"ภูเขาไฟโบรโม่" คือภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจากในรูปคือภูเขาที่กำลังพ่นควันอยู่ ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติโบรโม่เทงเกอร์เซเมรู เกาะชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย มีความสูง 2,329 เมตร จากระดับน้ำทะเล "โบรโม่" มาจากตัวสะกดในภาษาชวาของคำว่า "พรหม" ซึ่งเป็นพระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ด้วยความเชื่อและความยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเสียงสะท้อนที่ดังจากปากปล่องภูเขาที่กึกก้องตลอดเวลาจึงเปรียบเสมือนเสียงลมหายใจของเทพเจ้า ดังนั้นภูเขาไฟโบรโม่จึงได้รับฉายาว่า "ลมหายใจแห่งเทพเจ้า"

การเดินทาง

ขาไป Donmuang >> Changi Airport (Singapore)

Changi Airport (Singapore) >> Surabaya (Indonesia)

ขากลับ Surabaya (Indonesia) >> Kuala Lumpur (Malesia)

Kuala Lumpur (Malesia) >> Donmuang


แผนการเดินทาง

Day1: Surabaya (Juada International Airport) - Homestay Arabica

Day2: Ijen Creater - Hotel Lumajang

Day3: Sewu Waterfall - Homestay Bromo

Day4: Brobo Creater, Whisper sand - Madakaripura Waterfall

Day5: Surabaya (Juanda International Airport) - BKk


ก่อนหน้านี้ (Part 1.0) เราได้ไปชมความสวยงามของเปลวไฟสีน้ำเงิน ที่ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน และความยิ่งใหญ่อลังการของหุบผาแห่งน้ำตกพันสาย (Sewu waterfall) กันมาแล้วนั้น บ่ายวันนี้เราก็นั่งรถต่อมายัง Homestay แถวโบรโม่ จริงๆแล้วคือบ้านเดี่ยวชั้นเดียวขนาดใหญ่คือที่พักของเรา ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตรช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก เพราะเส้นทางที่คดเคี้ยว เล็ก และแคบ อีกทั้งยังต้องขับผ่านเขาลูกแล้วลูกเล่ากว่าจะมาถึงที่พักก็มืดสนิทแล้ว

อากาศคืนนี้หนาวเย็นกว่าคืนที่ผ่านๆมา เราทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อนเตรียมความพร้อมสำหรับเวลาตีสามครึ่ง เพื่อที่จะไปชมแสงแรกแห่งวันที่จุดชมวิว


01

แสงแรก

เวลาตีสามครึ่งทุกคนก็พร้อมเพรียงกันบริเวณถนนหน้าที่พัก รถจีปหลากสีที่วิ่งผ่านหน้าเราไปยิ่งทำให้ตื่นเต้นมากขึ้นเพราะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้นั่งรถจีปกัน ยืนรอสักพักรถจีปสีครีมและสีน้ำเงินเข้มก็เข้ามาจอดตรงหน้าเรา กลุ่มเราต้องแบ่งเป็นสองคันเพราะมาด้วยกันหลายคน

บรรยากาศนอกรถยังคงมืดสนิทมองเห็นได้แค่ระยะไฟหน้ารถส่องถึง รถขับลงเขาผ่านหมู่บ้านมาสักพักเราก็ลงมาถึงทางราบที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นจากรถที่วิ่งผ่านไปก่อนหน้าเรา ระยะมองเห็นของเรายิ่งแคบคงไปอีกเมื่อมีฝุ้นเข้ามาผสมกับความมืดของบรรยากาศด้านนอก รถจีปวิ่งทางราบสักพักก็รู้สุกได้ว่ากำลังไต่ขึ้นเขา เวลาประมาณตีสี่เราก็มาถึงที่จอดรถ เนื่องจากว่ายังเช้าอยู่อีกทั้งอากาศที่หนาวมากลมก็พัดแรงไกด์จึงพาเราไปยังร้านขายของข้างทางที่ทุกร้านจะมีเตาไฟเล็กๆไว้ให้นักท่องเที่ยวผิงขณะที่นั่งกินอาหาร

ตีห้า ขอบฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยได้เวลาที่เราจะต้องเดินต่อไปยังจุดชมวิว ใช้เวลาเดินขึ้นเขามาไม่นานก็สังเกตุเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนยืนเป็นกลุ่มกันอยู่ก่อนแล้ว บนเขาเป็นที่โล่งทำให้ลมพัดแรงมากขึ้นพัดฝุ่นฟุ้งกระจายตลอดเวลา เราต้องคอยกระชับเสื้อกันหนาวทุกครั้งที่มีลมมาประทะ ทุกคนได้แต่ยืนรอเวลาที่แสงแรกจะโผล่มาให้เห็น

เวลาเกือบหกโมงเช้าแสงสีทองจากขอบฟ้าก็เริ่มสาดมายังจุดที่เรากำลังยืนรอกันอยู่ ทุกคนตื่นเต้นมากกับวิวตรงหน้าเนื่องจากภูมิประเทศที่แปลกตา ด้านขวามือมองลงไปเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่ยุบตัวลงไปมีภูเขาหลายลูกเป็นฉากด้านหลัง ด้านซ้ายคือหมู่บ้านที่สร้างบนแผ่นระนาบที่เสมือนยกตัวขึ้นมาเป็นขอบของหุบเขา

แสงสีทองของพระอาทิตย์ก็เริ่มสาดเข้าไปยังหุบที่ตั้งของภูขาไฟโบรโม่มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนที่สูงขึ้น เราใช้เวลาถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศกันนานพอสมควร ถึงแม้ว่าวันนี้ไม่มีทะเลหมอกให้เห็นอย่างที่เราคาดหวัง แต่ภาพตรงหน้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลยที่ได้มาที่นี่


02

หุบเขาโบรโม่

หุบเขาที่เรามองจากที่สูงเมื่อกี้เหมือนจะเล็กนิดเดียว แต่พอได้ลงจากรถและมายืนด่านล่างตรงนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเราคิดผิดเสียแล้ว เพราะรอบตัวเรามองไปทางไหนก็เจอแต่เวิ้งดินทรายที่ปราศจากต้นไม้ใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นตีนเขาอยู่ไกลๆ

จุดนี้ไกด์ให้เวลาเราลงมาถ่ายรูปกับรถจีปที่มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟอย่างสนุกสนาน ไฮไลท์ที่หลายๆคนมาแล้วต้องถ่ายคือการปีนขึ้นไปบนหลังคารถจีปแล้วโพสท่าถ่ายรูป ซึ่งแต่ละคนก็โพสท่าได้อย่างสนุกสนานและสวยงามมาก

หลังจากถ่ายรูปเสร็จรถจีปก็มาส่งเราที่แนวเสาปูนที่ปักเรียงเป็นแนวยาวเพื่อกั้นไว้ไม่ให้รถผ่านเข้าไป ตรงจุดนี้เราสามารถมารถเลือกได้ว่าจะเดินเท้าเข้าไป หรือขี่ม้า ราคาสำหรับขี่ม้าไปกลับอยู่ที่ประมาณ 200 บาท

กลุ่มเราเลือกขี่ม้ากันเพราะคงไม่ใช่โอกาศที่จะหาได้ง่ายในการขี่ม้าที่สองข้างทางเป็นวิวภูเขาไฟ หลังจากที่ทุกคนเลือกม้าของตัวเองเสร็จก็ได้เวลาเดินทางต่อ

น้องม้ามาส่งเราได้แค่ตีนภูเขาไฟเท่านั้น เราต้องเดินขึ้นบันไดต่อเพื่อไปยังปากปล่องอีกที มีเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น เราจึงรีบเดินขี้นไปกัน นักท่องเที่ยวจำนวนมากทะยอยเดินขึ้นไปและบางส่วนก็ทะยอยเดินสวนกลับลงมา

ทางเดินบันไดสร้างจากคอนกรีตที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยดินภูเขาไฟเนื่องจากถูกลมพัดเข้ามา ทำให้เดินยากขึ้นไปอีก ประกอบกับความชันของบันไดยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินมากขึ้น


03

ภูเขาไฟโบรโม่

เสียงดังกระหึ่มคล้ายเสียงลมพัดผ่านช่องว่างขนาดใหญ่เริ่มได้ยินชัดเมื่อเราเข้าใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ ตอนแรกที่ได้ยินเรานึกว่าเสียงจากโดรนที่บินอยู่ข้างบน แต่ไม่ใช่เพราะเสียงดังกว่า

ความสงสัยของเราได้รับคำตอบเมื่อเราขึ้นมาถึงปากปล่อง หลุมลึกขนาดใหญ่ใจกลางปากปล่องที่ยังคงมีควันลอยขึ้นมา บางครั้งที่ลมพัดผ่านมาทางที่เรายืนอยู่ก็มีกลิ่นกำมะถันลอยมากับลม เสียงอันทรงพลังที่ดังอยู่ในขณะนี้คล้ายกับเสียงลมหายใจของพื้นโลก เปรียบเสมือนลมหายใจของเทพเจ้าตามความเชื่อของคนพื้นถิ่นที่นับถือศาสนาฮินดู ด้านล่างของภูเขาไฟโบรโม่นั้นยังคงไม่สงบรอคอยวันที่จะปลดปล่อยพลังของลาวาออกมาเมื่อถึงเวลา

ความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟโบรโม่ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เมื่อมนุษย์ตัวเล็กๆได้มายืนบนปากปล่องนั้นทำให้รู้สึกว่าเราช่างตัวเล็กนักเมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นี้

เราใช้เวลาที่นี่เพียงสามสิบนาทีเท่านั้นก็ต้องลงจากเขาเพื่อขี่ม้ากลับไปยังจุดจอดรถจีป ระหว่างทางขากลับพี่พี่ที่ดูแลม้าให้เราก็ใจดีกันทุกคน คอยหยุดม้าเพื่อถ่ายรูปให้เราตลอด บางคนใจดีขนาดที่ให้เราบังคับม้าแล้วสั่งให้ม้าวิ่ง มันอธิบายไม่ถูกเลยกับภาพบรรยากาศรอบตัวเราขณะนี้

พอสายหน่อยนักท่องเที่ยวเริ่มน้อยลง น้องม้าและพี่คนดูแลก็ทะยอยขี่กลับไปยังหมู่บ้านกันเป็นกลุ่ม รถจีปของเรามุ่งหน้าสู่ทะเลทรายสีดำ หรือสถานที่มีชื่อว่า "ทรายกระซิบ"


04

Whisper Sand หรือทะเลทรายกระซิบ

รถจีปเริ่มชะลอความเร็วลงและไม่นานก็หยุดสนิท ทุกคนบนรถเริ่มเกิดคำถามในใจว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วมันคืออะไร สองข้างทางรอบรถเป็นทุ่งโล่งที่เต็มไปด้วยทรายสีดำ มีหินโผล่พ้นสายให้เห็นเป็นหย่อมๆปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆยกเว้นหญ้าที่ขึ้นประปรายปนไปกับผืนทรายสีดำ ไกด์บอกเราว่านี่แหละคือ Whsiper Sand เราก็ลงจากรถแบบงงๆ

ขณะที่กำลังเดินไปถ่ายรูปที่โขดหินนั้นก็เกิดเหตุการณ์มีลมพัดมาอย่างแรงหอบเอาทรายที่พื้นขึ้นมาฟุ้งกระจายไปทั้งบริเวณที่ลมพัดผ่าน ในขณะที่ลมพัดมาทางที่เรากำลังยืนกันอยู่ เสียงลมที่พัดมานั้นคล้ายกับเสียงคนกระซิบกัน เราก็อ๋อ เพราะแบบนี้เองที่นี่จึงเรียกว่า ทะเลทรายกระซิบ

ด้วยทัศนียภาพที่แปลกตาก็ทำให้เราอดใจใช้เวลาถ่ายรูปที่นี่ไปพอสมควรเหมือนกัน หลังจากนี้ถึงเวลากลับโรงแรมเพื่อกลับไปทานอาหารเช้ากัน เป้าหมายต่อไปของเราคือ น้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเกาะชวาตะวันออกเช่นกัน


05

Madakaripura Waterfall

ใช้เวลาเดินทางจาก ภูเขาไฟโบรโม่ ประมาณชั่วโมงกว่าเราก็มาถึง Madakaripura Waterfall จากจุดจอดรถเราต้องนั่งมอเตอร์ไซด์เพื่อเข้าไปยังจุดเดินเท้า และต้องเดินเท้าต่อไปยังน้ำตกอีกระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร

Madakaripura waterfall เป็นน้ำตกที่มีความสูง 200 เมตร ลักษณะเป็นเวิ้งเขาที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนรอบด้านเราจะพบสายน้ำที่ไหลลงมารอบด้าน โดยเฉพาะถ้ามาในช่วงฤดูฝน สายน้ำจะไหลลงมารอบด้านไม่ขาดสาย แต่ช่วงที่เรามาเดือนตุลาคมนั้นน้ำเริ่มน้อย แต่ก็ยังคงมีสายน้ำไหลลงมาโดยรอบอยู่ แน่นอนว่าถ้าคุณต้องการเดินเข้าไปข้างในน้ำตกคุณจะต้องเดินผ่านผ่านน้ำที่ตกลงมาและเปียกอย่างแน่นอนหากไม่ใส้เสื้อกันฝน น้ำตกที่อยู่ด้านในถือเป็นไฮไลท์ของน้ำตกที่นี้

ภูเขาไฟโบรโม่...ทำให้เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความยิ่งใหญ่ของโลกใต้พิภพที่ยังคงไม่สงบ ทุกการเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด แต่จุดสิ้นสุดบางครั้งก็เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ แล้วพบกันใหม่... #แสงจันทร์

แสงจันทร์

 วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.39 น.

ความคิดเห็น