ทุกครั้งที่อากาศเย็นๆมาเยือน เพื่อนๆที่รักการท่องเที่ยวทุกคน ก็คงคิดถึงที่เที่ยวสวยๆ อากาศเย็นๆ จำพวก น้ำตก ขุนเขา และสายหมอกกันอยู่แน่ๆ ดังนั้น ครั้งนี้ผมจะขอนำเสนอสถานที่เที่ยวสวยๆในเมืองไทยแห่งหนึ่ง สำหรับเพื่อนๆที่ชอบเที่ยวแบบ Backpack ลุยๆเช่นเคย เพราะความสวยงามบางทีมันก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตากันซักเล็กน้อย (น้ำตานี่ความจริงไม่ต้องเสียก็ได้นะ 55) ซึ่งชื่อของสถานที่นั้นก็คือ“ดอยหนอก"



“หะ!! ชื่ออะไรนะ มันอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไร ลำบากไหม" คำถามเหล่านี้คงผุดขึ้นในใจของหลายๆคน เพราะมันไม่ใช่ที่ที่โด่งดังอะไรมากนัก เหมือนภูกระดึง หรือ เขาช้างเผือก แต่มันก็ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวใหม่อะไรเลย คนที่รู้จักก็มักจะเป็นคนในวงการที่ชอบเที่ยวป่าเดินเขาซะส่วนใหญ่ แต่ความสวยงามนี่บอกได้เลยว่าไม่แพ้เป็นสองรองใครแน่นอน แว่บแรกที่ผมเห็นเมื่อถึงยอดดอยหนอก ผมรู้สึกว่ามันเป็น “ซัมบาลาเมืองไทย" ชัดๆ แต่ขอบอกก่อนนะว่าเป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัว ส่วนสาเหตุว่าเพราะอะไร สวยงามแค่ไหน ก็ต้องติดตามกันไปเรื่อยๆกับ Review ตอนนี้เลย


อันดับแรก ขอสรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป (โดยประมาณ) กันก่อนละกัน

1. รถตู้เหมา กรุงเทพ-พะเยา ไป-กลับ 4วัน = 8000 บาท (ขับรถไปเองถูกกว่าแน่นอน!!)

2. ค่าแก๊ซ LPG, ค่าน้ำมัน = 4000 บาท

3. ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง คนละ 500บาท 3วัน 2คน = 3000 บาท (คณะใหญ่ใช้ 2คน)

4. ค่าลูกหาบ คนละ 500บาท 6คน 3วัน = 9000 บาท (จ้างมาเยอะเกิน ทุกคนเลือกจะแบกเองกัน มา2คน ลูกหาบ 1 กำลังสวยๆ)

5. ค่าเสบียง-น้ำดื่มอาหาร = 3000 บาท

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป (โดยประมาณ) คือ พกตังค์ไป 3500บาท มีทอนแน่นอน!!!



เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า มาๆ สะพายเป้ตามผมมาเลยครับ!!



ปล. ถ้าชอบเที่ยว Backpack อยากแลกเปลี่ยน พูดคุย แบบกันเองๆ ได้ที่นี่เลยจ้าาา : https://www.facebook.com/backpacktime

หรือถ้าชอบเห็นบรรยากาศเหมือนเดินไปด้วยกันก็ตาม Link นี้ได้เลย ทำไว้เพื่อไม่ให้ความทรงจำดีๆเหล่านี้เลือนหายไป : https://youtu.be/pMH3NWcxH00



B A C K P A C K T I M E
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เ มื่ อ หั ว ใ จ ส ะ พ า ย เ ป้
ก า ร เ ดิ น ท า ง จึ ง เ กิ ด ขึ้ น



การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน กรกฏาคม 2558 ก่อนที่อุทยานแห่งชาติจะปิดเส้นทางเดิน ดอยหลวง ดอยหนอก พวกเราได้ติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานไว้ล่วงหน้า และโชคดีที่ได้ขึ้นเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาปิด ดอยหลวง-ดอยหนอก อุทยานแห่งชาติดอยหลวง จ.พะเยา ทำให้บนยอดแห่งนี้มีแค่พวกเราที่ขึ้นไป โชคดีแบบสุดๆ



ในวันแรกพวกเรา จัดเตรียมข้าวของ ซื้อเสบียง รับส่ง จนท.และลูกหาบ จากน้ำตกจำปาทอง สุดท้ายกว่าจะได้เริ่มออกเดินจริงจังก็ปาเข้าไป 11 โมงเช้า ซึ่งจริงๆ จนท เขาอยากให้เราขึ้นตั้งแต่ 10โมง เพื่อที่จะได้ไปนอนบนยอดดอยหลวงในคืนแรก



ทางเดินเริ่มต้น เป็นเพียงแคสะพานไม้เล็กๆ กับทางเดินแคบๆให้พอเดินเรียงเดี่ยวกันเข้าไป มองทีแรกก็คิดว่า "นี่เหรอทางเข้าดูธรรมดาชะมัด อุตส่าเดินทางมาตั้งไกลถึงพะเยา ข้างในขอให้สวยกว่านี้ทีเถิด ไม่งั้นผิดหวังแย่เลย"



โดยระยะทางช่วงแรกที่เดินก็จะเป็นป่าไผ่ มีร่มเงาไม้ตลอดทาง ไม่ร้อนอะไรมากนัก เดินสบายๆ ค่อยๆไต่ระดับความชันกันขึ้นไป



เดินมาซักพัก ไม่ทันไรก็เที่ยงกว่าซะแล้ว พี่ประเทศไทย กับพี่อนุชา เจ้าหน้าที่อุทยานที่เป็นคนนำทางของเรา ก็บอกให้พักทานข้าวกันที่ลานไผ่ พวกเราทั้งหมดก็เลือกหาที่นั่งเหมาะๆ แยกย้ายกันกันทานข้าว กับทำกิจกรรมส่วนตัว



บ้างก็ Social Media ที่นี่มีสัญญาณโทรศัพท์เรื่อยๆนะขอบอก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถติดต่อใครๆได้



บ้างก็เติมพลัง เอาแรงไว้ลุยต่อ



บ้างก็อยากฆ่าตัวตาย 555



ใช้เวลาส่วนตัวกันไปซักพัก เราก็เริ่มก้าวเท้าออกเดินทางกันต่อ ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงดอยหนอก เราจะต้องเจอด่านทดสอบกำลังใจอยู่หลากหลายด่านมากมาย ซึ่งด่านแรกที่ต้องเจอก็คือที่นี่เลย "สันหมูแม่ด้อง"



แล้ว "ไอ้สันหมูแม่ด้อง" มันคืออะไรล่ะ เที่ยวทั้งทีก็อยากรู้นู่นนี่นั่นไปเรื่อย


ซึ่งพี่อนุชาก็มาไขข้อสงสัยให้เราว่า ไอ้สันหมูแม่ด้องนี่ก็คือ หมูที่มันมีลูกเยอะๆ พอมันเลี้ยงลูกให้นม มันก็จะผอมจนเป็นสันคล้ายๆเขาลูกนี้



ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ไปพิชิตสันหมูแม่ด้องกันก่อนเลย แต่พอแค่เริ่มเดินเท่านั้นแหละ ก็เข้าใจเลยว่าคำว่า "ใกล้ตา ไกลตีน" นี่มันคืออะไร เห็นอยู่แค่ตรงนี้เอาเข้าจริง เดินผ่านทุ่งหญ้าก็แล้ว แหงนหน้ามองก็อยู่ที่เดิม แหงนอีกทีก็เขยิบเข้ามานิดเดียว



เพื่อไม่ให้รู้สึกท้อถอยและเรียกกำลังใจให้กลับคืนมา เราก็เลยตัดสินใจหันไปมองข้างหลังดีกว่า ว่ารอยเท้าของเราได้เหยียบย่ำผ่านอะไรมาบ้าง แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังพวกเรา ก็คือภาพของพี่ๆลูกหาบที่แบกของตามมา ตัวเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่กว้างใหญ่ แค่ภาพนี้ก็สร้างความประทับใจแรกให้กับทริปนี้เข้าให้แล้ว



เย้ๆๆ ถึงแล้วสันหมูแม่ด้อง แต่เดี๋ยวนะ นี่เราทำอะไรลงไป เดินมาไกลจนถึงทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง กับสันเขาสูงๆ จะร้องไห้หนีกลับบ้านตอนนี้ก็คงไม่ได้ เอ้า..เอาไงเอากัน สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ



พวกเราลุย



"พวกเราลุยอะไรกันพวกพี่ ดูหน้าผมซิ แบกของให้พวกพี่ทั้งนั้น ลากผมมาลำบากแท้ๆ" ผมแอบหันไปมองเห็นความรู้สึกก้นบึ้งในจิตใจน้องเล็กสุดของบรรดาลูกหาบเข้าอย่างจังพอดี ระหว่างที่กำลังขึ้นสันหมูแม่ด้อง



"ใจเย็นนะน้อง ลงไปเดี๋ยวพี่ทิปให้งามๆเลย ช่วยส่งของพี่ให้ถึงยอดด้วย เสบียงพี่อยู่กับน้องทั้งนั้น" ผมแอบส่งกระแสจิตไปบอกน้องลูกหาบอย่างเงียบๆ



พอเดินไปเดินมาเราก็มาโผล่ที่เด่นสะแกง ซึ่งถือว่าเป็น Check point สำหรับการขึ้นดอยหนอก เพราะเราสามารถกางเต๊นท์นอนกันที่นี่ได้เลย ถ้าเรามาถึงในเวลาที่เย็นเกินกว่าจะไปนอนบนดอยหลวง



หมายเหตุ: เด่นสะแกง เป็นคำเมืองแปลว่าที่โล่งแจ้งที่มีลักษณะลาดเอียง



พวกเราจึงปรึกษากันและตัดสินใจว่า ยังไงก็จะไปนอนบนยอดดอยหลวง แม้จะถึงเย็นหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรก็อยากจะไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดหลวงให้ได้



คณะเดินทางเริ่มแตกออกเป็น 2กลุ่ม เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา คือ


กลุ่มแรก : สายถึก พลังเหลือเฟือ ข้ามาเป็นผู้พิชิต หรือ พวกหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดนี่ไปต่อไม่ไหวแน่ๆ กลุ่มนี้จะเดินนำหน้าไปเสมอๆ

กลุ่มสอง : สายติสท์ ที่นี่สวยจังขอดูนานๆหน่อย ถ่ายรูปๆ มุมนี้ก็โดน มุมนี้ก็ใช่ หรือไม่ก็พี่ๆ ขอพักหน่อย ไปไม่ไหวแล้ว กลุ่มนี้ก็จะรั้งท้ายขบวน


แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เป็นพวกอยู่กลุ่มสอง ก็เลยได้มองเห็นอนาคตว่า นี่ยังอีกไกลชัดๆ กลุ่มแรกไปตัวเท่ามด ยังไม่หยุดเดินกันเลย จะหยุดนอนกันที่ไหนเนี่ย



มองหาวิวสวยๆเรียกกำลังใจอีกรอบ และก็ก้มหน้าเดินกันต่อไป



และพอมาถึงจุดที่เราเห็นกลุ่มแรกตัวเท่ามด ก็พบว่านี่มันด่านทดสอบอีกอันนี่นา ชื่อของมันก็คือ "บันไดก่ายฟ้า" เส้นทางของเขาที่ชันสูงขึ้นไปเหมือนบันไดที่ทอดสู่ท้องฟ้า เพียงแค่ได้ยินชื่อ ข้อเข่าก็ร้าวระบม ส่งเสียงกร๊อบแกร๊บๆ กันซะแล้ว



เปิดวาร์ปมาโผล่ตอนพิชิตบันไดก่ายฟ้าสำเร็จเลย (ไม่มีเวลาถ่ายจริง) "ในที่สุดก็พิชิตบันไดก่ายฟ้าสำเร็จ" ความภาคภูมิใจอัดแน่นในใจ เมื่อได้ยืนมองวิวอันอลังการที่เป็นรางวัลตอบแทนความพยายามที่ปีนขึ้นมา



ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป พร้อมกับมองวิวสวยๆ ซึ่งหลังจากพิชิตบันไดก่ายฟ้ามา ไม่ว่ามองไปทางไหนก็สวยไปหมด คุ้มค่าเกินความคาดหวัง ไม่เหมือนทางเข้าที่เป็นแค่สะพานไม้เก่าๆเล็กๆ ต่างกันราวฟ้ากับเหว



เจอแล้ว "ดอยหนอก" เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ ถึงจะเห็นไกลๆ แต่ก็เห็นแล้ว



Selfie ด้วยกันซักหน่อย เอ้า!! ดอยหนอก ยิ้ม



ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว ยังไม่ถึงไหนกันเลย พี่อนุชาที่คอยดูแลกลุ่มรั้งท้ายของพวกเรา ก็คอยเร่งให้รีบเดิน เพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะถึงมืด พวกเราก็เลยต้องรีบๆเดิน และคอยเก็บภาพความทรงจำระหว่างทางไปเรื่อยๆ



สุดท้ายก็ขึ้นมาถึงยอดดอยหลวง ที่มีระดับความสูงถึง 1694 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แถมยังมาทันดูพระอาทิตย์ตกอีกด้วย



ข้างบนจะมีธงชาติและป้ายบอกพื้นที่จังหวัด 3จังหวัด เพราะว่าดอยหลวงพะเยานั้นกินพื้นที่ครอบคลุม 3จังหวัด ได้แก่ เชียงราย ลำปาง และพะเยา



ช่วงค่ำคืนก็สวยงามไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะมีดาวที่สวยกระจ่างบนท้องฟ้าแล้ว ดอยหลวงก็ยังแอบแถมดาวบนดินมาให้ชื่นชมด้วยเช่นกัน



อรุณสวัสดิ์ยามเช้า หลังจากนอนเอาแรงมาไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อคืนมีคอนเสิร์ตบนยอดดอย ร้องรำทำเพลงกันอย่างยาวนานยันตี2 พร้อมกับน้ำดื่มชูกำลังที่หมดเกลี้ยงไปอย่างรวดเร็วในค่ำคืนแรก



แต่ทุกคนก็ยังหน้าตาสดใส มีแรงเก็บข้าวเก็บของออกเดินทางกันต่อ



เป้าหมายของวันนี้คือที่นี่ "ดอยหนอก" นั่นไงๆ มองตามนิ้วพวกเราที่ชี้ไปเลย



บนยอดเหมือนจะมีเจดีย์อะไรซักอย่าง แต่มองเห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ถ้ามองจากมุมนี้ดูยังไงก็เดินขึ้นไปไหวแน่นอน ชันซะเกือบ 90องศา



แต่เมื่อวานผ่านอะไรมาตั้งเยอะ จะมัวกลัวอะไรกันล่ะ ตามรอยทางของพวกเรามาเลย ไปกับเนวิเกเตอร์ 55



เริ่มต้นออกเดินผ่านทุ่งหญ้าอีกครั้ง ข้างบนไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ซักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นทุ่งหญ้า ยิ่งเดิน หญ้าก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ



แต่ความสวยงามระหว่างทางก็ยังมีให้ชมตลอด เดิน 5ก้าว ถ่ายรูปทีนึง เดิน 10ก้าว ถ่ายอีกรูปนึง



ก่อนที่จะไปพิชิตดอยหนอก เจ้าหน้าที่ได้พาเราไปไหว้พระพุทธรูป พระเจ้าทันใจ และเก็บข้าวของสัมภาระที่ศาลาไม้ ใกล้ๆองค์พระ ซึ่งคืนนี้เราจะใช้ที่นี่เป็นที่นอนพักผ่อนสำหรับค่ำคืนที่ 2



หลังเก็บข้าวของ และทานข้าวกลางวัน พวกเราก็ขออนุญาติชาร์จแบตร่างกายให้เต็ม 100% ก่อนจะไปพิชิตดอยหนอก โดยนัดกันเอาไว้ว่าจะขึ้นตอนราวๆบ่าย 2 ซึ่งที่นี่เราจะนอนกันแบบปลาทู ไม่แบ่งแยก ชายหญิง ลูกหาบ จนท. นอนรวมกันหมด อยู่ในศาลาเดียวกัน



อยากให้ทุกคนได้เห็นความชันของมัน เส้นทางที่ต้องเดินก็คือตามแนวธงหลากสี ถ้ามองไกลๆ ดูยังไงก็รู้สึกว่าขึ้นไม่ได้ ถึงขึ้นได้ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอแน่ๆ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ขึ้นหรอก แต่พี่จนท. และลูกหาบบอกว่าถ้ามาแล้วไม่ขึ้นก็แสดงว่ามาไม่ถึงดอยหลวง-ดอยหนอก


โดนยุแบบนี้ก็ขึ้นซิครับ ใครจะไปยอมได้ เป็นไงก็เป็นกัน



ว่าแล้วก็เริ่มออกเดินอย่างไม่รีรอ



แต่ก็อย่างที่เห็น ทางนี่ต้องจับเชือกดึงกันขึ้นไปตลอด บันไดก่ายฟ้าที่ว่าชัน เจอดอยหนอกเข้าไปกลายเป็นอนุบาลหมีน้อยไปเลย



ปีนป่ายกันต่อไป ซึ่งระหว่างทางก็ได้รับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีบนยอดดอยแห่งนี้ ที่จะมีคนมาสักการะพระธาตุบนยอดดอยหนอกทุกๆปี ซึ่งก็มีผู้มีจิตศรัทธา ยกพระพุทธรูปขนาด 8คนยก แบกเดินขึ้นมาประดิษฐานอยู่บนนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ และนี่คือภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อมาถึงบนยอด



เจดีย์สูง ประกอบกับธงหลากสีที่พาดผ่านไปมา ห้อยระโยงระยาง รวมกับเรื่องศรัทธาของผู้คนที่พี่ลูกหาบเล่าให้ฟังระหว่างทางผสมผสานเข้าด้วยกัน ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาในหัวผมเลย นี่มัน "ซัมบาลาเมืองไทย" ชัดๆ มันอาจจะไม่เหมือนที่ทิเบตมากนัก แต่ความรู้สึก ณ ขณะนั้น นี่มันใช่อะ!! ใครกันจะมุ่งมั่นเดินลุยขึ้นมาเป็น 10-20กิโล เพียงเพื่อมาศักการะพระธาตุหากไม่มีศรัทธาที่เพียงพอ



นอกจากเจดีย์แล้ว ก็จะมีพระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ และระฆัง ประดิษฐานอยู่อีกมากมาย รายล้อมไปด้วยธงชาติและธงธรรมจักร



ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกว่า ครั้งหนึ่งพวกเราก็พิชิตยอดดอยหนอกแห่งนี้สำเร็จแล้ว



และนี่ก็คือตัวแทนของพวกเราที่อุตส่าแบกขึ้นมาพิชิตดอยหนอกด้วย ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเอามันขึ้นมาทำไมตั้งแต่ข้างล่าง (ของผมคือไอ้เต่าหน้ามึนขวามือสุด)



แต่ที่นี่ไม่สามารถอยู่ชมพระอาทิตย์ตกได้ เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างอันตรายจากความชัน หากกลับไม่ทันก่อนมืด จนท. จึงได้บอกให้พวกเราเดินลงกลับที่พักราวๆ 4โมงเย็น ก็ต้องโหนเชือกลงไปกันตามระเบียบ



เช้าวันรุ่งขึ้น เรารีบตื่นมาชมสายหมอกยามเช้า ซึ่งพอมีให้เห็นบ้างอ่อนๆ เคลื่อนผ่านยอดดอยหนอกตามกระแสลม ก่อนที่จะทานข้าวและเดินทางกลับ



สำหรับเส้นทางการเดินลง ขออนุญาตเก็บไว้ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร สวยงามแค่ไหน แต่ถ้าได้ไปรับรองว่าสนุกแน่นอน มีน้ำตกเย็นๆให้ว่ายเล่น มีสายน้ำจากธรรมชาติให้กินแก้กระหายโดยไม่ต้องกรอง และสุดท้ายขากลับก็จะมีรถอีแต๊กจากอุทยานมารับพาเราออกจากป่าเป็นอีก 10กว่ากิโล



ระหว่างทางที่นั่งรถออกมา เมื่อมองย้อนไปยังเทือกเขาของดอยหลวงที่ได้เดินผ่านมาและยอดดอยหนอกที่ไม่น่าจะขึ้นไปได้ มันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกประทับใจ ในมิตรภาพและเรื่องราวระหว่างการเดินทาง และที่สำคัญพวกเราได้มีความมุ่งมั่น, ศรัทธาและโอกาสที่ได้มาสักการะพระธาตุ ถึงแม้ตอนต้นจะไม่เคยรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลย แต่เราก็ได้เห็นพลังของศรัทธาที่อัศจรรย์ที่คนเราสามารถทำได้ โดยใช้พละกำลังสองมือสองเท้าของตนเอง จนเกิดสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น



สำหรับทริปนี้ผมคิดว่าเหมาะสำหรับคนที่เคยเดินป่ามาก่อน แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกายอยู่บ้าง แม้ไม่เคยเดินป่าก็สามารถมาได้ไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่แน่นอนสำหรับการเดินป่าระยะไกล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ น้ำใจ การแบ่งปันและเสียสละ บางทีถ้าเพื่อนๆได้มาที่ "ดอยหนอก" แห่งนี้ อาจได้พบเพื่อนแท้ที่จะคบกันไปยาวๆตลอดชีวิตเลยก็ได้



Samakida Somkid

 วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 17.22 น.

ความคิดเห็น