ขอพื้นที่แนะนำตัว สวัสดีค่ะ เราชื่อ ชะอม ชะนีพันธุ์ผสมที่เพิ่งหลุดพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย จะมาเป็นคนเล่าเรื่องราวการเดินทางไปบาหลีในครั้งนี้ให้ฟังค่ะ
ก็แหงสิ...แกเดินทางไปคนเดียวนิ จะมีชะนีตัวไหนจะมาเล่าเป็นเพื่อนได้อีกกัน
ต้องขอออกตัวก่อนว่า เราไม่เคยเขียนกระทู้รีวิวมาก่อนเลยไม่แน่ใจว่าจะเรียกกระทู้นี้ว่ารีวิวได้ไหม แต่ก็เอาลงในหมวดรีวิวไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใจจริงแค่อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางของเราให้ทุกคนอ่านเท่านั้นเอง อาจจะมีสาระบ้างบางช่วง หรืออาจจะหาสาระอะไรไม่ได้เลย ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ถ้ากระทู้นี้ไม่เป็นไปตามความต้องการของใคร
เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
การเดินทางไปบาหลีในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวครั้งแรกของเรา งงไหม ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยในบาหลีค่ะ
หลายคนอาจสงสัย อ้าว! เคยไปแล้วนิ ก็ต้องรู้จักเส้นทาง การใช้ชีวิตนั่นดีอ่ะสิ
โน๊ว โนวค่ะ ห่างไกลจากที่หลายคนคิดไว้มากเลย เอาเป็นว่าเราข้าม ๆ มันไปละกัน ที่เกริ่นขึ้นมาเพราะว่าจะมีบางช่วงของการเดินทางที่เราได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าที่เป็นคนบาหลี
ทริปบาหลีเราวางแผนว่าจะเดินทางไปเที่ยวไว้ตั้งแต่ต้นปี นัดเพื่อน นัดผู้ไว้เรียบร้อย จองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า 6 เดือนกับสายการบินของเพื่อนบ้านเรานี่เอง เป็นแบบ Full service ไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ราคาไปกลับประมาณห้าพันกลาง ๆ แถมรวมน้ำหนักกระเป๋าอีก 30 กิโล เสียเวลาต่อเครื่องไม่กี่ชั่วโมง ถือว่าคุ้มมาก แต่สำหรับใครที่ชอบบินตรงก็อย่าว่ากันนะคะ เอาเป็นว่าสไตล์ใครสไตล์มันเนอะ ระยะเวลาการเดินทางของทริปนี้ขออนุญาตยังไม่เฉลยนะคะ ให้ไปหาคำตอบกันเองในกระทู้ ชั่วร้ายไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หลังจากจองตั๋วเสร็จ เราก็เริ่มเขียนตารางการเดินทางค่ะ หาข้อมูลจาก Internet บ้าง ถามเพื่อนที่บาหลีบ้าง อ่านรีวิวจากหลาย ๆ ท่าน ทั้งใน Pantip และ readme.me พอเขียนตารางเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วเราก็มาหาโรงแรมที่จะพักจากแอพจองโรงแรมจุดสี ๆ 5 จุด เพราะได้ส่วนลดเยอะดี ที่เหลือก็แค่รอเวลาที่จะบิน
ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีใช่ไหมคะ แต่เปล่าเลย ผู้อ่านหลายคนคงพอเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ได้
ใช่ค่ะ เราโดนผู้เท
เทแบบไม่บอกไม่กล่าวอะไรเราเลย ก็แอบเสียใจ(มาก)เหมือนกัน เพราะแผนเที่ยวที่เราคิดไว้มันมีเขาอยู่ในนั้นด้วย
เอาวะ! ไม่มีผู้ แต่กุยังมีเพื่อน แต่ใครจะคิด แม้แต่เพื่อนก็ยังมาเทชะนีคนนี้! โถ่วว อิอมผู้น่าสงสาร
ถ้านังเพื่อนตัวดีทั้งหลายเข้ามาอ่านถึงตรงนี้ รู้ไว้เลยนะว่าชะนีงอน เอาไอติม ชาบู บิงซูมาง้อด้วย
แต่จะให้ทิ้งทริปนี้ ก็เสียดายเงินค่าตั๋วที่จ่ายไปแล้ว เออ! ไปคนเดียวก็ได้ เราตัดสินใจโละตารางการเดินทางที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ทิ้ง แล้วนั่งเขียนใหม่ รวมถึงหาโรงแรมที่พักใหม่ทั้งหมด หลายคนอาจสงสัยทำไมต้องเขียนใหม่ ใช้ตารางอันเดิมไม่ได้เหรอ ก่อนอื่นเลยคือตารางอันเก่าเราตั้งใจเขียนเพื่อเอาไว้เที่ยวกับเพื่อนค่ะ ถ้าขืนเรายังใช้ตารางเดิมอยู่แต่กลายเป็นว่ามีแค่เราคนเดียวที่อยู่ในแผนนั้น เราจะค่อนข้างรู้สึกแย่ เหมือนเวลาเราตั้งใจทำอาหารมาเผื่อทุกคน แต่กลายเป็นเราคนเดียวที่กินมัน พอเห็นภาพไหมคะ เลยคิดว่าเขียนขึ้นมาใหม่ให้แค่ตัวเองคนเดียวดีกว่า เพื่อนหลายคนพอรู้ว่าจะไปคนเดียวก็ไม่อยากให้ไป รวมถึงพ่อกับแม่ ยิ่งมาโดนผู้เทด้วยแล้วก็เลยยิ่งเป็นห่วงกันใหญ่ เราเข้าใจความรู้สึกของทุกคนนะ แต่เราเข้าใจความรู้สึกของเราดีที่สุด
บางครั้งการที่เราเลือกที่จะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทางในช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่นั้น มันไม่ใช่การหนีปัญหานะคะ เราแค่เลือกจะให้เวลากับตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ได้ให้โอกาสตัวเองในการพบเจอผู้คนใหม่ ๆ นี่คือวิธีเยียวยาตัวเองในแบบของเรา
แล้วเหตุการณ์ก็กลับมาสงบอีกครั้ง...ซะที่ไหนล่ะ...
สองเดือนก่อนออกเดินทางมีข่าวแผ่นดินไหวที่ประเทศอินโดนีเซีย ทางตอนเหนือของเกาะลอมบอก ซึ่งเกาะที่ว่าเนี่ย มันอยู่ข้าง ๆ กันกับเกาะบาหลีเลย แล้วไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว มันเกิดขึ้นถึง สามครั้ง ในหนึ่งสัปดาห์ รอบแรกสั่นสะเทือนรุนแรงขนาด 6.4 แมกนิจูด ทำให้ดินภูเขาไฟรินจานีบนเกาะลอมบอกเกิดการถล่มลงมา มีข่าวนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนหนึ่งยังติดอยู่กลางภูเขา หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เกิดแผ่นดินไหวรอบสองตามมา สั่นสะเทือนรุนแรงถึง 7 แมกนิจูด รอบนี้ทำให้เกาะบาหลีรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ทางการถึงกับออกมาประกาศเตือนภัยสึนามิ
โอ๊ยยยย ย! อิอม ตอนเกิดแกไม่ได้หยิบโชคมาด้วยเหรอห๊ะ!
ใจหนึ่งก็คิด อีกตั้งสองเดือน อะไร ๆ มันคงเข้าที่แล้วแหละ
โล่งใจได้ไม่นาน...ไม่นานจริง ๆ ค่ะ... เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกครั้งและครั้งนี้ก็รุนแรงพอจะทำให้เกิดสึนามิขึ้นที่เมืองปาลู เกาะสุราเวสี ก่อนเที่ยวบินของเราแค่สามวัน...ย้ำ! แค่สามวัน! ทุกคนที่รู้ว่าเรากำลังจะไปบาหลีรุมโทรกระหน่ำ จนมือถือในกระเป๋ากางเกงนี่สั่นเป็นระวิงเลยค่ะ
แต่แผ่นดินไหวก็ไม่สามารถหยุดยั้งความห้าวหาญของชะนีนางนี้ลงได้
ไปค่ะ ไปบาหลีกัน
เที่ยวบินที่เราจองไว้เป็นรอบเช้าค่ะ เก็บกระเป๋าออกจากบ้านตั้งแต่ตีสามเพราะบ้านค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากสนามบินพอสมควร ถามว่าได้นอนไหม หึ! ก็ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นหรืออะไรหรอกนะคะ แค่แอบไปเถลไถลแถวถนนข้าวสารมาเท่านั้นเอง แหะ ๆ พอถึงสนามบินเคาน์เตอร์ของสายการบินเพื่อนบ้านก็กำลังเปิดให้เช็คอินพอดี ช่วงที่ไปคนไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องผ่านไปยังเกตใช้เวลาเพียงเล็กน้อย แต่ใช้เวลาเดินไปยังเกตนานมาก
ใคร! ใครมันออกแบบสุวรรณภูมิให้เกตมันอยู่ไกลขนาดนี้วะ!
ขาไปเราได้ที่นั่งริมทางเดิน ทั้งจากกรุงเทพไปกัวลาลัมเปอร์และจากกัวลาลัมเปอร์ไปเดนปาซาร์ อดดูวิวเลย แต่ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เราสนใจไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่อยู่ตรงนี้ค่ะ อาหาร! ตอนเสิร์ฟพนักงานจะถามเราว่าเราต้องการรับอะไรระหว่างไก่กับปลา
ฝั่งซ้ายเสิร์ฟตอนเครื่องไปกัวลาลัมเปอร์ เราเลือกไก่ค่ะ มีกลิ่นเครื่องเทศนิดๆ ไม่แรงมาก สำหรับคนที่ไม่ถูกจริตกับเครื่องเทศอย่างเราทานได้ค่ะ
ฝั่งขวาเสิร์ฟตอนเครื่องไปเดนปาซาร์ เราเลือกปลาค่ะ ลองเปลี่ยนบ้าง รสชาติคล้ายๆ ปลาทอดน้ำแดงบ้านเรา ถือว่าผ่านค่ะ แบบผ่านไปเลยสำหรับเราจะไม่กินอีกแล้ว เหอะๆ
และเวลาที่เรารอคอยมาตลอด 6 เดือนก็มาถึง เครื่องลงจอดแล้วจ้า ใช้เวลาบินไปเกือบ 8 ชั่วโมง เดินผ่าน ตม. แบบสบาย ไม่ถามอะไรเลย มองหน้าแล้วปั๊มสองที เชิญคนต่อไป! ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีค่ะ ยกเว้น... Wifi! ก่อนหน้านี้เพื่อนบาหลีทักมาว่านางจะมารับที่สนามบินตั้งแต่ตอนเรายังอยู่ไทย นัดเวลากันเสร็จสรรพเรียบร้อย แต่ดันลืมนัดสถานที่ที่จะเจอ! แล้ว Wifi ที่สนามบินที่นี่คือสัญญาณหายากมาก พอต่อสัญญาณได้ เดินไปก้าวหนึ่ง แกหายอีกแล้ว! แล้วชะนีจะติดต่อเพื่อนยังงายยยยยยย! เดชะบุญ! ถือบุญที่ติดตัวมายังพอมี เราหาเพื่อนเจอค่ะ
พอออกจากสนามบินแล้ว สิ่งแรกที่เราทำคือ หาที่แลกเงินค่ะ
สำหรับใครที่กำลังจะเดินทางไปบาหลี ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ แนะนำให้แลกเป็นรูเปียร์ไปส่วนหนึ่งก่อนแล้วอีกส่วนหนึ่งแลกเป็นดอลลาห์สหรัฐไว้ไปแลกเพิ่มที่บาหลีก็ได้ค่ะ สามารถแลกกับ Super rich แต่ต้องโทรไปที่ Call center แจ้งเรื่องก่อนวันที่เราจะแลกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันค่ะ กรณีของเราด้วยความที่ไม่รู้และชะล่าใจทำให้เดินทางไปแลกเปลี่ยนกับ Super rich ก่อนออกเดินทางแค่วันเดียว ผลคือไม่สามารถแลกได้ค่ะ เลยต้องแลกเป็นดอลลาห์สหรัฐไปทั้งหมด
พอได้เงินมาเป็นฟ่อนแล้วก็สบายใจชะนีละ เพื่อนจะพาไปไหนไปหมดเลยค่ะ ใจง่ายไหมล่ะ คืนแรกเราพักที่โฮสเทลใน Seminyak ค่ะ พื้นที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องปาร์ตี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า บ่งบอกนิสัยของคนเขียนมาก หลังจาก Check in ก็ขอให้เพื่อนพาไปหาซื้อ Sim card เพื่อนแนะนำของค่ายนี้ค่ะ
SimPATI สำหรับเราถือว่าโอเคเลยค่ะ เน็ตแรงไม่มีตกจนกว่าเราจะใช้เน็ตหมด แถมโทรฟรีตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานเลย
คืนนี้ตั้งใจจะออกตี้แต่ฝืนสังขารไม่ไหว เพราะแฮงค์ตั้งแต่เครื่องยังไม่ออกจากไทย นอนชาร์จแบตไปยาว ๆ เลยแล้วกัน
ข้อแนะนำเรื่องการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่บาหลีเขาใช้กันอยู่ 2 แอพค่ะ มี Grab อย่างที่บ้านเราใช้กันกับอีกแอพหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นกันคือ Gojek มีความคล้ายกันกับ Grab ของบ้านเราเพียงแต่ว่ามีบริการแค่รถมอเตอร์ไซด์กับสั่งอาหารเท่านั้น
ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส มาทะเลทั้งทีจะมานอนกินบ้านกินเมืองไม่ได้ ไปค่ะ หาภารกิจให้ตัวเอง ไปเดินเล่นที่หาด เปิด Google maps ดู เห้ย! ใกล้ ๆ แค่นี้เอง เดินไปแปปเดียวก็ถึง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ไหนใกล้ ๆ แก อิอม! เดินจนจะผอมอยู่แล้วยังไม่เห็นแม้แต่หาดทราย คุณผู้ชายทั้งหลายที่เข้ามาอ่านคะ รบกวนช่วยระวังไว้สักนิด อย่าปล่อยชะนีไว้กับแผนที่ มิเช่นนั้นจะต้องบวกเวลาเดินทางเพิ่มเป็นอีกเท่าหนึ่งเลยค่ะ จากที่จะมาเดินชายหาดตอนเช้า กลายเป็นว่าเราได้มาเดินชายหาดตอนสาย คิดแบบผู้หญิงโลกสวย เวลาไหนก็ไม่สำคัญ ถือว่าได้เดินหาดอยู่ดี
ใครที่เห็นภาพนี้แล้วบอกว่า...สวยสู้หาดบ้านเราไม่ได้...จริงค่ะ หาดบ้านเราสวยกว่า แต่ถ้าเรามาถึงบาหลีเพื่อเจอหาดแบบบ้านเรา เราจะเสียเงินเป็นหมื่นบินมาทำไมคะ สำหรับเราแล้วทุกที่ที่ขึ้นชื่อว่าทะเล มันมีเสน่ห์ในตัวมันเอง แบบที่ต่อให้ไปทะเลที่อื่นก็ไม่สามารถให้ความรู้สึกแบบเดิมได้
เดินทำเอ็มวีจนสาแก่ใจเราก็เดินกลับ เตรียมตัวออกไปเดินสำรวจทางหนีทีไล่ใกล้ ๆ โฮลเทล ถนนในบาหลีไม่ใหญ่มากค่ะ แค่กว้างให้พอรถวิ่งสวนกันได้ แต่มีซอยเล็กซอยน้อยเยอะมาก เดินกันเป็นเขาวงกตเลย เข้าซอยนู่นออกซอยนี้จนมาเจอตลาดของคนท้องถิ่น สิ่งแรกที่สะดุดตาเลยคือ ชานัง ค่ะ
หลายคนคงสงสัยชานังที่ว่านี่คืออะไร ชานัง คือ ของเซ่นไหว้เทพเจ้าตามศาสนาของฮินดูค่ะ งงไหมคะ ตามที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่คนในชาตินับถือศาสนาอิสลาม จริงค่ะ แต่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด เกาะบาหลีเป็นเกาะเดียวในหลายพันเกาะของประเทศอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ก็ยังมีประชากรส่วนน้อยในเกาะบาหลีที่นับถือศาสนาอิสลาม ใครที่กลัวว่ามาบาหลีแล้วจะได้กินแต่ไก่ เลิกกังวลได้แล้วนะคะ แคบหมูที่นี่อร่อยพอ ๆ กับที่ประเทศไทยเลย
เดินเลยตลาดไปหน่อยเราก็เจอบ้านเรือนที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของบาหลีไว้ได้อย่างดี จะไม่ถ่ายรูปไว้เลยก็กลัวมาเสียเที่ยว
ภาพหน้าบ้านส่วนใหญ่ของผู้คนที่นี่ค่ะ ตอนถ่ายได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้เจ้าของบ้านออกมาเห็น ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หลังจากนั้นก็เดินกลับโฮสเทล ใช้เวลาส่วนใหญ่นอนอืดอยู่ในสระว่ายน้ำ ดูกลุ่มผู้ชายอาบแดด โอ๊ยย! สวรรค์ อาหารตาทั้งนั้นเลย ขออภัยที่ไม่ได้เก็บหลักฐานมาช่วยยืนยันความแซ่บค่ะ พอนอนเล่นข้างสระได้สักพัก ชะนีก็ได้เพื่อน ใครอยากได้เพื่อนใหม่ทั้งยังได้ฝึกภาษาแนะนำให้นอนโฮสเทลนะคะ สำเนียงทั่วโลกมาก เพื่อนที่โฮสเทลชวนไปปาร์ตี้คืนนี้ ด้วยความใจง่าย ไปสิคะ รออะไร คืนนี้เราไปปาร์ตี้กัน La favela มีตรวจบัตร เราสามารถยื่นบัตรประชาชนของไทยให้เขาตรวจได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องพกพาสปอร์ตและอีกอย่างคือไม่ต้องเสียค่าเข้า เดินสะบัดผมสวย ๆ เข้าไปได้เลย
เอาภาพจาก Instagram ของทางร้านมาฝาก
วันรุ่งขึ้นเรา Check out ออกจากโฮสเทลตั้งแต่ตีห้าเพื่อจะไปท่าเรือข้ามฝั่งไปยังเกาะ Nusa Penida โดยเพื่อนบาหลีจะเป็นคนพาเราเที่ยวค่ะ พอไปถึงท่าเรือเพื่อนก็บอกเราว่า อย่าพูดอะไรนะ เงียบไว้ ถึงจะสงสัยแต่ก็ทำตามที่เพื่อนบอกแต่โดยดี มารู้ทีหลังว่าตั๋วที่ท่าเรือมีสองราคา ราคาสำหรับคนอินโดและราคาสำหรับคนต่างชาติ และเพื่อนซื้อตั๋วให้เราในราคาของคนอินโด ไม่รู้เราควรจะดีใจดีไหมที่เราหน้าตาเหมือนคนอินโด เพื่อนบอกถ้าเราพูด พนักงานขายตั๋วจะรู้ว่าเป็นต่างชาติ ราคามันจะแพง ช่างเป็นเพื่อนที่เข้าใจหัวอกชะนีขี้งกอย่างเรามาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำดีแล้ว ทำต่อไปนะเพื่อน
มิน่าละ! ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีใครพูดอังกฤษกับเราเลย
ถึงแล้วเกาะ Nusa Penida น้ำใสอะไรอย่างเน้! นั่งสปีดโบ๊ทจากฝั่งมาบาหลีมาแค่ 20 นาทีเอง จากท่าเรือเราสามารถมองเห็นภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะบาหลีได้อีกด้วย ซึมซับบรรยากาศกันเต็มที่แล้วก็ได้เวลาเข้าที่พักเพื่อทิ้งกระเป๋า แล้วออกไปเที่ยวต่อ ตลอดทริปบนเกาะ Nusa Penida เราเช่ามอเตอร์ไซด์ค่ะ จริง ๆ แล้วเพื่อนเราขี่ ส่วนเราซ้อนท้าย เรื่องกินแรงเพื่อนเนี่ยขอให้บอกเถอะ ถนัดมาก! สถานที่แรกที่เราไปเยือนคือ Nusa Lembongan เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ กับ Nusa Penida ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 15 นาที
จุดเด่นของที่นี่คือสะพานสีเหลืองในรูปค่ะ ชื่อภาษาอังกฤษก็ตรงตัวเลย Yellow Bridge เป็นสะพานใหม่เพิ่งสร้างเสร็จ แทนสะพานเก่าที่เกิดพังลงมากลางทะเล เนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน ใช้สัญจรไปมาระหว่าง Nusa Lembongan กับ Nusa Ceningan ปัจจุบันสะพานนี้กลายเป็น Landmark ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ
ห่างจากท่าเรือไม่ไกล เราก็ได้พบกับ Dream Beach สวยเหมือนอยู่ในฝันจริง ๆ เลยค่ะ เสียดายเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน เพราะวันนั้นของเดือนทำให้เราพะวงจนไม่อยากทำอะไร แถมหลังจากเรามาถึงไม่นานก็มีทัวร์พี่จีนมาลงค่ะ เลยไปสถานที่ต่อไปเลยดีกว่า
หลุดจากพี่จีนกลุ่มที่แล้ว มาเจอกลุ่มพี่จีนที่เยอะกว่าเดิม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่ Devil’s tear น้ำใสจนอยากจะกระโดดลงไปเล่น แต่มาคิดอีกทีถ้าโดดลงไปไม่น่าจะมีชีวิตรอดกลับไทย เพราะดูจากร่องรอยการกัดเซาะของน้ำทะเลแล้ว คงพอจะเดากันได้ใช่ไหมคะ ว่าคลื่นต้องแรงประมาณไหนถึงจะกัดเซาะได้ขนาดนั้น นั่งตากแดดจนจุใจเราก็กลับที่พักฝั่ง Nusa Penida ขอพักผ่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อน ค่อยนั่งมอเตอร์ไซด์แบบมาราธอนไปชมพระอาทิตย์ตก
ใครที่กำลังตัดสินใจจะเช่ารถมอเตอร์ไซด์ขับเองบนเกาะ สภาพถนนก็ตามในรูปเลยค่ะ บางจุดแย่กว่าในรูป ไม่สามารถถ่ายให้ดูได้จริง ๆ ค่ะ เพราะมัวแต่ลุ้นว่ายางจะแตกไหม น้ำหนักเราก็ไม่ใช่เบานะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
กว่าจะมาถึง Kelingking เล่นเอาเดินไม่เป็นเลยทีเดียว น่าแปลกใจที่ทีแรกเรารู้สึกเหนื่อยล้ากับการนั่งรถเป็นเวลานาน กลับกลายเป็นรู้สึกสงบเพียงแค่ได้มองทะเลออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ได้ยินเสียงคลื่นกระทบชายหาด สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกว่าความลำบากที่เจอมาตลอดทางหมดความหมาย ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกคุ้มค่า แก่การรอคอยมาตลอด 6 เดือน ความสวยงามที่ธรรมชาติสรรสร้าง ทุกอย่างคือความลงตัว ความประทับใจที่ต่อให้กลับไทยไปความรู้สึกจะยังคงอยู่ จนอดคิดไม่ได้เลยว่า
ดีแล้ว...ที่เส้นทางที่มาไม่มีการปรับปรุงซ่อมแซม
ดีแล้ว...ที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึง
และ
ดีแล้ว...ที่ครั้งหนึ่งเคยได้มา
บางครั้งเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ธรรมชาติถูกทำลายและเสื่อมโทรมลง แม้จะน่าเสียดายที่ไม่ได้เดินลงไปถึงหาด เนื่องจากการเดินขึ้นลงเขาต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ประกอบกับเส้นทางที่เราจะกลับไปโรงแรมไม่มีไฟริมทาง จึงต้องรีบทำเวลาก่อนฟ้าจะมืด แต่ก็ให้สัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าถ้ามีโอกาสมาอีกจะลงไปสัมผัสทรายข้างล่างให้ได้
จบวันที่สามลงไปแบบทุลักทุเล เพราะกว่าจะถึงโรงแรมเล่นเอาจุกไปหลายรอบ นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยกายสบายใจ อดใจรอให้ถึงวันพรุ่งนี้แทบไม่ไหว
ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส มีเสียงนกร้องปลุกในยามเช้า แสงแดดอบอุ่นลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ไม่จริงเลยค่ะ! เราตื่นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามตัวและผิวที่ไหม้แดด สาเหตุน่ะเหรอ ก็ไอ้ที่ไปเดินขึ้นลงเขาเมื่อวานไง โอ้โหว นี่ขนาดยังเดินลงไปไม่ถึงหาดนะ ลงไปได้แค่ครึ่งทางแล้วก็กลับ ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองถ้าเมื่อวานเดินลงไปถึงหาดจริง ๆ เลย ส่วนผิวที่ไหม้แดดน่ะเหรอ เหอะ! ก็แค่นั่งมอเตอร์ไซด์และเดินท่ามกลางแสงแดดติดต่อ 8 ชั่วโมงเอ๊งงง! กันแดดก็ไม่ได้ทา แค่คำว่าสมน้ำหน้าก็น้อยไป ถึงร่างกายจะบอกว่าต้องการนอนต่อ แต่แผนเที่ยวของเราวันนี้ก็ไม่สามารถยกเลิกได้จริง ๆ เพราะเราจะไปดำน้ำกัน!!!!
ทริปดำน้ำจะใช้เวลาแค่ครึ่งวันกับจุดดำน้ำทั้งหมด 4 จุด โดยจะมีอุปกรณ์ให้ยืมคือ หน้ากากสนอคเกิ้ลและตีนกบ ถ้าเกิดเราทำอุปกรณ์ชำรุดหรือหายเราก็ต้องเสียค่าปรับ สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่แข็งสามารถขอเสื้อชูชีพกับไกด์ประจำเรือได้ ส่วนผู้อ่านท่านไหนกำลังรอดูภาพถ่ายใต้น้ำ ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ เราไม่มี ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่รับประกันว่ามาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ส่วนจะไม่ผิดหวังเรื่องอะไรนั้นต้องมาพิสูจน์กันเองนะคะ หุ หุ
เมื่อทริปดำน้ำจบลงก็ทำให้เราได้รู้ว่า...อิชะนีนางนี้ไม่มีโชค!!...หวังไว้ตั้งแต่ยังอยู่ไทยว่าจะมาเจอกับพี่นกยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลอย่างกระเบนราหู แล้วนี่หายไปไหนกันหมดดด และที่แน่ใจอีกอย่างคือ ชะนีต้องมาเก็บทริปซ่อมรอบสองแน่นอน
ครึ่งวันที่เหลือเราไปต่อกันที่ Broken Beach ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ กันแดดที่ทามาดูท่าจะไม่ช่วยอะไร สังเกตได้จากความแดงของผิว เดินวนเก็บภาพสองสามรอบ เราก็เดินไป Angel’s billabong ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Broken beach มากนัก และที่สำคัญนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ตอนเราเดินทางมาถึง เหมือนที่นี่เพิ่งจะเกิดสงครามขนาดย่อม ๆ ทางเดินบางส่วนถูกตัดขาดเนื่องจากการถล่มของหน้าดิน บางพื้นที่มีการกั้นห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั่งรายล้อมกินลมชมวิวอยู่ทั่วบริเวณค่ะ น้ำสีเขียวมรกตที่เห็นในรูปเกิดจากตะไคร่น้ำที่เกาะตามหิน ใครที่จะลงก็ระวังกันหน่อยนะคะ เพราะค่อนข้างคมมาก
สถานที่สุดท้ายของวันนี้ เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Crystal Bay ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จุดดำน้ำของ ทริปตอนเช้า แต่เมื่อเพื่อนบอกว่าหาดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของ Nusa Penida เราก็จะไม่ขอโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น ไปโล้ดเลยค่ะ
ระหว่างทางสิ่งที่เห็นจนชินตาเลยคือ ต้นมะพร้าว ไม่รู้ควรจะเรียกว่า สวนมะพร้าวหรือป่ามะพร้าวดี เพราะมันเยอะจนไม่คิดว่าชาวบ้านแถวนี้จะปลูกกัน แล้วจู่ ๆ เพื่อนก็จอดรถข้างทางท่ามกลางดงมะพร้าว ไอ้เราก็ตกใจ ถึงเราจะเป็นชะนีแต่เราปีนเก็บมะพร้าวให้เนี่ย ไม่ไหวนะ! เพื่อนก็บอกว่าเราจะถ่ายรูปกันตรงนี้
...เดี๋ยวก่อน...ในดงมะพร้าวเนี่ยนะ
ชะนีมันอยู่ในดงมะพร้าวกันเหรอวะ
แต่เมื่อเห็นสายตาอันแน่วแน่ของเพื่อนที่จะถ่ายรูปให้...เออ...ไม่ขัดก็ได้
เถลไถลระหว่างทางอยู่นานสองนาน กว่าจะมาถึงหาดเล่นเอาเกือบไม่ทันดูพระอาทิตย์ตก อันนี้เป็นภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือค่ะ เพราะกล้องแบตหมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากพระอาทิตย์หายไปจากสายตาสักพัก ร่างกายก็เริ่มประท้วงว่าต้องการที่นอน หมอน ผ้าห่ม จบวันนี้กันไปแบบหนักหน่วงพอสมควร
จบ Part 1
ตื่นเช้ามาด้วยความขี้เกียจ แม้อาการเมื่อยล้าก่อนหน้าจะดีขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้ความกระฉับกระเฉงที่ควรมีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แผนวันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะเราต้องไปขึ้นเรือกลับเกาะบาหลีให้ทันตอนบ่ายโมงตรง ทำให้สถานที่ที่แวบเข้ามาในหัวเพียงไม่กี่ที่
เอ่อ ไม่ใช่หัวเรานะคะ แต่เป็นหัวเพื่อนเราค่ะ
แล้วนางก็ไม่บอกเราว่านางจะพาเราไปไหน บอกแค่ว่าถ้าเธอไปถึงเธอจะต้องชอบ บางทีก็สงสัยนี่มาเที่ยวหรือมาสืบคดี ความลับเยอะจริง ๆ พอไปถึงก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เพราะมันสวยมาก แบบก.ไก่ล้านตัว
หาดที่เห็นในรูปชื่อ Diamond Beach ค่ะ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเหมือนที่อื่นหรือเป็นเพราะยังเช้าไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ หาดที่เห็นข้างล่างมีทางลงไปนะคะ แอบหันไปมองหน้าเพื่อนเชิงขออนุญาตว่าลงไปได้ไหม แต่สายตาที่เพื่อนตอบกลับมาเป็นแบบ...ถ้ายูลง ไอสองคนทิ้งยูไว้ตรงนี้เลยนะ...เพราะดูจากระยะทางแล้ว ไม่น่าจะกลับขึ้นมาทันเรือรอบบ่ายโมง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ห้ามแซวเรื่องคิ้วนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
และนี่คือโฉมหน้าแนวร่วมผู้น่ารักของเรา จระเข้*สองตัวนี้แหละค่ะที่คอยขี่รถพาเที่ยวรอบเกาะ พาไปทานอาหารอร่อย ๆ เสียอย่างเดียวคอยห้ามนู่นห้ามนี่ตลอด รู้หรอกน่าว่าเป็นห่วง เพราะผู้หญิงที่บาหลีไม่ค่อยมีใครผาดโผนแบบผู้หญิงไทยอย่างเราเท่าไหร่ (จระเข้* เป็นคำที่คนที่นี่ใช้เรียกผู้ชายเจ้าชู้ค่ะ ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงเป็นคำว่า เสือ)
เอาหล่ะ กลับบาหลีกัน!
พอถึงฝั่งเราก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าไป อูบุดดดดด! หลังจากนี้คือ จะมีแค่เราแล้วค่ะ เพราะเพื่อนต้องทำงาน ไม่สามารถลางานมาเป็นไกด์ให้ตลอดทั้งทริปได้
เรามาถึงอูบุดประมาณบ่ายสามโมง กว่าจะจัดการตัวเองเข้า Check in ในโฮสเทลเสร็จเรียบร้อยปาไปสี่โมงเย็น พอมีเวลาเดินสำรวจแถวโฮสเทลก็จัดซะหน่อย ที่พักเราอยู่ในตลาดอูบุดง่ายต่อการเดินไปไหนมาไหน ไม่จำเป็นต้องใช้บริการแท็กซี่เลย
เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนู่น สำรวจไปแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย มองบ้านเรือน ร้านค้า โรงแรมที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งถนน มันมีเอกลักษณ์ที่พอมองแล้วรู้เลย...อ๋อ! นี่คืออูบุดสไตล์...รู้ตัวอีกทีมาโผล่ที่ Monkey Forest ดูนาฬิกาแล้วเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่มันจะปิด
เอาวะ ไหน ๆ ก็เดินมาแล้ว
คุณดูความฉลาดของเขาสิคะ
มองอะไร? มนุษย์!
ลิงที่นี่ถูกเรียกว่า ลิงศักดิ์สิทธิ์ จริง ๆ ไม่ใช่แค่ลิงที่นี่ แต่ต้องบอกว่า ลิงทั้งหมดบนเกาะถือเป็นลิงศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนบาหลีเชื่อว่าลิงทั้งหมดที่อยู่บนเกาะนี้เป็นลูกหลานของหนุมานตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
บรรยากาศภายในร่มรื่นมากค่ะ มีลำธารเล็ก ๆ ไหลตัดผ่าน สิ่งปลูกสร้างดูเข้ากันกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในเมืองลับแล ถ้าเปรียบเทียบกับละครไทยสักเรื่อง ใกล้เคียงสุดคงเป็นเรื่อง นาคี แม้จะใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงไม่นาน แต่ก็โดนมนต์เสน่ห์ของลิงที่นี่ทำให้หลงรักเข้าเต็มเปา
...อยากให้ในหนึ่งวันมีสักสามสิบชั่วโมงจัง...
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความขี้เกียจ มีใครแนะนำได้บ้างคะว่าจะเอาไอ้ตัวขี้เกียจนี้ไปโยนทิ้งได้ที่ไหน นอนงอแงกับตัวเองเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมแว๊นไปตะลอนทั่วอูบุด เมื่อวานเราติดต่อกับรีเซฟชั่นของโฮสเทลที่เราพักว่าจะเช่ารถมอเตอร์ไซด์ตลอดสามวันที่พักอยู่อูบุด โดยนัดรับรถตอนแปดโมงเช้าของวันนี้
อย่ารอช้าเลย ไปกันเหอะ
สถานที่แรกของวันนี้ Tegenungan Waterfall เรามาถึงก็สิบโมงกว่าไปละ พอมีนักท่องเที่ยวให้เห็นบางตาไม่ถึงกับเยอะมาก
ที่สะดุดกว่าน้ำตกก็ป้ายที่วางเรียงรายอยู่ระหว่างทางเนี่ยแหละค่ะ ใครหนอช่างคิดคำที่อ่านแล้วทำให้ยิ้มพวกนี้ได้ ที่ชอบใจสุดเห็นจะเป็น
MOM! I’m fine…..แม่! ลูกปลอดภัยดีนะ
อยากลงน้ำ แต่ทำได้เพียงแค่มอง กลัวน้ำตกจะกลายเป็นสีแดง โชคก็ดูเหมือนจะยังไม่เข้าข้างชะนีอย่างเราเท่าไหร่ แต่จะให้มานั่งตัดพ้อโชคชะตาตลอดทั้งทริปมันก็ไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายเราก็ลงน้ำ แต่ลงไปแค่หัวเข่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า นิดนึงก็เอา เยี่ยวยาหัวใจ ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว
แพลนวันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยววัดสักวัดสองวัด แต่ก็ต้องพับเก็บไว้ไปวันอื่น กลับไปตั้งต้นใหม่ที่โฮสเทล ทานข้าวกลางวัน แล้วค่อยหาที่เที่ยวใหม่ ระหว่างทานข้าวก็ถามอากู๋ควบคู่กับดูแพลนที่วางไว้ว่ามีที่ไหนที่พอจะปรับเปลี่ยนได้บ้าง คุยกับตัวเองกับช้อนส้อมกับจานข้าวเสร็จก็ได้บทสรุปสำหรับวันนี้
ขอต้อนรับเข้าสู่นาขั้นบันได! เขาวงกตแห่งอูบุดค่ะ เดินเข้ามาสิบนาทีแรก ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือความตื่นตาตื่นใจ เฮ้ย! เจ๋งอ่ะ ระบบจัดการน้ำของที่นี่คือดีมาก นาข้าวบางส่วนกำลังตั้งท้อง ขอออกตัวก่อนตัวเราเป็นชะนีในป่าคอนกรีต ตอนอยู่ไทยก็แค่นั่งรถผ่านนาข้าวแต่ไม่เคยได้ลงมาสัมผัสวิถีชีวิตอะไรแบบนี้เลย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ความตื่นตาตื่นใจเริ่มไม่มีผลอะไรกับชะนีแล้ว เพราะที่กำลังคิดวนไปวนมาอยู่ในหัวตอนนี้คือ
ทางออกอยู่ไหนวะ
มัวแต่เดินลั้ลลาเป็นชะนีน้อยในวันเดอร์แลนด์รู้ตัวอีกทีมาโผล่อยู่ในเดอะเมซรันเนอร์เฉยเลย กว่าจะหาทางออกเจอ บอกได้คำเดียว ผอม สองชั่วโมงเต็ม ๆ กับการอยู่ในนาขั้นบันได กลับไปถึงโฮสเทลปิดม่านขึ้นเตียง ไม่คุยอะไรกับใครทั้งนั้น นอนค่ะ
ตื่นมาพร้อมกับข่าวดี เราหลุดออกจากโซนสีแดงแล้ว เย้! ท้องฟ้าวันนี้มันช่างสดใสกว่าทุกวันนะว่าไหม ได้เวลาไปแรดแล้วสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ถึงแล้วค่ะที่แรกของวันนี้ Tibumana Waterfall นี่ว่าเราก็แว๊นมาแต่เช้าแล้วนะ ยังมีคนมาเช้ากว่าเราอีกค่ะ เป็นคู่รักสองคู่ คู่หนึ่งกำลังถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง อีกคู่ก็กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติผลัดกันถ่ายรูปกระหนุงกระหนิง เหอะ! ชะนีอย่างเรามันตัวคนเดียวไง
เหม็นความรักโว้ย #โสดแล้วพาล #คนโสด2018
เราจะไม่อยู่ทนเห็นภาพบาดตาบาดใจที่นี่นานค่ะ รีบแยกย้ายก่อนที่น้ำตามันจะไหล ระหว่างทางที่ขี่รถมาแอบเห็นว่ามีอีกน้ำตกหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน
มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกทุกคนค่ะ เห็นสองรูปนี้ไหมคะ สองรูปนี้เรายืนถ่ายที่เดิมค่ะแต่แค่หันไปคนละทาง ที่เราต้องการจะสื่อคือ แกเอ๊ยยยยยยย! ตอนเดินลงไปหาน้ำตกไม่เท่าไหร่ แต่ตอนเดินกลับขึ้นไปที่จอดรถคือ นรกมาก ก.ไก่พันตัว เดินขึ้นบันไดจนตูดจะเป็นตะคริว แล้วไม่ใช่ที่นี่ที่เดียวนะคะ เป็นเหมือนกันหมดทุกน้ำตก บอกเลยว่าทริปนี้หุ่นเราเฟิร์มขึ้นเยอะ อ๋อเปล่า มโนไปเอง สำหรับคนที่ออกกำลังกายทุกวันน่าจะชิวกับอะไรแบบนี้
น้ำตกนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยค่ะ ไม่รู้เขาเห็นบันไดแล้วท้อเหมือนเราในตอนแรกหรือเปล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ธารน้ำข้างล่างที่ไหลลงมาจากน้ำตกข้างบนระดับน้ำสูงเท่าตาตุ่ม จากการคาดการณ์แล้วแอ่งน้ำที่เยอะพอจะให้ลงไปว่ายน้ำได้นั้นน่าจะอยู่ด้านบน หันซ้ายหันขวาดูทีท่าอยู่สักพักจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็นท่าอุจาดตาตอนเราปีนขึ้นไปข้างบนแน่นอนก็ไม่รอช้า ปีนสิคะ! ในกรณีที่มาคนเดียวไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ เพราะเราลื่นตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามหินก้นจ่ำเบ้าไปหลายรอบมาก เจ็บตัวมาแล้วบอกต่อได้
เป็นจริงอย่างที่เราคิดค่ะ ข้างบนมีแอ่งน้ำที่เยอะพอจะให้เราลงไปว่ายเล่นได้ ความสูงของระดับน้ำประมาณอกเราค่ะ ด้วยความซนเราแอบปีนไปนั่งเล่นหลังม่านน้ำตก ทำเอ็มวีไปอีก มันทำให้เรารู้สงบมาก คิดอะไรกับตัวเองได้เยอะแยะ มีเสียงนกร้องดังก้องเป็นระยะ อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ไม่กลับแล้วประเทศไทย อยู่เป็นสาวชาวเกาะมันซะที่นี่แหละ แต่พอนึกถึงอาหารขึ้นมาแล้ว เออ! กลับไทยก็ได้ ไม่ใช่ว่าอาหารที่นี่ไม่อร่อยนะ แต่เราคิดถึงส้มตำปูปลาร้าจะแย่อยู่แล้ว คิดถึงอาหารขึ้นมาท้องก็เริ่มร้องประท้วง ไปหาอะไรกินแล้วไปที่ต่อไปเถอะ
หลังจากแวะทานข้าวกลางวันข้างทางเสร็จเราก็มาต่อกันที่ Kuning Waterfall เห็นบันไดแล้วอยากจะเป็นลม แต่ติดตรงที่ไม่มีใครมาหิ้วกลับโฮสเทล เพราะฉะนั้นทำได้แค่กลืนความเมื่อยลงคอแล้วเดินต่อไป เรามีหลักฐานช่วยยืนยันความเยอะของขั้นบันไดที่นี่ค่ะ
เดินไปสักพักก็จะมีละอองน้ำหล่นลงมาโปรยปรายให้ได้หายเหนื่อยตามทาง ถ้าไม่หลงรักที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนให้หลงรักแล้ว
ตลอดระยะทางที่เดินจะเจอลูก ๆ น้ำตก รอต้อนรับอยู่เรียงราย อดรู้สึกทึ่งกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของบาหลีไม่ได้ ธรรมชาติที่นี่อุดมสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลยค่ะ น่าประหลาดใจนะคะ ที่เกาะบาหลีทั่วทั้งเกาะแม้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ธรรมชาติที่นี่ยังคงสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งอุทยานแห่งชาติเพื่อคงรักษาความสมบูรณ์นี้ไว้
ช่วงที่เรามาเป็นช่วงที่น้ำน้อย ถ้ามาก่อนหน้านี้สักเดือนเราจะได้พบกับน้ำจากด้านบนที่ไหลแยกลงมาเป็นน้ำตกสองสายคู่ขนานกัน จินตนาการไว้ในหัวว่าคงสวยน่าดู ใช้เวลาที่นี่ไม่นานก็สมควรแก่เวลาที่จะไปที่ต่อไป ตอนเดินกลับจากน้ำตกไปที่รถมอเตอร์ไซด์สภาพเป็นศพมาก แทบคลานขึ้นบันได
อ่ะ! กลัวไม่เชื่อว่าแทบคลานขึ้นบันไดจริงไหม ที่เห็นในภาพคูณสามเข้าไปนะคะ
เดินขึ้นลงน้ำตกไปสามน้ำตก กล้ามเนื้อขาขึ้นแล้วขึ้นอีกยังไม่สาแก่ใจ ไปค่ะ ไปอีกสักน้ำตกหนึ่งละกันTukad Cepung Waterfall เราไปถึงก็บ่ายสามแล้ว แต่นักท่องเที่ยวยังเยอะอยู่เลยค่ะ ทางเดินลงไปน้ำตกเหมือนเดิมค่ะ โหดเหมือนเดิม ต้องคลานกลับขึ้นไปเหมือนเดิม
น้ำตกนี้มีความพิเศษยังไงทำไมนักท่องเที่ยวถึงมาเที่ยวกันเยอะรู้ไหมคะ น้ำตกนี้อยู่ในถ้ำค่ะ อย่าเพิ่งตกใจไป ไม่ใช่ถ้ำแบบถ้ำหลวงบ้านเรานะคะ ไม่ได้ปิดทึบอะไรขนาดนั้น
รูปซ้ายคือทางที่เราต้องลอดไปเพื่อไปเจอรูปขวาค่ะ มีใครตะลึงเหมือนเราบ้าง ไม่ใช่ตะลึงรูปขวานะ ตะลึงรูปซ้าย ทางจะเล็กไปไหน ตอนเห็นแวบแรกนี่เราควรไปต่อหรือจะหยุดตรงนี้ดี ส่วนในรูปขวาที่เห็นนักเที่ยวยืนออกันอยู่ไม่ใช่เกิดอุบัติเหตุอะไรนะคะ เขาเข้าแถวต่อคิวถ่ายรูปกันอยู่ น่ารักไหมละ
สองรูปนี้ต่างกันตรงที่หันซ้ายกับหันขวาโดยที่เรายังไม่ได้ขยับไปไหนเลย
เรื่องที่ตลกที่สุดกับการมาที่นี่คือ เราไม่ได้รูปสวย ๆ จากที่นี่เลย ด้วยความชะนีตัวคนเดียวขี่รถมาคนเดียว เลยขอให้นักท่องเที่ยวแถวนั้นถ่ายรูปให้ ผลออกมาคือเบลอทุกรูป พอจะมีดีอยู่รูปเดียวก็คือรูปที่เห็นเนี่ยแหละค่ะ ด้วยความรีบเพราะแบตมือถือกำลังจะหมดแล้วเราต้องใช้มือถือเพื่อดูแผนที่กลับไปยังโฮสเทลเลยไม่ได้เช็ครูปที่ถ่ายไว้ ไปเห็นรูปอีกทีตอนอยู่โฮสเทล อยากร้องไห้ก็อยาก แต่มันตลกตัวเองมากกว่า
รอบหน้าค่อยมาถ่ายใหม่นะอม
แม้จะไปตะลอนมาทั้งวันแล้วแต่เราก็ยังฝืนสังขารตัวเองไปเก็บวัดเป็นที่สุดท้าย เราตั้งใจไว้ตั้งแต่อยู่ไทยแล้วว่าจะต้องไปเยือนวัดนี้ให้ได้ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะพักอยู่ที่อูบุด ไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลัง แต่ก่อนที่จะไปวัด เราต้องแวะไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ก่อน สำหรับใครที่มีแผนจะเดินทางมาบาหลีคนเดียวนะคะ เวลาต้องการจะเดินทางข้ามเมืองในเกาะบาหลี เราแนะนำให้ใช้บริการกับ Perama Tour ราคาถูกกว่าเหมาแท็กซี่เยอะ สามารถไปค้นหาเส้นทางได้ในเว็บไซต์ของ Perama Tour ได้เลยค่ะ
ขี่รถมอเตอร์ไซด์มาเกือบชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงค่ะ แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะมาทันก่อนเขาปิดไหม โชคดีค่ะมาทันพอดี วัดนี้ค่อนข้างเป็นวัดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในบาหลี Pura Tirta Empul มันน่าสนใจยังไงทำไมเราถึงได้อยากมาขนาดนี้ วัดนี้ตั้งอยู่บนตาน้ำค่ะ พอจะอ๋อขึ้นมาหรือยังคะ ชาวบาหลีเชื่อว่าหากใครได้ดื่มหรืออาบน้ำจากวัดนี้จะเกิดสิริมงคลแก่ตนเองค่ะ เพราะน้ำที่ไหลออกมานั้นมีความบริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่งใดใด โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปอาบได้เพียงสองบ่อ ข้อห้ามที่สำคัญของสถานที่นี้คือสตรีมีระดูค่ะ ห้ามลงบ่อเด็ดขาด เอาจริง ๆ แล้วความเชื่อต่าง ๆ ทางศาสนาค่อนข้างคล้ายกับที่ไทยนะคะ เราเลยไม่รู้สึกว่ามันแปลกเท่าไหร่
มีใครสังเกตเห็นแกลลอนสีฟ้าทางด้านขวาของรูปไหมคะ นั่นแหละค่ะ ชาวบ้านเอามารองน้ำกลับบ้านไปใช้
เผื่อใครไม่เชื่อว่ามันดื่มได้จริง ป้าเสื้อฟ้าข้าง ๆ ก็กำลังดื่มอยู่เหมือนกัน น้ำในบ่อใสขนาดที่สามารถมองเห็นตัวปลา อ่านไม่ผิดค่ะ มีปลาที่มีชีวิตแหวกว่ายอยู่ในบ่อทุกบ่อจริง ๆ ตัวใหญ่เท่าต้นขาเราเลย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยมานั่งพักที่ศาลาโถงใหญ่ มองบรรยากาศรอบ ๆ รู้สึกอิ่มเอมใจ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ เราไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องมา แต่มันรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้มา
กลับไปนอนหลับฝันดีแล้ววันนี้
วันต่อมาเรา Check out ออกจากโรงแรมประมาณสิบโมงครึ่ง เดินไปท่ารถบัสที่อยู่ไม่ห่างไกลจากโฮสเทลที่เราพักเท่าไหร่ แต่กินเวลาไปเกือบชั่วโมง จุดหมายปลายทางของวันนี้คือ Kintamani ภูเขาไฟที่มอดดับไปแล้ว ปัจจุบันเป็นชื่อเรียกหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ เชื่อว่ามีคนไม่คุ้นกับชื่อ แต่ถ้าพูดถึง Mt.Batur หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะหนึ่งในจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาบาหลีคือการได้พิชิตยอดเขาบาตูร์พร้อมกับชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า อาชีพหลักของชาวบ้านบนภูเขาคือการทำประมง
อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ
อย่างที่เล่าไปในตอนแรกภูเขาไฟลูกนี้มอดดับไปแล้ว ภายในปล่องภูเขาจากที่เคยมีลาวาก็กลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของบาหลี
นั่งรถจากอูบุดมาที่นี่ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง ที่ใช้คำ ‘เพียง’ เพราะเราหลับตลอดทางเลยตื่นมาปุ๊บ อ้าว! ถึงแล้วเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า คนขับจะจอดส่งเราที่ทางแยกที่จะลงไปยังหมู่บ้านข้างล่าง ถ้าเอาภาษาที่เข้าใจง่ายคือ เขาจอดส่งเราแค่ปากปล่องภูเขา ส่วนจะลงไปข้างล่างยังไงนั้นไปหาทางเอาเอง เดินหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซด์อยู่นานจนถอดใจ แวะถามคนแถวนั้นว่าสามารถหาเช่ารถที่ไหนได้บ้าง เขาบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีรถให้เช่าเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ซื้อทัวร์กันมา พอถามถึงแท๊กซี่ก็ไม่มีใครรู้
...งานเข้าละ... ต้องเดินลงไปเองเหรอ
เปิด Google Maps หาโรงแรมที่จองไว้ปรากฏว่าอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่ไปสี่ไมล์ แล้วอีสี่ไมล์นี่มันกี่กิโล ดูจากเวลาที่อากู๋บอกใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง
เอาวะ! เดินก็เดิน
เดินไปสักพัก อยู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซด์มาจอดตัดหน้าถามนู่นนี่นั่น สรุปนางมาขายทัวร์เดินเขาเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจ้า แบบนี้ก็ได้เหรอ นางยื่นข้อเสนอให้เราว่าถ้าซื้อทัวร์กับนาง นางจะไปส่งเราที่โรงแรม เอาจริง ๆ ตอนวางแผนเที่ยวคือไม่ได้มีเรื่องเดินเขาเข้ามาในหัวเลยเพราะรู้ว่าตัวเองไม่เคยออกกำลังกาย แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบตกลงไป แต่คิดว่าเป็นเพราะอิสี่ไมล์นั้นแน่ ๆ ต่อรองราคากันเรียบร้อย พี่แกก็กระเตงเราไปพร้อมกับเป้ใบใหญ่สองใบซ้อนท้ายไปส่งที่พัก กว่าจะมาถึงโรงแรมทำเอาเรานั่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้ตัวเองไปหลายจบ
ซิ่งอะไรเบอร์นั้นอ่ะ
แต่ความซิ่งของพี่แกไม่สามารถทำให้เราช็อคได้เท่ากับห้องพักของเราไม่มีแอร์ แม้แต่พัดลมก็ไม่มี!!!!! เออ ไม่เป็นไรไม่ตายหรอกเรื่องแค่นี้เอง ทำใจเสร็จ เราก็หิ้วกล้องเดินสำรวจรอบ ๆ ที่พัก
ออกมาได้ไม่นานร่างกายเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบางสิ่ง สงสัยคิดไปเอง มองท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วด้วย กลับไปที่พักก่อนแล้วกัน จากนั้นเราเดินเล่นบริเวณที่พักต่อ
พอตะวันเริ่มลับขอบฟ้าสิ่งที่ร่างกายเรารู้สึกแปลก ๆ ในตอนแรกเริ่มกลับมาย้ำเตือนอีกครั้ง
ลืมอะไรไปหรือเปล่าวะอม
ใช่ค่ะ เราลืมว่าเราย้ายตัวเองขึ้นมาอยู่บนภูเขาที่สูงจากน้ำทะเลไม่รู้ตั้งเท่าไหร่และแน่นอนสภาพอากาศหลังจากนี้จะเย็นลงอย่างรวดเร็ว จากที่คิดว่าจะอยู่ในห้องที่ไม่มีแอร์ไม่มีพัดลมยังไงให้ไม่ขาดอากาศหายใจตายเปลี่ยนมาเป็นจะปิดประตูขังตัวเองยังไงให้รอดจากสภาพอากาศข้างนอกที่เย็นลง ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับที่นี่มาเลย นั่งไร้จุดมุ่งหมายอยู่ในห้องตัวเองจนรู้สึกแบบ เฮ้ย! มาเที่ยวทั้งทีจะมานั่งหนีหนาวอยู่แต่ในห้องมันก็ไม่ใช่หรือเปล่า ตัดสินใจเปลี่ยนชุด ลองว่ายน้ำท่ามกลางอากาศเย็นสักตั้ง
เอาให้หนาวตายกันไปข้าง
กระโดดลงสระแบบไม่รีรอให้มันหนาวรวดเดียวให้จบ ๆ ไป แต่ปรากฏว่า...เวรละ...นี่มันบ่อน้ำร้อน บอกได้คำเดียวว่าสุก พอนั่งไปสักพักเริ่มชินกลายเป็นความฟิน แช่บ่อน้ำร้อนท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ถ้ามีหิมะตกลงมาอีกนี่จะคิดว่าตัวเองอยู่ญี่ปุ่นละนะ กลับจากแช่น้ำร้อนเราก็ไม่ได้หลับเลยจนตีสาม เป็นเวลาที่เรานัดกับไกด์ที่จะพาเราเดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และด้วยความชะอมนี่เอง เสื้อผ้าที่เราเตรียมมาคือไม่มีชุดไหนเลยที่จะช่วยป้องกันความหนาว ที่เห็นว่าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็เป็นแค่เสื้อคลุมแขนยาวตัวบาง ๆ ตอนเจอไกด์เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ถามนู่นนี่ไปเรื่อย เลยพอรู้ว่าระยะเวลาที่ใช้เดินขึ้นเขาประมาณสองชั่วโมง ฟังครั้งแรกแอบตกใจ แต่ไกด์บอกสองชั่วโมงแปปเดียวเอง เราก็เออออไปค่ะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ จนกระทั่งเราเดินขึ้นเขาไปเกือบชั่วโมง
โอ๊ยย ย! อิอม ตอนนั้นแกคิดอะไรอยู่ถึงตอบตกลงมาเดินเขาเนี่ย
ในภาพนี่เพิ่งจะถึงครึ่งทางเองนะคะ หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนื่อย อยากจะย้อนเวลากลับไปเขกหัวตัวเองจริง ๆ ให้ตายเถอะ ไกด์ก็พยายามให้กำลังใจ อีกนิดนึงจะถึงแล้วครับ ในใจนี่คิด...โกหกกุแน่ ๆ ...แต่จ่ายเงินมาแล้วพันกว่าบาทจะให้หยุดแค่กลางภูเขาไม่เอานะ ในที่สุดเราก็เดินขึ้นมาถึงยอดค่ะ เหนื่อยจนแทบลงไปคลานกับพื้น พอมาถึงยอดเขาภาพที่เห็นมันสวยมาก สวยจนรู้สึกว่าต่อให้ถ่ายรูปก็ไม่สามารถบันทึกความสวยงามตรงหน้านี้ทั้งหมดนี้ให้อยู่บนรูปถ่ายใบเดียวได้
อยากจะบอกทุกคนว่าข้างบนนี้มันหนาวมาก เข้าใจหมายความของคำว่าหนาวไปถึงกระดูกเลย แต่ไกด์ก็ไม่ปล่อยให้เราต้องนั่งหนาวนานค่ะ เดินมาหาพร้อมกับตะกร้าอาหารเช้า
และเจ้าไข่ต้มนี่แหละค่ะที่ช่วยชีวิตเราไว้จากความเหน็บหนาว ถือไว้ไม่ปล่อยจนกลับถึงที่พักเลย
ขอเพิ่มอีกสักฟองได้ไหมนะ
กลับมาถึงที่พักตั้งใจจะไปนอนให้สมกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ยังทำไม่ได้ค่ะ เราต้องไปหาแท๊กซี่ที่จะพาเราไปอีกเมืองในวันพรุ่งนี้ก่อน คุยกับพนักงานที่นี่เขาบอกว่าสามารถหาแท๊กซี่ให้เราได้แต่ราคาก็สูงพอสมควรสำหรับคนที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวแบบเรา ตัดใจค่ะ ยอมจ่ายราคาที่เขาเสนอมา เพราะไม่รู้จะหาวิธีอื่นที่ออกจากที่นี่ยังไง จากนั้นจัดการปิดตายห้องยันรุ่งขึ้นของอีกวัน
ต้องเหนื่อยขนาดไหนถึงหลับไปนาน 18 ชั่วโมงโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลย
เหมือนดาวนำโชคของเราจะยังเข้าข้าง เช้านี้พนักงานคนเดิมที่คุยเรื่องแท็กซี่เมื่อวานเดินมาบอกเราว่าแขกที่พักห้องข้าง ๆ ก็กำลังจะไปเมืองเดียวกันกับเรา เขาเลยว่าถามว่าสนใจจะแชร์แท็กซี่ไหม
ตอบตกลงไปสิคะ รออะไร
อาจเพราะว่าเราหลับมาราธอนมาก่อนหน้านี้ ตลอดทางที่ย้ายไปอีกเมืองในวันนี้ทำให้เราได้มองเห็นถึงวิถีชีวิตของคนที่นี่ ไปเจอโมเม้นหนึ่งของคนบาหลีเลยอยากมาเล่าสู่กันฟัง เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงที่บาหลี คนที่นี่เวลาขับขี่รถจะชอบบีบแตรให้กันตลอด แต่ไม่ใช่แบบที่คนไทยบีบแตรให้กันนะคะ แม้ว่าเสียงแตรมันจะเหมือนกันหมด แต่ถ้าลองฟังดูดี ๆ แล้วจะขำ เราจะยกตัวอย่างให้ดูเผื่อจะเห็นภาพ
คนบาหลี 1 : ปริ๊น! (มีรถเล็กผ่านทางโค้งนะ)
คนบาหลี 2 : ปริ๊น! ปริ๊น! (เค)
หรือ
คนบาหลี 1 : ปริ๊น! (ขอแซงหน่อย พอดีรีบ)
คนบาหลี 2 : ปริ๊น! ปริ๊น! (เออ แซงไปเลย)
เราจะไม่กล่าวถึงพี่ไทย เป็นอันว่ารู้กัน ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้เราแวะไปสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านพอดี Taman Tirtagangga พระราชวังน้ำที่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชม เราเคยเห็นรูปผ่านตาใน Instagram แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มา
บรรยากาศภายในร่มรื่นเย็นสบาย ถ้าให้พกเสื่อมาด้วยนี่พร้อมไปเฝ้าพระอินทร์เลยนะ แต่ความง่วงหรือจะสู้ความหิว เราแอบดอดออกมาหาอะไรทานรองท้องระหว่างรอเพื่อนร่วมทางเดินเที่ยวด้านใน เสร็จทันเวลากันพอดี จากนั้นก็มุ่งหน้าไปจุดปลายทางของเรากันเลย
ทะเลจ๋า! รอชะอมก่อนนะ!
ถึงแล้วค่ะ Amed Beach โชคดีที่แท็กซี่รู้จักที่พักที่เราจองไว้ นึกว่าจะต้องมาเดินหาเองเหมือนตอนที่นั่งรถบัสไป Kintamani ซะอีก พอ Check in เสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่รอช้าหิ้วกล้องไปเก็บภาพบรรยากาศของที่นี่พร้อมกับหาซื้อตั๋วรถกลับไป Kuta เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย แอบใจหายเหมือนกันนะคะ ยังเที่ยวไม่ครบทุกที่เลย
ไม่เป็นไรไว้คราวหน้ามาใหม่ก็ได้เนอะ
ตอนที่เริ่มเขียนแผนเที่ยวบาหลีสถานที่นี้ไม่เคยโผล่เข้ามาในหัวเราเลยค่ะ พอมานั่งดูกิจกรรมที่ตั้งใจจะทำทั้งหมดแล้วเห็นว่าเราไป Snorkeling แค่วันเดียวเอง มาบาหลีทั้งทีจะลงทะเลแค่ครั้งเดียวมันใช่เหรอ นั่งถามอากู๋ ชื่อหาดนี้ก็ขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ พอไปดูรูปก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากมาเท่าไหร่ เลยตัดสินใจทักไปหาเพื่อนบาหลี พวกนางก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าเธออยาก Snorkeling ต้องไปหาดนี้นะ ไม่จำเป็นต้องซื้อทัวร์เพื่อออกไปดำน้ำเลย เดินลงน้ำไปก็เจอแล้วแถมราคาเช่าอุปกรณ์ก็ไม่แพง นักท่องเที่ยวไปกันเยอะ
แหม! ไซโคขนาดนี้ ไม่ไปได้เหรอ
นี่แหละค่ะ เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เราตัดสินใจมาเยือนที่นี่ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่หาดนี้ก็เพื่อแวะพักระหว่างที่รอต่อเรือไปยังเกาะกิลี แต่ขออนุญาตยังไม่เล่าว่าเกาะกิลีนี้มันมีอะไร ไว้เราได้ไปเยือนแล้วเมื่อไหร่จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ใครที่อดใจรอไม่ไหว เราแอบเห็นว่ามี Travel blogger หลายท่านที่ได้ไปแล้วมาเล่าสู่กันฟัง ลองไปหาอ่านดูนะ กลับมาที่เรื่องของเราต่อ ตอนเราเห็นหาดครั้งแรกก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าเรายังฝังหัวว่าชายหาดต้องเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวแบบที่บ้านเราเห็นจนชินตา แตกต่างกับชายหาดที่นี่ซึ่งเป็นหินและเศษซากปะการังที่ถูกคลื่นซัดมาเกย นั่งเล่นชายหาดอยู่นานค่ะ จนเห็นท้องฟ้าเริ่มมืดเลยคิดว่าสมควรเดินกลับที่พักได้แล้ว
ทันได้เห็นพระอาทิตย์ตกจากระเบียงห้องพัก โซนที่เราพักค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน ไม่ค่อยมีแสงสีเสียงเท่าไหร่ ซึ่งเราว่ามันก็โอเคเลยแหละสำหรับคนที่โลกส่วนตัวสูงอย่างเรา พอตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วทุกอย่างคือเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงคลื่น เสียงจิ้งหรีดขับร้องตลอดคืน
ตื่นเช้ามาเจออากาศที่สดใส แดดร้อนแบบเอาให้ผิวไหม้กันไปข้าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถือว่าเราโชคดีนะคะที่มาแล้วเจอแดด เพราะปกติเดือนตุลาคมที่นี่จะเริ่มเข้าฤดูฝนแล้ว แต่ตั้งแต่ที่เรามายังไม่เจอฝนเลยสักเม็ดเดียว ฟ้าเป็นใจขนาดนี้รอช้าอยู่ใย วันนี้ตอนเราเช่ารถมอเตอร์ไซด์กับทางที่พักแอบถามข้อมูลกับเจ้าของว่าเราสามารถไป Snorkeling ที่ไหนได้บ้าง คำตอบที่ได้ทำเรางงอยู่นาน เขาบอกว่า เกือบตลอดแนวชายหาดส่วนอีกที่คือจุดเรือจม ตอนอยู่เที่ยวทะเลในไทยเราเข้าใจมาตลอดว่าจุดเรือจมต้องนั่งเรือออกไปอีกไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร เออออตามเขาไป
เราเช่าอุปกรณ์จากร้านริมทางระหว่างที่จะไปหาด ไม่ได้เช่าแถวชายหาดโดยตรง จริง ๆ ราคาเช่ามันเท่ากันค่ะ เพียงแต่ว่าถ้าเราเช่าที่ชายหาดเลยเราจะไม่สามารถเอาไปดำน้ำที่หาดอื่นได้ จุดแรกที่เราจะดำคือเรือจมค่ะ ลองถามอากู๋ดูแล้ว อยู่ไม่ไกลจากที่พักเราเท่าไหร่ พอไปถึงตามแผนที่บอกคือดูไม่ออกเลยต้องไปตรงไหน แต่เห็นบอลสองลูกลอยเหนือน้ำบวกกับมีนักท่องเที่ยวสองสามคนกำลังดำกันอยู่แถวนั้น เอาวะ! ถ้าไม่เจอก็ช่างมัน ได้เห็นปะการังก็พอใจแล้ว
พอลงไปเท่านั้นแหละ แกเอ๊ยยย! ภาพที่เห็นใต้น้ำช่างแตกต่างจากตอนนั่งอยู่ตรงชายหาดมาก ไม่อยากขึ้นเลย จุดเรือจมอยู่ไม่ห่างจากหาดเลยค่ะ แต่มันลึกมาก น่าจะประมาณ 5 – 10 เมตรได้ เรือลำไม่ใหญ่มาก ระบบนิเวศน์บริเวณนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ไม่จำเป็นต้องเชื่อเรานะคะ มาดูเอาเองละกัน
จากนั้นเราก็ย้ายมาหาดใกล้ ๆ กับจุดชมวิว ขี่รถมาถึงนี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว พอจะเห็นนักท่องเที่ยวดำน้ำกันบ้างประปราย เราก็ว่ายน้ำตามพวกเขาไป ไม่ได้คาดหวังอะไรจากจุดดำน้ำนี้สักเท่าไหร่ เพราะตอนหาข้อมูลจากอากู๋ เขาก็ไม่ได้เขียนรายละเอียดอะไรเยอะแยะ แต่ใครจะคิดว่า เราจะได้เจอกับกลุ่มปะการังเทียมที่อยู่ห่างจากหาดเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น
มาเป็นศาลาหินเลยค่ะ สวยไม่แพ้ที่จุดเรือจมเลย
ว่ายน้ำดูปะการังจนจุใจเราก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปวัดกันต่อ ตอนเขียนแผนเที่ยววัดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวเป็นวัดที่สองถัดจาก Pura Tirta Empul ก้มมองดูเวลาใกล้ถึงเวลาปิดทำการแล้ว เราก็ไม่รอช้าค่ะ รีบซิ่งรถไปตามแผนที่
แต่เหมือนสองข้างทางจะไม่เป็นใจให้เรารีบไปวัดสักเท่าไหร่ มันทำให้ต้องหยุดรถเพื่อเก็บภาพบรรยากาศตลอดเส้นทาง สำหรับใครที่ขี่รถไม่แข็งแนะนำว่าอย่าขี่มาเส้นที่ตัดผ่านภูเขานะคะ เพราะมีถนนหลายช่วงที่ชันและเป็นโค้งหักศอก บางช่วงเจอดินถล่มตัดเกือบตัดขาด ทางที่ดีขี่รถอ้อมน่าจะปลอดภัยสุด เราเป็นพวกประทับใจกับเรื่องง่าย ๆ แค่ขี่รถผ่านหมู่บ้านของคนท้องถิ่น ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ เห็นผู้เฒ่าผู้แก่นั่งอยู่หน้าบ้านชี้ให้ลูกหลานทักทายส่งยิ้มให้เรา ก็ทำให้น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับ
สิ่งตรงหน้านี่แหละที่สิ่งที่เราตามหามาตลอด
ความรู้สึกนี้แหละที่จะช่วยเต็มเติมความรู้สึกที่ขาดของเรา
ปาดน้ำตาแล้วขี่รถไปวัดต่อ นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะตะวันก็ทำท่าจะเลิกงานแล้ว เส้นทางที่เราใช้ค่อนข้างวกวน แถมมีบางช่วงที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตขาดหาย ต้องจอดถามทางชาวบ้านไปอยู่ช่วงหนึ่งแม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่เรารับรู้ได้ด้วยใจว่าพวกเขาพยายามช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจ
หนึ่งชั่วโมงเต็มค่ะกับการขี่รถมาวัดนี้ ทั้งที่ในแผนที่บอกว่าใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น บอกแล้วไงคะว่าอย่าปล่อยชะนีไว้กับแผนที่คนเดียว รู้สึกเหมือนเดจาวูไหมคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
Pura Lempuyang Luhur เชื่อหลายคนคงรู้จัก ส่วนใครที่ไม่รู้จัก มาค่ะ! เราจะเล่าคร่าว ๆ ให้ฟัง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่บนเขา Mt. Lempuyang คล้ายกับวัดหน้าด่านจึงถูกเรียกว่า ประตูสู่สรวงสวรรค์ เป็นวัดแรกจากทั้งหมด 7 วัด ที่ตั้งเรียงกันขึ้นไปด้านบนซึ่งมีอาณาบริเวณครอบคลุมยอดเขาทั้งหมด อยากจะเล่ายาวกว่านี้แต่กลัวว่าจะเบื่อกันซะก่อน เอาเป็นว่าข้าม 6 วัดที่เหลือไปนะคะ เพราะเขาไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ไกด์บอกว่าจากจุดจำหน่ายตั๋วถ้าจะเดินขึ้นไปถึงวัดที่อยู่สูงสุดต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วจะมีคนคอยเจิมน้ำมนต์ให้เราค่ะ ส่วนเราจะบริจาคให้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ศรัทธา
ซุ้มประตูที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างที่เห็นในรูปนี้ถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาที่นี่ให้ความสนใจเพราะจากมุมนี้เราสามารถมองเห็นยอดเขา Agung ภูเขาที่สูงที่สุดบนเกาะบาหลี คงไม่แปลกอะไรถ้าเราจะเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนต่อคิวรอเพื่อจะได้รูปสวย ๆ จากตรงนี้
แต่คำว่า “หลายคน” ของเราในที่นี้ คือยาวไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าวัด
พอจะเห็นภาพของคำว่าหลายคนหรือยังคะ แม้ว่าแถวจะยาวบวกกับเวลาที่ใกล้ปิดทำการก็ไม่สามารถยับยั้งความตั้งใจของเราที่ต้องการจะถ่ายรูปคู่กับภูเขา Agung ลงได้ แต่บางอย่างก็ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเราเท่าไหร่
มันมองไม่เห็นภูเขา Agung อ่ะ อิอม! ตั้งแต่แกมานี่มีอะไรเป็นใจให้แกบ้างห๊ะ? แต่ดู ๆ ไปก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะ
เราต้องขอบคุณบุคคลเหล่านี้ค่ะ ผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวหลายร้อยคนต่อวัน
จบวันนี้ไปแบบเหนื่อยล้า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีกิจกรรมหนักหรือแน่นตลอดทั้งวัน แต่รู้สึกว่าตัวเองได้ใช้ร่างกายได้อย่างสมบุกสมบันมากตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ และมั่นใจว่าพรุ่งนี้ก็จะยังใช้ร่างกายหนักหน่วงเหมือนเดิม และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องบอกลา Amed Beach จากที่ตอนแรกไม่อยากมากลายเป็นว่าที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราจะคิดถึงมากที่สุด
มุ่งหน้ากลับ Kuta กันเถอะ
5 วันสุดท้ายของเราที่บาหลี เราตัดสินใจจะให้ร่างกายได้พักผ่อน กิจกรรมในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนชายหาด ดูผู้คนทำกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบ นั่งยิ้มกับท้องฟ้า ทะเล สายลม และแสงแดด
แต่เพื่อนไม่ยอมปล่อยให้เราได้พักผ่อนนาน ไปค่ะ! ไปเที่ยวกันต่อ รู้ว่าเรารักธรรมชาติหน่อยนี่ก็พาไปแต่น้ำตก จริงๆ ตัวเราไม่ได้มีปัญหากับน้ำตก แต่เรามีปัญหากันทางขึ้นต่างหาก น้ำตกที่เรามาวันนี้ชื่อPengempu Waterfall เราก็พยายามยื้อเวลาที่จะอยู่ที่น้ำตกสุดชีวิต เพื่อนบอกว่าถ้าเธอไม่รีบขึ้นจากน้ำเราจะไปสถานที่ต่อไปกันไม่ทัน ดูมันค่ะ! เอาสถานที่ท่องเที่ยวมาล่อ ก็ต้องตัดใจยอมขึ้น สุดท้ายกลายเป็นว่า เฮ้ย! ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดนี่หว่า เราเดินมาถึงด้านบนเป็นคนแรก หันกลับไปมองเพื่อนตัวเองแต่ละคนหมดสภาพมาก
ระหว่างทางที่กำลังจะไปสถานที่ต่อไปเราผ่านตลาดนัด เลยตัดสินใจกันว่าแวะหาอะไรทานก่อนที่จะเริ่มเดินทางกันต่อ ตอนแรกว่าจะเล่าข้ามตลาดนัดไป แต่เพื่อนเราไปได้ของดีจากตลาดนัดมา เอาหน่ะ! เล่าสักหน่อยละกัน
น้ำในขวดที่เห็นเรียกว่า ตูอัก (Tuak) เป็นเครื่องดื่มที่หมักด้วยยีสต์จากปาล์ม เอาแบบเข้าใจง่ายก็ สาโท นั่นแหละค่ะ รสชาติหวานทานง่าย รู้ตัวอีกทีเมาแล้ว มาบาหลีทั้งอย่าลืมลองหาของท้องถิ่นทานกันนะ จะได้มาไม่เสียเที่ยว
เพื่อนพาเรามาปิคนิคที่ Bedugul ให้ความรู้สึกเหมือนสวนรถไฟบ้านเรา แต่กว้างกว่าหลายเท่าตัว เพราะมันกินพื้นที่ภูเขาเกือบทั้งหมดบวกทะเลสาบเข้าไปด้วย เดินให้ไส้ไหลกันไปข้าง อากาศที่นี่เย็นสบายถึงแม้จะมีแดดแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด นั่งเรื่อยเปื่อยไปได้ไม่ถึงชั่วโมง เพื่อนก็เสนอทางเลือกขึ้นมาว่าเราควรจะไปนั่งเรือเที่ยวรอบทะเลสาบหรือจะไปวัดกันดี
เดี๋ยว! ใจเย็น ๆ นะทุกคน จะรีบไปไหนกัน ขอชะนีถ่ายรูปก่อน
เราเลือกที่ไปวัดแทนการนั่งเรือชมทะเลสาบ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพื่อนจะพาไปวัดไหน รู้แต่ว่าอยู่ไม่ไกลจาก Bedugul เราเข้าใจว่าเป็นวัดท้องถิ่นนักท่องเที่ยวไม่เยอะ พอไปถึงนึกว่าอยู่สนามบินผู้คนที่มาวัดนานาชาติมาก แหม บอกขนาดนี้แน่นอนละ วัดนี้ต้องมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
วัดนี้ชื่อ Ulun Danu Bratan วัดนี้เป็นวัดที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของบาหลีในการโฆษณาเชิงท่องเที่ยว เอกลักษณ์ของวัดนี้คือมีเจดีย์ตั้งอยู่กลางน้ำ น่าเสียดายค่ะ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงน้ำลงอย่างที่เห็นในภาพ ถึงแม้น้ำจะน้อยแต่ก็ไม่ทำให้ความขลังและความสวยงามของสถานที่นี้ลดลง สวนดอกไม้บริเวณโดยรอบยังคงแข่งกันบานรับแสงแดดรอต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน
จบวันเดย์ทริปกับเพื่อนบาหลีไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บางครั้งการได้เที่ยวกับเพื่อนถึงแม้จะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างสุดท้ายแล้วเราทั้งหมดต่างก็มีความสุขและความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน
วันสุดท้ายที่บาหลีเราเตรียมตัวเก็บกระเป๋าในตอนกลางวัน เพราะตอนเย็นเราแพลนที่จะไปเยือนสถานที่หนึ่งในบาหลีเป็นที่สุดท้ายก่อนบินกลับประเทศไทยในเช้าวันรุ่งขึ้น สถานที่นี้เราตั้งใจจะมาเป็นที่แรกหลังจากเครื่องลงจอด แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างเลยทำให้เราได้มาเยือนสถานที่นี้เป็นการปิดท้ายทริปบาหลี
Tanah Lot วิหารกลางทะเล แม้ตอนที่เรามาถึงจะค่อนข้างเย็นแล้วก็ตามแต่นักท่องเที่ยวก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณวัด บางคนจับจองที่นั่ง บางคนยืนเกาะกลุ่มเพื่อถ่ายรูป เราเชื่อทุกคนที่อยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ต่างมีจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือ รอชมพระอาทิตย์ตกดิน เราไม่รู้ว่าพระอาทิตย์ตกที่นี่ต่างจากที่อื่นยังไงแต่มันทำให้เรารู้สึกว่า
....เรายังไม่พร้อมสำหรับการกลับบ้านในวันพรุ่งนี้เลย….
การเดินทางของทริปนี้อาจไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ออกจากพื้นที่ปลอดภัยในห้องอันแสนแคบเพื่อเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อโลกทั้งใบให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ไม่แน่เราอาจจะได้พบกับพื้นที่ปลอดภัยแห่งใหม่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้
เราเชื่อว่าทุกการเดินทางมีอะไรรอเราอยู่ระหว่างทางเสมอ มิตรภาพ ประสบการณ์และเรื่องไม่คาดฝัน บางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมองว่าเล็กน้อยอาจเป็นบทเรียนที่สำคัญในชีวิตเราในอนาคต ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำดูสักครั้ง แม้ในวันนี้มันอาจจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคตมันใกล้มันจะกลายเป็นเรื่องโจ๊กในวงเหล้าที่ไม่ว่าเราจะนั่งนึกย้อนไปสักกี่ครั้งเราก็ยังคงหัวเราะและมีรอยยิ้มกับมันเสมอ ในชีวิตนี้เราไม่เคยเขียนอะไรยาวขนาดนี้มาก่อนเลยนอกจากบัณฑิตนิพนธ์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ระยะเวลาการเดินทางของเราคือ 3 สัปดาห์ค่ะ เห็นไปนานขนาดนี้แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้เราไม่ได้รบกวนที่บ้านเลย เป็นเงินที่เก็บจากน้ำพักน้ำแรงเราเองค่ะ แลกเงินจากไทยไป 400 ดอลลาห์สหรัฐ รวมค่าที่พักบางส่วนที่จ่ายไปแล้วก่อนหน้านี้กับตั๋วเครื่องบิน ตกรวมๆ ประมาณ 20,000 บาทค่ะ ไม่เกินนี้ ค่อนข้างที่จะวางแผนเรื่องเงินไว้รัดกุมระดับหนึ่ง เผื่อเงินสำรองไว้ฉุกเฉินติดในบัญชีไว้ถ้าไม่พอจริง ๆ ก็จะกดออกมาใช้ มีการหักค่าธรรมเนียมการกดเงินในต่างประเทศประมาณ 100 บาท ซึ่งก็โชคดีค่ะ เงินส่วนนี้ไม่ได้เอาออกมาใช้
ขอบคุณที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของเรานะคะ ไว้พบกันใหม่ในทริปหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ใครมีความคิดเห็นดี ๆ ก็อย่าลืมบอกด้วยนะ หวังว่าเราจะได้มีโอกาสได้มาเม้ามอยให้ทุกคนฟังอีกค่ะ
ป.ล. สามารถติดตามความชะนีกันต่อได้ใน Instagram : @acaciapennata หรือใครมีคำถามก็ DM เข้ามาได้นะคะ
I hope you'll enjoy the rest of the flight, and we're looking forward to see you again, Thank you for traveling Cha-Om's Country miles ... Lonely Cha-nee
Acacia Pennata Cha-Om
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.55 น.