ทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน 2 จังหวัด เป็นทริปฉุกเฉินที่เกิดจากอาการภูมิแพ้กรุงเทพฯ กำเริบอีกครั้ง

รอบนี้ได้เที่ยวบิน 6:50 เรามาถึงสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 5:30 มีเวลาซนในสนามบินพอสมควร เข้ามานั่งรอเรียกขึ้นเครื่องก็ได้เก็บรูปก่อน

ขึ้นมาด้านบนก็สนุกกับก้อนเมฆ เพลินไปตลอด 1 ชั่วโมง

ออกเช้าก็มาถึงเช้า แดดยังไม่จัดมากนัก

ถึงสนามบินเชียงใหม่ก่อนเวลานิดหน่อย เราก็เริ่มออกเดินจากสนามบินไปสถานีขนส่งช้างเผือก ปกติเวลามาเชียงใหม่จะเดินเสพวิถีรอบตัวในแบบหอยทาก ระหว่างทางได้แวะวัดปันเสากันก่อน


เดินต่ออีกไม่ไกลก็มาถึงสถานีขนส่งช้างเผือก รถไปบ้านวัดจันทร์ อำเภอกัลยานิวัฒนา มี 2 รอบ 9:00 และ 11:00 ค่าโดยสาร 140-160 บาท ใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง เรามาถึงทันรอบ 9:00 รถออกตรงเวลาเส้นทางที่รถสองแถวพาไปผ่านแม่ริม-สะเมิง-บ้านวัดจันทร์ มีจุดจอดพักครึ่งทางที่สะเมิง

ถึงเวลาเดินทางกันต่อ ทางเริ่มคดเคี้ยวแล้ว จากนั่งหลับๆ ตื่นๆ ตอนนี้ต้องเริ่มจับราวแน่นขึ้น ทรงตัวจากแรงเหวี่ยงตามทางโค้งให้ดี

หลังจากโดนเหวี่ยงไปมาร่วม 2 ชั่วโมงก็ถึงจุดจอดตรงวัดจันทร์ ลุงสองแถวแกจะไปเส้นทางโรงพยาบาล เราก็เลยต้องลงตรงจุดนี้ ตอนที่ลงรถ 2 โมงครึ่งแล้ว 5 ชั่วโมงครึ่งกันเลย ไหนๆ ก็อยูหน้าวัดแล้วเข้าไปสำรวจกันสักหน่อย

วัดสงบมาก กำลังเพลินฝนก็กระหน่ำมาเลย เราก็ต้องไปหลบที่ร้านขายของและอาหารตามสั่ง พี่เจ้าของร้านโทรหาเจ้าหน้าที่ที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ให้เรา ทางนั้นแจ้งว่าเข้ามาพักได้แต่ต้องเตรียมอาหารเข้ามาเอง และไม่มีเจ้าหน้าที่ออกมารับติดงานในเมืองกันหมด อ้าวๆ สนุกอีกแล้วเรา แต่ไม่เป็นไรอยู่กลางชุมชนหารถไม่ยาก สั่งข้าวกินก่อนดีกว่า


สั่งข้าวเพิ่มอีกกล่อง ซื้อผลไม้ น้ำดื่ม รวมทั้งหมด 90 บาท แถมพี่เจ้าของร้านยังแว้นมอเตอร์ไซค์พาเรามาส่งอีก พอถึงเราก็ติดต่อที่พักมาช่วงฝนคิดครึ่งราคา 600 บาท บ้านดี ที่นอนสบาย ห้องน้ำมีน้ำอุ่น มีกาน้ำร้อน

ฝนยังตกอยู่ไปสำรวจบริเวณโดยรอบคงไม่สนุก ขอเก็บภาพรอบบ้านไปก่อน


ฝนหยุดแล้วถึงเวลาซนภายในบริเวณป่าสนวัดจันทร์ก่อนจะมืด


ค่ำคืนนี้มีจันทร์ออกมาให้ชมด้วย ที่นี่เงียบสงบจริงๆ มีเราเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวด้วย


เช้ารุ่งขึ้นด้วยความตั้งใจจะไปเก็บหมอกเหนืออ่างเก็บน้ำ เปิดประตูบ้านพักมาหนาวจนต้องกลับเข้าไปใส่เสื้อกันหนาว เที่ยววันธรรมดาก็มีเราคนเดียว ไม่มีใครแย่งวิวสวยๆ


เดินเก็บตกบรรยากาศรอบๆ ป่าสนวัดจันทร์อีกสักหน่อย



เช้านี้มีเวลาซนน้อย รถสองแถวเข้าปายมีรอบเดียว 8:00 อาบน้ำเก็บกระเป๋าและดีดตัวมานั่งรอสองแถวหน้าป้ายโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์

รถมาช้าิา 5 นาที ขับไม่เร็วนัก ตลอดทางจะมีแม่อุ๊ยฝากซื้อของบ้าง ฝากเอาของไปขายบ้าง เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความน่ารักและสนุกสนานมาก ใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานีขนส่งปาย ค่าโดยสาร 80 บาท ฤดูเขียวที่คนไม่เที่ยวแถมวันธรรมดาอีกไม่ต้องจองที่พักหรอก เดินเลือกเอาเลยชอบที่ไหนค่อยนอน เดินไปจนสุดทางถนนคนเดินเจอสะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำปายไปนอนอีกฝั่งบ้างดีกว่า


เจอที่พักจุดนี้ 3-4 แห่ง แต่ที่โดนใจเราเพราะความเขียวและสงบคือ Pai Country Hut มาช่วงฝนก็คืนละ 400 บาท บ้านพักเป็นไม้ไผ่สาน ห้องน้ำในตัวลงบันไดไปสะอาด ที่นอนไม่มีกลิ่นนอนสบาย มีเปลให้นอนหน้าบ้านด้วย





เก็บของเสร็จก็ถึงเวลาเที่ยวปายกันแล้ว จะไปยังไงก็ต้องเช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวนี่แหละดีสุดแล้ว มีหลายร้านให้เลือก สภาพรถก็ต่าง ราคาแต่ละร้านไม่ต่างกัน เราเช่าร้านประจำเพราะร้านนี้มีขายประกันเพิ่ม ไม่ได้กลัวล้มแต่เคยจอดอยู่แบ้วโดนชนล้มทั้งแทบมาแล้ว ค่าเช่ารถ 140 บาท ประกันอุบัติเหตุ 40 บาท มีเงินประกัน 1,000 บาทพร้อมบัตรประชาชน น้ำมันเติมเอง 80 บาทก็เที่ยวได้ทั่วแล้ว

จุดแรกที่ไป คิอ วัดน้ำฮู ออกนอกเมืองมาทางโรงพยาบาลปาย



ออกจากวัดก็ไปตามเส้นทางเพื่อไปน้ำตกหมอแปง น้ำน้อยไปหน่อยแต่เย็นสดชื่นมากๆ ปีนขึ้นไปชมวิวในมุมสูงได้



แช่น้ำจนสดชื่นก็ย้อนกลับมาที่วัดหมอแปง รอบนี้ไม่ได้ขึ้นวิหารนะตัวเปียกจากแช่น้ำตกมา

ย้อนกลับเข้าเมืองเพื่อมาที่วัดศรีดอนชัย วัดแรกของเมืองปาย อายุมากกว่า 700 ปี


ขับอ้อมเมืองขึ้นเขามาที่วัดพระธาตุแม่เย็น เส้นทางนี้มีที่พักเยอะมาก


ชมวิวเมืองปายกันสักหน่อย ฤดูฝนก็จะเขียวๆ แบบนี้


ใช้เวลาไม่นานเราก็ไปแช่น้ำร้อนที่น้ำพุร้อนท่าปาย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เสียค่าเข้า 20 บาท ค่ามอเตอร์ไซค์ 30 บาท อยู่ที่นี่นานหน่อยเ

ราชอบ



จากนั้นก็แว้นไปต่อเข้าเส้นทางน้ำตกแพมบก ขี่เลยไปตามทางเพื่อไปหมู่บ้านแพมพก จุดหมายปลายทาง คือ สะพานบุญ-โขกู้โส่ สะพานไม้ไผ่แห่งเมืองปาย ทางขึ้นเขาสุดโหดสำหรับคนขี่รถไม่แข็งแบบเรา


ความตั้งใจแรกอยากอยู่ดูอาทิตย์ตกแต่ถ้ามืดแล้วทางกลับจะยิ่งสุดโหดมากๆ ไม่นานก็ต้องรีบกลับเข้าเมืองให้ทันฟ้ามืด


กลับมาทันก่อนฟ้ามืด ก่อนจะออกไปตะลุยกินที่ถนนคนเดินปาย


ระหว่างกินข้าวก็รูสึกมีตาใครมองอยู่ มองไปมองมาเจอแล้วน้องอยากเล่นด้วย ส่งสายตาเชิญชวนจนเราไปเล่นด้วย น้องแรงเยอะมาก กระหน่ำเกาะเรา จนยืนไม่อยู่


กลับที่พักมานั่งชมจันทร์ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ที่นี่มีเราเป็นลูกค้าคนไทยคนเดียว ฝรั่งอยู่กันเงียบมาก

เช้าวันที่ 3 ของทริป ออกสำรวจปายกันอีกนิด

หมดเวลาซนแล้ว คืนห้อง คืนมอเตอร์ไซค์นั่งรถตู้กลับเชียงใหม่ ค่าโดยสาร 150 บาท ช่วงฤดูท่องเที่ยวควรจองล่วงหน้า ไม่งั้นจะได้นั่งแถวหลัง เสี่ยงต่อการเมารถมากๆ


ใช้เวลาเดินทางด้วยรถตู้จากปายมาถึงอาเขตเชียงใหม่ 2 ชั่วโมง จากอาเขตเราเลือกเดิน จุดที่ผ่านมีของกินอร่อย และก็เป็นโชคดีที่ยังไม่หมด หมูสะเต๊ะหน้าปริ้นไม้ละ 2 บาท อร่อย อิ่มในราคาย่อมเยาว์ ตบท้ายด้วยมาม่าต้มยำอีกชาม


อิ่มเอมกันแล้วก็เดินมาหลบแดดที่ริมน้ำปิง สีน้ำแดงกว่าปกติมากๆ


หายร้อนแล้วก็เดินต่อมาที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร


เดินต่อมาวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร สักการะพระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่ พระธาตุหลวง พระธาตุประจำปีเกิดมะโรง


มีเวลาเหลือเยอะมากจนต้องหาร้านกาแฟนั่งสบายๆ จัดไป 3 ร้าน



ถึงเวลาเดินไปสนามบินแล้ว ระหว่างทางก็แวะไปเรื่อยๆ เวลาเหลือพอสมควร

ถึงสนามบินก็ซนอีกนิด


ช่วงหลังๆ เราจะเลือกนั่งที่นั่งเดิม แล้วนกแอร์ก็ใจดีไม่ว่าจะเต็มหรือไม่ข้างเราก็จะไม่มีคนนั่ง คงกลัวเรากัดผู้โดยสารอื่นที่นั่งติดเราแน่ๆ


จบทริป 3 วัน 2 คืน 2 จังหวัดแบบสุดแสนประทับใจ


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่:

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat // ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว



ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันพฤหัสที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 03.32 น.

ความคิดเห็น