สวัสดีครับ..ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เรื่องราวการท่องเที่ยว ณ ประเทศตุรกี ดินแดนแห่งมนต์ขลัง...ครั้งนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวกับผมที่ Cappadocia (อ่านว่าคัปปาโดเกีย) ดินแดนแห่งปราสาทหินยอดแหลมๆ ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างนะครับ...ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับว่ารีวิวนี้เป็นรีวิวแรกในชีวิตของผมเลย...คือไม่เคยเขียนที่ไหนมาก่อน...พอดีได้มีโอกาสไปเที่ยวและถ่ายรูปไว้เยอะมาก ก็เลยอยากถ่ายทอดเรื่องราว เผื่อคนไหนสนใจจะไปเที่ยวนะครับ...ครั้งนี้ผมไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาลัยโดยพักที่หอของรัฐบาลในเมือง Nevşehir (ลืมบอกไปว่าผมเป็นเด็กทุนรัฐบาลของตุรกี สามารถพักหอรัฐบาลทั่วตุรกีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ต้องแจ้งล่วงหน้าและขึ้นอยู่กับว่าจะมีห้องว่างหรือเปล่า) ในรีวิวอาจจะไม่มีรูปที่พักและรูปบอลลูนลอยตอนเช้านะครับ เผอิญว่าทริปนี้เป็นทริปแบบประหยัดจริงๆ ทริปของผมคร่าวๆ ประมาณนี้ครับ:
- วันแรก......ไปเที่ยวชมปราสาท Uçhisar
- วันที่สอง...เที่ยวพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง...เมือง Göreme...เมือง Çavuşin...เมือง Avanos...และหินรูปหัวเห็ด (Paşabağ)
- วันที่สาม...ชมเมืองใต้ดินที่เมือง Kaymaklı และเมือง Derinkuyu
#กล้องที่ใช้ถ่ายคือกล้อง Nikon D3000 ซื้อตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว...รูปอาจจะไม่ชัดมาก ถ่ายเป็นไฟล์ RAW แล้วแปลงเป็น JPG อีกรอบนึง ไม่ได้แต่งอะไรมากครับ
Cappadocia เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศตุรกี ใกล้ๆ เมืองใหญ่อย่าง Nevşehir และ Kayseri บริเวณนี้เป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาล กระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ ได้ร่วมด้วยช่วยกันกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆ นับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวยคว่ำ ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย จนชนพื้นเมืองเรียกขานกันว่า "ปล่องไฟนางฟ้า" หรือ "Fairy Chimney"...เนื้อหินในหุบเขาแห่งนี้จะอ่อนนิ่ม จึงเหมาะในการแกะสลัก เจาะ ขุด เป็นห้อง เป็นคอกม้า เป็นบ้าน โบสถ์ ค่ายทหาร ที่พัก โรงอาหารของนักบวช ห้องบำเพ็ญเพียร ซึ่งเหมาะในการอยู่อาศัย อากาศเย็นสบายในฤดูร้อน อากาศอบอุ่นในฤดูหนาว
เครดิตรูปภาพจาก http://www.propertyturkey.com/news/2014-turkish-pr...
จากแผนที่ด้านบนจะเห็นว่า Cappadocia ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศตุรกี โดยอยู่ระหว่างเมืองใหญ่สองเมืองคือ Nevşehir (ไม่มีในแผนที่ แต่เมืองนี้ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของ Cappadocia) และ Kayseri ซึ่งอยู่ทางขวามือ
เครดิตรูปภาพจาก http://mapsof.net/caucasus/cappadocia
แผนที่ข้างบนคือแผนที่ของ Cappadocia ซึ่งจะเห็นว่าเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดคือเมือง Nevşehir ส่วนเมืองเล็กๆ ที่พวกเราแนะนำคือ Göreme, Uçhisar, Çavuşin, Avanos, Ürgüp, Kaymaklı และ Derinkuyu (เพื่อดูเมืองใต้ดิน) ส่วนที่นึงที่เราอยากไปแต่ไม่ได้ไปก็คือ ıhlara vadisi หรือว่าหุบเขา ıhlara ซึ่งเป็นหุบเขาลึกที่มีลำธารไหลผ่านโดยมีแมกไม้ขึ้นรายรอบ เหตุผลที่ไม่ได้ไปเพราะว่าฝนตกและอยู่ไกลจาก Nevşehir พอสมควร...
วันแรก....เที่ยวชมปราสาท Uçhisar (อุ๊ชฮิซ่าร์)
ช่วงที่พวกผมไปคือปลายเดือนมีนาคม เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศอาจจะมีหนาวๆ บ้างช่วงเย็นก็เลยเตรียมเสื้อกันหนาวไปเผื่อ ส่วนตอนกลางวันอากาศเย็นสบาย อาจจะร้อนบ้างตอนเจอแดด...ผมกับเพื่อนๆ ได้ออกเดินทางจากเมือง Izmir (เมืองที่พวกเราเรียนกันอยู่) โดยรถบัส ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 65 ลีร่าต่อคน ไปลงที่สถานีรถบัสในเมือง Nevşehir แล้วต่อรถมินิบัสไปลงที่มหาลัยในเมือง ชื่อว่า Nevşehir Hacı Bektaş Veli University จากนั้นก็ไปติดต่อเรื่องหอพักให้เรียบร้อย พอดีเพื่อนโทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ก่อนจะไปก็เลยไม่มีปัญหา
อันนี้คือรถทัวร์ของบริษัท Metro ที่นั่งถือว่าโอเค...ไม่แคบมาก...มี wifi ให้ใช้บนรถด้วย
หลังจากเอาของไปเก็บแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปในตัวเมือง Nevşehir ก่อนเพื่อที่จะต่อรถตู้ไป Uçhisar...พอถึงที่หมายก็รีบกระโดดลงจากรถทันทีเพราะตอนไปถึงก็เย็นแล้ว กลัวเวลาไม่พอได้เก็บภาพ ^_^
เมือง Uçhisar บรรยากาศอาจจะเงียบเหงานิดนึงเพราะเป็นช่วงเย็น
ระหว่างทาง...ตอนเดินไปปราสาท Uçhisar
โรงแรมนี้สวยดี น่าพักสักคืน...แต่แอบถามราคาแล้วตกใจนิดนึง ประมาณสามร้อยลีร่ามั้งถ้าจำไม่ผิด
ถึงแล้ว...ปราสาท Uçhisar รูปร่างเหมือนจอมปลวกเลย...
ขอเล่าเรื่องปราสาท Uçhisar ให้ฟังคร่าวๆ นะครับ...ปราสาท Uçhisar เป็นปราสาทรูปทรงคล้ายๆ จอมปลวก เกิดจากการขุดรูเข้าไปในหินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของคนสมัยก่อนในหลายๆ ศัตรวรรษที่ผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของนกพิราบ ซึ่งชาวบ้านแถวนี้จะเก็บมูลนกพิราบไปทำปุ๋ยต่อไป และที่นี่ยังเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์โดยมีการเก็บค่าเข้าชมนิดหน่อยสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปชมวิวบนยอดของปราสาท ข้างในมีรูปจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้และมีห้องหลายห้องให้เยี่ยมชมพร้อมทั้งมีทางเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงยอดปราสาท
ปราสาท Uçhisar ช่วงที่พระอาทิตย์สาดแสงยามเย็นใส่
วิวจากปราสาท Uçhisar
วิวมุมนี้น่าถ่ายเก็บไว้แล้วอัดใส่กรอบรูปนะ...สวยดี
หินรูปร่างคล้ายสิงโต (รึว่าจะคล้ายสุนัขก็ไม่รู้นะ 555)
อันนี้เหมือนสัตว์อะไรสักอย่างกำลังแหงนมองท้องฟ้า
พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว...
หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็เดินเข้าไปในใจกลางเมืองเพื่อจะขึ้นรถตู้ ระหว่างทางเจอบริษัทบอลลูนเลยลองถามดู ปรากฏว่าราคาแพงมาก 500 ลีร่าต่อคน พวกเราก็เลยขอบาย...พอถึงที่ขึ้นรถตู้ปรากฏว่ารถตู้หมด ผมกับเพื่อนๆ ก็เลยต้องเหมารถแท๊กซี่กลับ..แอบเสียดายเงินนิดๆ (ตามประสานักเรียนทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย)...คนขับรถได้ให้เบอร์ไว้เผื่อได้เรียกใช้บริการอีก พวกเราก็รับไว้เผื่อจะได้ให้เขาพาเที่ยวรอบๆ Cappadocia ในวันรุ่งขึ้น...พอถึงหอพักก็เลยตรงดิ่งไปที่โรงอาหารทันทีเพราะหิวจัด (หอพักรัฐบาลของตุรกีมีอาหารให้ในตอนเช้าและเย็น ซึ่งจะมีเครดิตให้ ถ้ารับอาหารเกินเครดิตก็จ่ายเพิ่ม โดยเครดิตนี้จะรวมกับค่าหอพักเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับเด็กทุนอย่างพวกผมไม่ต้องเสียค่าหอพัก) ทานอาหารเสร็จแล้วก็เข้าห้องพัก อาบน้ำ จัดเตียง ปูที่นอน แล้วก็ผลอยหลับไปเลย...
วันที่สอง....เที่ยวพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง...เมือง Göreme...เมือง Çavuşin...เมือง Avanos...และหินรูปหัวเห็ด (Paşabağ)
ตื่นมาตอนเช้าพวกเราก็ออกเดินทางเข้าเมืองเพื่อจะไปหารถเช่าขับเที่ยวรอบๆ Cappadocia แต่ปรากกว่าราคารถเช่าก็แพงพอๆ กับจ้างแท๊กซี่ แถมแท๊กซี่ยังรู้เส้นทาง ไม่ต้องเปิดแผนที่ให้เมื่อย พวกเราก็เลยโทรหาแท๊กซี่คันเมื่อวานให้มารับในเมืองโดยพวกเราจะจ่ายตามที่เขาเสนอราคามาคือ 200 ลีร่า ต่อวัน (โดยรวมประมาณ 8-9 ชั่วโมง) พวกเราก็ตกลงโดยหารคนละ 40 ลีร่า ถือว่าโอเคสำหรับราคานี้...จากนั้นคุณลุงโชเฟอร์ก็มารับและขับไปเมือง Göreme เป็นอันดับแรก แต่ก่อนถึงก็ได้พักที่จุดชมวิวระหว่างทาง ถือว่าสวยไม่เบาเลย
เจอหินยอดแหลมๆ เต็มเลย
เครื่องรางรูปนัยน์ตาปีศาจหรือ Devil Eye (ภาษาตุรกีเรียก Nazar Boncuğu - อ่านว่านาซ่าร์ บอนจู) โดยมีความเชื่อในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไป
ยอดเขาลูกไกลๆ ที่มีหิมะปกคลุมสีขาวคือยอดเขา Erciyes (แอร์จิเยส) ถัดจากยอดเขานี้ก็จะเป็นเมือง Kayseri (ไกเซรี่)
ถึงแล้ว...เมือง Göreme (เกอเรเม่)...ตอนนี้ขอเดินเล่นไปพลางๆ ก่อน เผอิญว่าเพื่อนๆ แวะละหมาดแล้วก็กดตังด้วย ที่จริงเมือง Göreme เป็นเมืองที่น่ามาพักสักคืนเพื่อเอาบรรยากาศ แต่พวกเราถือว่ามีที่พักฟรีก็เลยไม่ได้พักที่นี่ อีกเมืองนึงที่น่าไปพักก็คือเมือง Ürgup (อือร์กึ๊พ) แต่เมืองนั้นไม่ได้อยู่จุดศูนย์กลางของ Cappadocia ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ต้องการเที่ยวในเวลาจำกัด
ในสมัยศตวรรษที่ 9 เมือง Göreme เป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างมากทางด้านศาสนาคริสต์แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ และเมือง Göreme นั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ศาสนา มีการเจาะถ้ำในภูเขาไฟเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย โบสถ์ และใช้เป็นที่หลบภัยจากการถูกรุกรานของศัตรูทางศาสนา...ต่อมาทางรัฐบาลตุรกีได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง โดยในปี ค.ส. 2006 ยูเนสโก้ได้มีการลงมติให้พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของประเทศตุรกี
ร้านขายพรมตามแบบฉบับของตุรกี โทนสีจะออกแดงๆ และน้ำตาล
เมืองนี้มีที่พักที่เป็นภูเขาหินยอดแหลมๆ แล้วขุดเข้าไปข้างในเป็นห้องพัก ซึ่งถือว่า Amazing เลยทีเดียว
ร้านกาแฟ...น่าเข้าไปนั่งจิบกาแฟสักแก้ว
ร้านอาหารร้านนี้ตกแต่งได้ดีทีเดียว แต่ราคาน่าจะแพงอ่ะ
ตรงนี้เป็นคลองระบายน้ำของเมือง
นั่งพักตรงนี้สักครู่นะ
พอเพื่อนๆ เสร็จธุระก็ตรงดิ่งไปที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งทันที ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Göreme มากนัก
คอกม้าริมทางก่อนถึงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ที่นี่มีบริการให้ขี่ม้าด้วย..แต่พวกเรามิบังอาจไปถามราคาหรอกนะ น่าจะแพงมหาโหด
เย้...ใกล้ถึงแล้ว
บริเวณทางเข้าพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง พวกเราทุกคนมีบัตร Museum card ของตุรกีซื่งสามารถเข้าดูพิพิธภัณฑ์ต่างในตุรกีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยจะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 20 ลีร่าต่อปีสำหรับนักเรียน ดังนั้นพวกเราเลยเขาดูที่นี่ได้ฟรีครับ
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
จากนั้นพวกเราก็ไปต่อที่เมือง Çavuşin ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ก่อนที่จะถึงเมือง Avanos เมืองแห่งเครื่องปั้นดินเผา...พวกเราได้เดินสำรวจเมือง Çavuşin สักประมาณไม่ถึงชั่วโมง อาจจะเป็นเพราเมืองนี้ไม่ค่อยมีอะไร ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปกัน
วิวจากยอดเขา จะเห็นว่าเมืองนี้เล็กกะทัดรัดดี
ร้านขายของที่ระลึก...น่ารักดี
ของที่ระลึกแบบต่างๆ
วิวสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางไป Avanos
พอถึง Avanos พวกเราก็หาที่ทานข้าวกัน ถามลุงโชเฟ่อร์ว่าอยากกินเคบับในหม้อดินสามารถหากินได้ที่ไหน แกก็บอกว่าเดี๋ยวพาไป...พอไปถึงร้านก็ต้องร้องว้าวววว ไม่ใช่เพราะร้านสวยอะไรหรอกนะ แต่คิดว่าราคาน่าจะแพงน่าดู...เอาเหอะหิวก็หิว อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว พวกเราก็จัดแจงหาที่นั่งเป็นอันดับแรก
ทางเข้าร้านอาหารที่ Avanos ตกแต่งแบบท้องถิ่นจริงๆ
บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งได้สวยงามตามแบบฉบับ Cappadocia
อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือเคบับแบบหุงในหม้อดินหรือ Çömlek เขาจะเสิร์ฟแบบร้อนๆ โดยมีจานรองพร้อมเปลวไฟให้ความร้อนสักครู่ (พอเป็นพิธี) จากนั้นเปลวไปก็จะดับเอง ราคาน่าจะประมาณ 35 ลีร่า ต้องขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมนะครับคือเผอิญว่าหิวมาก ลืมถ่ายไปเลย รสชาติก็ใช้ได้เลยทีเดียว ข้างในเป็นเนื้อไก่ผสมหอมสับ กระเทียมสับ มะเขือเทศหั่นเต๋า มันฝรั่งหั่นเต๋า พริกหยวกหั่น และเครื่องเทศต่างๆ
หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ (ประมาณบ่ายสามได้) พวกเราก็ไปเยี่ยมชมร้านขายเซรามิคซึ่งเป็นทั้งโรงงานด้วย โดยจะมีการสาธิตการปั้นหม้อปั้นไหให้ดูหนึ่งรอบ
คนนี้เป็นคนเติมสีตามลวดลายที่วาดไว้ มีการสร้างอารมณ์สุนทรีย์ในการทำงานโดยการฟังเพลงหรือรายการทีวี
หลังจากชมขั้นตอนการทำเซรามิคเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปชมหินรูปเห็ดออรินจิหรือ Paşabağ (พาชาบา) ซึ่งเป็นที่สุดท้ายของวันนี้ครับ พวกเราไม่ได้ซื้อเซรามิคติดตัวมาเลยเพราะราคาสูงมาก อีกอย่างคือไม่จำเป็นต้องใช้หรือว่าถ้าจะซื้อฝากใครก็คงจะซื้อพวงกุญแจราคาไม่เกินสองสามลีร่า...555
พาซาบา (Pasabağ) เดินทางโดยรถบัสจาก Avanos ประมาณ 10 นาที โดยจะเห็นกลุ่มภูเขาหินเป็นรูปกรวยมีหมวกวางอยู่ข้างบน แปลกตาสวยงามมาก ไม่มีที่ใดเหมือน จุดเด่นคือ ภูเขา 2 ปล่องไฟ นามว่า Hermitage of St.Simon ที่พำนักของบาทหลวงไซมอนเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเดินทางมาจากยูซาเลม เพื่อปลีกวิเวก แสวงหาที่ปฏิบัติธรรม และเป็นที่นิยมของพระองค์อื่นๆต่อมา บางครั้งจึงเรียกกันว่า The Valley of the Monks
ช่วงนี้ดอกเชอรี่กำลังบานพอดี
ร้านขายของที่ระลึก
คุณลุงขายไอติมตามแบบฉบับตุรกี คือไอติมจะมีความเหนียวหนืด และก่อนจะเสิร์ฟให้ลูกค้าเขาจะหยอกล้อกับลูกค้าก่อนเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสนุก
หลังจากชม Paşabağ เสร็จ คุณลุงโชเฟอร์ก็ขับพาไปเมือง Ürgüp แต่แกไม่จอดให้ลงถ่ายรูปเพราะเวลาไม่พอ แกต้องไปส่งพวกเราที่หอก่อนหมดเวลา พวกเราก็เลยไม่ได้มีรูปที่ Ürgüp สักรูป แต่ผมขอบอกเลยว่าที่ Ürgüp สวยและใหญ่ไม่แพ้ Göreme เลยทีเดียว...พอถึงหอพวกเราก็ทานอาหารเย็นแล้วอาบน้ำเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม เพราะว่ารู้สึกเพลียมาก...วันรุ่งขึ้นต้องออกตอนเก้าโมงเพื่อไปเที่ยวเมืองใต้ดิน
หินรูปแม่ไก่รึว่าหอยทากก็ไม่รู้
จอดชมวิวระหว่างทางนิดหน่อยก่อนกลับหอพัก
...
วันที่สาม...ชมเมืองใต้ดินที่เมือง Kaymaklı และเมือง Derinkuyu
เมืองใต้ดินที่พวกเราไปเที่ยวชมนั้นมีอยู่สองที่ด้วยกัน ที่แรกคือเมือง Kaymaklı (คายมักลึ) ที่ที่สองคือเมือง Derinkuyu (เดรินคูยู) เมืองใต้ดินแห่งนี้อาจจะถือว่าเป็นเมืองใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้เพราะได้มีการขุดลึกลงไปถึง 10 ชั้น ประมาณ 85 เมตร และภายในเมืองใต้ดินยังแบ่งเป็นห้องย่อยๆ หลายห้อง เฉพาะที่ Cappadocia มีเมืองใต้ดินถึง 15 แห่ง แต่ที่เมือง Kaymaklı และ Derinkuyu มีโครงสร้างที่ดีที่สุด เท่าที่สำรวจมาได้จะมีความลึก 40 เมตร ส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจก็คาดว่าอาจจะมีความลึกถึง 85 เมตรตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยมีการขุดเชื่อมในแต่ละเมืองด้วย เมืองใต้ดินแห่งนี้ได้มีการค้นพบโดยบังเอิญในปี 1960 และสิ่งอัศจรรย์ที่ค้นพบก็คือว่าผังเมืองใต้ดินนั้นได้ถูกวางผังไว้อย่างดี มีระบบถ่ายเทอากาศที่ยอดเยี่ยม มีช่องเล็กๆ เชื่อมต่อกันเป็นระบบไหลเวียนอากาศกว่า 15,000 ช่อง นอกจากนั้นยังมีช่องวางตะเกียงน้ำมัน ห้องหับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องประชุม ร้านค้า คอกสัตว์ โบสถ์ บ่อน้ำ ห้องบ่มไวน์ ห้องเรียน หรือแม้กระทั่งห้องเก็บศพ...บางห้องเป็นห้องโถงกว้าง ว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากกว่า 30,000 คนเลยทีเดียว แต่ละชั้นจะมีประตูหินทรงกลมซึ้งมีน้ำหนักมากพอสมควร สามารถเปิดปิดได้อย่างรวดเร็วจากภายในโดยการกลิ้งปิดทางเดิน มีรูตรงกลางใช้เป็นที่เปิดประตูและดูง่าคนข้างนอกเป็นใครก่อนที่จะรับเข้ามา ประตูหินทรงกลมนี้ยังถูกออกแบบมาให้เปิดปิดได้จากภายในเท่านั้น สุดยอดจริงๆ...เมืองใต้ดินโบราณแห่งนี้สร้างมากว่า 5,000 ปีก่อนคริสตกาลในยุคฮิตไตล์ โดยมีเหตุผลในการสร้างคือเพื่อหลบสงครามในยามที่มีศึกสงครามกันครับ
อันนี้เป็นรูปภาพจำลองของเมืองใต้ดินโดยจะมีการขุดลึกลงไปใต้ดินเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นก็จะมีห้องต่างๆ และที่สำคัญคือช่องระบายอากาศ ซึ่งภายในจะไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อยเพราะอากาศถ่ายเทสะดวกมาก
เครดิตรูปภาพจาก http://www.fazturkey.com/show/1358/underground-cit...
พวกเราพากันนั่งรถตู้หรือภาษาตุรกีเรียกว่า Dolmuş (โดลมุช) จากเมือง Nevşehir มาลงที่ Kaymaklı ก่อนเป็นอันดับแรก โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาทีเท่านั้นเอง พอชมเมืองใต้ดินที่ Kaymaklı เสร็จก็ไปต่อที่ Derinkuyu ซื่งอยู่ห่างกันประมาณ 15 นาที...รูปที่ถ่ายมานั้นอาจจะปะปนกันไประหว่างสองที่ แต้ข้างในก็คล้ายๆ กันครับ ต้องขออภัยด้วยที่บางรูปอาจจะถ่ายมาใม่ชัดเพราะว่าแสงน้อยและกล้องก็เก่ามา
บริเวณทางเข้าเมืองใต้ดินจะมีที่ตรวจบัตร พอดีที่นี่อนุญาตให้พวกเราเข้าได้ฟรีเพราะมีบัตร Museum card ก็เลยไม่ต้องเสียตัง
บันไดที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อจากชั้นนึงไปอีกชั้นนึง
ที่นี่มีม้านั่งสำหรับคนบางคนที่อาจจะรู้สึกเมื่อยจากการเดินชมด้วย
ประตูหินทรงกลมที่เคยกล่าวไปแล้วข้างต้น ใหญ่และหนักพอสมควร
มีการเปิดไฟไว้ตลอดแนว เคยลองคิดดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไฟดับแบบฉุกเฉินมานี่ คงจะน่ากลัวไม่ใช่น้อย
อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นห้องเรียนรึป่าว
ตรงนี้เหมือนเป็นห้องโถงอะไรสักอย่าง
ห้องหับต่าง
ตรงนี้เป็นปล่องระบายอากาศ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอสมควร
ผมไม่ได้เอารูปลงเยอะในส่วนที่เป็นเมืองใต้ดินเพราะว่ามีแต่รูปแบบเดิมๆ และอีกอย่างคือรูปไม่ค่อยชัดด้วย
พอพวกเราชมเมืองใต้ดินเสร็จก็นั่งจิบชานิดนึงก่อนกลับหอพัก แถวนี้ถ้าไม่มีเมืองใต้ดินก็ไม่มีที่อื่นให้เที่ยวเลย พวกเราก็เลยนั่งรถดิ่งไปที่หอพักเลย วันรุ่งขึ้นก็กลับ Izmir แล้ว แต่เพื่อนอีกสองคนแพลนที่จะไปเที่ยวเมือง Kayseri ต่อ ก็เลยนั่งรถกลับ Izmir แค่สามคน ผมถือว่าทริปนี้เป็นอะไรที่คุ้มมาก หลงเสน่ห์ดินแดนแห่งนี้จริงๆ ทั้งเรื่องของธรรมชาติสร้างสรรค์ และเรื่องของสิ่งปลูกสร้างมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นตั้งแต่อดีตที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยังทึ่งในความสามารถ..
ผมขอจบการรีวิวแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้ลองเขียนรีวิวท่องเที่ยวแบบนี้...คราวหน้าผมจะเขียนรีวิวเกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์...ประเทศหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะแอบฝัน และหลายๆ คนอาจจะกำลังคิดอยากจะไปเที่ยวสักครั้งในชีวิต รอติดตามชมนะครับ...
ราตรีสวัสดิ์ครับ...พี่น้องชาวไทย
Chris JJ
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 04.26 น.