ภูกระดึง ภูเขาที่ขึ้นไปแล้วรู้สึกหายเหนื่อยเร็วที่สุด
.............................................................................
ขึ้นชื่อว่าเดินป่า เดินเขาผมมองว่าหลายคนคงคิดว่ามันเหนื่อยแน่นอน ใช่ครับ เหนื่อยจริง แต่มันก็ได้อะไรมากกว่าเหนื่อย ผมว่าในเมืองไทยมีไม่กี่ภูเขาที่เด็กสามารถเดินได้ หรือแม้กระทั่งคนที่อายุเยอะๆยังสามารถเดินได้ ภูกระดึง เป็นภูเขาที่ตลอดการเดินทางผมเห็นทุกเพศทุกวัยจริงๆ ทั้งมากับเพื่อน มากับแฟน หรือมากับครอบครัว พีคสุดคืออุ้มตัวเล็กน่าจะประมาน 5 เดือนได้ พร้อมรถเข็น ผมว่ามันเป็นภาพที่น่ารักมากเลยครับ และที่สำคัญ หากหลายคนกังวลเรื่องการอยู่การกิน ผมขอบอกไว้เลยครับว่า ที่นี่สบายหายห่วงครับ ทุกจุดพักหือทุกซำจะมีของขายเต็มไปหมด ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากภูเขาอื่นอย่างแน่นอน ถึงบอกไงครับ ว่าใครๆก็เดินได้ ไปดูรีวิวฉบับนี้ของผมเพื่อการตัดสินใจสำหรับใครที่สนใจจะไปกันดีกว่าครับ
ไปครั้งนี้ผมพักที่ เต้นท์ของร้าน ฉวาง นครศรีธรรมราชครับ ติดต่อไปที่ พี่โจ้ 0872139273 บอกเลยว่าหมูกระทะเด็ดมาก
**ข้อมูลอื่นๆ
-จำหน่ายบัตร ตั้งแต่เวลา 07:00น.-13:30น. และอนุญาต ให้ขึ้นภูระดึงได้ไม่เกินเวลา 14:00น. ของทุกวัน
-เด็ก 20 บาทผู้ใหญ่ 40 บาท
-กรณีนำเต็นท์มาเองค่าเช่าพื้นที่ 30 บาท/คน/คืน
-หมอน ใบละ 10 บาท/คืน
-แผ่นรองนอน 20 บาท/คืน
-ถุงนอน 30 บาท/คืน
-ผ้าห่ม 30 บาท/คืน
สามารถสำรองจองเต้นท์และบ้านพักได้ที่
ส่วนการจองบ้านพัก จองได้เฉพาะทางเว็บไซต์เท่านั้น
.........................................................................
***การเดินทาง
ส่วนตัวผมแล้วทริปนี้ ผมขับรถไปเองครับเลยสะดวกหน่อย สามารถขับไปจอดไว้ที่อุทยานได้เลย
การเดินทางมาภูกระดึงด้วยรถทัวร์
สามารถขึ้นรถได้ที่หมอชิตใหม่ มีรถอยู่หลายบริษัทให้บริการ เช่น แอร์เมืองเลย /ภูกระดึงทัวร์ / บขส. /ชุมแพทัวร์
แนะนำเที่ยวรถ รอบ 21.10 น./ 21.30 น. / 22.10 น. รถใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมงโดยประมาณ จะถึงประมาณ ตี 4 ตี 5 เช้าพอดี
นั่งมาลงที่ผานกเค้า แล้วต่อรถสองแถวแดง (จอดอยู่ข้างๆร้านเจ้กิม หน้าป้อมตำรวจ ) มายังอุทยานแห่งชาติภูกระดึง อัตราค่าบริการรถสองแถวแดง อยู่ที่คนละ 30 บาท (นั่งเต็ม 10 คน) หากไม่เต็ม 10 คน สามารถเหมาได้ในราคาเที่ยวละ 300 บาท
ขากลับนั่งรถสองแถวแดง มาลงหน้าร้านเจ้กิม เพื่อรอขึ้นรถกลับกรุงเทพ
การเดินทางโดยเครื่องบิน
ดอนเมือง –เลย แนะนำให้มาไฟท์เช้าๆนะครับ เพราะทางอุทยานให้ขึ้นไม่เกินบ่าย 2 ลงเครื่องที่สนามบินเลย ข้ามฝั่ง รอรถทัวร์ ขอนแก่น -เลย จะมาทุกๆ 30 นาที รถจะเข้ามาจอดที่หน้าอำเภอภูกระดึง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที แล้วต่อรถสามล้อ หรือ มอเตอร์ไซต์ เข้าที่ทำการ
ขากลับ ให้ลงจากภูแต่เช้า ถึงด้านล่างก่อนเที่ยง (ไฟท์ 15.50น.นกแอร์) ถึงด้านล่าง ก่อนบ่าย 3 (ไฟท์ 18.00น.แอร์เอเชียร์)
จากนั้นต่อรถสองแถวแดงที่จอดรอหน้าที่ทำการ ไปลง หน้าตลาดภูกระดึง ต่อรถ ขอนแก่น -เลย (ด้านหน้ารถเขียนว่าไปเมืองเลย) รถมาทุกๆ 30 นาที นั่งไปลงสนามบินเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ รถเที่ยวสุดท้ายที่จะไปสนามบิน (ไปเมืองเลย) หมดเวลา 20:30น.
ไม่แนะนำให้ฝากสัมภาระมากับลูกหาบ เพราะบางทีลูกหาบลงมาช้า จะไม่ทันเครื่อง ให้แบกสัมภาระเอง แต่ถ้าจะฝากลูกหาบลงต้องนำของมาให้ลูกหาบแต่เช้ามืด เพื่อจะได้ลงแต่เช้า
ขอบคุณข้อมูลการเดินทางจาก สมาชิกพันทิปหมายเลข 2545761
**สิ่งที่ต้องเตรียม
-รองเท้าผ้าใบที่ใส่แล้วสบายเท้า/ถุงเท้า
-สเปรย์ตะไคร้หอมกันยุง เอาไว้ฉีดตามแขนและขาเพื่อกันทาก
-ไฟฉาย
-เสื้อแขนยาวกันลมกันหนาว
-ของใช้ส่วนตัวพวกครีมอาบน้ำยาสระผม
-แบตสำรอง
ช่วงนี้ฟ้าเปิดครับ เราสามารถเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าหน้าเต้นท์ได้เลยครับ แต่สกิลการถ่ายถ่ายรูปยังห่างไกล เอาไปแค่นี้ก่อนนะครับ พึ่งได้เทคนิคเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือต้องโฟกัสดาวก่อนฮ่าๆ
และแน่นอนเลยครับ ผมไปช่วงวันเปิดภูใหม่ๆ น้ำตกสวยมากครับ
จะขาดไม่ได้เลยคือ เมนูแสนอร่อยบนยอดภูนั่นคือ หมูกระทะครับฮ่าๆ
หมูกระทะฟินๆบนยอดเขา ใครไปจะขาดไม่ได้เลยนะครับ เพราะมันฟินมากจริงๆ 500 บาท ต่อ 1ชุดผมว่ามันโคดคุ้มเลยละ เพราะกว่าเขาจะแบบขึ้นมาได้นี่ ต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมาด้วยนะ เพราะฉะนั้นต้องครับ
พี่โจ้ใบเฟิร์น ฉวาง
ร้าน ฉวาง นครศรีธรรมราชครับ ติดต่อไปที่ พี่โจ้ 0872139273
ผมรู้สึกชอบรูปนี้มากเลยครับ อย่างที่บอกว่า ภูกระดึงเป็นภูเขาที่ใครๆก็สามารถขึ้นมาได้ มาเป็นครอบครับเยอะเลยครับ เว้นแต่ผมมาแบบโสดๆเดี๋ยวๆฮ่าๆ ภาพนี้ผมถ่ายตอนผมเดินตามพ่อลูกคู่หนึ่ง ซึ่งระหว่างทางที่เดินพ่อจะชี้โน้นนี่นั่นสอนลูกไปเรื่อยๆระหว่างทาง เห้ยโคดน่ารักเลยครับ ใครที่ไม่กล้ามา งรู้ไว้ว่า เด็กแทบจะวิ่งเล่นแล้วนะครับบนนี้
เริ่มต้นเดินกันเลยครับ เห้ยทำไมไม่มีคน เดินเช้าหรอ อ่อเปล่าครับ 13.20 ครับโอ้โหเกือบกลุ่มสุดท้ายได้มั้งครับเนี่ย ไปครับไป กว่าจะถึงซำแฮกบอกได้เลยว่า เกือบเป็นลมเหมือนกัน เพราะไม่พกน้ำกันสักคน ฮ่าๆ เห้ยๆพวกเด็กอ้วนข้างหน้าหลบหน่อย จะเดินเว้ย
ช่วงนี้บอกเลยว่าถ้าใครมากแทบจะหลงไปกับป่าระหว่างทาง เพราะ มันเขียวฉ่ำมากครับ และที่สำคัญตอนผมไปก็พึ่งเปิดภูได้ประมาณ 5 วันเอง ทุกอย่างยังคงสวยงาม เขียวมไปหม้ดดด
เดินมาสักพักใหญ่ก็มาถึงบันใดปราบเซียน ฮ่าๆ โอ้โหยิ่งใกล้ใจยิ่งหวั่นครับ เพราะเราลุ้นตลอดว่าเมื่อไหรจะถึง ขาเริ่มอ่อนแรงกันทุกคน
และเเล้วพวกเราก็แบกร่างขึ้นมายันหลังแปครับ ระยะทางตอนนี้ห่างจากที่พัก ประมาน 3 กิโลเมตร บร๊ะเจ้า โล่งมาก ไม่โล่งได้ไงละ มาเกือบกลุ่มสุดท้ายฮ่าๆ ไปต่อครับไปต่อ หมูกระทะรอเราอยู่
สวัสดีจ้าลานเต้นท์ ภูกระดึง บอกเลยว่าผมมาแบบไม่รู้ว่าเต้นท์ที่ซุกหัวนอนผมเนี่ย อยู่ตรงไหนเลยนะ เพราะน้องอีกคนจองไว้ และกว่าเราจะมาถึงก็ค่ำมืดซีะแล้ว เกือบแล้วครับ เกือบพี่โจ้เจ้าของเต้นท์ปล่อยให้คนอื่นไปแล้ว
ถามว่าเข้าเต้นท์เลยมั้ย ไม่จ้า ฮ่าๆ หมูกระทะอยู่หนายยยย ไปครับไปชุดใหญ่ 3 ด่วนๆเลยครับ
ภาพที่เราจะเห็นทั่วไปด้านบนนั่นคือ นี่เลยครับ การนั่งกินหมูกระทะของนักท่องเที่ยว ผมว่ามันคลาสสิกและเป็นเอกลักษณ์ของภูมากเลย บางคนอาจจะบอกว่า แค่หมูกระทะกินที่ไหนก็ได้ ฮ่าๆ ลองไปกินบนยอดภูกระดึงก่อนนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่า มันเด็ดขนาดไหน
วันที่เราไปฟ้าเปิดเลยครับ เห็นทางช้างเผือกด้วย แต่ กว่าจะลื้อความทรงจำการตั้งค่ากล้องได้นั้น ช้างก็วิ่งหนีไปแล้ว เอาวะ ถ่ายเต้นท์กับดาวก็ได้ บอกเลยว่าสวยมากครับ
เช้าๆจะพลาดได้ไง กับการเดินไปกลับ 3 กิโลเพื่อดูเจ้าดวงอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่ผานกแอ่น แต่เเล้วแต่วันด้วยนะครับว่าจะเจ้าดวงอาทิตย์เนี่ย จะออกมาให้เจอมั้ย เพราะขี้อายมาก
อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเสร็จ เราก็เริ่มภารกิจกันได้เลยครับ กับการตามล่าน้ำตก ระยะทางสั้นๆที่ตอนเดินผมจำไม่ได้เลยครับว่ากี่กิโล แต่พอมาอ่านข้อมูลเท่านั้นแหละ ฮ่าๆที่พูดในคลิปวิดีโอผิดนี่หว่า
น้ำตกวังกวาง น้ำตกใกล้ๆจุดบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้กำลังสวยใช้ได้เลยครับ ระยะทางประมาน 700 เมตร เป็นน้ำตกที่มีม่านน้ำไม่หนามาก แต่ก็สวยใช้ได้ ก้อนหินที่โดนปกคลุมด้วยมอสเขียวๆมันช่างเข้ากับน้ำตกมากซ๊ะเหลือเกินครับ
ไปต่อกันที่ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ครับ ผมว่าน้ำตกนี้มีวิวที่สวยและมุมถ่ายรูปเยอะมาก ม่านน้ำสูงใหญ่มีหินยื่นออกมา ยิ่งช่วงฤดูหนาวใบเมเปิ้งแดงเต็มไปหมด
และวิวตรงหินนั้นกว่าจะได้รูปมา ก็เสียวมากเช่นกันครับฮ่าๆ
ด้านล่างเราสามารถลอดเข้าไปใต้หินและจะได้ภาพม่านน้ำตกอีกมุม ผมว่ามันโคดสวยเลยครับ ไปกี่ทีผมก็ไม่พลาดมุมนี้
มุมนี้สวยมาก ใครที่ไปห้ามพลาดนะครับ ต้นไม้เขียวๆ ก้อนหินเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ บวกกับสายน้ำไหลผ่าน และด้านหลังเป็นม่านน้ำตก โอ้ย โคดหลงรักมุมนี้ครับ
เรามาต่อกันที่ น้ำตกโผนพบ ครับ เป็นอีกน้ำตกที่สวยมาก เอาจริงๆตอนนี้แทบทุกน้ำตกสวยหมดเลยครับ เพราะปริมาณน้ำกำลังพอดี ไม่เยอะ บวกกับต้นไม้ วัชพืชที่กำลังเขียว มันช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันมากเลยครับ น้ำตกโผนพบ ช่วงฤดูหนาวใบเมเปิ้ลก็เยอะมากเช่นกันนะครับ เดี๋ยวผมคอมเม้นไว้ด้านล่าง
ฮัลโหลไอ้น้อง จะนอนตรงนี้ไม่ได้นะฮ่าๆ บอกเลยว่าสวยทุกมุมจริงๆครับ ใครไปสิ่งที่ควรเตรียมนอกเหนือจากน้ำก็เมมโมรี่การ์ดกล้องนี่แหละครับ รูปแน่นแน่ๆ
มาต่อกันที่น้ำตก เพ็ญพบ ครับ เป็นน้ำตกที่อยู่ด้านล่างตรงลานหินนิดหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจจะมองข้ามไป เหมือนอย่างผมที่ไม่คิดที่จะลงมาน้ำตกนี้ แต่ๆดันเป็นน้ำตกที่ใช้เวลาอยู่นานที่สุดครับ มองมาแว็บแรกตกใจเลยครับ เพราะมันสวยมาก เป็นชั้นๆกำลังพอดี จะพลาดได้ไงทีนี้ รัวชัตเตอร์ไปตรงน้ำตกนี้แทบจะเยอะที่สุดก็ว่าได้
น้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นอีกน้ำตกที่มีหินเยอะมากๆ ซึ่งตอนนี้โดนปกคลุมด้วยมอสสีเขียว ตรงกันข้ามถ้าฤดูหนาว ตรงนี้จะโดนปกคลุมไปด้วยใบเมเปิ้ลนะครับ สวยมาก และคนก็เยอะมากเช่นกัน
และเเล้วพวกเราก็ต้องหอบร่างกายอันหิวโหยเดินทางกันต่อ ระหว่างทางก่อนจะถึงสระอโนดาด เราก็รู้ตัวครับว่าๆๆๆๆไม่พกน้ำกันมาสักคน โอ้โหต้องร้องเสียงยังไงคนรอบข้างถึงจะสงสาร ระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร พวกผมไม่ได้กินน้ำครับ ยิ่งช้ำไปกว่านั้น ผ่านสระอโนดาดต้องมองตาปริปๆแอบอิจฉาผู้คนที่เขานั่งพักผ่อนชิลๆพร้อมกับขวดน้ำข้างกาย ผมนี่รีบเลยครับ ผาเหยียบเมฆคือความหวังสุดท้ายของผมแล้วตอนนี้
แต่แล้วระยะทางก็ไม่เป็นใจ กว่าจะถึงผาเหยียบเมฆผมต้องผ่านถนนที่โรยไปด้วยน้ำและโคลนครับ เดินง่ายมากครับ เหมือนเดินอยู่ถนนมิตรภาพเลยครับหืมมม รองเท้านี่เปียกกันทุกคนจากระยะทาง 3 กิโลกลายเป็น 6 กิโลขึ้นมาทันทีเมื่อเจอทางนี้
หลังจากหอบร่างการผ่านร้อนผ่านน้ำผ่านโคลนมาได้ พวกเราก็มาถึง ยังจุดแลนด์มาร์คของภูกระดึงครับ นั่นคือผาหล่มสัก ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่าไหร่ ผู้คนยิ่งน้อยด้วยถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราเพราะไปวันอาทิตย์ซึ่งคนส่วนมากลงมาแล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนที่ผมสัมผัสได้เลยนั่นคือ กิ่งสนกิ่งนั้น ทำไมมันยื่นต่ำลงมากว่าเดิมฮ่าๆ
ไปครับมาทั้งทีต้องไปยืนต่อแถวถ่ายรูปวิวนี้ ระหว่างที่ยืนอยู่นั้นคิดในใจแล้วว่า ดวงอาทิตย์กำลังสวยเลย กูต้องได้รูปสวยแน่ๆแต่ๆๆๆครับ พอถึงคิวผมเท่านั้นแหละ ดวงอาทิตย์มาอายอะไรตอนนี้ หายวับเข้าก้อนเมฆทำมายๆๆ โอ้ยนอ กลับครับกลับๆ
ความโชคดีของผมในทริปนี้นั่นคือท้องฟ้าเปิดโล่งมากครับ และสิ่งที่เราได้ระหว่างทางนั่นคือ ดวงดาวครับมันสวยมาก และวันนั้นช้างเผือกเดือดมาก สามารถเห็นด้วยตาเปล่าแบบชิลๆเลย รูปบนคือผาเหยียบเมฆ ส่วนรูปล่างคือผาหมากดูก ซึ่งเป็นผาที่ใกล้ที่พักมากที่สุด คนนิยมมาถ่ายดาวกันตรงผานี้ครับ
สวยมากจริงๆครับ
เช้าอันสดใสขากลับไม่ได้แบกของเอง เลยมีเวลาเจี้ยวจ้าวตามทางหน่อย นี่เลยครับหากใครคิดว่าของข้างบนแพง ให้ดูรูปนี้ไว้ครับ ลูกหาบได้เงินจากร้านคาเพียงกิโลละ 15 บาทเองครับ แต่สำหรับนักท่องเที่ยว กิโลละ 30 บาท เพราะฉนั้นแล้วจึงไม่แปลกใจครับว่าทำไม น้ำด้านบนถึงแพง เพราะทุกอย่างต้องหาบขึ้นไปจากด้านล่างครับฮ่าๆ
เมนูชื่นใจที่ทำให้เราหายเหนื่อยระหว่างทางนอกเหนือจากน้ำเปล่า ผมแนะนำนี่เลยครับ น้ำแข็งใสเย็นๆ สลับกับผลไม้ดองบ้างบางซำ และไข่ทรงเครื่อง กล้วยปิ้ง มันปิ้ง ข้าวปิ้งครับ บอกเลยว่าเมนูพวกนี้ใครพลาด คือพลาดอีกมุมมองของภูกระดึงแน่นอน
สิ้นสุดการเดินทางในครั้งนี้ครับ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปของผมในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่มีความสุขมาก เชื่อแล้วว่าเวลาไปเที่ยวจะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ถ้าเราไปกับคนรู้ใจ ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณมากที่อ่านรีวิวผม และขอฝากรีวิวนี้ไว้กับทุกคนด้วย ภูกระดึงเดินง่ายมากครับ อยากให้มาลองเดินกันดู ขอบคุณคร๊าบบ
เที่ยวจนวันลาหมด
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.15 น.