ครับ พออกจากสถานีมาก้มีคนต่อคิวเข้าร้าน Hoto แล้ว พวกเราจึงไปกินข้าวที่ร้านขายของที่ระลึกก่อน หลังจากทานเสร็จก็กลับเข้าไปที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อ R Coupon สำหรับขึ้น Retro Bus ที่จะพาเราวิ่งรอบทะเลสาบไปยัง Station ต่างๆ รายละเอียดสถานีและเวลาเดินรถ

ส่วนที่เที่ยวต่างๆ คุณ nucleon เขียนไว้ให้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้การวางแผนเที่ยวของผมสะดวกขึ้นมากๆ ขอบคุณมากๆครับ >> http://pantip.com/topic/32999895

เนื่องจากกว่าจะเก็บของกินข้าวเสร็จก็บ่ายสองกว่าๆแล้ว วันนี้ผมจึงแพลนไปแค่ 2 ที่ Kachi Kachi Rope Way (Bus Stop 11 : Sightseeing Boat/Ropeway Ent.) และดูพระอาทิตย์ตก + Illumination ที่ Oishi Park (Bus Stop 22: Kawaguchiko Shizen Seikatsu-kan(Natural Living Center))

ผมซื้อ R Coupon แบบ 2 วันวิ่งรอบทะเลสาบ Kawaguchiko + ขึ้น Rope way และ ล่องเรือ ensoleille 2,300 เยนครับ สำหรับคนที่จะเที่ยวแค่ Kawaguchiko ซื้อแบบนี้จะคุ้มที่สุดครับ โดยเราจะได้ตั๋วมา 3 ใบสำหรับ Bus Boat และ Ropeway โดยเราจะสามารถขึ้นรถที่ป้าย Red Line เท่านั้นนะครับ สายอื่นตั๋วนี้จะไม่ครอบคลุมครับ

การขึ้น R Bus ก็ไม่ยากครับ ยืนรอที่ป้าย Red Line รถมาก็ขึ้นไปนั่งได้เลย พอใกล้ถึงป้ายก็จะมีเสียงประกาศให้เรากดกริ่งเพื่อขอลง ตอนลงก็โชว์ตั๋วให้คนขับดูแล้วก็ลงได้เลยครับ ถ้าไม่ได้ซื้อ R Coupon มา ตอนขึ้นเราต้องดึงตั๋วรถตรงหน้าคนขับไว้ ตอนลงเราก็โชวตั๋วแล้วก็จ่ายเงินตามจำนวนป้ายที่นั่งครับ

Kachi Kachi Rope Way

jmmrojgqcdlg

Kachi Kachi Rope Way เราจะนั่ง Cable Car ขึ้นไปดูวิวบนยอด Kachi Kachi Yama ครับ โดยระหว่างทางจะเต็มไปด้วยรูปปั้นทานูกิกับกระต่ายเต็มไปหมดครับ โดยมีที่มาจากนิทานพื้นบ้านที่ชื่อว่า "Kachi Kachi Yama" ดูรูปปั้นบ๋องแบ๋วน่ารัก แต่นิทานนี่ผมว่าระดับ 18+ ได้เลยนะ ใครอยากอ่าน ผมแปลจาก Wikipedia มาให้ครับ

"Kachi Kachi Yama" เริ่มขึ้นจากคุณตาจับทานูกิที่ชอบมารังควาญทำลายพืชผลบ่อยๆ เพื่อจะฆ่าและทำเป็นอาหาร ระหว่างที่คุณตาออกไปซื้อของนั้น ทานูกิเกลี้ยกล่อมคุณยายให้ปล่อยตน คุณยายสงสารจึงปล่อยทานูกิเป็นอิสระ เมื่อทานูกิเป็นอิสระแล้วก็ลงมือฆ่าคุณยาย และนำเนื้อคุณยายไปทำเป็นอาหาร เมื่อคุณตากลับมาบ้าน ทานูกิก็แปลงร่างเป็นคุณยาย และให้คุณตากินเนื้อคุณยายโดยที่คุณตาไม่รู้ จากนั้นจึงแปลงร่างกลับเป็นทานูกิแล้วบอกคุณตาว่าเนื้อที่คุณตากินไปคือเนื้อคุณยายนั่นเอง คุณตาช๊อคและเศร้าโศกเสียใจมาก

7x05amoioty0

เรื่องไปถึงหูของกระต่ายซึ่งเป็นเพื่อรักของคุณตาคุณยาย กระต่ายจึงอาสาจะล้างแค้นทานูกิให้คุณตา โดยกระต่ายไปตีสนิทกับทานูกิแล้วก็เริ่มทรมานทานูกิต่างๆนานา เช่น โดนรังผึ้งใส่ เมื่อทานูกิโดนผึ้งต่อย กระต่ายก็อาสาจะทายาให้โดยเอาพริกไทยมาทาแทนทำให้ทานูกิแสบมาก

การแก้แค้นที่เป็นที่มาของชื่อภูเขาลูกนี้เกิดขึ้นเมื่อกระต่ายชวนทานูกิไปตั้งแค้มไฟกันบนยอดเข้า ระหว่างที่ทานูกิแบกไม้ฟืนสำหรับทำแค้มไฟขึ้นเขานั้น กระต่ายก็จุดไฟใส่ไม้เหล่านั้นโดยที่ทานุกิไม่รู้ตัว เสียงไม้ทีแตกเพราะโดนไฟดัง "Kachi Kachi" ทานูกิถามว่านั่นเสียงอะไร กระต่ายก็ตอบว่าที่นี่คือ Kachi Kachi Yama (Yama แปลว่าภูเขา) ถ้าได้ยินเสียง "Kachi Kachi" แปลว่าใกล้ถึงยอดเขาแล้ว และลหังจากนั้นไม่นานไฟก็ลามถึงหลังของทานูกิ สร้างความทุกทรมานให้ทานูกิอย่างมาก

qo1ek6xgdk79

การแก้แค้นครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อทานูกิท้ากระต่ายแข่งเรือกัน โดยกระต่ายสร้างเรื่อจากไม้ที่แข็งแรงขณะที่ทานูกิสร้างเรือจากดินเหนียว เมื่อทั้งคู่แข่งกันถึงกลางทะเลสาบ เรือของทานูกิก็เริ่มละลายและจมลง ขณะทานูกิกำลังจะจมน้ำ กระต่ายจึงเฉลยว่าตัวเป็นเพื่อนกับตายายที่ทานูกิเคยทำร้าย และทั้งหมดนี่คือการลงโทษทานูกิ

2lo8il5rllk1

เครดิตภาพ Cr.http://web-japan.org/kidsweb/folk/kachi/kachi01.ht...

จะเห็นว่าเรื่องนี้มันโหดร้ายเอาเรื่องอยู่ทั้งที่รูปปั้นทานูกิและกระต่ายแถวๆนั้นจะมุ้งมิ้งน่ารักมากก็เถอะนะ 555

การไปขึ้น Cable Car เมื่อลงจากรถเราก็มองหาตัวทานูกิได้เลยครับ เดินตามมันไปเรื่อยๆจะเจอจุดขึ้น วันที่ผมไปคนไม่เยอะ แทบไม่มีคิวเลยครับ แต่ช่วงเทศกาลไม่แน่ใจว่าคิวจะยาวแค่ไหน เพราะเคเบิลคาร์ รับคนได้ไม่เยอะ และเเล่นช้าครับ

ajbsantbyz05

efn5iq4vxc3j
z5dhvm3diwbo

ข้างบนจะเป็นจุดชมวิวครับ ด้านหนึ่งจะเห็นภูเขาฟูจิชัดเลย อีกด้านจะเป็นวิวทะเลสาบครับ

6ermp9c6mhjk

2sw5ix5w1wui
31ak025tihz8

Attraction หลักๆบนนี้นะครับ

1. ร้านน้ำชาทานูกิที่จะมีทานูกิดังโงะขาย (อร่อยมากกกก)

8846jt0ar53r
jc8pdeabzmfe
we4ctbagt4dt


2.รูปปั้นกระต่ายทรมานทานูกิมีให้ถ่ายรูปด้วยเต็มไปหมด

impzp71di7j9

01myzdnv09bt
dwg9jkxi7cow


3. ระฆังเท็นโจ เป็นระฆังไว้อธิฐานเรื่องความรัก และสุขภาพต่างๆ

pgpgkaurwaio


4.“การขว้างคาวาราเกะ" คือการขว้างถ้วยดินเผาไปที่ห่วงเชือกเพื่อขอพรจากเทพเจ้าแห่งภูเขาเท็นโจให้สมปรารถนา ค่าถ้วย 2 ถ้วย 100 เยนนะครับ

m2s5h0q31tjo


นอกจากนี้คนที่ชอบเดินป่า จะมี Trail จากที่นี่ไปยังเขา Mitsutoge ระยะทางน่าจะไกลพอดูครับ จริงๆแล้วเราสามารถเดินเท้าขึ้นมาบนยอดเองก็ได้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ในเวปนี้ครับ

>> http://www.kachikachiyama-ropeway.com/th/#myModal2

Oishi Park

Bus Stop 22 : Kawaguchiko Shizen Seikatsu-kan(Natural Living Center)

i1ryn9zsbd3b

ลงจาก Ropeway มาก็บ่ายสามปลายๆแล้ว เราก็นั่งรถต่อไป Oishi Park ที่อยู่สุดสายเพื่อรอพระอาทิตย์ตก และ Illumination ครับ

ek209kzoj5a3

ที่นี่จะเต็มไปด้วยพุ่มลาเวนเดอร์ครับ ซึ่งตอนนี้ไม่ออกดอกแล้วเพราะเข้าหน้าหนาว เพราะฉะนั้น Attraction ในฤดูนี้คือดูไฟกลางคืนครับ เค้าจะเริ่มเปิดตอน 17:00 เรามีเวลาชื่นชมได้ชั่วโมงเดียวเพราะ Retro Bus รอบสุดท้ายจะวิ่งตอน 18:00 ครับ ถ้าไม่กลับรอบนั้นก็ต้องเดินเท้าฝ่าความหนาว 7 Km กลับไปยังสถานีรถไฟครับ

คนที่พักแถวๆนี้จะโชคดีหน่อยสามารถอยู่ดูไฟถ่ายดาวได้ทั้งคืนครับ แต่ข้อเสียคือเวลากลับตอนเช้าจะกลับไม่ได้จนกว่า Retro Bus จะเริ่มวิ่ง ซึ่งก็คือ 9 โมงเช้าครับ

zmqgxc8yp2dq

fakhbd8df8n9
5wpxbxdw6j3q
n6n9vud76ffj

มีชิบะนั่งง่วงอยู่ตัวนึง เข้าใจว่าเจ้าของชอบพามาบ่อยๆ

พอ 17:00 เค้าก็เริ่มเปิดไฟแล้วงานนี้จะชื่อว่า "Niagara" Winter Illumination" ครับ จะมีช่วงวันที่ 1 ธ.ค. - 31 ม.ค. ครับ จริงๆในช่วงนี้จะมีงาน Illumination แทบทุกที่ในแถบนี้เลยครับ

f46i3jzb23j4

n8s3k79vd0ei

อยู่ได้ไม่นานพวกผมก็รีบกลับที่พักครับ เดี๋ยวจะตกรถรอบกลับ ไปถึงก็แวะร้าน Hoto ที่คนต่อคิวเยอะๆเมื่องเที่ยงเพื่อทานข้าวเย็นครับ ตอนนี้แทบจะร้างคนโดยทีเดียว โดย Hoto 1 ที่ราคาพันเยนนิดๆ จะมาเป็นหม้อใหญ่ครับ แบ่งกันกินได้ 2-3 คนเลย เส้น Hoto จะเหนียวและหนาครับ น้ำซุปจะเคี้ยวฟักทองลงไปด้วยทำให้มีรสหวานและสีเหลืองครับ ข้างในแทบจะเป็นผักล้วนๆเลย

l2lpdxpko18u



Day 2 : Chureito Pagoda - Shinjuku

d1536nz1jjtm

Chureito Pagoda คือไฮไลท์ในวันที่ 2 ของทริปนี้ครับ โดย Chureito Pagoda จะอยู่นอกเขตทะเลสาบ Kawaguchiko ห่างออกไป 4 สถานีรถไฟครับ การเดินทางไปเราจะต้องซื้อตั๋วไปลงสถานี Shimo Yoshida และเดินเท้าต่อไปอีก 10-15 นาทีครับ ถ้าใครมี Pocket Wifi ก็เปิดดูใน Google Map ไ้ด้เลยครับ หรือจะเดินตามป้ายไปก็ได้ครับสังเกตไม่ยาก ทันทีที่ก้าวออกจากสถานีรถไฟก้าวแรก ให้เลี้ยวขวาทันทีครับ จะเห็นป้ายอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็เดินตามป้ายาวๆไปได้เลยครับ

เส้นทางจาก Google Map >>https://goo.gl/Tw9ZWK

vf8u47lcvkah
as16migzcss9

ภูเขาไฟฟูจิตอนเช้าก่อนออกเดินทางครับ

novthbpkj402

ทางเดินไปจะผ่านหมู่บ้านเล็กๆ

หลังจากเดินจากสถานีรถไฟ ผ่านหมู่บ้านเล็กๆมาจนถึงหน้าวัดแล้ว เราก็ต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 400 ขั้นครับ ใครที่ข้อเข่าไม่ค่อยดีไม่อยากขึ้นบันได ด้านข้างจะมีทางรถขึ้นครับ สามารถเดินทางนั้นได้เหมือนกันครับ

zy6k000jjv6t
rm815rqcoggc
bamsd10fid2x

ระหว่างการเดินทางจะมีวิวภูเขาไฟฟูจิให้เห็นตลอดทางครับ ยิ่งมาตอนเช้าๆนี่อากาศเย็นสดื่นมากครับ แทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

s71l4u2jwc9o
wz511cjx8rsf

และแล้วเราก็มาถึงด้านบนครับ Chureito Pagoda ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชาวเมือง Shimo Yoshida ที่เสียชีวิตไปจากสงรามครับ จากตัวเจดีย์เราสามารถขึ้นต่อไปด้านหลังได้ครับ อันเป็นตำแหน่งของมุมมหาชนที่ใครมาที่นี้ต้องมาถ่ายมุมนี้ครับ


jzhd3bwy2iv6

แฮร่ มุมมหาชน มาหน้าซากุระก็จะมีซากุระ มาหน้าใบไม้เปลี่ยนสีก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสี มาหน้า(เกือบจะ)หนาวก็จะโล่งเตียนแบบนี้แหละครับ

หลังจากกลับมาจาก Chureito Pagoda ผมก็มาเก็บตก Attraction อีก 2 ที่นั่นคือล่องเรือ Ensoleille และ Music Forest Museum ค่าเรือนั้นรวมอยู่ใน R Coupon อยู่แล้วครับ เราแค่นั่ง Retro Bus ไปลงป้ายเดียวกับ Kachi Kachi Ropeway แล้วเดินย้อนไปอีกนิดก็จะเจอท่าเรือแล้วครับ ไปถึงยื่นตั๋วแล้วก็ขึ้นไปรอได้เลย แนะนำถ้าแดดไม่ร้อน บนดาดฟ้าอากาศดีสุดๆครับ เรือจะพาวนรอบทะเลสาบประมาณ 20 นาทีครับ


pvooun4se12b
bamrdu438xhh


จากนั้นเราก็เดินทางไป Music Forest Museum กันต่อ จะอยู่ Bus Stop ที่ 17 Kawaguchiko Music Forest Museum ครับ โดยจะเสียค่าเข้าคนละ 1,500 เยนครับ ถ้าเป็นนักศึกษาจะลดเหลอ 1,100 เยน

ใน Museum จะเป็น Terrace เล็กๆสไตล์ยุโรปโดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังครับ ด้านนอกจะเป็นสวนมีพวกเครื่องดนตรีให้เคาะเล่น และกล่องเพลงให้หมุนครับ


6cn1rw5p5tzv
vu2n68rrleoz
hhqx80cd8vrx
svnd5tb3hbkd

อาคารหลักๆจะมี พิพิธภัณฑ์กล่องเพลง ที่จัดแสดงกล่องเพลงแบบต่างๆรวมทั้งขายด้วย (กล่องละเป็นล้านเยนเลยทีเดียว)

fe4hjn7rhxob
r6wvzkcn82ok

อีกอาคารคือ Organ Hall ที่จะมีการบรรเลงเพลงทุก 30 นาทีโดย Organ ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า French fairground organ ที่มีขนาดเท่ากับผนังของ Hall ทั้ง Hall อันนี้ด้านในมืดมากเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ

สุดท้ายเป็นอาคารขายของที่ระลึกที่จะเต็มไปด้วยกล่องเพลงให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์รวมถึงราสามารถ Customize เองได้ว่าจะเอาเพลงไหนใส่กล่องลายไหน (มีเพลงหลายแบบมาก ของดิสนีย์ก็มีครับ) เอาตุ๊กตามาติดบนกล่องเพลงก็ได้ หรือจะเพ้นกล่องเองก็ได้ครับ ราคาไม่แพงมาก

sywort4j6iiw
lcum45xcb3xj
izlaknfoho3z

โดยรวมแล้วที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรมาก ถ้ามีเวลามาชิลๆที่นี่ก็โอเคอยู่ครับ แต่ที่สำคัญคือเจ้านี่ครับ.....

6jnwdofjdsin

ซอฟครีมโคนเป็นคุ๊กกี้ ราคาแพงสุดในทริปนี้ (500 เยน) และขอยกให้เป็นซอฟครีมที่อร่อยที่สุดในทริปเช่นกันครับ

เสร็จจาก Music Forest Museum พวกเราก็เดินทางกลับไปที่พักเพื่อเตรียมกลับโตเกียวครับ ก่อนกลับแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านเทมปุระใกล้ๆกับสถานีรถไฟก่อนครับ ราคาแอบแพงนิดนึงแต่เค้าทอดเทมปุระสดๆแล้วคีบมาวางให้ในถาดเลยครับ ปูหิมะก็มีนะครับ ตัวละ 5,800 เยน ใครไปลองสั่งดูได้นะครับ 555

h9fs5ltqrh45

ขากลับๆด้วย NEX เหมือนเดิมครับ วิ่งตรงยาวไปที่ชิบูย่า และต่อรถไปที่พักของผมที่ Shinagawa จากนั้นก็ออกมาเดิน Shinjuku ตอนเย็นครับ แอบมาแวะดูราคาเลนส์ Fuji XF 35 mm. f1.4 ราคาพอๆกับมือ 2 ในไทยเลยสอยมาเรียบร้อยครับ กลายเป็นทริปที่แพงทีสุดในชีวิตเรียบร้อยเช่นกัน


Shinjuku

rnjgmgcufwj8

เผื่อใครสนใจมาหาซื้อเลนส์แถบชินจูกุนะครับ ร้านที่ผมไปดูจะมี 2 ร้านครับ คือ Map Camera และ Yodobashi ครับ

Map Camera ทางเข้าจะแคบๆนิดนึง เข้าไปแล้วจะเจอลิฟท์และมีป้ายบอกครับว่ากล้องค่ายไหนอยู่ชั่นไหน ที่จะมีเลนส์มือ 2 ขายด้วยนะครับ แต่ไม่มีเลนส์ที่ผมต้องการครับ

เดินต่อไปอีกร้านคือ Yodobashi เป็นร้านใหญ่หาง่ายกว่า และได้เสียตังกับร้านนี้แหละครับ โดยร้านค่อนข้างใหญ่ และขายสากกระเบือยันเรือรบครับ อะไรที่ไฟฟ้าเข้าได้พี่แกขายหมด เพื่อความสะดวกให้ถามพนักงานเลยจะง่ายกว่าครับ โดยผมใช้วิธีเซฟรูปเเล้วเปิดให้เค้าดู ร้านนี้จะมีบริการ Tax Free เมื่อซื้อของราคา 10,000 เยนขึ้นไปครับ โดยตอนถามราคาให้เน้นกับคนขายด้วยนะครับว่านี่เป็นราคาที่ไม่รวม Tax แล้วนะ ตอนจ่ายเงินให้เราเอาพาสปอตให้คนขายเพื่อจะทำเรื่อง Tax Free ให้ด้วยครับ ถ้าใช้บัตรเครดิตวีซ่าด้วยจะได้ลดอีก 5 % นะครับ

เลนส์ Fuji ที่นี่ใบรับประกันจะเขียนว่า Valid Only in Japan นะครับ ไม่แน่ใจว่าใช้กับศูนย์ไทยจะมีปัญหาอะไรรึป่าวนะครับ

rd536fiu7q0t

Route Google Map >> https://goo.gl/I94wLn

หลังจากเสียทรัพย์ไปผมก็หาข้าวเย็นกินแถวๆนั้นครับ ร้านอาหารค่อนข้างเยอะและราคาไม่แพงมากครับ ผมมาจบที่ร้านปลาย่างที่ราคาถูกมากๆ ชุดนึง 600-800 เยนเท่านั้นเอง ผมสั่งปลาฮกเกะมา ราคา 600 เยน ประมาณ 180 บาทครับ เทียบกับราคาโอโตยะที่เมืองไทย 359 กว่าบาท คุ้มสุดๆร้านอยู่ซอยใกล้ๆ Map Camera นะครับ ตอนนั้นงงๆทางอยู่ไม่แน่ใจว่าอยู่จุดไหน แต่หน้าร้านจะมีตู้โชวอาหารจะมีแต่เมนูปลาครับ น่าจะหาไม่ยาก

lsosv9lpy2f0

ซีกนี้ที่ผมมาซื้อเลนส์ จะเน้นพวกร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านอาหาร และร้านปาจิงโกะครับ อีกซีกนึงของชินจูกุ คือฝั่งทาง East Exit จะเป็นย่านชอปปิ้งพวกเสื้อผ้า จะมีพวกช้อปต่างๆ รวมถึงร้านเครื่องสำอาง Matsumoto ก็จะอยู่ฝั่งนั้นครับ พวกเดินต่อจนถึงประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ คนก็ยังพลุกพล่านอยู่ครับ ย่านนี้เค้าไม่หลับไม่นอนกันจริงๆ ส่วนพวกผมนั้นร่อแร่เต็มทีก็เลยกลับที่พักครับ


Day 3 : Gala Yuzawa - Sensoji - Tokyo Illumination

i3sgjagfxukt

วันนี้เราเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟชินคันเซนไปยัง Gala Yuzawa ครับ โดยค่ารถนั้นรวมอยู่ใน JR East Pass อยู่แล้วครับ แต่เพื่อความชัวน์ว่าเราจะได้นั่งที่ดีๆ มีวิวหน้าต่าง แนะให้ตอนเย็นวันก่อนหน้าเราไปจองที่นั่งที่ JR Ticket Office ก่อนครับ โดยรถที่จะไป Gala Yuzawa ส่วนใหญ่จะสามารถนั่งยาวๆได้เลยครับ จะมีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะต้องไปลงที่สถานี ECHIGO-YUZAWA ก่อนแล้วต่ออีกขบวนขึ้นไปที่ Gala Yuzawa ซึ่งเสียเวลาเพิ่มไม่ถึง 10 นาที เมื่อออกจากชานชาลาแล้วเราก็จะเจอ Counter ขายตั๋วเลย JR East Pass และ Tokyo Wide Pass นั้นจะมีส่วนลดค่าเช่าอุปกรณ์ และเล่นสกีครับ

bhfg6sd9i124

พวกผมไม่กะเล่นสกีจริงจังก็เลยเลือกแบบแรกสุด 1,300 เยน ได้ขึ้นลิฟท์ฟรี 1 ครั้ง เช่าพวกถุงมือรองเท้า และเลื่อนฟรีครับ แบบนี้จะขึ้นได้แค่ชั้นแรกเท่านั้นจะไม่สูงมาก และคนค่อนข้างเยอะครับ

เมื่อซื้อตั๋วค่าเข้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องไปเช่าอุปกรณ์กันครับ นั่นก็คือถุงมือ รองเท้า และเลื่อน ซึ่งจริงๆแล้วช่วงที่ผมไปยังเพิ่มเริ่มหน้าหนาว อุปกรณ์กันหนาวจึงไม่จำเป็นเท่าไหร่ อย่างถุงมือสุดท้ายผมก็ไม่ได้ใส่เลยครับ การเช่าอุปกรณ์เราต้องเอาใบเช่ามากรอกก่อน ครับเดินเข้าไปจะเห็นเป็นโต๊ะๆ มีกระดาษและปากกาให้ โดยเค้าจะมีรองเท้าให้ลอง และชาร์ทเทียบไซส์รองเท้าไว้ให้ ถ้าเช่าไปแล้วไม่พอดีก็เอามาเปลี่ยนได้ครับ

เขียนใบเสร็จก็เอาไปยืนที่ Counter ยืมอุปกรณ์ เค้าก็จะจัดเป็นชุดมาให้เรา ที่นี้พวกรองเท้าที่เราใส่มาจะต้องเอาไปเก็บใน Locker ครับ ใน Locker Room จะเป็น Locker ใหญ่จะเปิดปิดครั้งละ 600 เยนครับ ใครที่ของไม่เยอะมากสามารถเอาไปฝากที่ Locker ตรงข้ามกับร้านขายของที่ระลึกได้ครับ ค่าเปิดปิดจะแค่ 100 เยนเท่านั้นเอง

เมื่อเก็บของและใส่อุปกรณ์เรียบร้อยเราก็ไปขึ้นลิฟท์กันครับ ลืฟท์ที่ว่าจริงๆก็คือรถกระเช้านั่นแหละครับ คันหนึ่งจะรับได้ 6 คน โดยเวลาขึ้นรถจะไม่หยุดให้เราแต่จะค่อยๆไหลไปเรื่อยๆครับ เราจะต้องรีบเดินตาม และขึ้นไปให้ทัน ตอนผมไปมีแก๊งเด็กอนุบาล 20-30 คนไปด้วย เวลารถมาทีคุณครูกับเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันโยนเด็กเข้าไปในรถ เห็นแล้วเหนื่อยแทนเลยครับ

7dh7xjksrw6c

rxl6bgp8e4vk

พอขึ้นไปแล้วกระเช้าจะพาเราไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ และจะได้เห็นวิวงามๆของเมืองด้านล่างอย่างชัดเจนครับ


zzt0txe6e6id

bfl7q79t7ab7
r7o1uey0n5hw

ขึ้นมาด้านบนจะเป็นลานโ่งๆ แล้วก็เนินเล็กๆครับ ชั้นนี้สำหรับคนหัดเลนสกี และให้เด็กๆมาเล่นเลื่อนหิมะครับ ผมก็เอาเลื่อนมาไถลเล่นนิดหน่อยพอเป็นพิธี และก็ถ่ายรูปเล่นแถวๆนั้นครับ ถ้าจากจุดที่ลงกระเช้ามา จะไม่ค่อยมีวิวเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะต้องเดินเท้าขึ้นเนินไปอีกหน่อยจึงจะได้มุมสวยๆ แต่อยู่ด้านล่างถ่ายคนเล่นสกีก็สนุกไปอีกแบบครับ

2pakbkccuzkj
mbmhek4tk1ye
v2t39ty25lmc
kiyy7zrak8g3
shu022o58bpt

ตึกด้านหน้าข้างในจะเป็นร้านอาหารครับ ซึ่งร้านบนนี้เวลาซื้อเราต้องไปกดเอาคูปองที่ตู้ครับ เช่นจะกินทงคัตซีเราต้องดูว่าทงคัตซึเป็นหมายเลขอะไร แล้วจึงไปที่ตู้เพื่อกดเลขนั้น หยอดตัง ก็จะได้คูปองออกมา จากนั้นก็เอาคูปองไปที่ร้านเค้าจึงจะทำให้ครับ ราคาก็แพงกว่าข้างล่างนิดหน่อย และวิวดีมากกกกกกก ยอม

b1831fs9chy7
y0f08vurirxa
wo0slyck28f3

พวกผมใช้เวลาอยู่บนลานสกีประมาณชั่วโมงครึ่งครับ จึงเข้าไปทานเข้าเที่ยง ก่อนจะกลับลงไปด้านล่าง คืนอุปกรณ์ต่างๆ และกลับเข้าโตเกียวครับ ตอนมาถึงที่นี่อย่าลืมดูรอบรถกลับนะครับจะได้กะเวลาถูกว่าควรจะกลับลงมาเมื่อไหร่


Senso-ji Temple - Asakusa

n9dr2vcjqdyc

พวกผมกลับมาจาก Gala Yuzawa ถึงโตเกียวบ่ายสองกว่าๆครับ จึงไปเที่ยวที่ใกล้ๆต่อนั้นคือวัด Senso-ji ที่อยู่ในย่าน Asakusa ครับ โดยการเดินทางไปนั้นเราต้องนั่ง Tokyo Metro Ginza Line ไปลงที่สถานี Asakusa ซึ่ง Tokyo Metro ไม่ได้รวมอยู่ใน JR ด้วย ทำให้เราต้องจ่ายเพิ่มครับ

พอถึงสถานีตามป้าย Exit ที่เขียนว่า Senso-ji มาได้เลยครับขึ้นมาจากสถานีหันหน้าหาถนนใหญ่ให้เลี้ยวขวาครับ หากมองไปทางซ้ายจะเห็นตึกฟองเบียร์สำนักงานใหญ่ของ Asahi ครับ

gzci35payyc3

ระหว่างทางจะมีร้านอาหารนะครับ ใครที่ยังไม่ได้ทานกลางวันมาจาก Gala Yuzawa ก็มาแวะทานแถวนี้ได้ครับ

6px36q4dbnyq

ตึกฟองเบียร์ ถ้ามาตอนดึกๆคงจะสวยเนอะ

เมื่อเดินมาตามทางเราก็จะเจอโคมแดงยักษ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้ครับ จุดนี้คือจุดเริ่มต้นของถนนคนเดิน Nakamise ครับ ตรงปลายถนนก็จะมีโคมแดงอีกอันหนึ่งซึงประตูเข้าวัด Senso-ji ครับ ถนนคนเดินแห่งจะขายพวกขนมและของฝาก ขนมนี่มีเยอะมากกก และน่ากินทั้งนั้น ใครมาเดินที่นี่ต้องได้เสียตังกันเป็นแน่แท้ครับ ถนนเส้นที่ตัดผ่านถนนเส้นนี้ก็ยังมีร้านขายของอยู่ด้วยนะครับ รวมทั้งคาเฟ่กระต่ายก็อยู่แถวๆนี้ด้วยเช่นกัน

qyh3xqlhoavy

cj54jw91v7wp
f1ipt198x40q
pz0xd9uv5j0n

เดินมาจนสุดถนนเราก็เจอวัด Senso-ji ครั วันนี้มีผู้คนมาทำบุญกันเต็มไปหมด แต่เป็นคนญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ครับ อาจจะเพราะยังไม่ใช่วันหยุดยาวด้วยแหละครับ

4o9cy9novzho

s8j277mqishq
6k7yc5etp54w
oswe25tui13i

พอออกจากวัด Senso-ji ตอนแรกผมวางแผนจะไปถ่ายพระอาทิตย์ตกดินที่ World Trade Center แต่ท้องฟ้าวันนี้ปิดสนิทเป็นสีขาวเลย ผมก็เลยเปลี่ยนแผนไปเดินเล่นที่ Ueno Park แทนครับ เดินเสร็จจะได้แวะหาร้านอาหารแถวนั้นด้วยครับ

การเดินทางไปก็ไม่ยากครับ ลงรถไฟที่สถานี Uneo ตามป้ายทางออก Ueno Park เลยครับ ซึ่งสวนจะกินพื้นที่ตลอดช่วงสถานีเลย ออกมาตรงส่วนไหนก็เจอครับ ซึ่งผมเองก็เดินไม่ครบทั้งสวน ไม่ได้เข้าไปโซนที่เป็นสวนสัตว์ครับ

สำหรับท่านที่จะมาเดินเล่นที่นี่แล้วจะไปเดินตลาด Ameyoko ต่อให้ออกจากสถานีตรง Shinobazu Exit ไม่ก็ Hirokoji Exit ครับในรูปจะอยู่ล่างๆ โดยทางออกจะออกมาตรงข้ามกับ Ameyoko พอดี (ออกมาจะเจอ Uniquio อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ Ameyoko จะอยู่ถัดไปทางขวา 2 ซอยครับ ซึ่งซอยแถวๆนั้นจะมีร้านนอาหารราคาไม่แพงเต็มไปหมดครับ)

czahpm1ua8gr

Cr. www.japan-guide.com

ปกติที่นี่จะพีคในช่วงซากุระบาน เพราะมีแนวต้นซากุระปลูกเรียงรายไปหมด แต่ในช่วงต้นหนาวแบบนี้ต้นซากุระก็จะเหลือแต่กิ่งโล้นๆแทนครับ แต่ไปเดินชิลๆเย็นๆก็สบายไปอีกแบบ

zxdfq086aizl

app225502n5o
u4hxz9w7q21h

ที่นี่แมวเยอะมากๆครับ แต่ละตัวอ้วนกลมขนฟูทั้งนั้นเลย

udxb0dyn25dt

6p1hicbhxgmx

เดินทะลุออกมาบริเวณ Shinobazu Pond ครับ จะเห็น Bentendo Hall อยู่ด้านหน้า บริเวณนี้ตอนเย็นๆจะมีร้านมาตั้งขายพวกเนื้อเสียบไม้ย่างครับ ไว้ใครมีโอกาสมาลิ้มลองดูนะครับ ส่วนผมเย็นนี้มีนัดกับร้านซูชิจานหมุนไว้เลยไม่ได้แวะกินครับ

4so8ypijfvn5

kb29zp245h1k
6tb98tdm7od4

เดินสักพักก็เริ่มมืดแล้วครับ ผมก็กลับมาที่ซอยข้างๆตลาด Ameyoko เพื่อกินข้าวเย็นครับ โดยมีพี่แนะนำร้านซูชิเวียนให้ผมร้านนึงครับ หาไม่ยากร้านจะเป็นหินอ่อนมีป้ายเมนูซุชิหน้าร้านชัดเจนครับ โดยการไปเริ่มจากทางออกสถานี Ueno ข้ามไปทางร้าน Uniqulo แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรกครับ เดอินเข้าไปอีกนิดเดียวก็จะเจอตึกหินอ่อนสีดำครับ

0tj1pz5una1n

woyglb4t6mix

ภาพหาจากเนตนะครับ ผมไม่ได้ถ่ายหน้าร้านมา

ร้านซูชิร้านนี้จะราคาเท่ากันทุกจานนะครับ จานละ 165 เยน มีชาเขียวร้อนให้ชงเอง เมนูจะไม่หลากหลายมากครับ แซลมอน ปลากะพง โทโร่ ไข่ลาแซลมอน ไข่หวาน เอนกาวะ ไข่หอยเม่น ฟัวกรา แล้วก็ฟิวชั่นนิดหน่อยครับ

441mn1x7fj85

3gr3242dgb57
b69awqs8wdzg
h01cvjkki2e0

Tokyo Winter Illumination

กินข้าวกันอิ่มแล้ว เรามาลุยต่อกันกับ Tokyo Winter Illumination ครับ ในช่วงหน้าหนาวในญี่ปุ่นจะมีการจัดแสดงไฟในย่านต่างๆไม่ต่างจากแถบ CTW ราชดำเนินบ้านเราแหละครับ โดยผมเลือกที่ๆเดินทางไปไม่ยากและดูอลังการจากการ Review ใน Web Japan Guide ครับ โดยจะมี 3 ที่คือ Roppongi Hill - Tokyo Midtown - Caretta Shiodome ครับ

b1z61fc7ytk5

Roppongi Hill เป็นห้างไฮโซของคุณหนูชาวญี่ปุ่นครับ อารมณ์พาราก้อนบ้านเรา การเดินทางไปจะต้องนั่ง Tokyo Metro ไปลงสถานี Roppongi ครับ เดินมาตามทางออกที่เขียนว่า Roppongi Hill ครับ ซึ่งมันจะพาเราออกมาตรงระเบียงด้านบนของห้างครับ มุมนี้เราจะมองเห็น Tokyo Tower ด้วย ในส่วนของการจัดแสดงไฟให้เราเดินลงบันไดไปทีสวนด้านล่างครับ โดยไฟจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆนะครับ สวยงามมว้ากกกกกก

9gmypyqcjf5f
ijwcxjdjmip8

ในรูปตึกที่เห็นอยู่ทางซ้ายมือนั่นคือสถานีโทรทัศน์ Asahi ครับ เป็นสถานีที่ฉายรายการทีวีที่เรารู้จักกันเป้นอย่างดี เช่น โดราเอมอน ชินจัง โกโกริโกะเกมกึ๋ย ซึ่งตอนผมผ่านไป น้องสาวผมเห็นพอดี จึงบอกให้ลองเข้าไปดูครับ ซึ่งโชคดีมากที่เค้ายังไม่ปิดตึกจึงได้มีโอกาสเข้าไปถ่ายรูปด้านใน มีห้องโนบิตะให้ถ่ายด้วย แบบไม่มีคนไม่ต้องต่อคิวถ่ายรูป ดีงามสุด

pp3jpaqor3e9
0cm7pp3qd1uy
7i64lk0du4zx
9826wanyhmlb


ที่ถัดมาที่เราจะไปล่าไฟนั่นคือ Tokyo Midtown ครับ โดนจาก Roppongi Hill สามารถเดินเท้าไปได้ครับ ระยะประมาณ 1 กม. ยังอยู่ในพื้นที่ของสถานีรถไฟใต้ดิน Roppongi ครับ เดินไม่นาน ทางไม่เปลี่ยว มีร้านอาหาร และมินิมาร์ทเป็นระยะๆครับ


w8cnwjfxqxdj
q848hfpp81f7


เดินตามทางมาเราจะมาเจอด้านหลังของ Tokyo Midtown ครับ ตึกใหญ่ด้านหน้าคือสำนักงานใหญ่ของ FujiFlim ครับ กล้องในมือผมนี่สั่นระริกด้วยความดีใจได้กลับบ้านเกิด ผิดๆๆๆ บริเวณนี้จะมีต้นไม้ประดับไฟนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มครับ

wxgpeu0e3jkq
vcielmrnix9o

o0ywgaleby48
frfw4rquzt9q
yw4kx0ytu3b4

เดินต่อไปข้างในครับ จะต้องทะลุผ่านห้างเข้าไป จะมีคนถือป้ายบอกทางไปดู Illumination เป็นระยะๆจนออกไปข้างนอก ข้าม 1 สะพาน ผ่าน 1 สวน เราก็จะมาเจอลานแสดงแสงสีเสียง The "Starlight Garden" ของ Tokyo Midtown ครับ

บอกได้คำเดียวคือ อลัง!!! มันที่งานแสดงไฟที่ดูมมีชีวิตชีวาที่สุดที่ผมเคยเห็นเลยครับ นอกจากลูกโลกที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ รอบๆยังมีเส้นไฟที่วิ่งผ่านไปผ่านมาตลอด ไปประดับที่พื้นก็มีทั้งกระพริบ ทั้งลอยขึ้นลง รวมทั้งดวงไฟอีกมากมายที่อยู่กลางอากาศ สมชื่อ "Starlight Garden" จริงๆครับ

c50uat5lgthq

3qkshw1gjowg
lxcnlyh7rqfx
3441pn52dlpz

จริงๆอัดคลิปไว้ด้วยนะครับ ต้องดูไฟขยับจะสวยกว่ารูปนิ่งมาก ไว้จะหาเวลาทำลงไว้ให้ชมกันนะครับ


ที่สุดท้ายในการล่าไฟนะครับ หน้าห้าง Caretta สถานี Shiodome ครับ โดยสามารถนั่ง Toei Subway Oedo Line จาก Roppongi ไปได้เลย พอถึงขึ้นมาด้านบนก็จะเจอหน้าห้าง Caretta และพื้นที่จัดแสดงไฟ "Canyon d'Azur"


9kcj8tlmofze
wbuwat4fmfqm

ผมยกให้ Tokyo Midtown ชนะเลิศด้านความอลังการ ส่วนที่นี่ชนะเลิศด้านความสวยงามครับ ทั้งแสงและเพลงประกอบได้บรรยากาศ Winter Illumination อย่างแท้จริงครับ

7kuqcabantv9

jf42dya8a5w8
zgr5namxrarg

ถ่ายคลิปมาให้ด้วยนะ มันจะสั่นนิดหน่อยนะครับ เพราะผมยกแขนถ่ายหลบคนด้านหน้า


Day 4 : Kamakura - Enoshima Island

ujzixl9hv4kx

การเดินทางในวันนี้จะไม่ยาวนานเท่าในวันก่อนๆนะครับ เนื่องจากการเดินทางจากโตเกียวไปยังเมือง Kamakura ใช้เวลาเพียงชั่วโมงนิดๆเท่านั้นเองโดยใช้รถไฟสาย JR Yokosuka Line นั่งตรงไป Kamakura ได้เลยครับ แต่แพลนที่ผมวางไว้จะไม่ลงที่สถานี KAMAKURA แต่จะนั่ง Enoshima Electric Railway ต่อไปลงที่สถานี HASE(KANAGAWA) ครับ เพื่อเที่ยววัดพระใหญ่ Daibutsu และวัด Hase Dera ครับ (มันจะมีสถานีชื่อ Hasedera อยู่ที่เกียวโตนะครับ ระวังจะจำสลับกัน)


xd2ryi6s39is

Enoshima Electric Railway เป็นรถไฟคลาสสิก วิ่ง Slow life ชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ

พอไปถึงสถานี HASE(KANAGAWA) ก็เดินตามถนนเล็กไปได้เลยครับ มีป้ายบอกทางติดอยุ่เป็นระยะครับ ระหว่างทางก็จะมีร้านอาหาร ขนม ของฝากอยู่เต็มไปหมดครับ แต่ถ้ามาเช้ามากๆก็อาจจะยังไม่เปิดนะครับ ระยะทางจากสถานีไปยังวัด Hase Dera ประมาณ 500 เมตรครับ ตัววัดจะต้องเลี้ยวซ้ายออกจากถนนหลักไปนะครับ ถ้าเราไม่เลี้ยวแล้วเดินตรงต่ออีกประมาณ 500 เมตรก็จะเจอวัด Daibutsu ครับ

jidnagbpgx9t

พอสายๆจะมีร้านค้าเต็มไปหมดเลยตั้งแต่ขายพืชผัก ไปจนถึงร้านกาแฟ ร้านขนมหวานครับ แถวนี้ Soft Cream จะมีรส Sweet Potato ขายด้วยครับ น่าจะเป็นรสประจำถิ่นของที่นี่

hi6tjnsufb93


qy3lfqq3vhb7


ywpv995vx04k


w7treyo5ghst


lexj2prqf4ie

ผมเลือกจะไปสักการะองค์พระใหญ่ก่อนครับ โดยเดินตรงมาได้สักพักก็จะเจอกับสวนเล็กๆ และประตูทางเข้าวัด Daibutsu ครับ โดยจะเสียค่าเข้าคนละ 200 เยนครับ เข้าไปด้านในจะเป็นลานกว้าง มีสวนญี่ปุ่นล้อมรอบ และมีองค์ประอยู่ตรงกลางครับ โดยสามารถรอดเข้าไปข้างในองค์พระได้นะครับ เสียค่าเข้า 20 เยนเพียงเท่านั้นเอง

Daibutsu

โดยองค์พระใหญ่ Daibutsu มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจากองค์พระที่วัดโทไดจิ เมืองนาระ โดยในแถบนี้จะมีภัยพิบัติเข้ามาบ่อย เช่นไต้ฝุ่นและสึนามิ ทำให้ตัววัดเสียหาย และต้องซ่อมแซมไปหลายครั้งครับ ครั้งนึงเกิดสึนามิซัดเข้ามาทำลายตัววัดเสียหาย แต่องค์พระใหญ่ไม่ได้รับความเสียหายอันใด ทำให้ชาวบ้านที่นี่เคารพนับถือองค์พระใหญ่ Daibutsu มาก

c7b0zm56g21x


okniteagojgb


jigona08vito


uxciqmi3547m

ถึงตอนนี้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ในสวนยังพอมีใบเมเปิ้ลให้เห็นอยู่บ้างนะครับ ถ้ามาหน้าใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยงามมากเลยทีเดียว

vwzebj583vml


xto847064xkd


Hase-Dera

ถัดมานะครับ เราเดินย้อนกลับไปยังสี่แยกและเลี้ยวไปยังวัด Hase Dera ครับ วัดแห่งนี้ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับ 4 ในแถบคันโต ก่อนเข้าไปเสียค่าเข้า 300 เยนครับ ไฮไลท์คือเราจะต้องเดินขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่สลักจากไม้ที่อยู่ด้านบน เดินขึ้นบันไดไปนิดเดียว โดยระหว่างทางขึ้นก็จะเป็นสวนญี่ปุ่นตลอดทางครับ

i7ve3lque1lo


25m59z0jmg6g


58jn34yym3sd


2xjmh6i1rpau


3iiosarivwh8


34hivje6r5xy

พอขึ้นไปบนนั้นจะมีจุดชมวิวให้เราได้เห็นบ้านเมืองบริเวณนั้นยาวไปจนถึงชายฝั่งทะเลครับ อาคารด้านหลังจะบรรจุชั้นหนังสือที่สามารถหมุนเป็นวงกลมได้เหมือนลูกข่าง รูปสลักเจ้าแม่กวนอิมจะอยู่ด้านในอาคารหลัก ซึ่งทางวัดไม่ให้ถ่ายภาพรูปด้านในครับ

oekjurpkmn04


nzs0b4sc8nbc


49zb9knn4x4q


81lass30bq38

นอกจากนั้นด้านล่างยังมีถ้ำให้เข้าไปสักการะพระรูปเบ็นเต็ง ที่เป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้ง 7 ของญี่ปุ่นครับ

29zsfn1xlse8


lnfoe9hhj4h7


lc3xautifqwc

Enoshima Island

1x7gwhrpkn7i

เนื่องจากผมออกจาก Hase Dera ก็เที่ยงแล้ว ตอนแรกตามแพลนจะแวะเที่ยวศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ที่สถานี Kamakura ก่อนจะข้ามไปเกาะ Enoshima แต่ท่าเวลาจะไม่พอ เลยนั่ง Enoshima Electric Railway ตรงไปสถานี Enoshima เลย ซึ่งทางรถไฟเส้นนี้จะมีวิวทะเลให้เห็นเป็นระยะครับ

zam8t3ecj55k

จากสถานี Enoshima ไปยังตัวเกาะนั้น ต้องเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตรครับ ช่วง 5 กิโลเมตรแรกจะผ่านร้านอาหารเต็มไปหมด ซึ่งผมก็แวะกินข้าวบริเวณนั้นแหละครับ ส่วน 1 กิโลเมตรหลังคือการเดินข้ามสะพานไปยังเกาะครับ ซึ่งเมื่อข้ามสะพานไปแล้วก็จะมีร้านอาหารอีกครับ แต่ราคาจะแพงขึ้นหน่อยนึง หลังจากจุดนี้จะไม่มีร้านอาหารอีกแล้ว จะมีอีกทีก็ช่วงก่อนถึง Iwaya Caves ซึ่งจะเป็นร้านใหญ่เพื่อดูวิวพระอาทิตย์ตกนะครับ

hnieqie5802m

ตอนผมออกมาก็เดินสวนกับนักเรียนม.ปลายกลุ่มใหญ่เลย คิดว่าวันนั้นน่าจะมีทัศนศึกษาที่เกาะ Enoshima ครับ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือข้าวหน้าปลาข้าวสาร (Shirasudon) และข้าวหน้าไข่หอยครับ สำหรับจานแรกนั้นบางคนอาจจะกินไม่ค่อยลงครับ เพราะหน้าตาน่ากลัวสักหน่อย แต่รสชาดอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว ปลาข้าวสารที่นี่เนื้อแน่นมาก กัดทีนึงได้เนื้อปลาเต็มๆเลยครับ ราคาก็ตกอยู่ที่จานละพันเยนนิดๆ ร้านจะอยู่ก่อนออกถนนใหญ่เพื่อไปข้ามสะพานครับ

sq55t7nyxzu0


gkdo3jqfaazp


8ez61p6cflxx


fmna4kyhxfi0

ขยายให้ดูช่วงใกล้ถึงสะพานนะครับ เมื่อผ่านร้านอาหารที่ผมทานไปจะเจอ Lawson ครับ จากนั้นเราจะเจอสะพานเล็กๆทางขวามือซึ่งจะพาข้ามไปยังสถานีรถไฟ Katase-Enoshima ซึ่งสถานีนี้จะเป็นของ Odakyu Electric Railway ครับ ใครใช้ Kamakura Pass ก็น่าจะต้องนั่งสายนี้แหละครับ สามารถใช้นั่งกลับโตเกียวได้เหมือนกันครับ จากจุดนี้ต้องเดินตรงลงอุโมงไปครับ ขึ้นมาก็จะเจอเสามังกร อันเป็นสัญลักษณ์ของเกาะนี้ครับ โดยที่มามาจากตำนานของมังกรห้าหัวที่โผล่ออกมาทำร้ายชาวบ้านในแถบนี้ครับ และเทพเบ็นเต็ง (องค์เดียวกับที่อยู่ในถ้ำวัด Hase Dera นี่แหละครับ) ก็ปรากฎกายออกมาเหนือเกาะ Enoshima ครับ และไล่มังกรไปอยู่ที่ภูเขาตรงข้ามกับเกาะนี้ครับ (Tatsu no Kuchi Yama เขาปากมังกร)

aihb7new3vv6


vzzd1u61atdc

ระหว่างทางข้ามสะพานจะเห็นวิวทะเลสองข้างทางเลยครับ วันที่อากาศดีๆก็สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ด้วย เดินเล่นที่นี่ต้องระวังนกเหยี่วให้ดีนะครับ มันบินอยู่ทั่วเกาะเลย เยอะเหมือนเป็นนกนางนวล เราจะได้ยินเสียงมันร้องเป็นระยะๆจนชินครับ เวลาเราถือขนม เหยี่ยวพวกนี้มันจะบินตามหลังเราแล้วก็โฉบลงมาแย่งครับ ประเด็นคือกรงเล็บมันยาวมาก ถ้าโดนข่วนได้เลือดตกยางออกกันแน่ เจอแบบนี้ลิงที่เขาวังดูน่ารักไปเลยครับ

xges9juormiz

ไม่แน่ใจพี่คนนี้เค้าไปพายอะไรอยู่กลางทะเล มันลึกอยู่นะตรงนั้น

14e08gzxfl6e

ถึงเกาะแล้วเราจะเจอคล้ายๆถนนคนเดินครับ เดินตรงไปยาวๆเลยปลายทางจะเจอศาลเจ้า Enoshima ครับ ศาลที่เทพเบ็นเต็งพำนักอยู่ เมื่อถึงหน้าศาลนะครับ ถ้าขึ้นบันไดต่อไปจะขึ้นไปยังชั้น 2 ครับ แต่สำหรับคนเข่าข้อไม่ดี เค้าจะมีบันไดเลื่อนให้แต่ต้องซื้อตั๋วนะครับ ทางขึ้นจะอยู่ทางซ้ายมือของศาลเจ้า สำหรับผมมีพ่อแม่ไปด้วยไม่อยากเดินเยอะ ก็เลยไปขึ้นบันไดเลื่อนนี่แหละครับ (จริงๆบันไดก็ไม่ได้สูงมาก เทียบกับบันไดที่ Chureito Pagoda ที่นี่เป็นลูกแมวไปเลยครับ)

เค้าจะมีตั๋วเหมา 750 เยน จะรวมค่าขึ้นบันไดเลื่อน 3 ชั้น ค่าเข้าสวน Samuel Cocking Garden และค่าขึ้น Sea Candle ครับ ซึ่งราคานี้คุ้มอยู่ครับ เพราะแค่ค่าเข้าสวน 200 เยน รวมกับค่าขึ้น Sea candle 500 เยน ก็ 700 เยนเข้าไปแล้ว

duqlzam6ruk3


ad7gwuajr09d

การเที่ยวที่นี่จะเป็นการขึ้นบันไดเป็นชั้นๆ 3 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีจุดชมวิว และศาลเจ้าครับ บนสุดจะเป็นที่ราบเป็นจุดที่มีสวน Samuel Cocking Garden ซึ่งเป็นสวนพฤกชาติ และ Sea Candle เป็นหอชมวิวสูง 60 เมตรครับ จากนั้นก็จะเป็นทางเดินลงอีกด้านไปยัง Iwaya Caves

ull6eid8bsck


6iu60udp42mp


b8z6yrkn0ad0


7m1pzufczv20


Samuel Cocking Garden

บริเวณหน้าสวน Samuel Cocking Garden จะมีจุดชมวิวทางฝั่งตะวันตกของเกาะนะครับ แต่ไม่อลังการเท่าชมจากด้านบนของ Sea Candle ครับ ตรงทางเข้าาสวนวันที่ผมไปจะมีคนมาเล่นโชวควงไม้หาตังครับ ไม่แน่ใจจะมีทุกวันรึป่าวนะครับ แถวนี้มีร้านขายขนมนิดหน่อยครับ พวกซาลาเปา และซอฟครีมครับ

6vab1vwpx5ep


xklok0c03hhb

ข้างในสวนก็จะมีต้นไม้นานาชนิดครับ มีร้านกาแฟ จุดชมวิว เหมือนตอนกลางคืนจะมี Illumination ด้วยนะครับ ใครมาค้างคืนที่นี่ช่วงหน้าหนาวอย่าลืมเเวะเข้ามาดูนะครับ

znjjokne8nli


wqycgfy311fl


kp0dxbvki60y


72headycd98f


qfj6dkcdhse1


d7715u7nxhm6

Sea Candle

ส่วน Sea Candle จะอยู่ด้านในสุดของสวนครับ ใครที่ไม่อยากเสียเงินขึ้นชั้นบนสุดนะครับ มันจะมีชั้นลอยอยู่ตรงฐานครับ สามารถขึ้นไปดูวิวได้เช่นกัน แต่จะไม่สูงมาก ส่วนคนที่ซื้อตั๋วก็จะได้ขึ้นลิฟท์ไป Observation Deck ซึ่งจะเป็นห้องกระจกติดแอร์ เห็นวิวโดยรอบ 360 องศาครับ แต่ช่างภาพอย่างพวกเรา กระจกถือเป็นศัตรูครับ ถ้าอยากเห็นวิวแบบไม่มีกระจกบัง และรับอากาศด้านบนให้เต็มที่ให้เดินขึ้นบันไดไปชั้น Open Air ครับ ประตูอยู่ข้างๆลิฟท์นี่แหละ บอกเลยว่าวิวสุดยอดมากๆครับ

yb66lrspisq5


qp1pcb3681uk


h6yldkl3v3jh


zj6pbc4w5se7


6xpeq6f5x5jw


yslz4jqzc4p8


gcclzaauasxh

Iwaya Caves

ออกจากสวนมาก็จะเป็นทางเดินลงยาวๆไปยัง Iwaya Caves ที่อยู่ปลายสุดของเกาะครับ ซึ่งถ้ำจะปิดสี่โมงเย็นนะครับ ใช้เวลาเดินจากจุดนี้ไปยังถ้ำ ประมาณ 20 นาทีได้ครับ ระหว่างทางจะมีศาลเจ้า ร้านอาหาร และขนมตลอดทางครับ นอกจากนี้ทางไปสั่นระฆัง Love Bell ก็จะอยู่ระหว่างทางไปถ้ำนี่แหละครับ แต่จะต้องแยกเป็น Trail ย่อยออกจากทางหลักนิดหน่อย จุดนั้นจะเป็นจุดที่สูงที่สุดบนเกาะครับ คู่รักเค้าจะมาสั่นระฆัง และล๊อคกุญแจกับรั้วบริเวณนั้นครับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ได้เข้าไปเนื่องจากมันเริ่มเย็นแล้วกลัวจะไปถ้ำแล้วกลับมามืดซะก่อน

98meg1gsxfki


eyvr3dzdbr66



พอใกล้ถึงถ้ำก็จะเป็นทางลงไปเดินเรียบทะเลครับ ทางเดินจะเป็นทางปูนอย่างดี สามารถลงไปเดินที่โขดหินริมทะเลได้ครับ ซึ่งพอเย็นๆชาวบ้านที่นี่จะมาตกปลากัน และจะมีวัยรุ่นมาถ่ายรูปเล่นริมทะเลเต็มไปหมดครับ



bx8uo3x0pda3


l0f093alibkh


78aq9s6s5kai


l33jb3awt79h

Iwaya Caves เสียค่าเข้าต่างหากคนละ 500 เยนนะครับ ภายในจะมี 2 ถ้ำย่อย Cave 1 & Cave 2 โดยถ้ำแรกจะแสดงพระพทธรูปต่างๆที่พบในถ้ำแห่งนี้ครับ ทางเข้าถ้ำจะมีไฟประดับไว้สวยงาม ด้านในจะมืดมากจะมีเจ้าหน้าที่คอยแจกโคมกระดาษให้ถือเข้าไปครับ บางจุดมีต้องก้มบ้าง บางจุดก็มีน้ำซึมลงมา แต่เค้าทำที่กั้นไว้แน่นหนาครับ ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมครับ ทำให้มีอากาศถ่ายเทสะดวกไม่อึดอัดเท่าไหร่ครับ

x4ynksd5dvmj


ea4ajmic594a


61080v0kitmz


f229hqa48rj9

ถ้ำที่ 2 จะต้องเดินเลาะริมผาออกมาอีกนิดหน่อยครับ ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่สร้างให้มังกรที่มารุกรานแถบนี้ครับ โดยในถ้ำนี้จะมีรูปปั้นมังกรอยู่ ให้เราโยนเหรียญ ตีกลอง และอธิฐานขอพรครับ

qduhvf62c9nt


9c695490kfeo


udu6sh01tgby


okbk4cxzyr73


rspvqya5uoek

เสร็จแล้วก็เดินกลับยาวๆเลยครับ ขากลับไม่มีบันไดเลื่อนลงให้ด้วย ตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มจะตกแล้ว วิวตรงชายฝั่งสวยงามมากครับ ใจนึงก็อยากอยู่ถ่ายรูปจนพระอาทิตย์ตก แต่ก็กลัวตอนเดินกลับมันจะมืดไป ช่วงกลางๆเกาะไม่มีบ้านคนด้วย มีแต่ศาลเจ้า 555+ ซึ่งพอซัก 4 โมงร้านแถวนั้นก็เริ่มปิดกันแล้วด้วยครับ

u21g5i2hbd72



dvrt93c3h7zo


q7mhmnkpayjn


nkywzzeodfik


twxu7pdsc1ju


v704m6jsnn9k

ขากลับผมไม่ได้กลับที่สถานี Enoshima แต่กลับด้วยรถของ Odakyu Enoshima Line Local ที่สถานี Katase-Enoshima ครับ (ดูแผนที่ในคห.แรกนะครับ) เนื่องจากรอบรถและระยะทางเดินเหมาะสมกว่า โดยจะไปเปลี่ยนขบวนรถเป็น JR Tokaido Line ที่สถานี FUJISAWA ครับ และนั่งยาวๆเข้าโตเกียวเลย

wdxtrthk4aad

Day 5 : Jigokudan Monkey Park (Nagano) - Tokyo Character Street

ในวันนี้ที่ๆเราจะไปกันคือ Jigokudani Monkey Park ซึ่งอยู่ในจังหวัด Nagano ครับ โดยจะอยู่ไกลจากโตเกียวพอดูอยู่ การเดินทางไปให้ใช้รถไฟชินคันเซน นั่งยาวไปจากสถานี Tokyo ได้เลยครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งเส้นนี้คนที่ใช้ Tokyo Wide Pass จะไม่ครอบคลุมถึง Nagano นะครับ ต้องซื้อเพิ่มในส่วนที่ต่อจาก Saku Daira ครับ ส่วน JR East Pass สามารถนั่งไปได้เลยครับ

ในวันนี้ไม่ค่อยมีรูประหว่างทางมาให้ดูนะครับ เนื่องจากแถบ Nagono อากาศหนาวมากครับ หนาวกว่าทุกวันที่ผ่านมา แทบไม่อยากเอามือออกจากกระเป๋าเลยครับ

ที่สถานี Nagano จะมี Monkey Pass ขายครับ เป็น Pass ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยัง Jigokudani Monkey Park ทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นค่ารถบัส ค่า Local Train ค่าเข้าสวนดด้านนอก และด้านในครับ โดย Pass นี้จะราคา 2,900 เยนครับ คำนวณคร่าวๆแล้วจะราคาถูกกว่าเราจ่ายค่าเดินทางและค่าเข้าเองครับ ยิ่งถ้าใครจะแวะเที่ยวรอบๆ Nagano ด้วยก็ยิ่งคุ้มครับ เพราะ Pass นี้เราสามารถใช้นั่งทั้งรถบัส และรถไฟใน Nagano ได้ครับ ใน Pass ก็จะมีข้อมูลการเดินทางไป Jigokudani Monkey Park อย่างละเอียดยิบ ทั้งแผนที่ ตารางรถบัส และรถไฟ มีประโยนช์มากจริงๆครับ

สถานที่ขาย Pass ก็จะอยู่ในสถานี Nagano Dentetsu หน้าตู้ขายตั๋วครับ แต่จุดที่เราลงชินคันเซนมาจะเป็นสถานี Nagano (๋JR) นะครับ เราต้องลงไปชั้นใต้ดินจึงจะเจอส่วนที่เป็นสถานี Nagano Dentetsu ครับ

3xw01b1u9uhj

จากสถานี Nagano การไปยัง Jigokudani Monkey Park จะต้องนั่งรถบัสต่อไปประมาณ 40 นาทีครับ โดยจะลงได้ 2 ป้าย คือ Kanbayashi Onsen และ Snow Monkey Park อยู่ที่ว่ารถคันไหนจะผ่านป้ายไหน โดยป้าย Kanbayashi Onsen จะใกล้กว่านิดนึงครับ สัก 50 เมตรได้

wlih1os4zpd3

fegn18jkkrc6

ป้ายรถ และตารางรถไปกลับจากสถานี Nagano - Jigokudani Monkey Park ครับ ควรจะเลือกรอบรถไฟชินคันเซนให้มาถึงก่อนเวลารถออกสักครึ่งชั่วดมงนะครับ เผื่อเวลาซื้อ Pass และหาป้ายรถครับ


ซึ่งหากไม่อยากนั่งรถนานเราสามารถนั่ง Local Trian จากสถานี Nagano ไปยังสถานี Yudanaka แล้วค่อยนั่งรถบัสต่อก็ได้ครับ เวลารวมพอๆกัน จะเราจะอยู่บนรถไฟนานกว่ารสบัสแค่นั้นเอง แต่ถ้าเอาสะดวกก็แนะนำให้นั่งรถบัสยาวไปเลยจากหน้าสถานีครับ

f3ajlwyk07sm


823356fbf7fu


5cabg39yrbik


7af28kia1ueg

ตารางรถไฟไปสถานี Yudanaka และรถบัสสำหรับนั่งต่อไป Jigokudani Monkey Park ครับ

เมื่อถึงแล้วเราต้องเดินตามถนนเข้าไปประมาณ 15 นาทีครับจึงจะเจอลานจอดรถ ร้านอาหาร และห้องน้ำ ซึ่งใครอยากเข้าห้องน้ำ กินข้าวให้จัดการตั้งแต่ตรงนี้ครับ เพราะหลังจากนั้นจะเป็นการเดินในป่าเกือบชั่วโมงครับ ซึ่งจะไม่มีห้องน้ำเลยจนกว่าเราจะถึงบริเวณบ่อน้ำร้อน

fawki7k7pr22

ถึงวันนั้นจะหิมะไม่ตก แต่อากาศเย็นยะเยือกมากครับ ตลอดวันที่อยู่ใน Monkey Park นี่ควันออกปากตลอด เป็นวันเดียวที่ผมต้องเอาถุงมือมาใส่ครับ (ขนาดที่ลานสกียังเล่นมือเปล่าเลย) ซึ่งช่วงที่ผมไปบางวันที่นั่นก็หิมะตกหนานะครับ ใครจะไปต้องเตรียมเสื้อหนาว หมวก ถุงมือไว้ให้พร้อมครับ

พอเข้าสวนไป เราจะเดินขึ้นเนินเล็กๆเนินนึงครับ จากนั้นทางเดินช่วงแรกจะเป็นถนนเรียบๆครับ ถ้าฝนตกก็จะเป็นโคลนนิดหน่อย เวลาเดินก็จะกระเซ็นมาเปื้อนกางเกงนิดหน่อย ซึ่งระหว่างทางจะมีป้ายบอกระยะไปเรื่อยๆ

5zm40ywv43ma

แล้วเราก็จะมาถึงพื้นที่ๆคล้ายๆกำลังสร้างรีสอร์ทอยู่ครับ จะมีน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมาให้ดูตลอด เราจะเจอลิงเดินสวนมาบ้างประปรายครับ จากจุดนี้เราจะต้องขึ้นบันไดไปด้านข้าง แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆอีกนิดหน่อยก็จะเจอตึกที่ไว้ตรวจตั๋วเข้าบ่อน้ำร้อนครับ คนที่ไม่มี Pass ก็ไปแวะซื้อตรงนั้นได้ จากนั้นเราก็จะเจอลำธาร และบ่อน้ำร้อนของลิงครับ แถวนี้ลิงเริ่มชุกชุมแล้ว ทั้งนั่งอยู่ริมทางเดิน และเดินสวนกับเราครับ

0xxckn17myty


8x12w5pq3hnh


xt3c2ysn3mun

บ่อน้ำร้อนของลิงจะเป็นบ่อน้ำตื่นๆพอให้ลิงลงไปได้โดยไม่มิดหัวครับ บ่อไม่มีราวกั้นใดๆ เราจะลงไปแช่กับลิงก็ได้ครับ ลิงที่นี่เป็นกันเองเดินมาแทบจะเบียดเราตกบ่อ วันที่ผมไปก็คนเยอะอยู่ครับ เวลาถ่ายรูปลิงต้องเบียดกันนิดหน่อย

6rzwhcb1g3p7


4wviz35gyqs2


ggu5n2ou0plq


cr9vjv5y7dc6


5u4i4bod3woh

ผมไปที่ Jigokudani Monkey Park ด้วยรถบัสรอบ 9.05 ถึงหน้าทางเข้าสวนจริงๆตอนประมาณ 10 โมงกว่าๆครับ ใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณ 2 ชั่วโมง กลับออกมากินข้าวเที่ยงเร็วๆหน้าสวน และขึ้นรถกลับสถานีรอบ 12:50 ครับ ผมใช้เวลาอยู่หน้าบ่อน้ำประมาณ 40 นาทีครับ ถ่ายลิงเล่นประมาณ 300 รูป ถ้ามาดูเฉยๆอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้นะครับ เวลาเดินไป-กลับก็ประมาณ ชม.ครึ่งครับ

shz7eoeazib9

Tokyo Character Street

วันนั้นจริงๆผมมีแผนไปเที่ยววัดในเมือง Nagano ต่อครับ แต่ว่าพอกลับไปถึงฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เลยตัดสินใจกลับเข้าโตเกียวครับ โดยแพลนเร็วๆคือไปแวะเดิน Tokyo Character Street ที่สถานีโตเกียว กินข้าวหน้าปลาไหลจานละ 300 บาทครับ

Tokyo Character Street จะเป็นร้านขายของที่เป็น Character ตัวการ์ตูนอนิเมะต่างๆครับ อยู่ในชั้นใต้ดิน B1 ของสถานีรถเลย ไปไม่ยาก หาทางลงให้เจอ แล้วดูแผนผังที่เค้าแปะไว้ตามผนังได้เลยครับ ของที่ขายจะเป็นของจากเข้าของแบรนด์โดยตรง ราคาจะถูกกว่าซื้อตามร้านขายของเล่นครับ แต่ร้านจะมีของไม่เยอะ และร้านค้าก็ไม่เยอะเท่าไหร่ครับ ประมาณ 15-20 ร้านเท่านั้นเอง ซึ่งบางร้านก็จะขายของรวมๆทั่วไปครับ

ซึ่งแต่ละเดือนเค้าจะมีธีมของเค้าครับ ตอนผมไปเป็นช่วงของเจ้าไข่ขี้เกียจ Gudetama ครับ

3e2dgjr7afbs


Rilakkuma Shop

v68yft4mq67q


99ox8nt44zxq


เจ้าหนูแกสบี้

eo8agvcle34f


ku266qwotgji


เห็ด!!

rfmi19vyn26b

cj4iam219twr


ร้านจิบิ

co539g2mt7o2


Pokemon Store

ตอนแรกว่าจะไม่เสียตังซื้อของเล่นแล้ว มาตายร้านนี้แหละะะะ

vlw2ois5dpl2

มันคิ้วมากกกกกกก

fuvhh7a0ro8l

โดนไปสิคนละตัวพี่น้อง กระเป๋าเบาขึ้นทันใด ;___;

n2g2rezp59t6


Jump shop

นี่ก็ตัวจี๊ดอีกร้าน ที่ของบรรดาเด็กผช.

rfmr30lkwqko

gxmpbmchovep


เสียตังกันหมดตัวเรียบร้อย ผมก็เดินทางไปสถานี Ueno เพื่อกินข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งวางแผนไว้อย่างดิบดีว่ามาญี่ปุ่นต้องกินให้ได้ครับ (ของชอบเป็นการส่วนตัว) แล้วระหว่างหาร้านที่ไม่แพงมากก็ไปแเจอร้านนี้พอดี ราคาไม่แพง แถมไปง่ายด้วย อ่านชื่อร้านไม่ออกครับ แต่เสิร์จ 名代 宇奈とと 上野店 ใน Google Map ได้เลย การเดินทางไปก็เหมือนตอนไปกินซูชิจานหมุนแหละครับ ร้านจะอยู่ซอยข้างตลาด Ameyoko ออกจากสถานี Ueno ตรง Shinobazu Exit ไม่ก็ Hirokoji Exit ครับ ไปตามภาพเลย

65hxqnj14b6w

ร้านจะเล็กๆหน่อยครับ ด้านในจะเป็นบาร์ให้นั่งได้ประมาณ 5-6 คน ด้านนอกจะเป็นโต๊ะนั่งได้เยอะอยู่ เค้ายกออกมาได้เรื่อยๆครับ เค้าจะปิ้งปลาไหลให้ดูหน้าร้านเลย เมนูและราคาก็ตามรูปครับ

ex2afngyb7em


wkoml7gwe7gl


tsdcpme8nb6t

มีตั้งแต่ราคาไม่ถึงพันเยน จน 2000 เยน ตามขนาดครับ เท่าที่กินกันจานละพันเยนกำลังพอดีครับ แต่ผมเลือกจานละ 1300 เยนครับ ขอเต็มที่นิดนึง เก็บกดมานาน อากาศหนาวๆสั่งเบียร์มาจิบด้วยฟินสุดๆๆๆๆๆ

tr9rf6x8m8yg



Day 6 : Mt.Takao

wi4cukx8769b


และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายแล้วนะครับ วันนี้มีข้อจำกัด 2 เรื่องคือ JR East Pass ได้หมดอายุลงเป็นที่เรียบร้อย และผมจะต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนาริตะเวลา 19.00 น. ทำให้ที่เที่ยววันนี้จะไปไหนไกลมากไม่ได้ครับ โดยแรกๆพยายามหาที่ไปหลายที่ ขอคำแนะนำจากพี่ๆในพันทิปไว้ก็เยอะ สุดท้ายด้วยความที่ชอบเที่ยวแนวธรรมชาติจึงมาจบที่ภูเขาทาคาโอะ ซึ่งเพื่อนที่อยู่ที่นี่แนะนำมาครับ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเพื่อนก็ไม่เคยไปเหมือนกัน หลอกเราไปชิมลางซะงั้น 5555)

การเดินทางไปภูเขาทาคาโอะ เราจะไปลงที่สถานี Takaosanguchi ครับ จากโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยสามารถมาได้หลายวิธีครับ ที่ง่ายสุดคือนั่งรถไฟสาย Keio Takao Line จาก สถานี Shinjuku(JR) โดยสายนี้จะมีทั้งแบบ Special Exp. และ Semi-Special Exp. มาสลับกันไปครับ โดยถ้าเรานั่งแบบ Semi-Special Exp. มันจะพาเราวิ่งยาวไปสถานี Takaosanguchi แต่ถ้านั่งขบวน Special Exp. เฉยๆก็จะต้องไปต่อรถที่สถานี Kitano(TOKYO) ครับ โดยการต่อรถที่ว่าจริงๆแล้วคือการเดินข้ามชานชาลาระยะประมาณ 5 เมตรไปยังรถไฟขบวนตรงข้ามเท่านั้นเอง ถ้าถามผมคือจะนั่งขวบนไหนก็ได้ไม่แตกต่างกันครับ

ot21hiugtrer

ผมมาถึงหน้าสถานีตอนประมาณ 9.30 ครับ อากาศเย็นสบายได้ที่เลยทีเดียว จากหน้าสถานีเลี้ยวขวาไปจะมีป้ายแผนที่อันใหญ่บอกทางไปภูเขาครับ ให้เราเดินตรงต่อไปในทางเดินเล็กๆข้างหน้าเลย จะผ่านบ้านเล็กน้อยแล้วก็จะเจอทางขึ้นเขาและสถานีรถรางครับ

w22i8a9chn1u


rjgqcy4m5izl


d0wfkkqq1id1

ภูเขาทาคาโอะจะมี Trail ให้เดินหลายอันครับ ถ้าจะเก็บครบคงต้องเดินทั้งวันเลยทีเดียว โดยดูจากภาพด้านล่าง เราเริ่มจากสถานีรถรางที่เป็นตึกสีขาวด้านล่างจะเห็นว่า Trail 1 - เส้นสีส้ม จะเป็นเส้นทางหลักสำหรับเดินขึ้นไปที่ยอดเขานะครับ ซึ่งเราสามารถนั่งรถรางย่นระยะได้ ใน Trail 1 ระหว่างทางก็จะมีทางแยกไป Trial ย่อยๆอันอื่นซึ่ง Trail ที่ผมเดินเป็นหลักก็คือ Trail 1 ครับ มีวนดูวิวที่ Trail 2 และเดินหลงไปใน Trail 5 ช่วงสั้นๆ ครับ

1lxxmlxz5xsz

เนื่องจากตอนผมไปไม่รู้ว่าการเดินขึ้นจะใช้เวลาแค่ไหน ขาขึ้นผมเลยเลือกนั่งรถรางขึ้นเพื่อประหยัดเวลาครับ แล้วค่อยดูอีกทีว่าด้านบนใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ถ้าเวลาเหลือก็จะเดินลงครับ โดยค่าขึ้น-ลงจะอยู่ที่เที่ยวละ 480 เยนครับ ถ้าเหมาขึ้น-ลงเลยก็จะถูกลงเป็น 980 เยนครับ รถจะออกทุก 15 นาทีครับ โดยวันที่ผมไปคนน้อยมาก ทั้งคนรถมีแค่ 3 คนเท่านั้นเอง

นอกจากรถรางแล้ว เราก็สามารถนั่ง Chair Lift ขึ้นไปได้เช่นเดียวกันครับ ราคาก็เท่ากันเลยอยู่ที่จะชอบแนวไหนครับ

q9ilh5hy9r0h


ennw91pphpd4


cpsaag7dlz1o

นั่งรถรางไม่นานก็มาถึงด้านบนครับ จะเจอพวกร้านอาหารก่อน มีร้านนึงปิ้งดังโงะกลิ่นหอมมาก ด้วยความที่ข้าวเช้ากินมานิดเดียว ผมเลยไม่รอช้า จัดการซื้อดังโงะไม้ละ 310 เยนไปเป็นที่เรียบร้อย ที่เพิเศษคือตรงข้ามร้านเป็นจุดชมวิวกว้างสุดสายตาเลยครับ ยืนกินไปดูวิวไปฟินสุดๆ

1j44ljshddu7


1thgcyq0xzy6


wlpasi6xghkr

หลังจากนั้นเกิดปัญหานิดหน่อยครับ คือผมหาที่ทิ้งไม้ดังโงะไม่ได้ ตอนแรกกินเสร็จก็เดินต่อไปเลย กะว่าข้างหน้าคงมีถังขยะครับ ซึ่งก็มีจริงๆ คือถังขยะที่สถานี JR Shinkuju ก่อนขึ้น NEX ไปสนามบินครับ คือในวันนั้นก็มีไม้ดังโงะแท่งนี้แหละเป็นสหายร่วมเดินทางอยู่ครึ่งค่อนวัน อยากจะเอาฝังดินระหว่างทางมากกกกก

กลับมาต่อนะครับ รถรางพาเราขึ้นมาตรงเส้นทางวนๆสีฟ้า หรือ Trail 2 นั่งเองครับ จากตรงนี้เราเดินวนไปทางไปเรื่อยๆจะเจอกับสวนลิงครับ ซึ่งผมเพิ่งเจอลิงไปอย่างเต็มอิ่มที่ Nagano เลยไม่เข้าไป ตั้งหน้าตั้งตาเดินจ่ำๆๆ กินลมชมวิวต่อไปตามทางเรื่อยๆครับ

u0jx3uaqqvs4


fpc91fk1h0ct


3totpozodar9


b4kou2kbgcdy

เส้นทางเดินไม่ยากครับ ตมถนนหลักอย่างเดียว ป้ายมีแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะครับ วันนั้นทั้งวันไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย มีแต่คนญี่ปุ่นจริงๆ ทั้งเด็กมหาลัยที่ใส่ชุดวอร์มขึ้นมาออกกำลังกาย และบรรดาคุณลุงคุณป้าทั้งหลายที่ขึ้นมาไหว้พระ ด้วยความที่วันนั้นเป็นวันธรรมดา ทำให้ภูเขาเงียบมากครับ บรรดาร้านค้าก็ปิดกันหมด คนก็น้อย ทำให้ได้เดินฟังเสียงธรรมชาติอย่างเต็มที่เลยครับ

czsr6q2tu5ts


ch7olua1g2cq


ivylox8o5pkh

หลังจากเดินๆหลงๆมานิดหน่อย เพราะผมไปเดินลัดด้านข้างวัด เข้าใจว่าเลยเดินไปชน Trail 3 ช่วงขึ้นยอดเขาครับ แต่ก็ตามป้ายกลับมาจนได้ เราก็มาถึงบนยอดเขาทาคาโอะกันแล้วครัช

clqk424uh8cq

ที่ผิดคาดสำหรับที่นี่คือวิวครับ ไม่รู้เลยว่าบนยอดวิวจะดีขนาดนี้ แถมยังได้เจอกับภูเขาไฟฟูจิอีกรอบก่อนจะกลับด้วย เกินคาดจริงๆครับ

beerumogy2jh


9uacf3gxiulz

ผมอยู่บนยอดเขาไม่นานครับ เนื่องจากไม่มีร้านอะไรเปิดเลย ถ้าใครมีเวลาเหลือ เราสามารถเดินต่อไปยังเขาอีกลูกได้นะครับ มีป้ายบอกทางชัดเจนเลย แต่ตอนนั้นมันใกล้จะเที่ยงแล้ว ผมเลยรีบกลับเพื่อที่จะได้มีเวลาเดินลงครับ เนื่องจากอยากเห็นระหว่างทางลงไปด้านล่างด้วย โดยทางลงคราวนี้ผมลงในทางปกติที่ชาวบ้านเค้าเดินกันแล้ว ผ่านศาลเจ้าที่ตอนแรกอ้อมหลบไป และชิลขึ้นนิดหน่อยเนื่องจากพิชิตยอดเขาไปแล้วครับ 555

219tyberx4qo


rx03hy3t2qat

เจอหมีระหว่างทาง!!

pwilldb8gw2k


0sgbd14sz1ub


m8t51z57upea


ib1k85e40nmx

แวะพักแป๊ปปป

wknvz8lhgz07


0jvxvbyqu9oh

ตอนนี้ผมก็กลับมาถึงร้านดังโงะแล้วครับ เวลาเที่ยงนิดๆ ผมคำนวณแล้วว่าต้องลงไปให้ถึงที่สถานีอย่างช้าสุดบ่ายสาม คิดคร่าวๆว่าเดินลงชม.นึง กินข้าวชม.นึงก็ยังเวลาเหลือ เลยตัดสินใจเดินลงครับ ก่อนลงแวะอุดหนุนร้านดังโงะอีกรอบ คราวนี้ซื้อซอฟครีมมาชิมครับ เล็งไวแต่เช้าแล้วแต่ตอนนั้นอยากกินดังโงะมากกว่า 55

2bcb291lrxt9

ทางเดินไปด้านล่าง ช่วงหลังจากสถานีรถรางนะครับ บอกเลยครับว่าชันมากกก บางช่วงเกือบจะ 30 องศาครับ แทบจะเดินลงไม่ได้จะต้องวิ่งตลอด ชันกว่าทางลาดลงภูกระดึงครับ (ไม่นับช่วงที่ต้องปีนหินลงนะ) ดีหน่อยที่พื้นเป็นพื้นยางมะตอยสำหรบให้รถขับขึ้น ทำให้มันไม่ลื่นเท่าไหร่ แต่คนที่เดินขึ้นมาต้องฟิตพอดูครับ ไม่งั้นได้เดิน 3 ก้าวแล้วหยุดแน่นอน แถบบางช่วงจะไม่มีต้นไม้บังด้วย รับแดดเต็มๆเลยครับ

hnvj74hy2iv7


og97kjv1j6z2


sd24xargr17q

และแล้วเราก็ลงมาถึงด้านล่างอย่างปลอดภัยครับ เพิ่งสังเกตเห็นป้ายบอกระยะทาง รวมแล้วจากพื้นล่างขึ้นสู่ยอดเขาทาคาโอะเป็นระยะทาง 3.8 Km ครับ (เดิน Trail 1) โดยช่วงแรกสุดจะเป็นทางเรียบ ก่อนี่จะต้องเดินขึ้นบนทางชันต่อเนื่องประมาณ 2 Km กว่าๆ ก็จะจเอสถานีรถราง จากนั้นอีก 1.8 km ก็จะเป็นทางเดินเรียบ+เนินนิดหน่อย ไม่ถึงกับทำให้เหนื่อยหอบครับ โหดแค่ช่วงแรกจริงๆ ควรเผื่อเวลาเดินขึ้นจากพื้นราบไปถึงสถานีรถรางด้านบนประมาณ 1 ชม.ครึ่งครับ เดินต่อ+เที่ยวบนยอดเขาอีก 1 ชม. และเวลาเดินลงมาอีก 1 ชม.ครับ

enlbxnsqad82


ncdfh8v4mls2

ด้านล่างแถวๆหน้าสถานีรถไฟจะมีร้านอาหารอยู่ครับ ราคาพอประมาณไม่มีเมนูภาษาอังกฤษครับ ที่นี่ดูจะไม่ค่อยรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ลำบากในการสื่อสารเท่าไหร่ครับ คนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่อง Service Mind อยู่แล้วครับ

eblf4f227p73

เนื่องจากตอนลงผมจะต้องวิ่งลงในหลายๆครั้ง ทำให้ลงมาถึงข้างล่างเร็วกว่าที่คิดไว้ครับ แถมมีเวลาเหลือพอที่จะออกไปเดินเล่นใน Shinjuku ระหว่างรอขึ้น NEX กลับสนามบินด้วยครับ (ซึ่งไม้ดังโงะแท่งนั้นก็ไปเที่ยว Shinkuju กับผมเช่นกัน)

tjtlq4rp8hdh


4u2zsy623t2e

ขอจากลากันแต่เพียงเท่านี้นะเจ้าไม้ดังโงะ

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับทริป Japan Before Christmas ของผม เป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก และเป็นการออกเที่ยวกับครอบครัวครั้งแรกในรอบ 3 ปีของครับ (ช่วงหลังหนีไปแบคแพคคนเดียวบ่อย ทริปนี้ก็ไม่เว้นวันสุดท้ายที่หนีครอบครัวไปขึ้นเขาคนเดียว 55)

หวังว่าข้อมูลในรีวิวอันนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะครับ อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ว่าตอนแรกไม่ได้วางแผนจะเขียนรีวิวทริปนี้ แต่พอไปจริงๆพบว่ามีหลายอย่างมากที่ก่อนมาทำการบ้านมาไม่ครบ เลยขอมาช่วยเติมส่วนที่ขาดหายไปให้ละกันนะครับ ช่วงแรกๆอาจจะไม่มีรูปสถานที่ หรือข้อมูลขาดหายไปบ้างก็ขออภัยด้วยครับ หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยทำให้ทุกท่านไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นนะครับ ขอบคุณครับ

8oc4tscm8j4b

รีวิวจบแล้ว ลงรูปอาหารได้!! แฮร่!!

ความคิดเห็น