Kyushu ( 2nd trip )
ก่อนอื่นเลย ทำไมต้องคิวชู คิวชูคืออะไร อยู่ที่ไหนยังไง หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ แต่นี่เป็นทริปที่2ของเราแล้วสำหรับที่นี่ อย่างแรกเลยที่เลือกไปคิวชูครั้งแรกเพราะอยู่ญี่ปุ่นมานานตะลอนๆไปทั่วแต่ยังไม่เคยลงไปทางเกาะใต้ซักที เลยค้างคาใจมาก ต้องไปให้ได้!!! สำหรับรอบสองเหตุผลที่กดจองตั๋วไปแบบสติหลุดลอยคือ ตั๋วซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง!!! กดแบบไม่คิด กดแบบสติหลุด กดไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะลางานได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้กดอาจจะนอนไม่หลับไปทั้งปี (เวอร์สุด)
รีวิวรอบสองก่อนเพราะทริปนี้เพิ่งไปมาเมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา (ดองมานาน) ต้นเดือนกันยายน ไปดูอะไรหรอ? ซากุระ....ก็ไม่มี ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสี อากาศก็...ยังร้อนอยู่ วันที่ไปก็ยังไม่มีดอกไม้ไฟ เออแล้วไปทำไมตอนที่มันไม่มีอะไรล่ะฟร่ะ!? แหมก็บอกว่าตั๋วมันถูกสติสตังค์ไม่อยู่กะเนื้อกะตัวไงล่ะ !!!
ในเมื่อไฮไลท์ไม่มี งั้นเราจะโฟกัสเรื่องเดียวเลย กิน กิน กิน ใครไปญี่ปุ่นแน่นอนต้องไปโดนของเด็ดของดังเค้าให้ได้ ซูชิเอย ราเมง เนื้อย่าง บลาๆ เอาจริงๆคือเราเกิดมาเพื่อการกิน “กินอย่างEnjoyที่สุด"คือมิชชั่นในทริปนี้
เมื่อมีตั๋วในมือแล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือ “แพลน"ค่ะ จะไปไหน ทำอะไรบ้าง ผู้ร่วมชะตากรรมที่ถูกถามเช้าเย็นว่าอยากไปไหนก็หนีไม่พ้นแฟนเราเอง (คือเอาจริงๆเราอินมาก เรื่องญี่ปุ่นขอให้บอก พูดได้เป็นวันๆ นางคงรำคาญไม่น้อย555) เมื่อได้แพลนมาเราก็คำนวนงบประมาณการใช้จ่ายว่าต่อคนควรแลกเงินไปมากแค่ไหน
ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบิน Jetstar -5,500/คน (โปรซื้อ1แถม1)
ค่าโหลดกระเป๋าขากลับ-500 (ขาไปเราไม่โหลด ใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วถือขึ้นเครื่องเลยค่ะ)
ค่าโรงแรม (ร.ร.2-3ดาว,เรียวกัง1คืน) รวม 4 คืน-3,070บาท/ต่อคน
ตั๋วรถไฟ JR Pass north kyushu3day- 2,340 (H.I.S. โปรงานท่องเที่ยว)
แลกเงิน เรา-40,000เยน แฟน-80,000เยน (เรท0.2680)
ประกันการเดินทาง – 510/คน (MSIG ได้บัตรกำนัลStar Buck 100 บาท)
Pocket wifi – 573บาท (1,145บาท/5วัน)
ค่าโรงแรมถูกเพราะ เลือกวันที่ถูกที่สุด เช่นที่พักในเมืองนอนวันธรรมดา ที่พักแพงๆอย่างเรียวกังใช้pointในagodaแลกลดราคาเอา
แลกเงินเรทถูก เพราะเราแลกกับคนญี่ปุ่นในออฟฟิตได้เรทดีสุดๆ (super rich 0.285)
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 12,492+10,680(pocket money)=23,172บาท ต่อคน
สำหรับเราการไปเที่ยวอะไรที่ประหยัดได้เราจะพยายามหาทางประหยัด แต่ค่ากินและกิจกรรมต่างๆเราจะเต็มที่
แพลนคร่าวๆก่อนไป (สิ่งที่คิด)
แต่...ความจริงนั้น
ไฟลท์ตีสอง ไปถึงสนามบินตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง พูดได้ว่าพร้อมมาก เช็คอินเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปกันสนุกสนาน ดูของในDuty free
ลั้นลา ลั้นลา
เรา : เออเธอเดี๋ยวพอเราไปถึงเราก็จะไปแลกตั๋วรถไฟ ฟะฟะ เฮ้ยอ้วน ตั๋วรถไฟอยู่ไหนอ่ะ อยู่ไหน!!! ทำไมลืมเรื่องนี้ไปเลย เฮ้ยนึกไม่ออก (ร้อนรนๆ)
ตอนนั้นหน้าเสียมาก คือตั๋วซื้อมาในราคาโปรแล้วแพลนทุกอย่างแล้ว จองทุกอย่างแล้ว แต่นึกไม่ออกว่าเอาตั๋วรถไฟไว้ไหน
รีบโทรหาพี่ชายให้ช่วยดูให้ โทรๆสิบกว่าสายไม่รับ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทำไงดี คือจะร้องไห้แบบถอดใจแล้วว่าต้องไปเสียตังค์อีกแน่ๆ สายสุดท้ายที่โทร ฮัลโหล นางรับในที่สุด โอ้วบร๊ะเจ้า
เรา : แกช่วยดูหน่อยว่าตั๋วอยู่ไหน ในตู้มีมั้ย ลิ้นชัก ชั้นวาง กระเป๋า
พี่ชาย : ไม่มีนะ เออหน้าตาเป็นไง
เรา : อธิบายๆ ในซองขาวๆมีมั้ย
พี่ชาย : เออ...เจอล่ะ
สวรรค์มาโปรดมาก! วินาทีนั้นน้ำตาแทบร่วง คือตั๋วสองคนรวมกัน สนนราคาเกือบ5,500บาท ชั้นรักพี่ชาย(เสียงเกาหลี)
พี่ที่แสนดีรีบบึ่งรถเอามาให้ที่สุวรรณภูมิ (ดีที่บ้านอยู่บางนา) เราก็รีบไปขอ ตม.ออกไปเอาตั๋วข้างนอกได้ ยังดีที่ไฟลท์ตีสอง และเราก็รู้ตัวเร็ว เฮ้อออออ เกือบไปแล้วสินะ เฮอะๆทริปนี้เริ่มด้วยฟามระทึกจีจีเลย TT
Day1
เครื่องลงปุ๊ปก็ไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน นอนบนเครื่องมาทั้งคืนตื่นมาก็ต้องรีเฟรชตัวเองซะหน่อย ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟเข้าไปในเมืองแต่เห็นมีตั๋วรถบัสขายแบบ one day pass เออถูกแฮะ เอาอันนี้แหละ ชิวๆ
จากสนามบินเข้าเมืองไม่ไกลค่ะ ถ้ารถไฟก็ประมาณ15นาที รถบัสก็ประมาณ25-30นาที เรามุ่งหน้าไปสถานีฮากาตะ(Hakata station) รถบัสลงได้สองฝั่งของสถานี เราเลือกลงด้านหน้าของสถานีค่ะ รร.ที่เราพักคืนแรกเดินจากสถานีฮากาตะประมาณ10นาที ตอนหาทางไปก็ได้พี่กู(google map)พาเดินวนๆเฉียดไปเฉียดมาไปประมาณเกือบครึ่งชม. ถือเป็นการวอร์มร่างกายได้ดีมากค่ะ #ปาดเหงื่อแพพ
มื้อแรก ต้องจัดราเมง ฮากาตะถือเป็นเมืองต้นตำรับราเมงเจ้านี้ เป็นเจ้าประจำ เจ้าในดวงใจ รสชาติถูกปากสุดแล้ว เปรียบเสมือนชายสี่หมี่เกี๊ยวที่มีหลายสาขาแต่ไม่ได้อยู่หน้าเซเว่น “Ichiran ramen" (ราเมงข้อสอบ)
อันนี้แบบ เบสิค
จัดเต็มต้องแบบนี้ เคล็ดลับทำยังไงให้สอบผ่านคือ ดิ่งกลางแล้วชีวิตจะดีค่ะ เชื่อเรา :p
ราเมงธรรมดา 980เยน ถ้าเพิ่มtopping ก็อย่างล่ะประมาณ 100-300เยน มื้อนี้สองคน 2,260 เยน
อิ่มแล้วก็นั่งรถบัสออกไปเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย คันไหนมาก่อนก็โดดขึ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ชิวดีนะ นั่งรถชมเมืองถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จน จน.... จนหลงค่ะ ก็พึ่งพาพี่กูอีกครั้ง จากเดิมที่เราจะไปcanal city ก็กลายเป็นไปศาลเจ้าแทนล่ะกัน เออดีเนอะ ฟรีสไตล์ 555
พักกินไอติมก่อน
ตู้เซียมซี
ศาลเจ้าคุชิดะหรือที่ผู้คนรู้จักกันในนาม"เทพผู้พิทักแห่งฮากาตะ" (Kushida Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเล็กๆแต่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาค่ะ(หล่อนหลงมาไม่ใช่หรอออออออ!!!!)
เดินไปเดินมาจนออกมาด้านหลังศาลเจ้า เจอขนมโมจิย่างของขึ้นชื่อ ต้องลองซะหน่อย
ด้วยความบังเอิญ อ้าวเฮ้ย canal city ยะ ยะ อยู่ตรงนั้น! แหมอะไรมันจะลงตัวขนาดนี้ "จริงๆเราแพลนไว้แล้วแหละเธอ" ยิ้มมุมปาก หันไปชมตัวเองกับแฟน
ที่อยากมาที่นี่เพราะมูมินคาเฟ่ค่ะ แฟนเรานางมาสายแบ๊ว รีเควสมาเลยว่าขอมาอันนี้
มูมินคาเฟ่มีอยู่สองแห่งในญี่ปุ่น เมืองโตเกียวและฟุกุโอกะ
เราว่าเมนูไม่มีอะไรมากมาย ราคาก็แพงเอาเรื่องเลย แถมรสชาติก็ธรรมด๊าธรรมดา น้องมูมินก็มีกลิ่นตุๆด้วยสิ รวมๆแล้วได้ถ่ายรูปมุ้งมิ้งคะแนนเลยขึ้นมาหน่อย ให้ 5/10 ล่ะกัน
มื้อนี้ 1,700 เยน o_O!
เดินเล่นต่อ
เมื่อเดินขึ้นๆลงๆอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เราก็เริ่มหิว มื้อเย็นวันนี้ "ซูชิ" ร้านที่เราประทับใจตั้งแต่รอบที่แล้วที่มากินตามรีวิว คือสด อร่อย ราคาไม่แรง เสียอย่างเดียวคนเยอะมากไปถึงก็ต้องต่อคิวรอประมาน15-30นาทีแล้วแต่ปริมาณคนค่ะ คราวนี้เรามาลองกินมื้อเย็นกันบ้าง
ร้านเฮียวตันซูชิ Hyotan ひょうたん寿司
โอโทโร่
อุนิ
อิคุระ ล้นๆ
ขาปูทาระบะ ออนท็อปด้วย คานิมิโซะ(มันปู) Hotate หวานๆเด้งๆ
เรื่องกินพี่จริงจังนะ อร่อย ฟินเฟร่อออออออ 100/10 !!!!
มื้อนี้ 7,030 เยน ราวๆ 1,8xx บาทค่ะ ถือว่าคุ้มสุดๆ
อิ่มแล้วก็มาย่อยกันที่เกมเซ็นเตอร์ ได้น้องไก่ริรัคคุมะตัวน้อยๆมาหนึ่งตัว
สนนราคาที่ 900 บะ บา บาทๆ เฮ้ย 900บาทเลยนะไม่ใช่900เยน เดี๋ยวๆนี่วันแรก !!! TT
วันนี้จะจบลงไม่ได้ถ้าไม่มีของหวาน ดูปากณัชชานะค่ะ กินคาวไม่กินหวานสันด..ร
โรลครีมดี ชูครีมก็ดี โอ๊ยยยยยยย
แผนที่ : ที่พักคืนที่1 ให้4/5 สะอาด ใกล้สถานี ห้องแคบไปนิดนึง ราคานี้ไม่มีอาหารเช้าค่ะ
Hotel APA hotel hakata-ekimae : 2,020 บาท (agoda)
Day 2 Yufuin-Buppu
วันนี้เรามีมิชชั่นคือ การนั่งรถไฟสายสีเขียวสุดโรแมนซ์ ไอติมอร่อยเฟร่อ (บอกแล้วว่าเน้นเรื่องเดียว) YUFUIN NO MORI ความยากของการนั่งรถไฟขบวนนี้คือ วันนึงวิ่งแค่ไม่กี่รอบแถมตารางมีเปลี่ยนด้วยนะ คือเราไปถึงแล้วต้องไปเช็คและจองหน้าเคาท์เตอร์อีกที เผื่อเวลาซักชม.กว่าๆจะเซฟสุด
ทางไปเปิดตั๋ว JR Pass
เนื่องจากออกเช้ามากเลยยังไม่ค่อยมีร้านอะไรเปิดเท่าไหร่ เราก็เลยลงไปหาอะไรกินชั้นใต้ดินของห้างในสถานีรถไฟกัน
580 เยน
ต่อด้วยนั่งชิวร้านกาแฟ แหมเวลาเยอะจริงๆ
ขึ้นรถรอบ 9.24am. จะถึงประมาณ 11.30am.
ปล.ไอติมบนรถไฟขบวนนี้อร่อยมากจริงๆ รสวานิลลา รสนวลสุดๆ ใครมาแล้วห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง(อันนี้สำคัญมาก)
วันนี้เรานัดเพื่อนไว้ที่สถานียูฟุอิน นัดด้วยความบังเอิญที่นางมาเที่ยวยูฟุอินวันนี้เหมือนกันเลย ดี๊ดี ถึงแล้วก็ไปหาไรกินก่อนเลย
จัดราเมงอีกล้าวววว
ราเมงใส่ข้าวโพดและเนย หอมมันฝุด ใครอย่ามานับแคลแถวนี้นะ ชามนี้น่าจะเกินพัน (o_O)! ราคา770เยน เพิ่มไข่+50เยน
อันนี้ชุดคอมโบมีข้าวด้วย นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงเค้ากินกันเบาๆใช่ไม๊!???
ราเมงแบบเผ็ด
มื้อนี้ราคา คนละประมาณ850เยนค่ะ ราเมงราคานี้ถือว่าไม่แพงนะ
เมื่อกองทัพอิ่มกันแล้วก็ได้เวลาออกไปลุย! ยูฟุอินเป็นเมืองเล็กๆที่มีกิมมิกน่ารักเต็มไปหมด ทั้งร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของต่างๆ ก็ตกแต่งได้มุ้งมิ้งกุ๊งกิ้งฟรุ้งฟริ้ง น่ารักไปหมด ใครที่อยากเดินให้ครบทุกร้านเก็บทุกซอยก็ควรมีเวลาซัก3-4ชม.เลยค่ะ
เฮ้ยแกร๊ อยู่เมืองนี้แล้วรู้สึกว่าแบ๊วขึ้นซักสิบปีแสงอ้ะแกรรรร
ระหว่างทางร้านซอฟครีมก็มีเยอะเหมือนเซเว่นบ้านเรา ขวามี เยื้องๆกันทางซ้ายก็มี กินไปหนึ่งคำเจออีกร้านอะไรแบบนี้เลย คือน่ากินไปหมดอยากกินให้ครบแต่พี่ไม่สู้ พี่ไม่ไหวจริงๆ
รูปจากนี้ไปขออภัยคนนอนดึกและคนไดเอ็ตทั้งหลายด้วยเด้อ ข้อยบ่สิได้ตั้งใจ๋เด้อ
แค่เห็นร้านพี่ก็จุกแล้วคร่าาาา แต่ซอฟครีมดีมากจริงๆนะเทอว์
ร้านของเล่น
หลังจากที่เดินเข้าทุกซอยเก็บทุกร้าน คุณแฟนเดินผ่านร้านของเล่นแล้วนางก็หายไปในโลกของนางเลยข่า จนพลาดรถด่วนขบวนสุดท้าย (เสียงงงงรถด่วนขบวนสุดท้ายยย...) ไปแล้วเราก็ต้องนั่งรถไฟฉึกฉักแบบหวานเย็นกันไปเกือบชม.จนถึงสถานีโออิตะแล้วต่อพี่โซนิคไปเบปปุแค่7นาที เร็วฝุดๆไปเลย
เบปปุเมืองแห่งบ่อน้ำร้อน คือออนเซนนางดังมาก ไหนจะบ่อน้ำร้อนที่ชื่อบ่อนรก บ่อโคลน บ่อๆเยอะแยะไปหมด เอาเป็นว่าเบปปุเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำแร่ชั้นดีที่ขึ้นชื่อในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ (สาระมาเต็ม) มาเมืองนี้ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ “แช่ออนเซน" เราไปถึงราวๆ5โมงครึ่งยังไม่มืดเลยแต่คนไม่ค่อยมี เงียบๆเบาๆ เป็นเมืองที่ฮิปเตอร์มาก ขนาดเดินเข้าไปตามถนนชอปปิ้ง หรือถนนใหญ่ก็เงียบๆ เอ๊ะนี่มันเหมือนในเรื่องspirit awayตอนที่ครอบครัวเดินหลงเข้าไปในเมืองผีนั้นเลย พอเช็คอินเรียวกังที่จองไว้ ต่อหนึ่งห้องสามารถจองห้องแช่ออนเซนแบบไพรเวทได้1ชม.โดยไม่คิดตังเพิ่มมีให้เลือกประมาณ 3 ห้อง เราก็เลือกอันที่คนจองเยอะๆ(คิดเองว่าน่าจะดีสุด)
map : Ryokan nogami hongan : 1,334 บาท (แลกpoint agoda)
ในห้องมีห้องน้ำในตัว ภายในเรียวกังมีห้องออนเซนแบบไพเวท3ห้องให้เลือกใช้ฟรี (อันนี้ถ่ายรูปมาไม่ได้)
ปล.ปกติเรียวกังราคานี้หายากบวกกับมีห้องออนเซนแบบไพเวทด้วยคือเริ่ดมาก ราคานี้ไม่มีอาหารนะคะ
ระหว่างรอคือโคตรหิว จะไปกินที่ไหนก็ถามที่รร.เอา ไอ้เราก็อยากโดนเนื้อย่างก็เลยจัดไป
หนูมาสายนี้ค่ะ #สายหอย
ลิ้นวัว
เนื้อๆ
มื้อนี้ ประมาณ3,000เยน ยังมีเนื้อคารุบี้ที่ถ่ายไม่ทันและเบียร์สดเย็นๆอีกด้วย
ปล.คือ เด็กเสริฟดีอ้ะ (ร้านเนื้อย่างเนี่ย พ่อค้าแซ่บนัก! เจอมาหลายร้านแซ่บๆต้องเนื้อย่างจริงๆ)
กลับมาเรียวกังเราก็รีบเปลี่ยนชุดเพื่อไปแช่ออนเซนนนนนกัน Let's go!!!
ออนเซนญี่ปุ่นก็อย่างที่รู้ๆกันคือ แก้ผ้า อาบน้ำล้างตัว แล้วถึงจะลงไปแช่ได้ คือน้ำร้อนขนาดชงชาได้ คือร้อนมาก เพราะอากาศร้อนด้วยเลยยิ่งทวีคูณ ปกติเคยแช่แต่หน้าหนาวอันนั้นฟินเฟร่อมากค่ะ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เราแช่ออนเซนหน้าร้อน ต้องค่อยๆราดน้ำร้อนที่ตัวก่อนเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกาย พอเริ่มชินก็ค่อยๆลงไปแช่ ผิวจะลื่นๆ คนญี่ปุ่นผิวดีเพราะอาบน้ำแร่แช่ออนเซนเนี่ยแหละเท้อออ แถมแก้อาการเหนื่อยเมื่อยล้าได้ดี ผ่อนคลายมากๆ เฮ้อหลับสบาย....
Day 3 Kumamoto
ออกจากเบปปุไปคุมาโมะโตะแต่เช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ3ชม.เพราะต้องไปเปลี่ยนรถที่hakata station เลยเสียเวลาไปหน่อย (ทีแรกคิดว่าเปลี่ยนรถที่ Kokura station ได้จะใช้เวลาแค่2ชม.แต่JR pass แบบที่ซื้อไปใช้กับสถานีนี้ไม่ได้ค่ะ) พอถึงคุมาโมโตะปุ๊ปก็รีบไปถ่ายรูปพี่หมีคุมะมงก่อนเลย
จากนั้นซื้อตั๋วรถรางแบบ oneday pass วันนี้จะเที่ยวหลายที่ค่ะ
ซื้อได้ที่นี่
ที่พักเราคืนนี้ APA มาคุมาโมะโตะสองครั้งก็เลือกพักที่นี่ตลอด แนะนำเลยสำหรับใครที่จะไปเที่ยวที่นี่
1. เดินทางสะดวก ใกล้สถานีรถราง 2.ใกล้แหล่งท่องเที่ยว 3.ค่อนข้างสะอาดและใหม่กว่าหลายๆสาขา
ส่วนตัวเราชอบพัก APA มากกว่า Toyoko inn เพราะราคาไม่ต่างกันมากแต่ใหม่กว่า โลเคชั่นก็ดีพอๆกัน
Map : APA hotel kumamoto kotsu center minami : 2,340 บาท (booking.com) ไม่มีอาหารเช้าค่ะ
ของกินดังเมืองพี่หมีก็จะมี ราเมง เนื้อม้า หมูคุโรบุตะ อะไรประมาณนี้ค่ะ เก็บกระเป๋าเสร็จก็หิวมาก ณ จุดนี้ เที่ยวเอาไว้ก่อนเลย รีบไปหาของอร่อยกินอย่างด่วน !!! ร้านที่ปักหมุดไว้ต้องมากินให้ได้คือ ร้านทงคัตซึเจ้าดัง อยู่ตรงถนนช้อปปิ้ง Sun road
พิกัด : โดยสารรถราง A-Line ลงสถานี Karashimacho จะพบทางเข้าถนน Sun Road Shin-shigai อยู่ทางขวามือ
เดินตรงเข้าไปจะเจอร้านปาจิงโกะทางขวาจะเจอซอยเล็กๆให้เลี้ยวเข้าไปเลย จะเห็นป้ายแบบนี้
เห็นคนเยอะๆก็แปลว่ามาถูกแล้ว แนะนำให้ไปก่อนบ่ายสามโมง(ช่วงกลางวันจะขาย lunch set ราคาจะถูกกว่าดินเนอร์)
เราสั่งส่วนมันน้อย
ส่วนเฮียเค้าสั่งแบบมันเยอะ
คือดีงามสมกับที่อดข้าวมาเพื่อสิ่งนี้ พูดได้เต็มปากว่าเป็นข้าวหมูทอดที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมา(อันนี้ไม่โม้นะ) ขนาดแฟนเราเป็นคนไม่ชอบกินพวกหมูทอดยังพูดเป็นเสียงเดียวกัน Recommended!!! 1000/10
กัดไปนี่กรอบกร๊วบแต่ไม่อมน้ำมัน เนื้อหมูชุ่มช่ำด้านในบวกกับไขมันที่แทรกอยู่ ซอสกลมกล่มมีรสเปรี้ยวนิดๆตัดเลี่ยนได้ดีบวกกลิ่นหอมของงาบด โอ้ว จอร์จมันยอร์ชมาก!!!!!!!!!!!!! อร่อยเท้าลอย นี่พิมพ์ไปกลืนน้ำลายไป
มื้อนี้ราคา
เอาล่ะ เราควรจะพักเรื่องกินแล้วไปมีสาระกับการเที่ยวบ้างนะ สถานที่แลนด์มาร์กของเมืองพี่หมีก็หนีไม่พ้น ปราสาทคุมาโมโตะ จัดเป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น
ระหว่างทาง
ถึงแย้ววววววว ซื้อบัตรก่อน คนล่ะ200เยน
วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ต่อด้วยถนนช้อปปิ้งที่เราสามารถเดินจากปราสาทมาทะลุได้เลย แล้วเดินยาวไปถึง sun road ถนนช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเมืองไหนๆ ลักษณะจะคล้ายๆกัน ซุ้มประตูแบบนี้ ร้านรวงแบบนี้ ดูแล้วมันใช่อ่ะ ต้องเสียตังแล้วอ่ะ ;p เราจะชอบเข้าร้านมือสองหรือร้านขายของสไตล์ร้านโชว์ห่วย เพราะมักจะเจอของเก่าน่าสะสมหรือของที่เราเคยเห็นตอนเด็กๆ เดินแล้วเพลินดี
มีพี่หมีทุกที่เลย
เดินมาสักพัก อ้าวหิวอีกแล้วอ่ะ ทริปนี้เรื่องกินเรื่องใหญ่ค่ะ เนื่องจากกระเป๋าเราเริ่มเบาหลังจากโดนมื้อหนักๆมาหลายมื้อติดต่อกัน ก็ต้องหาของถูกและดีกินกันตามฐานะ เดินไปเดินมาเจอร้านซูชิในดวงใจอีกร้านที่สมัยเรียน ถ้าเข้าเมืองและพอมีตังค์หน่อยจะเลือกกินร้านนี้ “sushi sanmai(寿司さんまい)" ร้านนี้ดีงามอย่างไร?
1. ของสด เจ้าของร้านนี้ชนะการประมูลปลาจากตลาดซึกิจิน่าจะเกือบทุกปีถ้าจำไม่ผิด
2. ราคาไม่แรงคุณภาพดี
3. ชอบจัดโปรลดราคาบ่อยๆ
อิ่มอร่อย มื้อนี้สองคน ประมาณ 2,000เยน มีเบียร์สดด้วยนะ อาหย่อยยยยยย
ก่อนกลับแวะเดินเล่นดองกี้หน่อยนึง
มื้อดึก กรุบกริบๆ
กลับจริงๆล่ะ
Day4 Fukuoka
นั่งรถกลับไปฟุกุโอกะกันแต่เช้า ใช้เวลาประมาน1ชม.ค่ะ คุณแฟนรีบวิ่งไปซื้อข้าวกล่องไปกินบนรถไฟ เราก็รีบวิ่งไปจองตั๋ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และสิ่งที่นางได้มาก็คือ
ข้าวกล่องพี่หมีคุมะมง คิ้วๆ
ถึงสถานีฮากาตะแล้วท้องก็ร้องโครกครากพอดี พุ่งไปเลยค่ะ ร้านราเมงที่เค้าว่าเด็ดเป็นร้านเจ้าดังหนึ่งในหลายๆร้านที่ควรค่าแก่การไปชิม ถามทางพี่กูไปเรื่อยๆ พี่กูก็พาวนอีกกว่าจะเจอร้านก็หิวมากๆ ดีที่มาถึงราวๆ11โมง คนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ ร้านเดินจากสถานีไปประมาณ10นาทีค่ะ
แท่นแท่นแท้น ร้าน Hakata ikkousha ramen
ร้านนี้ขึ้นชื่อที่ซุปดำ และเกี๊ยวซ่ากรอบๆ ชิ้นเล็กพอดีคำ หื้อออพูดแล้วน้ำลายไหล
โดยส่วนตัวเราชอบกินราเมงเส้นเล็กแบบนี้ พอมาคิวชูต้นตำหรับราเมงซุปกระดูกหมูกับเส้นเล็กๆแบบนี้แล้วก็ฟินมาก ซุปหอมรสชาติเข้มข้น (ใครชอบอิจิรัน อยากให้มาลองร้านนี้) แฟนเราบอกเค็มไปหน่อยแต่หันไปอีกทีคือนางกินหมดก่อน 8.5/10 จริงๆมีอีกหลายร้านที่อยากไปลองแต่มา 5 วันกินราเมงไป 3 มื้อแล้ว เราก็ควรจะพักไว้ก่อน...
ที่พักคืนนี้ก็หนีไม่พ้น APA อีกแล้ว สาขานี้ไม่ใกล้กับรถไฟแต่อยู่ใกล้สถานีรถบัสค่ะ ที่เลือกที่นี่เพราะขากลับไปสนามบินจะได้นั่งบัสไปได้เลย ไม่ต้องขนกระเป๋าขึ้นลงสถานี นั่งบัสไปเลยยาวๆสะดวกดี
Map : APA hotel fukuoka-watanabedori : 400 บาท (แลก point agoda)
400บาทสำหรับโรงแรมในเมืองประเทศญี่ปุ่น ถูกยิ่งกว่าไปกินปิ้งย่าง ถูกเหมือนให้ฟรี ถูกจนอยากโทรไปขอบคุณ agoda
กราบงามๆค่ะ -/\-
วันนี้เป็นวันช้อปปิ้ง เดินชิลในเมืองค่ะ ฝากกระเป๋าแล้วเดินออกมา โค้งปุ๊ป ชะงักเลย! เจอร้าน 100เยน
เออ...คือ เงินสะพัดมาก ณ จุดนี้ ในหัวคิดแค่ “วันนี้วันสุดท้าย อร๊ายน่ารักจุง เฮ้ยถูกว่ะ" มือก็หยิบๆ จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ซื้ออะไร จบเลยชีวิต พังสุด
ความพีคของวันนี้คือ “ตังค์หมด" ค่ะ T^T เดินต่อตาละห้อย ซื้ออัลไลก็ไม่ด้ายเลี้ยวโว๊ยยย 3,000เยนสุดท้าย มันจะไปพอยาไส้อะไรกับกระเพาะวัวอย่างเราล่ะคุ๊ณณณณ (หนูเป็นผู้หญิง4กระเพาะค่ะ)
เหมือนโดนสะกดจิตให้เดินไป หยอดเหรียญ หมุน แกะไข่ หยอดเหรียญ หมุน แกะไข่ หยอด..
เราชอบตัวนี้มาก กรี๊ดกรี๊ด
เดินเล่นไปเรื่อยๆ ฝนก็ตกปอยๆ ต้องคอยหลบเป็นระยะๆ
ในที่สุดแกก็นอนตายตาหลับแล้วสินะ หลังจากที่นางสอยกรีนแมนมาจากตู้ได้ในราคา2,000เยน
เรายังคงคติ กินคาวไม่กินหวานสันด... เพราะงั้น
ร้านนี้ร้านดัง ไปสาขาไหนก็ต้องต่อคิว ตอนอยู่โตเกียวไม่เคยจะได้กินเพราะต่อไม่ไหวจริงๆ ไหนๆเจอแล้วต้องลองซักหน่อย
1,150เยน
ครีมดีมาก แพนเค้กหอม กินเพลินสุดๆ สมแล้วที่ต้องต่อคิวนานๆแต่เดี๋ยวก่อน... จานนี้คือกินสองคนอิ่มมากแต่ ผู้หญิงญี่ปุ่นโต๊ะข้างๆ นางสั่งคนล่ะจานข่า น้องว่าน้องเจอแม่วัวเข้าแล้วล่ะ
พิกัด
มืดแล้วขาเปลี้ยมากแต่ ครืด ครืด คราก คราก นั่นเสียงอะไรเอ่ย น้องหิวแล้วค่ะเฮีย มื้อนี้เฮียเป็นเจ้ามื้อ
อยากกินหมึกซาชิมิของขึ้นชื่อ เจอร้านปุ๊ป สั่งปั๊ป หมดดดดดดดดดดดแล้วววววว โอ๊ยเพลีย มิชชั่นไม่คอมพลีต ตีอกชกหัว โต๊ะข้างๆคือตัวสุดท้าย กระซิก กระซิก ...
แก้ตัวด้วยสิ่งนี้แทน
Last day TT
ตื่นแต่กันแต่เช้า เก็บของๆ โรงแรมนี้ดีตรงที่แค่เดินข้ามฝั่งไปก็เจอป้ายรถบัสที่มุ่งหน้าไปสนามบินได้เลย แต่ควรเผื่อเวลาเดินทางซักชม.เพราะกว่ารถจะมาแล้วเป็นหวานเย็นไม่ใช่รถด่วนแต่อย่างใดค่ะ เราชอบขึ้นบัสเวลาไปสนามบินมากกว่าเพราะไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงสถานีเหมือนรถไฟ ยิ่งถ้ามีกระเป๋าหลายใบและสมองปลาทองของเรา ขนไปขนมาอาจจะไปวางลืมที่ไหนได้อีก เพลเซฟค่ะ ขึ้นปุ๊ปหลับไป ลงสุดสาย คร่อกๆ
เมื่อถึงสนามบินแล้วก่อนจะไปเช็คอินกระเป๋าก็แวะไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจของปลอดภาษีกันก่อน นางแค่ดูคร่าวๆไม่ถึงกับรื้อค้น แค่ยื่นใบที่แนบกับพาสปอร์ตตอนเราซื้อของ กับชี้ของให้ดู นางก็จะปั๊มให้ผ่านค่ะ
ทริปนี้ อิ่ม สนุก แฮปปี้ และทำให้เลิฟเจแปนมากขึ้นไปอีก ใครยังไม่เคยไปคิวชู หรือไปแล้วก็อยากให้ไปกันอีกนะ
ขอนิยามเกาะนี้ว่า “ธรรมชาติงาม ราเมงอร่อย ปลาดิบหวาน หมูดำดี แล้วก็...อย่าลืมตั๋วรถไฟเอย"
บั๊ย จบทริป
#กินแหลกจนตัวแตกที่คิวชู ลาไปก่อน สวัสดีค่า
Whereto Tabi Tabi
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 10.19 น.