สืบเนื่องมาจากรีวิว Penida เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้มีคนถามถึงเรื่องการเดินทาง การซื้อตั๋วเรือว่า ซื้อช่องทางไหน ต่างกันยังไงบ้าง

คราวที่แล้วแพลนมันบีบจนมีเวลาบนเกาะน้อยนิด แต่วันนี้ได้มีโอกาสกลับไปเหยียบ Penida อีกครั้งอย่างที่ตั้งใจ จึงละเลียดหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อตั๋วเรือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบล็อกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กับเว็บออนไลน์ของบริษัทเรือ รวมทั้งการเช่ารถ พร้อมข้อมูลเส้นทางสถานที่เที่ยวยอดฮิต ฉบับอัปเดตมาฝากกัน


- Broken Beach -

เกริ่นก่อนว่าเกาะเปอร์นิดาคือ New destination ของเหล่า Instagrammer มาได้ไม่กี่ปีนี้เอง
เกาะนี้ได้ถูกเรียกว่าเป็น Hidden Gem เพราะที่เที่ยวธรรมชาติยังสดใหม่ มีจุดดำน้ำสวยๆหลายจุด

เมื่อก่อนคนนิยมมาเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับและพักที่ Lembongan เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า แต่ตอนนี้ Penida จากเป็นเกาะที่คนมาเที่ยวกันน้อย ได้มีโรงแรมร้านอาหารมากขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาปักหมุดเช็คอินวิวสวยๆรอบเกาะ

เราเองเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลมนต์เสน่ห์ของบาหลีและอินโดนีเซีย จึงไม่เป็นการยากเลยที่จะตกหลุมรักที่นี่เข้าอย่างจัง

ครั้งแรกที่ได้มาประทับใจความเงียบความดิบของเปอร์นิดามาก ดำน้ำกับแมนต้า คือภารกิจและจุดมุ่งหมายหลัก พอคราวนี้มีแพลนเที่ยวบาหลี จึงไม่พลาดที่จะใส่ที่นี่เข้าไปด้วย

อ้อนวอนขอหัวหน้าจนได้วันเดินทางทั้งทริปรวม 7 วัน แต่แบ่งมานอนบนเกาะ 2 คืน เพราะมีแพลนเที่ยวบนเกาะบาหลีด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงๆทริปบนเกาะเปอร์นิดาได้เที่ยวเต็มวันก็วันที่ 2 เพราะวันแรกจากกรุงเทพมาถึงบาหลี ก็ตรงดิ่งข้ามเกาะเลย

จากสนามบินมาถึงหาด Sanur ที่เป็นจุดขึ้นเรือไปเกาะเปอร์นิดาประมาณครึ่งชั่วโมง

เริ่มต้นก็ต้องมาเลือกว่าจะไปเรือรอบกี่โมง ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเรือรอบเช้าประมาณเวลา 7.00-10.00 และรอบบ่าย 13.00-17.00 โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที

เรือที่วิ่งก็จะมีหลายๆเจ้า เช่น Angel Billabong, Maruti, Sri Rejeki Expres, EL REY JUNIOR รับส่งที่ท่าเรือ Banjar Nyuh และของ Mola Mola Express ที่ท่าเรือ Sampalan ซึ่งเป็นท่าเรือที่อยู่ห่างจากใจกลางความเจริญ แต่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวฝั่งตะวันออกมากกว่า

- Rumah Pohon -

มาดูกันค่ะว่าจะซื้อตั๋วเรือได้วิธีไหนกันบ้าง
How to get Speed boat ticket

1.Online Booking
ซื้อตั๋วออนไลน์ อันนี้สามารถตัดผ่านบัตรเครดิตได้ ถึงราคาจะค่อนข้างสูง แต่รวมรถรับส่งจากโรงแรมหรือสนามบินมาท่าเรือด้วย
Angel Billabong > https://angelbillabongfastcruise.com
Maruti Express > http://marutigroupfastboat.com
ส่วนของ Molamola เว็บไซท์ปิดปรับปรุงค่ะ

ระหว่างที่สอดส่องหาข้อมูลไปมาจนมาเจอเว็บตั๋วเรือออนไลน์อีกเจ้า ดูสะดวกและน่าเชื่อถือ ชื่อ Penidago ที่เคลมว่าราคาตั๋วเรือแบบไม่บวกค่าอะไรทั้งสิ้นอยู่ที่ 150k ซึ่งถือว่าเป็นราคานักท่องเที่ยวที่ถูกกว่าเจ้าอื่นๆและสามารถซื้อล่วงหน้าได้อย่างน้อยก่อนเดินทาง 24 ชม.

แต่ด้วยความที่ว่าเราไม่รู้เวลาแน่นอนว่าจะไปถึงที่ Sanur beach กี่โมง เลยยังไม่ได้ลองจองกับ Penigoda เพราะทางเลือกที่เหมาะกับเราคือการซื้อตั๋วเองที่ท่าเรือ


2.Walk in

วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีเวลาและสนุกกับการต่อรองราคาหน่อย เพราะแค่เริ่มต้นเดินเข้าไปถามก็จะเจอราคาตั้งต้นอยู่ที่ 450k ต่อเที่ยว แต่ด้วยความที่เราหาข้อมูลมาก่อนนี้ว่าราคาเริ่มต้นควรอยู่ที่ 150-200k ทำเล่นตัวต่อราคาพักนึง สุดท้ายก็ได้ราคาที่ต้องการสมใจ

ความแตกต่างของแต่ละเจ้า อาจจะหนีกันไม่มาก จากประสบการณ์ที่เคยนั่ง
Mola Mola เรือใหม่กว่า แต่ท่าเรือพี่อยู่ทางเหนือโน้นแล้วยังมีรอบเรือน้อย

ส่วนของ Angel Billabong ที่เราใช้รอบนี้ เพราะรอบเรือเค้าเยอะ และสามารถซื้อตั๋วเรือแบบ round trip ได้โดยไม่ต้องฟิกซ์เวลาขากลับ ซึ่งเหมาะกับเรามากเพราะจะกลับเวลาไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์อีก

แต่เรือเจ้านี้ทั้งขาไปขากลับตรงหน้าต่างเหมือนขอบยางมันกันน้ำไม่ได้ ตอนแรกดี๊ด๊าได้นั่งติดหน้าต่าง แต่พอเรือมันวิ่งๆไปสักพัก น้ำก็เริ่มกระเซ็นใส่ ไม่สิ เรียกว่ากระชอกเลยดีกว่า มาถึงก็หัวเปียกพอดี ส่วนขากลับเจอน้ำไหลมายันเบาะที่นั่ง ตูดเปียกไปอีก

ที่พีคคือขากลับเรือวิ่งๆอยู่ คงจะซิ่งหรือกระแทกแรงไปหน่อยแผ่นไม้กระดานบนหัวนั่งท่องเที่ยวค่อยๆเปิดจนแหกเป็นทาง ทำให้คนที่นั่งแถวหน้าฝั่งขวา ต้องลุกยืนจนถึงฝั่ง ดีว่าตอนนั้นใกล้ถึงแล้ว เลยไม่ต้องยืนกันนาน


How to check-in

หลังจากจ่ายตังค์ค่าตั๋วเรือ ตรวจสอบวันที่ เวลา ความถูกต้องให้เรียบร้อยก็จะได้ใบเสร็จแผ่นบางๆและป้ายคล้องคอที่ใช้แทน voucher มา

การเช็คอินก็ง่ายมากๆ แค่ไปรอแถวๆหน้าหาดตรงที่คนขายตั๋วชี้ๆไป พอใกล้ถึงเวลาก็จะมีคนมาตะโกนเรียก ให้ตั้งใจฟังคีย์เวิร์ด 2 อย่างคือชื่อบริษัทเรือกับรอบ ทำไมน่ะหรอ เพราะตอนเค้าประกาศออกลำโพง ต่อให้ตั้งใจฟังทั้งประโยคยังไงก็น่าจะฟังไม่ออกอยู่ดีเพราะเป็นภาษาอินโด 555

จากนั้นจะมีคนยืนเก็บป้ายคล้องคอ ให้เราส่งคืนก่อนขึ้นเรือ หากมีกระเป๋าใบใหญ่ก็ส่งให้คนเรือยกขึ้นไปเก็บ

ย้ำว่าควรแต่งตัวง่ายๆรองเท้าแตะไว้เลย เพราะนอกจากจะต้องเดินลุยน้ำที่สูงตามระดับน้ำทะเลขึ้นลงแล้ว ระหว่างนั่งเรือก็มีโอกาสเปียกจากน้ำกระเซ็นอยู่ดี ขาขึ้นเรือเราเปียกไปถึงต้นขาเลยจ้า 555

จากนั้นก็เลือกที่นั่งตามใจชอบ พอเรือออกได้สักพักก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเดินเก็บตั๋วที่เป็นใบเสร็จนั่นแหละ แต่ถ้าเกิดใครซื้อเป็นแบบไป-กลับ เค้าก็จะแค่ขอดู ทำเครื่องหมายไว้แล้วก็ส่งคืน


ไม่ช้าไม่นานก็มาถึงเกาะ Penida ดีหน่อยว่าที่ท่าเรือมีโป๊ะให้เดิน ไม่ต้องลุยน้ำอีก ตรงนี้คือจุดนัดพบและจุดเช่ารถค่ะ

ทริปนี้เราตั้งใจจะเช่ามอไซค์ขี่ รู้มาอยู่ว่าถนนบนเกาะคดเคี้ยวไม่ใช่เล่น แต่ด้วยความเชื่อว่าหากเราค่อยๆไปไม่ประมาท ต่อให้จะช้ายังไงก็ไปถึงเหมือนกัน 555 ซึ่งตอนนี้ค่าเช่ามอไซค์จะแพงกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วอยู่หน่อย เพราะเกาะนี้เองก็ฮอตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เป็นไรถือว่าราคารับได้

How to rent scooter

การเช่ารถมอเตอร์ไซค์บนเกาะเปอร์นิดาคือการใช้ใจเชื่อ ไม่มีเอกสารอะไรหรือเงินมัดจำใดๆทั้งสิ้นให้วุ่นวาย ตกลงราคา จ่ายเงินกันเสร็จเรียบร้อยก็ไปได้เลย ปั้มน้ำมันก็อยู่แค่หน้าท่าเรือเอง อะไรจะสะดวกง่ายขนาดนี้ ราคาเช่ามอไซค์ตกที่วันละ 75k



Tips
- ถนนทั้งเกาะต่อให้เป็นใจกลางเกาะยังไงก็มีแค่ 2 เลน แต่ลาดยางไว้อย่างดี ยกเว้นทางที่เข้าไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางลูกรัง หลุมบ่อ และโค้งเยอะ หลายช่วงที่อีกฝั่งเป็นไหล่เขาให้เราขี่สวนกันหวาดเสียวเล่นๆ

ฉะนั้นจึงสำคัญมากๆที่ต้องเช็คระบบมอไซค์ พวกเบรค กระจกมองหลัง ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ดอกยาง ว่าใช้งานได้ดีหรือเปล่า อย่าได้เกรงใจ คันไหนลองแล้วรู้สึกไม่มั่นใจ ก็บอกพี่เค้าไปตรงๆว่าขอลองคันอื่น เราเองชอบขี่มอไซค์เที่ยวก็จริงแต่ความปลอดภัย และการศึกษาเส้นทางไว้ล่วงหน้าก็สำคัญเด้อ

- คนที่ปล่อยให้เช่ามอไซค์ก็ชาวบ้านบนเกาะเองเนี่ยแหละ คือพอเป็นธุรกิจท้องถิ่น การจัดการก็เลยจะง่ายๆ ง่ายขนาดพี่จำลูกค้าตัวเองกันได้บ้างหรือเปล่า 555 รูปเริบอะไรก็ไม่ถ่ายไว้ รับเงินเสร็จละปล่อยเลย 555

แต่ถึงการเช่ารถบนเกาะจะง่ายดายขนาดไหน แต่เราก็ไม่ควรทำตัวง่ายตามนะคะ ควรถ่ายรูปทะเบียนรถพร้อมทั้งรอยตำหนิ เผื่อพี่เค้าจะมาบิดพริ้วอะไร เราจะได้มีหลักฐานป้องกันตัวเอง ซึ่งรถส่วนใหญ่จะแปะสติ๊กเกอร์เบอร์โทรคนที่ปล่อยเช่าไว้บนหน้ารถ คนที่นี่คุยผ่าน Whatsapp กัน ใครยังไม่มีก็หาโหลดมาไว้ก่อนเดินทาง เวลาส่งรถ คืนรถ หรือมีอะไรก็แชทหาได้เลย สะดวกมาก

- หากเปิดแผนที่ดูจะเห็นว่าระยะทางไม่ไกลเลย 15-20 กิโลแต่ทำไมใช้เวลาไปถึงแต่ละที่เกือบชั่วโมง อย่างที่บอก ถนน 2 เลน คดเคี้ยวทั้งทางราบ บนเขา และขรุขระ ยิ่งทางฝั่งตะวันออก ที่ถนนโค้งขึ้นลงเป็นรูปตัว S (เพิ่งมารู้ว่าขี่ยากกว่าฝั่งตะวันตกตอนได้คุยกับไกด์ท้องถิ่น) ทำให้วิ่งได้เต็มที่จริงๆไม่เกิน 20-50 กม/ชม.

ฉะนั้นควรศึกษาระยะทางสถานที่ท่องเที่ยว จะได้คำนวณวางแผนการเดินทางได้ถูก อย่าคิดว่ามันใกล้แล้วจะอัดโปรแกรมได้ แต่ถ้าหากใครจะจ้างรถพาเที่ยวก็แล้วไป นั่งสวยๆมีคนขับรถให้ไม่ต้องหัวฟูหน้ามัน


- ไกด์ที่บังเอิญได้เจอกันตอนกินข้าวเย็น เตือนเราว่าถนนตอนกลางคืนไม่มีไฟขากลับให้ระวังหมา เราก็นึกแปลกใจ หมาอะไร ขี่มาทั้งวันไม่เห็นจะมี ปรากฎว่ามีจริงว่ะ พวกแกไปซ่อนอยู่ไหนมา อยู่ๆก็มาเดินดุ่มๆใกล้ๆ เดาใจว่าจะข้ามไม่ข้ามถนน ฉะนั้นหากจำเป็นต้องขี่รถในเวลากลางคืนก็ให้ลดความเร็ว หมั่นบีบแตรให้สัญญาณและระวังหมามากขึ้นค่ะ 555


**มอเตอร์ไซค์ฝั่งบาหลีเราใช้บริการของ Bali 4ride โดยจองผ่านเว็บไซท์และส่งคอนเฟิร์มทางอีเมล์+whatsapp แล้วมาจ่ายเงินสดวันรับรถ เรานัดให้รถมาส่งที่หาด Sanur หลังจากลงจากเกาะเปอร์นิดาแล้วก็คืนรถที่ Seminyak เสียค่าธรรรมเนียมนิดหน่อย แต่สะดวกมากๆ รถสภาพดีด้วยค่ะ ไม่ต้องขี่ไปปวดหัวไป เพราะเค้าเช็คสภาพรถมาให้เรียบร้อย

พอเสร็จเรื่องวิธีการมาถึงเกาะแล้ว เราก็มาต่อที่แพลนเที่ยวของเราในฝั่ง Penida บ้าง
ใจจริงหวังมาดำน้ำกับแมนต้า แต่ทัวร์ที่ไปถาม บอกว่าเรือไม่ออกเพราะคลื่นแรง ส่วนอีกเจ้าบอกว่ากรุ๊ปจอยไม่มี มีแต่ต้องเหมาเรือเอง เลยกลายเป็นว่าชวดทริปดำน้ำไป โปรแกรมบนเกาะเลยออกแนวชิลมากหน่อย เน้นไปเก็บแค่บางที่ที่สนใจและยังไม่เคยไปค่ะ


Day 1 : BKK - Bali - ท่าเรือ Sanur - Penida - Check in - พักผ่อน

- ก่อนเดินทางเราซื้อ Sim2fly ไว้ มาถึงก็ใช้เนตได้เลย สะดวกมาก 4GB ที่มากับซิมสามารถใช้ได้ 8 วัน ทริปเรา 7 วัน แถมวันสุดท้ายยังเหลือตั้ง 1GB สัญญาณสามารถใช้บนเกาะ Penida ได้ค่ะ บางช่วงสัญญาณอาจไม่แรงมาก แต่ก็ใช้ได้ทุกที่นะ เช็ค Google Map ได้อยู่ ส่วนฝั่งบาหลี สบายหายห่วง

จากสนามบิน เราเรียก Grab ไปส่งท่าเรือ Sanur ใช้เวลาหารถกันพักนึงกว่าจะเจอ แต่ยอม เพราะค่ารถถูกกว่าเรียกแท๊กซี่ที่สนามบิน


- Gayatri Guesthouse ที่พักที่ใช้บนเกาะ Penida เราอยากพักห่างออกมานอกเมือง แล้วก็เน้นใกล้ Atuh beach หน่อยเพราะตั้งใจอยากไปเที่ยวช่วงเช้า จะได้ไม่ต้องเผื่อเวลาตื่นเช้ามาก ถือว่าพักสบายอยู่ค่ะ ที่นี่มีทั้งหมดแค่ 3 หลัง มีอาหารเช้าแถมให้แต่ก็แบบง่ายๆตามสไตล์บาหลีแหละ ขนมปัง ไข่ กาแฟ

- มื้อเย็นขี่มอไซค์ออกมาดูวิวสวยๆที่ Ogix อาหารรสชาติโอเค ไม่ถึงกับว้าวอะไร ไม่รู้ทำไมใน Trip Adivisor ถึงได้รีวิวดี๊ดี หรือเป็นเพราะเราเลือกผิดเมนูเองหว่า 555


- บรรยากาศร้าน Ogix Warung -



Day 2 : Rumah Pohon (Tree house) - Atuh beach - Broken beach - Angel Billabong - Kelingking Viewpoint

- ช่วงเช้าๆอากาศดีมาก ไม่มีรถเลย ขี่สบายๆไม่ต้องกังวลรถสวน โฟกัสที่ถนนได้เต็มที่ 555 ทางช่วงแรกขี่บนริมเขา จะเห็นวิวทะเลจากมุมสูงสวยมาก แต่ดันไม่ค่อยมีรูป (ผู้ชายไม่กล้าหยิบกล้องออกมาถ่ายตอนเราขี่มอไซค์ 555 คือตั้งใจขี่มอไซค์หนักมาก)


- จะมีช่วงนึงที่ป้ายชี้ไป Atuh มีทั้งให้ตรงไปและเลี้ยวซ้าย ที่ทำให้เกิดสับสนว่าตกลงให้กูไปทางไหน จริงๆไปได้ทั้ง 2 ทาง ถ้าคิดจะไปบ้านต้นไม้ด้วย แนะนำให้ตรงไปก่อน เพราะสามารถไปถึงได้ทั้ง Tree house, Diamond beach และ Atuh Beach หรือถ้ากลัวหลงให้ปักหมุดไปที่ Tree house ก่อนค่ะ แล้วจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆเอง



- ป้ายตรงทางแยก ให้เลือกว่าจะไปบ้านต้นไม้หรือ Atuh -


- หากมาถึง จอดรถเรียบร้อยด้านหน้าจะเป็นด่านเก็บค่าเข้า แต่เราคงมาเช้าเกินไป คนเก็บยังไม่ตื่นดี เลยวางตังไว้ให้แทน จากนั้นให้มองไปทางขวามือ จะเห็นทางบันไดหินเป็นทางลงไปสู่บ้านต้นไม้ ค่อยๆเดินนะคะ อย่าหน้ามืด อีกฝั่งเป็นผาน้าาาา 555



- ที่ท่องเที่ยวทุกที่บนเกาะส่วนใหญ่จะอยู่ติดริมผาน่าหวาดเสียว เลยจะต้องมีการติดป้ายเตือนเรื่องความปลอดภัยและการรับผิดชอบความเสี่ยงของตัวเอง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุมาน่าจะรับผิดชอบไม่ไหวแหละ บางทีก็มีคนอยากได้ภาพสวยๆถึงกับยอมยืนติดหน้าผา หรือปีนป่ายหามุมโน้นนี้กันเป็นว่าเล่น


- จุดชมวิวงามๆ บริเวณ Tree house -


- ที่นี่เหมาะจะมาช่วงเช้าๆนะ คนไม่เยอะและแสงกำลังสวย -

- จบจาก Tree house ก็ย้อนออกมาทางเดิม และเลี้ยวอีกทาง จะเป็นทางไป Diamond Beach และ Atuh beach

ก่อนจะถึงเริ่มเป็นทางลูกรัง โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย เป็นทางลาดชัน เรานี่ต้องไล่ผู้ชายลงเดิน แล้วเอาขาเลียบลงเผื่อรถสะดุดหินเสียหลักจะได้ยันประคองทันแล้วค่อยๆปล่อยรถไหลไป ส่วนหากใครสงสัยว่าทำไมเราถึงเป็นคนขับ จริงๆก็ช่วยๆกันนะ แต่เราเป็นคนขอขี่พาร์ทฝั่งนี้เอง อยากรู้ว่าจะพาคนซ้อนผ่านไปได้หรือเปล่า 555


- Diamond beach คือหาดที่น่าแวะลงไปเที่ยว มองจากข้างบนคือหาดเป็นสีขาวสวยสะอาดเชียว แต่นึกดูแล้วน่าจะไม่ไหว เพราะออกมาตั้งแต่เช้าแถมท้องว่างไม่มีแรง เดี๋ยวจะเป็นลมไปเสียก่อนมาถึงหาด Atuh เราเลยได้แค่ถ่ายรูปมานิดๆหน่อยๆแล้วกะว่าจะไปนั่งพักหาอะไรกินทีเดียวเลย


- จากจุดแวะ Diamond beach เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเห็นทางคอนกรีตยาวๆ ให้เดินตามทางเรื่อยๆก็จะเจอทางลงไป Atuh beach เห็นทางลงอย่าเพิ่งคิดถึงตอนเดินกลับขึ้นมาทางเดิม เดี๋ยวจะพาลขี้เกียจ ค่อยๆไปค่ะ ไม่ต้องรีบร้อน



- Atuh beach จริงๆมาได้อีกทางหากไม่คิดจะไปบ้านต้นไม้ คนแถวนั้นบอกว่าทางเดินลงหาดอีกทางเดินง่ายและชันน้อยกว่าค่ะ (แต่ไม่รู้จริงป่าวนะ เค้าบอกมา)


- Tropical Cliff เราเลือกนั่งร้านนี้เพราะเปิดเพลงเรกเก้สบายๆเข้ากับบรรกาศ ซึ่งด้วยความที่เมนูอาหารไม่ได้มีบอกราคา เลยทำใจไว้ว่าน่าจะแพงเหมือนร้านชายหาดที่ชอบอัปราคาทั่วไป แต่ด้วยทั้งหิวและเหนื่อย ถึงจะแพงก็ต้องสั่งละ


- แต่พอเช็คบิลมา กลับผิดคาดค่ะ เราสั่งสปาเก็ตตี้,น้ำมะพร้าว โค้ก 1 น้ำ 1 รวมๆแล้วแค่ 100k (200 บาทหน่อยๆ) ร้านนี้บวกราคาเพิ่มนิดหน่อยเอง ขนาดว่าต้องขนขึ้นลงเขานะเนี่ย หากใครได้มีโอกาสมา อย่าลืมแวะนะคะ ป้าน่ารักใจดี เรานี่นั่งกินลมพักเหนื่อยเพลินเลย





Atuh beach จะว่าไม่มีอะไรก็ไม่มี จะว่ามีดีก็ตรงที่คนไม่พลุกพล่าน เงียบสงบเหมาะกับจริตเรายิ่งนัก ประจวบกับที่ตื่นออกมาแต่เช้า ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เลยจ่อมกันที่หาดนี้นานหน่อย เอนหลังฟังเพลง กินสปาเก็ตตี้ซอสสำเร็จรูป (แต่อร่อยนะ) จนถึงเวลาที่ควรกลับไปอาบน้ำให้สดชื่น ก่อนจะออกไปลุยฝั่งตะวันตกกันบ้างสักที


- Warung Jungle มื้อเที่ยง มื้อนี้เด็ด อร่อย สมกับที่ตามรีวิวจาก Tripadvisor มา


- ที่สั่งมาเซท BBQ กุ้ง ข้าวผัดไก่ ปอเปี๊ยะทอด อร่อยทุกอย่างเลย น้ำมะนาวก็อร่อยสดชื่นมากๆ


- ภาคบ่ายเราออกเดินทางไปที่แรก Broken Beach และ Angel Billabong อย่างกับขี่มอไซค์ในรังผึ้ง ทางมันแตกไปได้หลายทาง ซอกแซกไปตามถนนเล็กๆ แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไม่ถึง ให้กังวลแค่ว่าหลบหลุมยังไงให้ไม่ล้มดีกว่า ค่อยๆคลานมาค่ะ ช้าหน่อยแต่เดี๋ยวก็ถึงเอง ส่วนพิกัดในกูเกิ้ลเชื่อถือได้แน่นอน


- Broken Beach เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย มีการถางหญ้าต้นไม้ที่รกๆออก และทำทางเดินไว้ให้นักท่องเที่ยว รวมทั้งแท่นถ่ายรูป ส่วนตัวเราเกิดรู้สึกเสียดายเล็กน้อยในส่วนของ Angel Billabong เพราะเค้าทุบตรงแนวหินออกไปเพื่อทำทางเดินซะจนดูไม่ค่อยสวยงาม รอบนี้เราเลยรู้สึกเฉยๆ ส่วนตรงที่เป็นพูลก็ไม่น่าลงไปถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะนอกจากคนมายืนมุงรอบๆให้เขินเล่นแล้ว ยังไม่ค่อยเป็นส่วนตัวด้วย

- เราเลยใช้เวลาที่นี่ไม่นาน แต่ก็ยังแวะขึ้นไปดูตรงหน้าผาที่เหมือนจะทำขึ้นมาใหม่ว่ามีอะไรให้ดูบ้าง ซึ่งไปถึงก็จะเป็นร้านอาหารและจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก มีชิงช้าเป็นกิมมิก แต่ที่ดึงความสนใจเราได้มากกว่าวิวก็คือ รูปที่เพ้นท์บนผนังเป็นรูป Broken beach กับ Manta ray นั้นสวยสดถูกใจ ประจวบที่ไหนๆก็อดว่ายน้ำกับแมนต้าแล้ว ให้ถ่ายรูปกับผนังเฉยๆก็ได้ 555


- จากตรงนี้ ไป Kelingking beach ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ถนนก็เหมือนเดิม หลุมบ่อตามสภาพ

เราคิดว่าที่นี่ควรเป็นที่สุดท้ายที่แวะมาหากต้องการหาที่ดูพระอาทิตย์ตกนะ แต่ถ้าหากอยากลงไปเดินหาดข้างล่างแนะนำมาตั้งแต่ช่วงบ่าย เพราะต้องเผื่อเวลาเดินขึ้นลงมากหน่อย หวาดเสียวใช่เล่นแต่ลงไปก็คุ้มใช่ย่อย

เราชอบบรรยากาศและวิวที่นี่มาก แสงพระอาทิตย์สีทองอบอุ่นกับหน้าผาทรงประหลาดที่ใครๆก็เรียกมันว่าทีเร็กซ์ เป็นความงามที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร เสียดายที่เวลาเรามีไม่มากพอ ไม่งั้นคงได้ปีนลงไปข้างล่างให้หายอยากรู้อยากเห็น


ฟองคลื่นม้วนตัวช้าๆเหมือนภาพสโลโมชั่นตัดกับสีฟ้าน้ำทะเล เป็นโมเม้นท์ที่ใช่และประทับใจ เสียดายมากๆที่มาถึงก็เย็นแล้ว ไม่งั้นคงได้ลงไปสัมผัสด้วยตัวเอง

คราวที่แล้วเราพลาดที่นี่ นอกจาก Atuh beach ก็มี Kelingking ที่เราว่าสวยและน่ามาถ่ายรูป พร้อมชมพระอาทิตย์ตกด้วย


ตอนแรกคุยกันว่าไม่อยากขี่มอไซค์ตอนมืดๆ เราควรออกจากที่นี่ก่อนจะหมดแสง..

แต่พอมาถึง เห็นแสง เห็นบรรยากาศและวิวแบบนี้แล้ว ก็ช่างมันเถอะเนอะ ค่อยๆขี่กลับก็ได้ น่าจะพอมีเพื่อนร่วมทางอยู่


ทุกการเดินทางเราชอบที่จะปิดท้ายแต่ละวันด้วยการมาดูพระอาทิตย์ตก เป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่เติมเต็มให้การเดินทางสมบูรณ์ สวยงามเต็มอิ่มมากขึ้น ราวกับจะบอกกับว่า ไม่ว่าวันนี้จะเริ่มต้นยังไง แบบไหน แต่ดูนี่สิ สุดท้ายก็มักจะมีรางวัลเล็กๆน้อยๆมาให้เสมอ (ไม่นับวันที่ฟ้าเน่านะ เพราะเราก็จะปลอบใจตัวเองว่า ชีวิตและพระอาทิตย์ตกยังมีวันอื่นๆเสมอ 555)

- อากาศเริ่มเย็น ขี่มอเตอร์ไซค์กลับแบบมืดๆ ไฟไม่มีทาง เราไปโดนมื้อเย็นกันที่ Warung Tu Pande ร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับ Warung Jungle อย่าดูถูกที่ร้านดูบ้านๆแบบนี้ เพราะความอร่อยนี่ไม่แพ้ร้านไหน เท่าที่สังเกตุคือคนท้องถิ่นยังแวะมากิน มื้อนี้แนะนำ Grill menu ที่นี่ทำได้อร่อยทั้งปลาและไก่ แต่ไม่มีรูปนะคะ มันมืดด้วย หิวด้วย 555


Day 3 : Secret sunrise viewpoint - Ubud

- วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องข้ามกลับไปบาหลี ไหนๆเราก็พักทางฝั่งที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดๆแล้ว เช้านี้ก่อนบอกลาเกาะเปอร์นิดา เลยคิดว่าเราควรออกไปหากาแฟกินพร้อมดูพระอาทิตย์ขึ้น

ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปมา จนมาเจอร้านๆนึงที่อยู่ติดหาด เลยลองแวะดูเผื่อจะมีกาแฟหรืออาหารเช้าให้กิน แต่เปล่า ร้านไม่เปิด แต่เห็นมีป้าย Sunrise อยู่ เลยถือวิสาสะนั่งอยู่ตรงนี้สักพัก จนเริ่มร้อนแล้วจึงออกขี่หากาแฟกิน (ยังอีก)

สรุปแล้วบนเกาะโดยเฉพาะฝั่งที่เคลมว่าเป็นฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นสวยนั้นไม่มีร้านอะไรเปิดตอนเช้าเลย

ตอนแรกเรากะจะเก็บของออกจากเกาะแล้วไปหาเที่ยวบาหลีเร็วขึ้น เพราะไหนๆเรื่องดำน้ำกับแมนต้าก็อดแล้ว แต่พอตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น เจออากาศดีๆเกินไป เลยทำให้อยากอ้อยอิ่งกลับมานอนต่อซะงั้น ความเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน การได้ใช้เวลาแค่ 2 วันร่วมกับวิถีชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้มันมีมนต์ขลังที่ทำให้เราอยากมาพักผ่อนได้จริงๆ

ส่วนค่าใช้จ่ายบนเกาะนี้ ก็ถือว่าไม่มากไปน้อยไป ที่จะหมดส่วนใหญ่คงเป็นค่าเดินทาง มีค่ารถ ค่าเรือ ไม่รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับค่ะ



สุดท้ายแล้ว หากไม่นับเกาะชื่อดังรอบข้างใกล้เคียงอย่าง Lambongan, Gili
Penida เอง ถือว่าเป็นเกาะน้องใหม่ที่มีเสน่ห์ด้านวิวทิวทัศน์ตาม Coast line ไม่เหมือนที่อื่นๆ และยังเป็นที่ๆสงบ ธรรมชาติ ไม่มีสิ่งศิวิไลซ์รบกวนมากนัก เหมาะกับการมาพักผ่อนเงียบๆ ดำน้ำ ชมวิว ใช้ชีวิตเรียบง่ายที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะบาหลีเลย

ส่วนเรา มาอีกรอบก็ยังคงมีอะไรติดค้างกับเกาะนี้อยู่อีก สงสัยถ้าไม่หาเรื่องกลับมาก็เปลี่ยนไปหาดำน้ำกับแมนต้าที่อื่น 555

จบแล้ววววว รีวิวในฝั่งของเกาะเปอร์นิดา หากมีเวลาว่างๆ (และไม่ขี้เกียจ) เพื่อนๆน่าจะได้เห็นรีวิวอื่นตามมา เช่น ร้านอาหารอูบุตที่มีเรื่องราวน่าโดน ที่พัก 3 แห่งน่าพัก และกิจกรรมบาหลีอื่นๆที่ไม่ได้มีแค่เที่ยววัดค่ะ



Wanderer Error

 วันพฤหัสที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.15 น.

ความคิดเห็น