เมื่อพูดถึง "เมืองสีฟ้า" นักเดินทางหลายๆ คนคงนึกถึง เมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur) หรือที่เรียกกันติกปากว่า "เมืองสีฟ้าแห่งอินเดีย" แต่วันนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับเมืองสีฟ้าอีกแห่ง ที่อาจจะใหญ่ไม่เท่ากับเมืองจ๊อดปูร์ แต่มีความสวยงาม และประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ไม่แพ้กันเลยทีเดียว

เมือง เชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโมร็อคโก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1471 เพื่อเป็นที่พักพิงของชาวมัวร์และชาวยิว ที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศสเปน และนับว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในโมร็อคโก

จุดเด่นของเมือง ก็คือ ตึกราบ้านช่องที่ถูกย้อมด้วยสีฟ้าอ่อน และความหลากหลายของประตูหน้าบ้าน ที่ถูกทาสีตกแต่งอย่างสวยงาม เล่ากันมาว่า ผู้คนในเมืองเริ่มทาสีอาคารบ้านเรือนให้เป็นสีฟ้า มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 เพื่อเป็นการให้ความเคารพต่อเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ของเมือง

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ เดินเที่ยวเมืองเชฟชาอูนกัน... 1 วัน พอมั้ย? พอแน่นนอน!

ไปไง มาไง: ผมกับครอบครัวมาเที่ยวช่วงเดือนมีนาคม อากาศค่อนข้างเย็น และมีหมอกเยอะในตอนเช้า เราเหมารถนั่งมาจากเมืองเฟส (Fes) ปกติถ้านั่งรถตรงจากเฟสถึงเชฟชาอูน ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. แต่เนื่องจากระหว่างทางมีจุดน่าลงจอดเที่ยวมากมาย ก็เลยจำเป็นต้องยืดเวลาการเดินทางออกไปหน่อย

ระหว่างทาง เราหยุดเที่ยวเมือง Meknes, Moulay Idriss และ Volubilis พอถึง Chefchaouen ก็ค่ำพอดี เลยนอนค้างคืนที่โรงแรมเล็กๆ ชื่อ Dar Elrios หนึ่งคืน พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เช็คเอ้าท์ แล้วออกมาเดินตะเวนเที่ยวในเมืองกัน

โรงแรมที่เราพัก สะอาดใช้ได้ และอยู่ไม่ไกลจากลาน Place Uta el-Hamam (รูปด้านล่าง) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง — เดินแบบไม่เร่งรีบ 5 นาที ก็ถึง


ณ ที่ลาน Place Uta el-Hamam จะมีร้านค้า และร้านอาหารเล็กๆ มากมาย... สำหรับเราแล้ว ลานนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการเดินเที่ยวเมืองเชฟชาอูน


สถานที่ 4 แห่ง ที่ไม่ควรพลาด

สถานที่แรก คือ Kasbah Museum (เปิดวันพุธ-จันทร์ เวลา 9.00-18.00 น. ปิดวันอังคาร) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของลานใหญ่ Place Uta el-Hammam เป็นป้อมปราการเก่าที่ถูกบูรณะให้เป็นพิพิธพันธ์ เก็บสะสมวัตถุโบราณ และงานศิลป์ท้องถิ่นของเมืองเชฟชาอูนไว้อย่างดี

หลังจากนั้น แนะนำให้เดินไปเข้าไปดูใน Medina (เมืองเก่า) และย่าน Quartier Al-Andalus ซึ่งบ้านแถวนั้นจะทาสีขาวสลับกับฟ้า และประตูหน้าบ้านของแต่ละบ้านจะมีรูปร่าง ลวดลาย ที่แตกต่างกัน เป็นย่านที่น่ารักมากเลยทีเดิียว

อีกแห่งที่น่าเดินเข้าไปดูคือ Fondouk ซึ่งเป็นโรงแรมสมัยเก่า สร้างไว้สำหรับรับรองนักค้าขายที่เดินทางมาจากต่างแดน ทุกวันนี้เปิดให้คนเดินเข้าไปชมด้านในได้ฟรี ตั้งอยู่หัวมุมของลาน Place Uta el-Hammam กับ Quartier Al-Andalus


เราหยุดทานอาหารที่ร้าน Casa Aladin (ที่อยู่: 26 Rue Targi; เบอร์โทร: +212 665-406464; เปิด-ปิด: 10-23 น.) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเยื้องจากลาน Place Uta el-Hamam ไปแค่นิดเดียว ร้านเป็นตึกแถวเล็กๆ มีสี่ชั้น ถ้าขึ้นไปนั่งชั้นบนสุดจะได้วิวของลานกลางดีมาก

พอทานอาหารกันเสร็จ เดินเล่นดูร้านค้าขายของจุ๊กจิ๊กต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็นั่งรถกลับเมือง Fes ระหว่างทางที่ขับออกจากเมือง จะมีลานจอดรถ (พิกัด: 35.160808, -5.262053) ให้คนสามารถจอดลงไปถ่ายรูปวิวพาโนรามิคของเมือง Chefchaouen ได้อย่างสวยงาม


ไปไง มาไง

เมือง Chefchaouen ไม่มีสถานีรถไฟ ฉะนั้นต้องนั่งรถบัส หรือเหมาแท็คซี่มากัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนั่งรถมาจากเมือง Fes (ขับตรงใช้เวลาประมาณ 4 ชม.) หรือไม่ก็ Tangier (2-3 ชม.) ถ้าใครนั่งรถบัสมาจากเมือง Fes รถจะหยุดรับส่งคนที่ Meknes ด้วย เผื่อใครต้องกันเที่ยวเมืองแถวๆ นั้น (Moulay Idriss และ Volubilis) ก่อนนั่งต่อมายัง Chefchaouen

ถ้าใครเช่ารถขับมาเอง หาที่จอดรถข้างทางในเมือง Chefchaouen ค่อนข้างจะลำบากหน่อยนะครับ เพราะทางเป็นเนินชัน และถนนคับแคบมาก แนะนำให้ไปจอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรม Hotel Parador สะดวกกว่าเยอะ

. . .


เพื่อนๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวการเดินทาง ตลอด 2 อาทิตย์ ในโมร๊อคโก ของเราสามคน พ่อ แม่ ลูก ติดตามได้ที่นี่: Morocco Archives

แฟนเพจ: #manotat

Manotat

 วันพฤหัสที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 06.09 น.

ความคิดเห็น