Family Trip - Hokkaido - Autumn 2018

ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี Hokkaido ใครๆก็ไปได้ ด้วยงบไม่ถึง 2 หมื่นบาทเท่านั้น รวมทุกอย่างแล้วครับ

(ตั๋วเครื่องบิน-ที่พัก-อาหารทุกมื้อ-ค่าเช่ารถ-ค่าน้ำมัน-ค่าทางด่วน-ค่ากระเช้า-ค่าประกันภัยฯลฯ)

ทริปนี้คือทริปในฝันของผม คือ ได้พาพ่อแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่นพร้อมกันทั้งครอบครัว (แม้ว่าตัวผมเองไปเที่ยวญี่ปุ่นเกือบสิบรอบแล้วก็ตาม เฉพาะฮอกไกโดก็ 3 ครั้งแล้ว) ระยะเวลาทริปนี้คือ 6 วัน 4 คืน เดินทางตั้งแต่คืนวันที่ 30 Oct 2018 - 04 Nov 2018 แต่ต้องมีเงื่อนไขหลักคือพ่อกับแม่ต้องเดินไม่เยอะ เราจึงต้องเช่ารถขับและจอดให้ใกล้จุดท่องเที่ยวที่สุด โดยไม่สนว่าจะเสียค่าจอดรถแพงแค่ไหนก็ตามเพราะพ่อกับแม่เดินไม่ค่อยไหวแล้ว ท่านทั้งสองอายุมากเกือบ 70 ปี สมาชิกครอบครัวมีกัน 5 คน คือ พ่อ แม่ ผม น้องชาย และน้องสาว รถที่เช่าจึงต้องเป็นรถคันใหญ่ เราจึงเลือกรถแบบ SUV ขนาด 8 ที่นั่ง มีเบาะ 3 แถว (ควรนั่งกันแค่ 5-6 คน และเบาะแถวหลังพับไว้วางกระเป๋าเดินทาง)

🎗️🍚🍝🍜🍲🥣🍱🍛🍤🍴🍄

ฝากติดตามรีวิวเก่าๆได้ตามช่องทางด้านล่างด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/SuptarTraveller/

https://pantip.com/profile/285380

https://th.readme.me/id/SuptarTraveller
#ซุปตาร์พาเที่ยว #SuptarTraveller #FamilyTrip #Hokkaido2018

ก่อนที่จะรีวิวแผนการท่องเที่ยวและลงรูปเพิ่ม ขอสรุปรายละเอียดค่าใช้จ่ายว่าทำไมถึงจ่ายไม่ถึง 2 หมื่นบาทต่อคน ดังนี้นะครับ

1. ค่าตั๋วเครื่องบิน แอร์เอเชียX = 42,500 บาท

2. ค่าโรงแรมคืนแรก Granvillage Toya Daiwa Ryokan Annex รวมอาหารค่ำและอาหารเช้า

2.1 ห้องนอน 2 คน (แม่ และน้องสาว) = 4,498 บาท

2.2 ห้องนอน 3 คน (พ่อ ผม และน้องชาย) = 6,800 บาท

3. ค่าที่พักคืนที่ 2-3 (2 คืน) เป็นอพาร์ทเม้น นอนได้ 5-6 คน Agoda Homes = 6,265 บาท

4. ค่าโรงแรมคืนที่ 4 Wing International Chitose Hotel

4.1 ห้องนอน 2 คน (แม่ และน้องสาว) = 3,105 บาท

4.2 ห้องนอน 3 คน (พ่อ ผม และน้องชาย) = 4,143 บาท

5. ค่าเช่ารถ www2.tocoo.jp/en = 24,000 เยน = 7,104 บาท

5.1 ค่าธรรมเนียมการจองของเวป Tocoo option fees = 5,400 เยน = 1,598 บาท

6. ค่าประกันภัยรถยนต์ = 6,000 เยน = 1,776 บาท

7. ค่าอาหารบนเครื่องบิน = 750 บาท

8, ค่าโหลดกระเป๋า = 1,200 บาท

9. ค่าอินเตอร์เน็ตซิม Sim2Fly = 399 บาท

10. ค่าประกันภัยการเดินทาง = 2,575 บาท

11. แลกเงินเยนสำหรับกองกลางไป 56000 เยน* = 16,ุ600 บาท **

รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 99,313 บาท เฉลี่ย 5 คน ตกคนละ 19,862 บาท !!!!

.....................................................................................................................................................................

* อัตราแลกเปลี่ยน 1 เยน = 0.296 บาท

** แลกเงินเยนไป 56000 เยน = 16,ุ600 บาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางของทุกคน เป็นค่าอาหารทั้งหมด ตลอด 6 วัน 4 คืน , รวมถึงค่าน้ำมันดีเซล 5772 เยน , ค่าทางด่วนประมาณ 5 พันกว่าเยน , ค่ากระเช้า Ropeway คนละ 1200 เยน = 6000 เยน , ค่าเบียร์ ไวน์ ขนมขบเคี้ยว ฯลฯ ใช้หมดพอดี ไม่มีเหลือ และไม่เกินด้วยครับ (จริงๆ ยังเหลือเศษเหรียญนิดหน่อย แต่ผมกดกาแฟตู้กินหมดที่สนามบิน)

*** ส่วนเงินส่วนตัวของแต่ละคน ไม่นับรวมในรีวิวนี้ครับ เพราะถือว่าเป็นของส่วนตัว สำหรับซื้อของฝาก ของฟุ่มเฟือยส่วนบุคคล ที่ไม่ได้นำมารวมในกองกลาง

.....................................................................................................................................................................

ขอแนนำอีกรีวิว ที่ผมมาเที่ยวฮอกไกโดเมือปี 2016 เที่ยแบบจัดเต็ม

เที่ยวแบบมีแผน อยู่ดี กินดี มีรถขับ 9 วัน 8 คืน ค่าใช้จ่ายเพียง 4 หมื่นบาท!!!!!!

https://pantip.com/topic/35776500

🎗️🍚🍝🍜🍲🥣🍱🍛🍤🍴🍄


Family Trip - Hokkaido - Autumn 2018

ต่อไปติดตามชมรีวิวแผนการท่องเที่ยวพร้อมรายละเอียดต่างๆ กันนะครับ รูปทั้งหมดจบหลังเลนส์โดยใช้กล้องยี่ห้อ Fuji X-A2 + เลนส์ Fujinon XF 35 - f 1.4 และกล้องมือถือจาก iPhone 6 plus ไม่มีการแต่งรูปหรือปรับสีใดทั้งสิ้นครับ ทริปนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรูปจากกล้องมือถือนะครับเพราะต้องทำเวลา555


วันที่หนึ่ง : 30 Oct 2018 เดินทางจาดดอนเมือง - ชิโตเสะ ไฟล์ท 23.55 น - 08.10 น.+1 (31 Oct 2018)

วันที่สอง : 31 Oct 2018 (เดินทางเมื่อคืนขอนับเป็นวันที่หนึ่ง จะได้ไม่งงจำนวนวัน)

เริ่มต้นจากการรับรถเช่าเลยนะครับ เครื่องลงประมาณ 08.10 น.

เราเช่ารถผ่านเวป http://www2.tocoo.jp/en ซึ่งเป็นเวปกลางในการรวมบริษัทเช่ารถต่างๆ ราคาถูกกว่าจองตรงนะครับ แถมเค้าจัดเป็นแพ็คเกจให้เลือกหลายรูปแบบเช่น รวมบัตร ETC หรือว่าจะรวมแพ็คเกจ HEP (Hokkaido Express Plan) ฯลฯ แต่ก็จะมีค่าธรรมเนียมการจองคำนวณจากจำนวนวันที่เช่ารถ ลองคำนวณเปรียบเทียบดูก็ยังถูกกว่าจองตรงกับบริษัทต่างๆ ผมเลือกเช่ารถกับบริษัท Nikku Rental Car New Chitose Airport ซึ่งไม่มีเค้าเตอร์ในสนามบิน (ยุ่งยากนิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่ยากเกินไปแค่พอไปถึงจุดนัดหมายก็โทรเรียกให้เค้าส่งรถตู้มารับ ไปทำสัญญาและรับรถที่ Outlet ซึ่งห่างออกไปประมาณ 3 กม ระยะเวลาขับไป 15-20 นาที) บริษัทนี้รับเฉพาะเงินสดนะครับ ต้องเตรียมมาให้พร้อม แต่ถ้าจะชำระด้วยบัตรเครดิตก็ต้องชำระเงินเต็มจำนวน ณ ตอนจองผ่านเวปเลยครับ สามารถยกเลิกการจองได้นะครับ

เราเลือกแพ็คเกจแบบ " New Car : Multilingual voice GPS & 8-seater & snow tyre & 4WD" Option : ETC Device + ETC Card (HEP) รถที่ได้รับคือ Mitsubishi DELICA เติมน้ำมันดีเซล ประหยัดน้ำมันมากครับ

เลขไมล์ตอนรับรถ 2161 รถใหม่จริงๆ ด้วย


การติดต่อสือสาร มีทั้ง Line , WhatsApp , Tel สะดวกมากครับ กรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือ สอบถามเส้นทางก็ได้นะ ถ้าเค้าสะดวกเค้าก็จะตอบมา

หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะพามาตรวจดูรอยขูดขีดรอบๆ รถ พร้อมทั้งสอนใช้ GPS และตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษให้เรา ใช้งานไม่ยากเลยแค่ใส่หมายเลขโทรศัพท์ หรือ Mapcode ของสถานที่เราจะไป (Mapcode หาได้จาก www.japanmapcode.com ครับ) ผมหาข้อมูล Mapcode และเบอร์โทรศัพท์สถานที่ต่างๆ ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วครับ พอจะขับไปไหนก็เปิดสมุดโน้ตแล้วคีย์ข้อมูลได้เลยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา


เริ่มต้นเดินทาง ตามแผนการเดินทางที่เตรียมข้อมูลไว้เรียบร้อยครับ ที่แรกที่ไปคือ หุบเขานรก หรือ Hell Valley (Jigokudani @ Noboribetsu)


ถึงที่นั่นเวลา 11.30 น. ซึ่งเป็นสถานที่โปรดของผม เป็นหุบเขาที่มีเถ้ากำมะถัน และควันพวยพุ่งจากใต้ดินขึ้นมาตลอดเวลา Mapcode : 603 287 235*11 ค่าที่จอดรถ 500 เยน ฝนตกซักระยะเราจึงต้องนั่งรอในรถ (และนั่งรอในร้านขายของที่ระลึก มี Heater มีอาหารและเครื่องดื่มขาย และ ห้องน้ำใกล้ๆ) ค่าเข้าชมฟรี!!!


บริเวณนั้นมีเส้นทางเดินเที่ยว และ จุดท่องเที่ยวต่างๆ ใกล้พร้อม Mapcode ดังนี้ครับ

Oyunuma Foot Bath : Mapcode 603 287 856*36

Taisho Jigoku บ่อโคลนร้อน : Mapcode 603 288 875*28

อยู่ที่นั่นถึงประมาณ 13.00 น. ก็ขับรถออกไปหาอะไรทานมื้อกลางวันแถวนั้นเพื่อจะเดินทางต่อไปยังที่พักคืนแรกที่ทะเลสาบโทยะ


ทานข้าวเสร็จแล้วก็ตั้ง GPS ไปยังโรงแรม

Granvillage Toya Daiwa Ryokan Annex : Mapcode 321 518 533*00

โรงแรมนี้อยู่ริมทะเลสาบโทยะ ทุกห้องเห็นวิวทะเลสาบเต็มๆ ไม่มีอะไรมาบดบัง มองไปไกลๆ จะเห็นภูเขาไฟ Yotei คล้ายๆกับฟูจิลูกเล็กๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ (ไม่ใช่เกาะตรงกลางนะครับ) และเวลา 20.45 น จะมีการจุดพลุที่กลางทะเลสาบให้นักท่องเที่ยวชมด้วย (จุดพลุ แค่ 6 เดือน คือ เมษายน-ตุลาคม)

ห้องพักจะเป็นแบบญี่ปุ่น มีโต๊ะเล็กๆ และโซฟาให้นั่งเล่น พอช่วงเวลาลงไปทานข้าวจะมีแม่บ้านขึ้นมาปูที่นอนให้เรา

ก่อนทานอาหารค่ำเราก็ลงไปแช่ออนเซ็นให้ผ่อนคลายจากการเดินทางกันซะก่อน แล้วก็สวมชุดยูกาตะ ลงไปทานอาหารค่ำที่ล็อบบี้ (อาหารค่ำรวมอยู่ในค่าห้องแล้ว) เป็นเนื้อแกะเจงกิสข่านย่างบนกะทะทองเหลืองเล็กๆ คนละชุด มีข้าวและเครื่องดื่มตักได้บริการตัวเอง อร่อยและเยอะมากกินกันพุงกางเลยครับ

ดูสิครับน่าทานมั๊ย ครอบครัวเราทานกันเต็มที่เลย เรานัดเวลาทานอาหารค่ำไว้ ที่ 18.00 น.



อิ่มหนำสำราญวันแรกผ่านไป คืนนั้นนอนหลับเป็นตาย ต่างคนต่างกรนไม่มีใครยอมใครเลยครับ


วันที่สาม : 01 Nov 2018

ตื่นเช้ามาก็ลงไปอาบน้ำซึ่งอยู่ที่ชั้น B1 เป็นห้องอาบน้ำรวมและบ่อออนเซ็นแยกชาย-หญิง ลืมบอกไปว่าในห้องพักไม่มีห้องน้ำห้องส้วมในตัวนะครับ จะมีแค่อ่างล้างหน้าในห้องและห้องส้วมแยกชายหญิงที่ตรงกลางของแต่ละชั้น ซึ่งไม่ต้องแย่งกันเลยเพียงพอแน่นอน และเวลาอาบน้ำก็ต้องลงไปที่ช้้น B1 เท่านั้น อาบน้ำเสร็จก็ลงมาทานอาหารเช้า ซึ่งรวมอยู่ในค่าห้องพัก ฟินมากครับคุ้มสุดๆ ตอนเช็คอินทางพนักงานจะนัดหมายเวลาว่าจะดินเนอร์และทานอาหารเช้าตอนกี่โมง เราต้องลงมาตามเวลานั้นๆครับ เรานัดเวลาทานอาหารเช้าไว้ 8 โมง

ข้าวสวยเติมได้ไม่อั้น มีน้ำชา น้ำซุปเติมได้ตลอด เฉพาะอาหารเช้าจะมีกาแฟชนิดต่างๆจากเครื่องชงกาแฟให้ด้วยครับ

กินข้าวเสร็จก็แต่งตัวเก็บของออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบหลังโรงแรมนั่นเอง ถ่ายรูปสวยๆ กันเต็มที่ อากาศเย็นสบายที่ 8 องศา




ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ มีทัวร์จีนมาลงพอดี เราก็ขับรถต่อไปยัง Usuzan Ropeway : Mapcode 321 433 524*52 เพื่อไปชมภูเขาไฟโชวะ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขึ้นกระเช้า จึงแค่ถ่ายรูปบริเวณด้านนอกกับภูเขาไฟโชวะและซื้อของที่ระลึกเท่านั้น


คุณแม่ติดโซเชียล555 ยิ่งวันนั่นเป็นวันที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาลออกพอดี ก็นั่งลุ้นกันที่นั่นเลยครับ ใครฝันอะไร รถยนต์ที่เช่าเลขทะเบียนอะไร เลขไฟล๋ท .......รวมรวมสถิติไว้หมด555

ส่วนผมเองชอบไขโหลครับ

เพลิดเพลินกับการช๊อปปิ้ง เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปยัง Fukidashi Park ซึ่งเป็นสวนที่ผมคิดว่ามีใบไม้เปลี่ยนสีสวยที่สุดทจุดนึงในฮอกไกโดเลย (เมื่อปี 2016 ผมไปสวนนี้ช่วงใบไม้แดงพอดีสวยมากๆครับ มีในรีวิวเก่าๆ แปะลิงค์ไว้ด้านบนแล้ว)

เดินทางต่อไปยัง Fukidashi Park : Mapcode 385 674 775 * 74 ขับรถประมาณ 49 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางนี้ระหว่างทางเราจะเป็นภูเขาไฟ Yotei ตามเราไปตลอดจะถึงสวนฟูกิดาชิ ถึงที่หมายก็พักทานข้าวเที่ยงกันพอดี ใช้เงินกองกลางจ่ายทั้งหมดครับ


กินเสร็จก็ออกมาถ่ายรูปกัน โชคไม่ค่อยดีตรงบริเวณลำธารน้ำผุดและบ่อน้ำซึ่งปกติใบไม้จะแดงมากๆ สวยมากด้วยแต่ตอนนี้ร่วงไปเกือบหมดแล้ว เราเดินไปถ่ายรูปบนสะพานแขวนแล้วก็เดินเล่นที่สวนอีกฝั่งตรงลานจอดรถ ตรงนั้นยังมีใบไม้แดงๆสวยอยู่มากกว่า


สวนตรงนี้อยู่บริเวณลานจอดรถ ซึ่งใบไม้แดงยังสวยอยู่ ร่วงไปบ้างเล็กน้อยครับ


ถ่ายรูปกับสวนสวยๆ ใบไม้แดงๆ กันซักพักก็ได้เวลาประมาณ 15.00 น. ก็เริ่มเดินทางต่อไปยังที่พักคืนนี้ ที่เมืองโอตารุ ต้องขับรถต่อไปประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ไปถึงก็เกือบจะมืดแล้่วเพราะช่วงนี้ 5 โมงเย็นก็มืดแล้วครับ เราจองผ่าน Agoda Homes เป็นอพาร์ทเม้นท์ มีห้องนอนที่มี 4 ที่นอน (เตียง 2 ชั้น 2 เตียง) และ ห้องนั่งเล่นมีโซฟาปรับนอนได้ 2 ตัว (รวมสามารถนอนได้ถึง 6 คน) ***รูปจากในเวปครับ



คุ้มมากๆ เพราะมีห้องครัวไว้ทำกับข้าวเล็กๆน้อยๆได้ด้วย ราคา 2 คืนก็เพียง 6,265 บาท แต่ไม่มีที่จอดรถนะครับต้องนำไปจอดไว้ในอาคารที่เสียค่าจอดวันละ 1000 เยน ห่างออกไป 300 เมตรเองครับ ถือว่าไม่ไกลเลย (ที่จอดรถข้างอพาร์ทเม้นท์ จะมีเจ้าประจำจอดอยู่ อย่าไปแย่งเค้านะครับ) จองได้ผ่านลิงค์ด้านล่างนี้นะครับแนะนำเลย

https://www.agoda.com/6min-walk-from-station-wifi-router-provided-c5/hotel/otaru-jp.html?


เจ้าของอพาร์ทเม้นท์นี้ตอบข้อความใน App ของ Agoda เร็วดีด้วยนะครับ หากมีคำถามก็ถามได้ตลอด ไม่ต้องกังวลอะไร

Apartment : Mapcode 164 719 794*30 , ที่จอดรถ : Mapcode 164 719 681*44

อพาร์ทเม้นท์นี้อุปกรณ์ครัวครบครัน ถ้วย ชาม ช้อน มีด ตะเกียบ กะทะ หม้อ เตาไมโครเวฟ ตู้เย็นฯลฯ , มีเครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า (ซึ่งเราก็ไม่ได้ใช้นะครับ) ผงซักฟอก น้ำยาล้างจานก็มีให้ ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดเล็กลงไปแช่ได้ น้ำร้อนใช้งานได้ดีมาก มีเครื่องปรับอากาศสำหรับหน้าร้อน และหน้าหนาวก็อุ่นสบายด้วยฮีทเตอร์ 1 เครื่อง ตั้งอยู่ข้างโซฟา ซึ่งต้องเปิดประตูห้องนอนไว้เพื่อให้ความอุ่นกระจายไปถึงห้องนอนซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานนิดนึงกว่าจะอุ่นทั้งห้องครับ อีกอย่างที่นี่มี Pocket Wifi ให้ใช้ด้วยครับ สามารถเอาออกไปใช้งานนอกบ้านได้ด้วย อย่าลืมคืนไว้ที่เดิมด้วยนะครับ พอถึงห้องพักเก็บกระเป๋าเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออาหารสดมาทำมื้อค่ำกินกันครับ (ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไป คล้ายๆ ตลาดโลตัสบ้านเรา มีทุกอย่าง แต่ผมแนะนำให้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นใต้ดินของห้าง Nagasakiya ซึ่งอยู่ตรงสี่แยกตรงข้ามก้บสถานี Otaru Station นั่นเอง หรือ ตรงข้ามกับ Dormy Hotel ตรงสี่แยกเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ดูเล็กกว่านิดหน่อย แต่สินค้าราคาถูกกว่ามากกกกกกกครับ เป็นซุปเปอร์ที่ถูกที่สุดที่เคยเจอในญี่ปุ่นเลย)

กลับที่พักทำอาหารง่ายๆ ครับ น้องชาย (ดร.สหภพ - แฟนพันธ์แท้ปลาทะเล) เอาเครื่องแกงส้มติดไปจากไทยด้วย ก็ไปซื้อปลาและผัก มาทำแกงส้ม ซื้อไข่ไก่มาทำไข่เจียว ซื้อข้าวสารที่นั่นมาหุงเอง มีน้ำพริกกะปิกึ่งสำเร็จรูปมากจากเมืองไทยแค่ละลายน้ำก็ได้น้ำพริกกะปิอร่อยๆ กินกับไข่เจียวร้อนๆ ฟินมาก 555 มีพวกอาหารสำเร็จมาเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เราไม่ได้จะเขียมหรือประหยัดอะไรมากมายนะครับ แต่อยากให้ถูกปากคุณพ่อคุณแม่แค่นั้นเอง ท่านแก่แล้วอาหารญี่ปุ่นไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ สู้อาหารไทยไม่ได้ (ซื้อของสดมาประมาณ พันกว่าบาท สามารถทำอาหารได้ 3 มื้อครับ!!!!)


วันที่สี่ : 02 Nov 2018

ตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัว เวลาประมาณ 08.30 น. ก็เดินออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปยังตลาดปลาโอตารุ ซึ่งอยู่ข้างๆสถานีรถไฟ JR Otaru Station ระยะเวลาเดินไปประมาณ 6 นาที ไปถึงตลาดปลาก็เดินเข้าไปยังร้าน Takeda ซึ่งเป็นร้านที่เคยมาทานเมื่อสองปีที่แล้ว (ผมติดใจข้าวหน้าสามสี มีเนื้อปู หอยเม่น และไข่ปลา) เสียดายสมาชิกคนอื่นๆ ไม่ถนัดทานของดิบกัน เสร็จผม555กินคนเดียวไม่มีใครแย่ง


เมนูโปรดของผมคือหมายเลข 8 ราคา 2300 เยน ราคาแพงขึ้นกว่าเมื่อหลายปีที่แล้ว 100-300 เยนครับ

ทานอาหารเช้าเสร็จก็พาเด็กๆ เดินเล่นกัน ที่แรกก็แวะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยกันที่สถานีรถไฟโอตารุ ที่ญี่ปุ่นนี่ดีตรงที่มีห้องน้ำทุกที่เลยครับไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ 7-11 , Lawson , Family Mart , สถานีรถไฟ , จุดพักรถ ฯลฯ นี่ล่ะคือเสน่ห์ของความสะดวกสบายในการมาเที่ยวญี่ปุ่น

เจอสาวยาคูลท์ ก็แวะอุดหนุนซะหน่อย555 ราคาขวดละ 86 เยน แพงกว่าไทยอีกนะเนี่ย

ถ่ายรูประฆังหน้าสถานีเสร็จ จากนั้นก็เดินจาก Otaru Station ไปยังคลองโอตารุ ระยะทางประมาณ 800 เมตร แค่นี้คุณแม่ก็ปวดขาซะแล้ว

จูงมือประคองกันไปครับ (มรดกจะตกไปไหนเสีย)


คุณพ่อเจอรถคันโปรด Camry รุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองไทย



ถึงแล้วคลองโอตารุ


ถ่ายรูปกัน มุมบังคับ ห้ามพลาด



เดินเล่นถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว ก็พาคุณพ่อคุณแม่ เดินไปนั่งรอที่ Family Mart ด้านหลังตึก LAOX เพราะถ้าจะให้เดินกลับไปที่จอดรถใกล้ๆกับที่พักคงเดินไม่ไหวแน่ๆ เพราะเกือบ 1 กิโลเมตร ผมเลยให้รอที่ Family Mart แล้วผมเดินไปเอารถขับมารับดีกว่า จากนั้นก็วางแผนไปว่าจะไปชมเขื่อนที่ Jozankei Dam : Mapcode 708 814 819*33 ตั้งใจว่าเผื่อจะเจอใบไม้สวยๆ หรือ เจอหิมะบ้าง ระหว่างทางก็ผ่านอ่างเก็บน้ำแห่งแรก บรรยากาศสวยมากครับ ไม่ค่อยมีรถหรือนักท่องเที่ยวขับผ่านมา จุดนี้ร่มรื่นใบไม้แดงยังเหลืออยู่บ้าง สวยดีครับ ขับไปประมาณ 38 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ตามเส้นทางหุบเขา ***ถนนเส้นนี้จากโอตารุ ไปเขื่อนโจซังไค บรรยากาศสวยมากครับ


ระหว่างกลางทางก็เจอจนได้ครับ หิมะกองหนาๆ อยู่ข้างทาง แม้ว่าวันนี้จะแดดจัดแต่ก็ยังมีหิมะหลงเหลืออยู่ข้างทาง คุณแม่เพิ่งเคยเจอหิมะครั้งแรกดีใจมากขอลงไปสัมผัสใกล้ๆเชียว555 ขออนุญาตขำคนแก่


ขับรถต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีก็ถึงเขื่อน Jozankei dam ซึ่งไม่มีอะไรเลย555 สรุปสิ่งทีสวยงามอยู่ข้างทาง ไม่ใช่ปลายทาง (เขื่อนนี่้ ถ้าช่วงใบไม้แดงๆ คงสวยมากเลยครับ)


เมื่อดูว่าไม่มีอะไร ขึ้นไปถ่ายรูปแล้วก็กลับกันเลย มุ่งหน้ากลับไปยัง กระเช้า Tenguyama Ropeway : Mapcode 164 657 042*33 เพื่อขึ้นชมเมืองโอตารุจากมุมสูง ค่ากระเช้าคนละ 1200 เยน ณ สถานีข้างบนมีศาลเทพเจ้า Tengu ตาโตๆ จมูกยาวๆ ไหว้ขอพรกันได้ครับ


รูปข้างล่างนี้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีทั้งภูเขาในเมืองโอตารุเลย

วิวอ่าวของเมืองโอตารุครับ

คุณแม่อธิษฐานขอเลขเด็ดแน่ๆ


ตะลอนเที่ยวจนถึง 4 โมงเย็นก็แวะช๊อปปิ้งกันในห้างแถวๆ Otaru Station จนมีด จอดรถได้บริเวณนั้นชั่วโมงละ 300 เยน ช๊อปปิ้งเสร็จก็กลับที่พัก ทานอาหารค่ำฝีมือน้องชายและน้องสาว ส่วนผมเหนื่อยหน่อยเพราะขับรถตลอด ขอแช่น้ำอุ่นพักผ่อน ทานอาหารค่ำ เตรียมรอดูทีวีออนไลน์ "เลือดข้นคนจาง"

#ใครฆ่าประเสริฐ #ฆ่าประเสริฐทำไม


วันที่ห้า : 03 Nov 2018

ตื่นสายๆ ประมาณ 8 โมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว น้องชายและน้องสาวทำข้าวต้มกุ้งจากของสดที่ช๊อปปิ้งเหลือจากเมื่อวาน เก็บข้าวของแพ็คกระเป๋า แล้วทำความสะอาดห้องครัว ล้างจานที่ทานไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเช็คเอ๊าท์ให้ทันเวลา 10 โมงเช้า ขับรถมุ่งหน้าไปยัง Sapporo

ตั้ง GPS ไปยัง ศาลาว่าการหลังเก่า Mapcode 9 522 361*47 ขับไปถึงประมาณ 11 โมง ก็จอดรถริมถนนตรงข้ามศาลาว่าการฯ ที่มีตู้หยอดเหรียญค่าจอดรถชั่วโมงละ 300 เยนจอดได้ครั้งละ 1 ชั่วโมง ถ้าครอบเวลาแล้วต้องมากดตั๋วจอดใหม่ต่ออีก 1 ชั่วโมง จอดตรงนี้คุณแม่เดินไม่ไกล แค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว เจอใบไม้สีสวยๆ ก็ถ่ายภาพกันสิครับ


ถ่ายรูปเสร็จก็ขับรถต่อไปอีกนิดนึงเพื่อไปช๊อปปิ้ง และทานอาหารกลางวัน ณ Sapporo JR Tower โดยเลือกจอดที่ชั้นใต้ดินอาคาร ASTY45 ซึ่งอยู่ตรงข้าม Sapporo Station ค่าจอดรถชั่วโมงละ 100 เยนเท่านั้น จอดได้นานโดยไม่ต้องกลับมาเติมค่าจอดทุกชั่วโมงแบบข้างถนนเมื่อสักครู่ ที่ Sapporo JR Tower ชั้นใต้ดินของห้าง Daimaru และ สถานี มีร้านขายของเยอะมากทั้งของกิน เสื้อผ้า ขนมต่างๆ เยอะมาก เดินกันจนเมื่อยเลยครับ

ช๊อปปิ้งเสร็จประมาณ บ่าย 3 โมง ก็ตั้ง GPS ไปยังโรงแรมคืนสุดท้ายที่ Wing International Chitose Hotel : Mapcode 113 857 508*00 เพื่อไปส่งทุกคนเข้าโรงแรมก่อน จากนั้นผมคนเดียวจะขับรถเช่าไปคืน (เนื่องจากบริษัทรถเช่าเค้าจะไม่กลับมาส่งที่โรงแรม เค้าส่งได้แค่สนามบินเท่านั้น)

เช็คอินเสร็จพาพ่อแม่ขึ้นพักผ่อนในโรงแรม ก็ตั้ง GPS ด้วยเบอร์โทรศัพท์ 0123452345 ไปยังปั๊มน้ำมัน ENEOS ใกล้กับสนามบินก่อนที่จะคืนรถเช่า เราต้องเติมน้ำมันให้เต็มก่อนคืนนะครับ

เติมน้ำมันแล้วเก็บใบเสร็จที่เติมไว้ด้วย บางครั้งบริษัทรถเช่าจะขอดูว่าเราเติมน้ำมันจากที่ไหน เมื่อเติมน้ำมันแล้วก็ตั้ง GPS เบอร์โทรของออฟฟิตรถเช่าตามเอกสารสัญญาครับ คือ เบอร์โทร 0144518655 มุ่งหน้าไปยัง Outlet ที่เรารับรถมาในวันแรก หลังจากคืนรถเช่าเสร็จแล้ว บริษัทก็จะมีรถตู้ไปส่งเราแค่สนามบิน

เลขไมล์ตอนคืนรถ 2633 สรุปขับไป 472 กืโลเมตรครับ ทริปนี้


เมื่อผมถึงสนามบินก็ประมาณเกิอบ โมงเย็นเลยตัดสินใจแยกตัวทานอาหารเย็นจากที่นี่เลย แต่ไหนๆ ก็มาสนามบินแล้วผมเลยขอขึ้นไปแช่ออนเซ็นมันซะเลย ออนเซ็นในสนามบินนี้อยู่ที่ชั้น 5 โซน OASIS Park ค่าเข้าออนเซ็น 1500 เยน ข้างในมีห้องพักผ่อน บ่อออนเซนในอาคาร และ แบบ outdoor ด้วยนะครับ ช่วงเวลาประมาณ 18.00-19.00 สังเกตุได้ว่าคนจะเยอะเพราะเป็นช่วงคนเลิกงาน มาแวะอาบน้ำก่อนกลับบ้านกันครับ

ผมชอบสนามบินนี้มากเลย เพราะมีครบทุกอย่างทั้งพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ศูนย์รวมราเมนดังๆทุกร้านในฮอกไกโด (ตรอกราเมน) ร้านขายของที่ระลึกเปิดถึง 20.00 น ร้านขายของบริเวณชั้น 2F ฝั่ง Domestic นี้ เป็นแหล่งรวมร้านค้าร้านอาหารและของที่ระลึกดังๆ ในฮอกไกโดทุกร้านมาไว้ที่เดียว รวมไปถึงของสดที่แพ็คอย่างดีสามารถซื้อแล้วบินกลับได้เลย

คลิปนี้คือบริเวณ Oasis Park ด้านหน้าของออนเซ็น ข้างในออนเซ็น จะมีห้องอาหารราคาไม่แพง มีห้อง Relax ไว้นอนเล่นอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือนอนหลับไปเลย เหมือนพักในโรงแรมนะครับ

เมื่อเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปที่ออนเซ็น ด่านแรก คุณต้องเปลี่ยนรองเท้าโดยถอดรองเท้าของเราใส่ถุงฟ้าสีดำแล้วเราก็ใส่รองเท้าแตะ หรือเดินเท้าเปล่าถือถุงรองเท้า ไปที่เค้าเตอร์เพื่อชำระเงิน พร้อมรับถุงยังชีพ(ในนั้นมีชุดยูกาตะ หรือจะเลือกแบบชุดนอน พร้อมผ้าชนหนูผืนใหญ่และผืนเล็ก พร้อมจ่ายเงิน 1500 เยน เค้าจะให้กุญแจล็อกเกอร์มาด้วย ดูให้ดีนะครับ มีตัวอักษรหน้าตัวเลข อย่าไขล็อกเกอร์ผิดครับ ที่กุญแจจะมีบาร์โค้ด หากเราเข้าไปทานอาหารหรือซื้ออะไร เค้าจะสแกนที่บาร์โค้ดแล้วมาจ่ายเงินตอนเช็คเอ๊าท์เลย ไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยากครับ

จุดเปลี่ยนรองเท้า

เค้าเตอร์จะมีพนักงานคอยรับบริการ เก็บเงินและยืนกุญแจให้เราครับ

จ่ายเงิน 1500 เยน


จได้รับถุงยังชีพมา 1 ใบ

เข้าไปที่ล็อกเกอร์แล้ว เอากระเป๋าเก็บและถอดเสื้อผ้าของเราแขวนไว้ในตู้นะครับ รวมถึงถุงรองเท้า


จากนั้นเราก็แก้ผ้า ถือผ้าขนหนูผืนเล็กผืนเดียวเข้าไปในห้องอาบน้ำข้างบ่อออนเซ็นในร่ม อาบน้ำให้สะอาดจึงลงแช่ออนเซ็นนะครับ เมื่อปรับอุณหภูมิร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผมจึงออกไปแช่บ่อด้านนอกซึ่งเป็นแบบ Open Air เดินแก้ผ้าโทงๆ ตลอดเวลาในนั้นนะครับไม่ต้องอาย ในนั้นมีบ่อน้ำร้อนธรรมดา บ่อน้ำวนแบบจากุชี่ทั้่งด้านในแลด้านนอก อากาศด้านนอกหนาวๆ ลงแช่น้ำอุ่นๆ สบายตัวมากๆครับ ผมชอบบ่อจาน้ำวนด้านนอกมากเป็นพิเศษ เหมือนนวดหลังไปในตัว แช่เสร็จก็อาบน้ำอีกรอบ แล้วเข้ามาแต่งตัวในล็อกเกอร์ เพื่อจะออกไปทานอาหารค่ำ ในบริเวณด้านหน้าของออนเซ็นนั่นล่ะครับ

มื้อนี่แค่ 1200 เยน เมนูอื่นก็ถูกกว่าอีกนะครับ น้ำเปล่า และน้ำชา บริการตัวเองครับ

อิอิ ไม่หนำใจ คิดว่าคืนนี้คืนสุดท้ายก่อนกลับ เลยตัดสินใจว่าจะลงแช่อีกรอบ เอาให้คุ้ม แช่เสร็จก็เกือบ2 ทุ่มละ อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ลงไปใช้ B1 เพื่อซื้อตั๋วขึ้นรถไฟ JR ไปสถานี Chitose ห่างไป 2 สถานี ระยะเวลาแค่ 7 นาทีครับ ใช้ Google Map ช่วยดูเส้นทางและตารางเวลารถไฟได้ด้วยว่าต่อไปเป็นชบวนไหน มาตอนกี่โมง ราคาแค่ 350 เยน


เราอย่าไปขึ้นตู้โบกี้ ที่เขียนว่า U seat นะครับ อันนั้นเค้าจองไว้แบบระบุที่นั่ง (มั๊ง)


ลงสถานี Chitose ก็เดินมาถึงโรงแรม ห่างไป 300 เมตร ก็ถึงโรงแรมแล้วครับ


เข้าห้องก็หลับสบายแค่แปรงฟันแล้วก็นอน หลับสนิทเลย คงเป็นเพราะเหนื่อยและได้แช่ออนเซ็นผ่อนคลายมาด้วย


วันที่หก : 04 Nov 2018



ตื่นเช้ามาจะหนาวนิดนึง ถึงเวลาที่รถ Shuttle Bus จะไปส่งพวกเราที่สนามบิน ตามตารางนัดหมาย รถบัสเที่ยวแรกคือ 06.25 น ส่งฟรีนะครับ แต่ต้องมาตรงเวลา รถบัสใช้เวลาประมาณ 20 นาที เราก็ถึงสนามบิน โดยรถบัสจะแวะส่งผู้โดยสารฝั่ง Domestic ก่อนจึงไปส่งฝั่ง International ไปถึงสนามบินประมาณ 7 โมงก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์แอร์เอเชียเอ๊กซ์ เพื่อโหลดกระเป๋า จากนั้นก็รอจนถึง 07.30 น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่สนามบินเปิดประตู จุดสแกนตรวจสัมภาระขึ้นเครื่อง ตรงจุดสแกนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานนะครับ ผมใช้สนามบินนี้กลับไทย 3 ครั้งก็นานทั้ง 3 ครั้งเลย ควรรีบมาต่อแถวแรกๆนะครับ ไม่งั้นต้องรอเป็นชั่วโมง ผ่านจุดสแกนแล้วก็ต้องผ่าน ต.ม. อีกรอบแล้วค่อยเข้าไปรอที่ Gate ขึ้นเครื่องเวลา 09.40 น มีดีเลย์นิดหน่อยครับประมาณ 20 นาที ถือว่าไม่นานครับ เป็นเรื่องธรรมดา

รีวิวจบสมบูรณแล้วนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่จะไปเที่ยวฮอกไกโด แบบไม่แพง แต่สะดวกสบาย มีรถขับ ไม่แพงแน่ๆถ้าวางแผนดีๆ

เพิ่มเติมรีวิวนี้ในเวอร์ชั่น Pantip นะครับ

https://pantip.com/topic/38248042

🎗️🍚🍝🍜🍲🥣🍱🍛🍤🍴🍄

ฝากติดตามรีวิวเก่าๆ กันอีกรอบนะครับ

https://www.facebook.com/SuptarTraveller/

https://pantip.com/profile/285380

https://th.readme.me/id/SuptarTraveller

ซุปตาร์พาเที่ยว Suptar Traveller

 วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.05 น.

ความคิดเห็น