“เขาหลวง ประจวบ" เพื่อนๆได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ปกติคนส่วนใหญ่ถ้าได้ยินคำว่า “เขาหลวง" ถ้าไม่นึกถึงเขาหลวง นครศรี ก็คงเป็นเขาหลวง สุโขทัย แต่จริงๆแล้วมันยังมีหนึ่งเขาหลวงซ่อนตัวอยู่ในป่าใต้ของไทยที่รอให้เราไปชมความสวยงามบนยอดเขาที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แค่นี้นี่เอง ไม่ไกลเลยใช่ไหมล่ะ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจมาที่นี่ ขอบอกก่อนเลยว่าถ้ารักการเที่ยวแบบเดินชิวๆ ชมวิวสวยๆ ลั้ลล้าตลอดทาง เลื่อนเมาส์ไป Click ปุ่มกากบาทขวามือด้านบนได้เลยครับ เพราะที่นี่ไม่มีลูกหาบ ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีทางเดินง่ายๆและไม่มีคำว่าสบาย (จะโหดไปไหนวะเนี่ย!!!) เอาล่ะ ผมจะนับถอยหลังให้ตัดสินใจกันก่อนล่ะกัน เริ่มเลยล่ะกัน


…….3

…..2

…1

.0

โอเค ถ้าอ่านถึงบรรทัดนี้ก็แสดงว่าพร้อมจะลุยไปกับพวกเราแล้ว งั้นเรามาดูงบประมาณที่เราใช้จ่ายกันในทริปนี้ (โดยประมาณ) กันก่อน

1. ค่าน้ำมันไป-กลับ มาเยอะก็ตัวหารเยอะ ตีคร่าวๆ คนละ 300 บาท

3. ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง คนละ 400บาท (ครั้งนี้มาคณะใหญ่ 19คน ใช้ 4คน)

4. ค่าลูกหาบ ไม่มี (แบกเอง ถึงอยากจ้างก็ไม่มีให้จ้าง เป็นลมแป๊ป…)

5. ค่าเสบียง-น้ำดื่มอาหาร เบ็ดเตล็ด ก็คนละประมาณ 500 บาท


สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป (โดยประมาณ) คือ พกตังค์ไป 1000บาท ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ ถูกอะไรขนาดนี้!!!


เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า มาๆ สะพายเป้ตามผมมาเลยครับ!!


B A C K P A C K T I M E
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เ มื่ อ หั ว ใ จ ส ะ พ า ย เ ป้
ก า ร เ ดิ น ท า ง จึ ง เ กิ ด ขึ้ น


ถ้าชอบเที่ยว Backpack อยากแลกเปลี่ยน พูดคุย แบบกันเองๆ ได้ที่นี่เลยจ้าาา :

https://www.facebook.com/backpacktime

หรือถ้าชอบเห็นบรรยากาศเหมือนเดินไปด้วยกันก็ตาม Link นี้ได้เลย ทำไว้เพื่อไม่ให้ความทรงจำดีๆเหล่านี้เลือนหายไป :

https://youtu.be/9hVVUJnJilo


ผู้ร่วมเดินทางหรือผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 19 ชีวิต ต่างทยอยมาจากทุกสารทิศเพื่อมารวมตัวกันที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง เตรียมข้าวของ นัดแนะเวลากันเอาไว้ว่าจะขึ้น 9โมง แต่กว่าจะจัดของจนกระทั่งย่างเท้าขวาออกได้ก็ปาไป 10โมงกว่า ช้าทุกทริป ไม่ช้าไม่ใช่พวกเราแน่นอน 55 สำหรับวิธีการเดินทางมาที่นี่ มาได้หลากหลายแบบมากครับ ถ้าเป็นรถยนต์จากกรุงเทพก็ขับลงใต้มาเรื่อยๆ ก่อนถึง อ.ทับสะแก จะเห็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยางทางด้านขวามือ ถ้าเป็นรถทัวร์ก็นั่งมาลงที่แยกบ้านห้วยยาง หรือแม้กระทั่งมาโดยรถไฟก็มาได้ ถึงสถานีห้วยยางก็โดดลงได้เลย แล้วหาเหมามอเตอร์ไซต์ต่อเข้าไปยังตัวอุทยานเลือกเอาตามใจชอบได้เลย

จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยางก็คือน้ำตกทั้ง 5ชั้น ที่คนมักจะมาเล่นน้ำ ปิกนิคกันตามอัธยาศัย แต่สำหรับขาลุยมันก็ยังมีเขาหลวงนี่แหละที่ตั้งตระหง่านท้าทายให้ก้าวเดินขึ้นไปพิชิตมัน ซึ่ง Highlight ของที่นี่ก็คือจุดชมวิวด้านบนที่เห็นอ่าว 3อ่าว และตอนกลางคืนก็เห็นดาว 3โลก


“อะไรคือดาว 3โลก??" ผมฟังตอนแรกก็ถึงกับงง ดังนั้นผมก็จะปล่อยให้เพื่อนๆงงเหมือนผมไปก่อนละกัน แต่เดี๋ยวจะมาเฉลยให้ฟังเมื่อตามไปถึงบนยอดพร้อมๆกัน

“พร้อมแล้วเป้ขึ้นบ่าเลยครับ" พี่ จนท เห็นโอ้เอ้อยู่นานคงทนไม่ไหว ก็เลยมาเร่งให้รีบออกเดินทาง เอ้าๆๆ ไปกันเลยพวกเรา แต่ก็ไม่วายขออนุญาตพี่ จนท ถ่ายรูปหมู่ก่อนขึ้นซักหน่อย แหม ก็ไม่เคยเข้าป่าคนเยอะขนาดนี้เลยนี่นา ป่าจะแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้


เริ่มแรกของเส้นทางเราก็จะเริ่มเดินผ่านน้ำตกไปทีละชั้นทั้งสิ้น 4ชั้น จากนั้นก็เดินตัดขึ้นเขาไป โดยไม่ผ่านน้ำตกชั้นที่ 5


ระหว่างทางก็จะมีการเดินข้ามน้ำตกกันเล็กน้อย ถือเป็นเส้นทางเปิดตัวก่อนขึ้นเขาที่สวยงามน่ามองทีเดียว

เดินมาช่วงแรกๆ บอกได้คำเดียวว่าแห้งแล้งมาก ต้นไม้พลัดใบเกลี้ยง แดดนี่ส่องเข้าเต็มๆ


สังเกตดูบนต้นไม้ ก็จะพบร่องรอย อารยธรรม คนไปถึงไหน ก็ทำลายธรรมชาติที่นั่น ไม่รู้จะไปขีดมันทำไมเหมือนกัน


เริ่มแรกของทุกๆการเดินป่า ขึ้นเขา ทุกคนก็มีรอยยิ้มเสมอแหละ อย่างเช่นแบบนี้


นี่ก็รอยยิ้ม


โอ้ว…คุณพระ อันนี้ก็รอยยิ้ม นะเนี่ย ฮ่า ฮ่า


นอกเรื่องไปเรื่อยเรา กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า เอ้า...หน้าเดิน ทุกคนทยอยเดินแถวเรียงเดี่ยวกันขึ้นไปเรื่อยๆ ป่าเริ่มทึบขึ้น ส่วนวิวนะเหรอ ลืมไปได้เลย มีแต่คำว่า ป่า ป่า และก็ป่า แถมยังมีศัตรูตัวร้ายที่ชื่อว่าความชัน กับพี่ตะคริวที่ดูเหมือนจะหิวโซมาจากไหนก็ไม่รู้ รอจ้องจะมากินขาของทีมงานทุกคนที่เผลอไม่ระวังตัว


เดินมาสักพัก ก็เจอลำธารเล็กๆ ไว้ล้างหน้าล้างตา ดูนาฬิกา เข็มสั้นก็เกือบจะชี้เลข 1 ซะแล้ว พี่จนท ก็บอกให้พักทานข้าวกันที่นี่ก่อน บางคนก็หิว บางคนก็ไม่หิว ก็เลยให้คนที่หิวกินอาหารที่ซื้อเตรียมขึ้นมาตามใจ ส่วนผมก็ไปสอบถามข้อมูลการเดินทางไปพลางๆระหว่างนั้น


(จุดนี้ผีเสื้อเยอะมาก ถ้าไม่ต้องเดินต่อจะขอนอนมันตรงนี้เลย)

“พี่ครับ อีกไกลไหมกว่าจะถึงที่พักครับ"


“เดินมายังไม่ถึงครึ่งทางเลย"

“ ! ! ! " ห๊ะ เดินมาตะคริวแทบกิน ยังไม่ถึงครึ่งอีกเหรอ ทั้งที่รอบนี้ตั้งใจมาแบบชิวๆ อารมณ์พบปะเพื่อนเก่า ออกแรงนิดๆ แต่ก็เป็นเพราะเราไม่หาข้อมูลให้ดีเองแหละ ดันไปเชื่อคนอื่นที่บอกว่าที่นี่เดินป่าระดับเบา ให้ตายเถอะ คุณหลอกดาว ชัดๆ ฮือ ฮือ ฮือ

เติมพลังลงท้อง พักกันพอหายเหนื่อย ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ บางคนก็ถึงยิ้มแหยๆเลยทีเดียว กับข่าวร้ายที่ว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง ฮ่า ฮ่า


ระดับความสูงยิ่งสูงขึ้น ภูมิประเทศก็ค่อยๆเปลี่ยนไป พบหินขนาดใหญ่ขึ้น ต้นไม้ใหญ่และสูงขึ้น ที่สำคัญรู้สึกชื้นมากขึ้นจนพืชชั้นต่ำอย่างพวกเฟิร์น มอส เกาะตามที่ต่างให้พบเห็นได้ง่าย


เวลาราวๆบ่าย 4 พี่ จนท ก็ชี้ให้เรามองลอดพุ่มไม้ออกไปด้านหน้า และนั่นแหละคือครั้งแรกที่เห็นจุดหมายให้พอชื่นใจ ลาน1 เป็นจุดแรกที่เราจะได้ออกจากป่าหลังจากเดินมาอย่างยาวนานราว 6ชั่วโมงเศษ แต่ปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ เพราะก่อนจะถึงลาน1 เราจะพบกับความชันที่น่าจะเรียกได้ว่าชันที่สุด ที่ตั้งตระง่านรอเราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เช้า ซึ่งบางทีผมก็สงสัยนะ ทำไมเวลาเดินป่า ก่อนถึงเป้าหมาย มันต้องเจอกับทางชันๆด้วยก็ไม่รู้ อย่าง ภูสอยดาว ก็มีเนินมรณะ ภูกระดึง ก็มีซำแคร่ และที่อื่นก็มีนู่นนี่นั่นอีก บลา บลา บลา


แต่อย่าพึ่งเข้าใจว่ามาที่เขาหลวงมีแต่ความเหนื่อยนะครับ เรายังสามารถพบเห็นร่องรอยสัตว์ ตัวสัตว์เล็กๆให้เห็นอยู่บ้าง เพราะจริงๆที่นี่เราพบรอยไก่ฟ้า รอยกีบเท้า ไม่รุ้ว่าเก้งหรือกวาง แต่พอดีผมไม่ได้ถ่ายมา ดังนั้นก็ดูอะไรๆที่ผมถ่ายเป็นความสวยงามระหว่างทางเหล่านี้ก่อนล่ะกัน


เอาล่ะๆ มุ่งหน้าสู่ลาน1 กันเถอะ แต่ให้ตายเถอะ แค่เห็นเส้นทางก็แทบจะถอดใจแล้ว ต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านกับความชันที่ทำลายกล้ามเนื้อขาจนแทบหมดสิ้น ถ้าเส้นเอ็นที่ขาผมพูดได้ มันก็คงพูดว่า "พอเถอะๆ อย่าทำร้ายกันมากไปกว่านี้อีกเลย" ส่วนพี่ตะคริวก็บอกว่า "ยอมส่งขาคู่นั้นมาให้พี่กินซะดีๆ อย่าฝืนอีกเลย"


และแล้วจากความพยายาม พวกเราก็สามารถลากสังขารมาถึงลาน1 จนได้ ลมเย็นพัดเข้าปะทะใบหน้า พัดพาเอาความเหนื่อยให้หายเป็นปิดทิ้ง จนทุกคนล้มตัวลงนอน ถ้ามาสบายๆวิวตรงนี้ก็คงจะธรรมดามากๆ ไม่สวยอะไรเลย แต่พอเสียเหงื่อยอมตะเกียกตะกายขึ้นมา เห้ย!!! มันสวยขึ้นมาเป็นสิบๆเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ก็มีพื่บางคนที่พอเห็นภาพนี้ปั๊บ พี่เขาถึงกับรีบปลดเปลื้องสัมภาระทั้งหมดออกจากร่างกายแล้ววิ่งออกไปกันเล่นว่าวบนเขาในทันที แต่เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้ทะลึ่งนะ พี่เขาไปเล่นว่าวจริงๆ ไม่เชื่อก็ดูซิ


นอนเล่นสักพัก เราก็ได้ยินเสียงเรียกจากกลุ่มแรกที่เดินนำกันไปก่อน ตะโกนมาจากลาน2 เป้าหมายในการนอนของค่ำคืนนี้ ซึ่งลาน1 กับ ลาน2 จะห่างกันประมาณ 700-800 เมตร ก็เป็นอันว่าก็ต้องรีบถ่ายรูปแล้วรีบไปเพราะตอนนี้ก็กำลังใกล้จะถึงเวลาเคารพธงชาติ ถ้าไม่ออกเดินทางก็คงได้มืดกลางป่าแน่ๆ เอาล่ะ ไปกันต่อ


ระหว่างทางลาน1 กับลาน2 เราจะเจอธารน้ำสายเล็กๆอยู่สายนึง เอาไว้สำหรับการดำรงชีวิตบนนี้กัน ดังนั้น สำหรับใครที่จะมาที่นี่ อย่าทำลายธรรมชาติบริเวณนี้เด็ดขาดนะครับ สายน้ำสายนี้สำคัญมากๆ ทำให้เราไม่ต้องแบกน้ำขึ้นเยอะแยะ เพราะบนนี้มีน้ำให้เราใช้ตลอดปีครับ สามารถเอามากินดื่มได้อย่างสบายๆ ใครกังวลก็ต้มก่อนดื่มละกัน แต่สำหรับผมกินมาตลอดทริปจนมานั่งเขียนรีวิว ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร รับประกับความสะอาดให้คนนึงเลยครับ


พอมาถึงที่พักเราก็เริ่มหุงหาอาหารกัน ด้านบนมีที่กางเต็นท์ได้ไม่เยอะมากนัก ถ้าใครจะมาแนะนำให้เป็นเปล กับนอนแบบปลาทูนะครับ แต่ถ้ามากลุ่มเล็กๆก็พอจะกางเต้นท์กันได้อยู่


ขณะนี้เป็นเวลาราวๆ 3ทุ่ม หลังกินข้าวกันเรียบร้อย ก็เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่เราจะมาเฉลยแล้วครับ ว่าไอ้ดาว 3โลก มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งมันก็คือ แท่น แท่น แท๊น..... ดาว 3โลก ก็ประกอบไปด้วย


ดาวที่1 : ดาวที่อยู่บนโลกแห่งท้องฟ้า

ดาวที่2 : ดาวที่อยู่บนโลกแห่งผืนดิน

ดาวที่3 : ดาวที่อยู่บนโลกแห่งแผ่นน้ำ

ทุกคนก็เลยมานอนดูดาวกันที่นี่พูดคุยกันยันเที่ยงคืน จนกระทั่งแยกย้ายกลับไปนอน ซึ่งบางคนก็ว่าไอ้แสงเขียวๆจากเรือไดหมึกนี่มันหยั่งกะแสงเหนือเลยเนอะ ฮ่าๆ จินตนาการแต่ละคนเหลือล้ำจริงๆ

อรุณสวัสดิ์ยามเช้าครับ เรากลับมาที่ลานชมดาวเหมือนเดิม เพราะจุดนี้ก็มีไว้ชมพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน จากจุดนี้มองไปไกลๆ เราก็จะเห็นอ่าวต่างๆ ของตัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งก็คือ อ่าวน้อย อ่าวประจวบ และอ่าวมะนาว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั่นเอง


จากนั้นก็กลับมาเก็บข้าวของ หุงหาอาหาร เตรียมข้าวกลางวัน เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ ก่อนที่จะเดินทางกลับกัน ซึ่งถือเป็นอีก 1 highlight ของเขาหลวง ประจวบเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือจุดชมวิวฝั่งพม่า พี่ๆเจ้าหน้าที่ ที่นี่ดีทุกคนครับ คอยดูแลต้มน้ำ จุดไฟ ให้พวกเราอย่างดี


และนี่ก็คือกองไฟหลัก ที่เราใช้แบ่งปันร่วมกัน

เอาล่ะๆ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายกันเลย ครั้งนี้เราจะเอาสัมภาระไปฝากไว้แถวๆที่เติมน้ำ แล้วก็เดินตัวเปล่าขึ้นไปจุดชมวิว พอเดินแบบไม่มีสัมภาระเท่านั้นแหละ ตัวปลิวกันทุกคน ยังกับอยู่ในสภาวะไรน้ำหนัก วิ่งได้คงวิ่งไปแล้ว โดยเส้นทางเส้นนี้จะชื้นมากครับ เขียวไปหมดเต็มไปด้วยมอส


แต่ก่อนจะถึงจุดชมวิวก็มี Landmark ให้เป็นจุดสังเกตหนึ่งที่ก็คือประตูป่า ต้นไม้ที่โค้งจนเป็นซุ้มให้เดินลอดผ่านไป ซึ่งระหว่างทางขอให้เชื่อฟัง จนท นะครับ ถ้าเกิดพลัดหลงไป นี่ไปโผล่ฝั่งพม่าไม่รู้ด้วยนะเออ เพราะมันมีทางแยก AEC อยู่ (ชื่อตั้งเองนะครับ) เดินชิวๆไป รู้ตัวอีกที "มิงกะลาบา" กันเลยทีเดียว


ถึงแล้วๆ มาชมกันดีกว่า ว่าหยาดเหงื่อของเรามันคุ้มค่ากับการเดินมาเที่ยวบนนี้หรือไม่ กับทุ่งต้นบล๊อคโคลี่ยักษ์ฝั่งพม่าสุดลูกหูลูกตา


สุดท้ายนี้ สำหรับทริปนี้กับ "เขาหลวง ประจวบ" ผมคิดว่าเหมาะสำหรับคนที่เคยเดินป่ามาก่อนเหมือนเคยครับ และก็ควรจะเป็นคนง่ายๆ เนื่องจากความสะดวกสบายไม่มี ยำอีกครั้งนะครับว่าไม่มีลูกหาบ น้ำหนักด้านล่างแค่ 1ปอนด์ตรงนี้ เท่ากับ 10ปอนด์บนไหล่ นอกจากนี้ก็ยังไม่มีห้องน้ำ ไม่มีที่นอนนุ่มๆ ไม่มีอาหารชั้นดี และไม่มีความสวยงามระหว่างทาง แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียไปซะหมด เพราะมันยังมีข้อดีอยู่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนสำหรับการเดินป่าระยะไกล สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุ้มค่าที่เราเลือกที่จะเดินเข้าป่าในทุกๆครั้ง นั่นก็คือเราจะได้ "เพื่อน" กลับมาอย่างแน่นอน และยังได้ทดสอบพละกำลัง สติปัญญารวมทั้งความสามารถของเราในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆที่เกิดขึ้น (ครั้งนี้พวกเราเผลอหลงป่า พลัดกับเจ้าหน้าที่ ต้องแกะรอยหาทางกลับมาจนไปเจอกับเจ้าหน้าที่จนได้ โชคดีมากๆ ขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ ไว้มีโอกาสหน้า ฟ้าใหม่ พวกผมจะพาเพื่อนๆไปเข้าป่าที่อื่นต่อไป สวัสดี ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ


Samakida Somkid

 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 21.35 น.

ความคิดเห็น