สวัสดีค่ะ หยุดยาว 3 วัน ช่วงวันปิยะมหาราช ปี 2558

เราได้ไปเที่ยวใช้ชีวิตแบบเนิบช้า ที่เชียงของ ฮ่าๆๆ ที่บอกว่าเนิบนั้น ก็เพราะเรารู้สึกว่า เชียงของมันเป็นเมืองเงียบๆ เนิบๆ เป็นเมืองชายแดนที่ไม่วุ่นวาย การเดินทางครั้งนี้เราไปคนเดียวอีกแล้วค่ะ นับเป็นการเก็บสกิลการเดินทางในประเทศไทยคนเดียว ครั้งที่สอง หลังจากปีที่แล้วไปเที่ยวเมืองน่านคนดียวมา

เชียงของเราว่าเป็นเมืองที่ออกจะเหงาเล็กๆ นิดๆด้วยซ้ำค่ะ จริงๆแต่ก่อนเคยคึกคัก แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปค่ะ อันนี้เจ้าของบ้านพักที่ไปพักมาเค้าเล่าให้ฟัง ซึ่งเดี่ยวเราจะมาเล่าให้ฟังต่อ ว่ามันเป็นเพราะอะไร

เราเริ่มต้นการเดินทางที่เชียงใหม่ โดยการติดรถเก๋งเพื่อนไปลงที่สถานีขนส่งจังหวัดเชียงรายค่ะ เพื่อนเป็นสาวเชียงราย และเธอจะกลับบ้านที่ อ.เทิง พอดี เราออกกันตั้งแต่เจ็ดโมงกว่าๆ ทำเวลาจากเชียงใหม่ไปเชียงรายได้ดีค่ะ แต่เรามาขึ้นรถโดยสารไปเชียงของได้รอบบ่ายสอง เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้แว่ะเที่ยวร้านกาแฟริมน้ำกกในตัวเมืองเชียงรายก่อนค่ะ

รถโดยสารระหว่างเชียงราย ไป อ.เชียงของ หน้าตาแบบนี้ค่ะ อ้อ พอดีช่วงนี้สถานีขนส่งเชียงรายกำลังก่อสร้างใหม่นะคะ เค้าเขยิบช่องจอดรถโดยสารชั่วคราวออกมาไว้ข้างนอก ใกล้ๆกันนั่นแหล่ะค่ะ ดังนั้น บริเวณสถานีขนส่งจึงไม่สะดวกสบายมากนักค่ะ มีเก้าอี้นั่งรอน้อย และอากาศร้อนพอสมควร

หน้าตารถคันที่จะพาเราไปเชียงของเป็นแบบนี้ค่ะ รถออกทุกครึ่งชั่วโมงนะคะ ไม่แน่ใจว่าเที่ยวสุดท้ายมีถึงกี่โมง แต่น่าจะมีรถถึงเย็นๆโน้นเลยค่ะ ราคาค่าโดยสาร 65 บาทค่ะ ไม่มีตั๋วให้ด้วยนะ เค้าเก็บบนรถเลย แค่บอกว่าจะลงไหน เราก็ลงสุดสายเลยค่ะ


วิวระหว่างทางค่ะ ถ่ายจากบนรถ

บรรยาศในรถ

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. นะคะ กว่าจะถึงจุดจอดถึงที่เชียงของ ซึ่งเป็นตลาดค่ะ

จากตลาดเรานั่งรถรับจ้างไปยังที่พัก ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้ระยะทางว่ามันจะไกล ใกล้ แค่ไหน คนขับรถคิด 40 บาทค่ะ เราก็อ่ะ 40 ก็ 40 บาทค่ะ ปรากฏว่า ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ถึงที่พัก แป่วววว จริงๆเดินได้ก็พอได้เหงื่อค่ะ ถ้าเรารู้ว่าจะมันแค่นี้เราเดินได้อ่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฮ่าๆๆๆ

มาเชียงของครั้งนี้เราเลือกพักที่ "บ้ายตำมิละ" ค่ะ เนื่องจากอ่านมาจากรีวิว ทั้งในพันทิปเอง และรีวิวจากเวป thetrippacker ของคุณ Cocorattankorn ซึ่งถ่ายรูปได้สวยมาก จนทำให้เราอยากตามรอย

นี่เลยค่ะ บ้านตำมิละ ทางเข้า

ทางเข้าไปที่ส่วนต้อนรับของบ้านตำมิละ ด้านซ้ายมือจะเป็นเหมือนร้านขายของที่ระลึกนะคะ

นี่เป็นทางลงไปส่วนที่เป็นเค้าเตอร์ติดต่อสอบถาม จะเห็นได้ว่า ได้บ้านตำมิละจะแทรกตัวอยู่ท่านกลางดงไม้ อากาศเย็น และสดชื่นมากๆค่ะ

ต่อไปจะเป็นรูปบรรยากาศที่พัก คือบ้านตำมิละนะคะ เพราะว่ามาเที่ยวเชียงของครั้งนี้ เราเน้นมาพักผ่อน แบบเนิบช้าค่ะ

(ลืมบอกไปว่าที่พักจะอยู่ติดกับถนนสายที่เลียบริมน้ำโขงเลยนะคะ คือสามารถมองเห็นวิวน้ำโขงได้จากที่พักเลย)

บันไดทางลง อันนี้ถ่ายจากด้านล่างทีพัก ขึ้นไปยังทางเข้า คือต้องบอกว่า ลักษณะของที่พักแถวบริเวณเลียบโขง ที่ อ.เชียงของ นี้จะมีลักษณะเป็นทางลาดชันค่ะ คือส่วนของถนนใหญ่ทางเข้าที่พักจะมีความสูง แต่มันจะลาดชันลงไปเมื่อเข้าใกล้ถนนที่เลียบริมโขงค่ะ

ส่วนนี้คือส่วนที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน front ของทีพักค่ะ มารับกุญแจ หรือสั่งอาหาร หรือจ่ายเงิน หรือติดต่อพี่เจ้าของบ้าน ตรงนี้ได้เลยค่ะ

บรรยากาศที่นั่งทานอาหารของบ้านตำมิละ ถ้าใครไม่ได้มาพักที่นี่ ก็สามารถมาใช้บริการส่วนที่เป็นร้านอาหารได้นะคะ อาหารอร่อย มีเค้กแบบโฮมเมดด้วยแหล่ะ แต่เราไม่ได้กิน แอบเสียดายอยู่ -_-"

จากส่วนที่เป็นห้องอาหาร มองเห็นวิวน้ำโขงด้วย ชิวมากๆเลย

เจ้าถิ่น

รูปในบริเวณบ้านตำมิละ

มาดูส่วนที่เป็นห้องพักกันบ้าง เราจองห้องแบบพัดลมไปค่ะ


อันนี้ระเบียงหน้าห้อง มีเก้าอี้ไม้ให้นั่งชิว ซึ่งจากหน้าห้องมองออกไปก็จะเห็นวิวน้ำโขงค่ะ อาจไม่ชัดมาก มีต้นไม้บังเล็กน้อย แต่มันก็เป็นธรรมชาติดีนะ เราว่า

ในห้องพัก อิอิ เยินเล็กน้อยนะคะ รูปนี้คือผ่านการนอนของเรามา 1 คืนละ น้องที่ดูแลที่นี่ใจดีมาก คือเราบอกว่าจะไปพักคนเดียว ขอห้องพัดลม เค้าโทรกลับมาถามว่าจะเลือกแบบเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ เพราะปกติห้องนึงนอนได้ 2 คน แต่เราไปคนเดียว ไม่อยากได้เตียงแบบ twin ก็เลยได้เป็นเตียงเดี่ยวแบบสำหรับนอนได้ 2 คนมาค่ะ อิอิ ก็กว้าง นอนสบายดีมากเลย ผ้าห่มก็หนา เราอยู่ห้องพัดลม ช่วงที่ไปเป็นปลายฝนแล้ว อากาศก็ไม่ร้อนมากค่ะ เย็นสบาย เปิดพัดลมนอน ดึกๆมีลุกมาปิดเพราะเย็น

เอาละค่ะ ดูส่วนที่เป็นบ้านพักไปแล้ว ไปเดินเล่นริมน้ำโขงยามเย็น กันเลยดีกว่า ที่พักจะมีบันไดทางลงไปยังถนนเลียบริมโขงนะคะ


อันนี้เป็นหน้าตาประตู ทางเข้า-ทางออก ของบ้านตำมิละ ด้านถนนเลียบฝั่งโขงค่ะ

จริงๆแล้วที่พักมีรถถีบให้ยืมแหล่ะ แต่เราไม่รู้ เย็นวันแรกเลยใช้การเดินเล่นสำรวจถนนริมฝั่งโขงค่ะ ถ้าหันหน้าเข้าหาน้ำโขง เราเลี้ยวซ้าย เดินเลียบขึ้นเหนือไปเรื่อยๆค่ะ

นี่เลย หน้าตาถนนเลียบริมฝั่งโขงของเชียงของ เย็นๆ มีคนมาเดินเล่น วิ่ง หรือขี่จักรยานออกกำลังกายกันประปรายค่ะ

บรรยากาศยามเย็นชิวมากเลย

ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึก อิอิ เที่ยวคนเดียวแบบนี้ ก็มีรูปได้นะคะ ครั้งนี้เรายอมแบกขาตั้งกล้อง เพื่อมาถ่ายรูปเล่นโดยเฉพาะเลยนะเนี้ย

เราเดินเล่นขึ้นเหนือย้อนทิศของสายน้ำโขงไปเรื่อยๆ จนสุดถนนเลียบน้ำโขงทางทิศเหนือค่ะ แล้วถ้าจะไปต่อ มันต้องออกไปเดินบนถนนใหญ่ เราเลยตัดสินใจเดินย้อนกลับ คราวนี้เดินตามสายน้ำย้อนลงไปทางทิศใต้ ได้เห็นว่าเค้ามีการซ้อมเรือพายด้วยค่ะ ดูแข็งขันกันดีจริงๆ

เดินมาเรื่อยๆผ่านบ้านตำมิละอีกครั้ง แล้วไปเจอป้ายโลโก้นี้ค่ะ คิดว่าคงสร้างโดยโรงแรมน้ำของริเวอร์ไซด์ เพราะป้ายอยู่หน้า รร. เค้าเลย

น้ำของยามเย็น (คนเมืองที่นี่ เรียกน้ำโขง ว่าน้ำของ ค่ะ ตามชื่อเมืองเชียงของเลย)

แสงจะหมดแล้ว มืดแล้วเราถ่ายรูปไม่ค่อยได้ เลยพอแค่นี้สำหรับวันนี้ค่ะ

จุดชมวิวท่าผาถ่าน แต่เราเดินมาถึงตอนจะมืดแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาสำรวจใหม่

เช้าวันถัดมา กะว่าจะตื่นเช้ามาชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ปรากฎว่า ที่นอนมันนอนสบายเหลื๊อเกิ๊นนนน ตื่นสายจร้าาาาาาา แป่ววว

ตื่นมาก็ตะวันโด่งละ เลยได้แค่ชมแม่น้ำโขงยามสาย พร้อมกับสั่งอาหารเช้ามากินค่ะ

อาหารเช้าที่นี่ไม่รวมกับค่าที่พักนะคะ จ่ายแยกค่ะ มื้อแรกเราสั่งขนมปังชุบไข่มาพร้อมกะน้ำผึ้ง บีบเองได้เต็มที่ พร้มมกับนมเย็นปั่นจร้า

น้ำของตอนสายๆ ถ่ายจากที่กินข้าวของบ้านตำมิละ ฝั่งตรงข้ามคือเมืองห้วยทรายค่ะ ได้ยินเสียงตามสายของฝั่งลาวประกาศมาตลอดเว


ตอนกลางคืนฝั่งลาวก็คึกคักมาก มีเสียงเพลงลอยมา ยั่งกะมีคอนเสิร์ต ถามพี่เจ้าของที่พัก ได้ความว่า มันเป็นช่วงใกล้ถึงเทศกาลออกพรรษค่ะ ที่ฝั่งลาวบ้านเค้าจะมีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ มีการไหลกระทงไฟด้วยในคืนวันออกพรรษา คล้ายๆกะที่บ้านเราฝั่งไทยก็จะมีงานวันลอยกระทง แต่เราอยู่ไม่ถึงวันออกพรรษาอ่ะ เลยอดเห็นบรรกากาศความคึกคักในวันนั้น

ตอนกินข้าวเช้าเสร็จ ได้มีโอกาสคุยกะคุณพี่เจ้าของบ้าน เลยได้ความว่า เมื่อก่อนนี้เชียงของไม่เงียบเหงาแบบนี้ บรรกากาศการท่องเที่ยวคึกคักกว่านี้มาก ที่บ้านตำมิละ แขกที่มาพักส่วนมากจะเป็นฝรั่ง backpacker ที่จะเดินทางข้ามไปลาว โดยการมาต่อเรื่อที่ท่าเรือบั๊ค ในเชียงของ หรือเป็นฝรั่งที่มาจากลาว แล้วจะเดินทางต่อเข้ามาในไทย ก็จะมาพักที่เชียงของกันก่อนค่ะ


แต่ตั้งแต่ที่สะพานมิตรภาพไทย- ลาว แห่งที่ 4 ที่เชื่อมระหว่างเชียงของ กับห้วยทรายได้สร้างเสร็จและเปิดใช้ ทางการลาว ได้อนุญาติให้มีการข้ามประเทศโดยใช้พาสปอร์ตได้โดยใช้ด่านที่สะพานเท่านั้น ด่านที่ท่าเรือบั๊คในตัวเมืองเชียงของ ผ่านได้ก็เพียงแต่ใช้ใบผ่านแดน ไม่สามารถใช้พาสปอร์ตข้ามได้ ซึ่งเจ้าสะพานมิตรภาพเนี้ยค่ะ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงของออกไปไกลถึงสิบกว่าโล ดังนั้น แทนที่ฝรั่งจะเข้ามาพักในเมือง ฝรั่งนักเดินทางก็จะไปข้ามชายแดนที่สะพาน และนั่งรถย้อนกลับเข้าไปนอนพักในเมืองห้วยทราย เพื่อจะรอต่อเรือไปหลวงพระบางแทน เมืองเชียงของก็เลยซบเซาอย่างที่เราเห็น


ตอนแรกเราฟังพี่เจ้าของบ้านพักเล่าให้ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าสะพานมันไกลแค่ไหน

เอาเป็นว่าไกลมากจนตอนแรกเราคิดว่าจะปั่นจักรยานไปถ่ายรูป ปั่นไปไม่ไหวอ่า 555

ซึ่งแต่ก่อน ที่ท่าเรือบั๊คจะข้ามด่านไปลาวได้ที่นี่ ข้ามโดยเรือ ใช้พาสปอร์ตได้เลย นักท่องเที่ยวที่จะนั่งเรือช้าไปหลวงพระบางก็มาข้ามได้ที่นี่โดยใช้พาสปอร์ต แต่ปัจจุบัน ข้ามได้เฉพาะคนที่ใช้บัตรผ่านแดน ซึ่งก็คือคนท้องถิ่น คนเชียงของ และคนลาว เท่านั้นเองค่ะ นักท่องเที่ยวฝรั่งก็ข้ามที่นี่ไม่ได้แล้ว ฝรั่งและนักท่องเที่ยวก็จะข้ามไปลาวที่สะพานมิตรภาพนี้แทน และนั่งรถย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองห้วยทราย ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามพอดีกับเมืองเชียงของ เพื่อนอนพักที่นั่นและรอลงเรือต่อไปค่ะ เพราะถ้าเค้าเลือกพักทีเมืองเชียงของ มันก็จะต้องเสียเงินจ้างรถรับจ้าง 2 ต่อ จากเมืองเชียงของไปสะพาน และจากสะพานกลับมายังเมืองห้วยทราย เหตุการณ์เป็นแบบนี้ทำให้ตัวเมืองเชียงของซบเซาลงกว่าเดิมค่ะ แต่แถวๆบริเวณสะพาน กลับกำลังมีสิ่งก่อสร้าง และโรงแรมผุดขึ้น ความเจริญก็กำลังจะกระจายไปตรงนั้นค่ะ
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จและฟังพี่เค้าเม้าส์อยู่พอสมควร วันนี้เราก็ขอยืมจักรยานที่พัก ปั่นไปถ่ายรูปเล่นแถวบริเวณท่าเรือบั๊กกันค่ะ

เซลฟี่บ้าง ไหนก็แบกขาตั้งกล้องมาละ อันนี้ปรับสีในโปรแกรมแต่งภาพเอานะคะ

อันนี้สีจริงๆ

เมื่อเห็นดงดอกไม้ ก็รีบปรี่เข้าไป

อากาศจริงๆคือร้อนมาก แสงแดดแผดเผามากๆค่ะ ถ่ายรูปเล่นบริเวณท่าเรือเสร็จก็ปั่นรถถีบย้อนกลับค่ะ กะว่าจะไปเปลี่ยนเป็นขาสั้นซะหน่อย เพราะร้อนมากมาย ก่อนกลับถึงที่พัก เจอมุมถ่ายรูปสวยๆ แวะซะหน่อย

ร้านกาแฟเก๋ๆ แต่ปิดจร้าาาา ผ่านร้านกาแฟน่ารักๆหลายร้านแต่ส่วนใหญ่ร้านจะปิดอ่า

คิดว่าหยุดยาว 3 วัน เจ้าของร้านคงอยากไปเที่ยวบ้าง อะไรบ้าง -_-"

ผ่านวัดพระแก้ว ในขณะที่ยังใส่กางเกงขายาวอยู่ แวะเข้าไปซะหน่อย

กลับไปพักที่พักแป๊บ เปลี่ยนกางเกงขาสั้นรับอากาศและแสงแดดร้อนแรง ก็ออกมาปั่นจักรยานไปหาข้าวเที่ยงกินต่อ อิอิ


พี่เจ้าของบ้านพักแนะนำให้ไปกินขนมจีนน้ำเงี้ยวเชียงของ ที่ท่าผาถ่านค่ะ ชื่อร้านข้าวซอยน้ำเงี้ยวป้าจันทร์ ได้ยินมาว่า ที่นี่จะเรียน้ำเงี้ยวว่าข้าวซอย และเค้าจะกินกันเป็นเส้นคล้ายๆเส้นก๋วยเตี๋ยว กึ่งๆระหว่างเส้นเล็กและเส้นใหญ่ เป็นแป้งข้าว แล้วซอยเป็นเส้นๆ ก็เลยเรียกว่าข้าวซอยอ่ะค่ะ

แต่ว่า แต่ว่า เราชอบเส้นที่เป็นเส้นขนมเส้นเหมือนของเชียงใหม่มากกว่าอ่ะค่ะ ก็เลยสั่งแบบเส้นขนมเส้น อิอิ ร้านที่นี่ บรรยากาศดีมาก มองเห็นวิวท่าผาถ่าน ริมน้ำโขงด้วยค่ะ อันนี้รูปหน้าร้าน ขออนุญาติแม่ค้าแล้วค่า

แต่เจอคนที่นี่แปลกคนนึง คือโต๊ะที่เราไปนั่ง มันมีชามที่เค้ากินเสร็จแล้ว แล้วเจ้าของร้านยังไม่ทันได้เก็บกวาดโต๊ะอ่ะค่ะ แล้วก็มีผู้หญิงที่มาอีกโต๊ะหนึ่ง ซึ่งโต๊ะเธอก็ยังไม่ได้ถูกเก็บชามของเจ้าที่กินก่อนหน้าเหมือนกัน อยู่ๆคุณเธอก็ยกชามที่กินแล้วของคนก่อนหน้านี้จากโต๊ะเธอมากองไว้ที่โต๊ะเราหมดเลย ทั้งๆที่ก็เห็นว่าเรานั่งอยู่ และยังไม่ได้ชามที่เราสั่ง ซึ่งเราก็รอเจ้าของร้านเค้ามาเก็บโต๊ะ เคลียร์โต๊ะให้อยู่เหมือนกัน

เราคิดว่าการทำแบบนี้มันเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยมีมารยาทอ่ะค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ทำแบบนี้กับโต๊ะอื่น ก็เลยงงกับคนท้องถิ่นที่นี่ ไม่ได้อยากจะเหมารวม คิดว่าก็คงเป็นเฉพาะคุณเธอคนนี้กับเพื่อนเท่านั้นแหล่ะค่ะ จากอารมณ์ดีๆก็กลายเป็นอารมณ์ขุ่นมัว เราเลยไม่ได้ถ่ายรูปข้าวซอยน้ำเงี้ยวร้านป้าจันทร์มาเลย เศร้าาาา

อันนี้รูปวิวจากร้าน โต๊ะตรงข้ามนั่นแหล่ะค่ะ โต๊ะคุณเธอ แต่ตอนนี้ไปละ แม่ค้าก็มาเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อย เราถึงมีอารมณ์ถ่ายรูปได้ 555

กินน้ำเงี้ยวเสร็จเราก็ปั่นจักรยานต่อ ตอนแรกกะจะปั่นไปถ่ายรูปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แต่ว่าปั่นไปๆๆ แขนเริ่มไหม้ เลยไม่ไหวแร่ะ ไม่ไปต่อดีกว่า


จากถนนใหญ่เราก็เลี้ยวรถวกกลับมายังถนนเลียบฝั่งโขงอีกครั้ง มาเจอจุดนี้พอดี "ท่าหาดไคร้" ค่ะ ที่นี่กำลังมีการก่อสร้างถนนเลียบน้ำโขงยาวลงไปทางใต้ด้วย ดีเลยๆๆ

บ้านหาดไคร้ เป็นเป็นหมู่บ้าน ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลเวียงเชียง ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านการจับปลาบึก ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่ตอนนี้เค้าไม่จับปลาบึกจากแหล่งน้ำธรรมชาติเช่นจากน้ำโขง มากินกันแล้วนะคะ เค้าว่ากันว่า ปลาบึกที่นำมาทำอาหารเป็นปลาบึกเลี้ยงค่ะ

ตัวจริงรึเปล่าเนี้ย อันนี้เราไม่รู้จริงๆเพราะไม่มีใครแถวนั้นให้ถาม คนบ้านหาดไคร้มาเฉลยหน่อยจ้า

วัดหาดไคร้ เราไม่ได้เข้านะคะ ใส่กางเกงขาสั้นแล้ว

ท่าหาดไคร้ค่ะ พาหนะที่พาเรามาที่นี่ อิอิ

เซลฟี่ตัวเองเป็นที่ระลึกหน่อย ไหนๆก็แบกขาตั้งกล้องมาละ

ที่นี่เราเจอคุณยาย หลังค่อมๆ ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง กำลังเดินช้าๆมานั่งพักในศาลาริมน้ำ ที่เราก็นั่งพักอยู่พอดี เลยชวนคุณยายคุยค่ะ คุยกันเป็นคำเมือง คุณยายก็เมืองเชียงของ เราก็เมืองเชียงใหม่ค่ะ คุณยายบอกว่าอยู่บ้านแล้วเหงา เลยออกมานั่งเล่น คุณยายไม่มีลูกค่ะ อยู่คนเดียวด้วย โอ้ว ฟังแล้วน้ำตาแทบไหล เพราะคิดถึงคุณยายของเราที่เสียไปแล้วขึ้นมาเลยค่ะ


แล้วคุณยายยังพูดอีกอย่างให้เราสะท้อนอกสะท้อนใจ คือเราเล่าให้คุณยายฟังว่า เรามาเที่ยวคนเดียว มาจากเชียงใหม่ คุณยายบอกว่า ทำไมไม่พาแม่มาเที่ยวด้วยล่ะ เป็นผู้หญิงมาคนเดียว มันอันตราย แล้วบอกว่า คราวหน้าให้พาแม่มาเที่ยวเชียงของด้วย เรานี่จะร้องไห้รอบสอง เพราะเกิดคิดถึงแม่และรู้สึกผิดที่มาเที่ยวโดยไม่พาแม่มาด้วยซะงั้น 5555 และคุณยายบอกว่าให้มาแวะบ้านยาย

จริงๆคุณยายชวนเราไปกินน้ำที่บ้านด้วย แต่เราเกรงใจอ่ะค่ะ เลยปฏิเสธไป จริงๆแกคงเหงา เรานี่น้ำตาแทบไหล เลยขอถ่ายรูปกับคุณยายไว้เป็นที่ระลึกค่ะ ก่อนจากกัน คุณยายให้ศีลให้พรตามประสาคนแก่ คุณยายบอกชื่อเราด้วยอ่า แต่เราลืมชื่อคุณยายไปแล้ว หนูขอโต๊ดค่าาา

แต่หวังว่า ถ้าได้กลับไปเชียงของอีกครั้งจริงๆ จะไปตามหาคุณยายและแวะเยี่ยมให้ได้เลยค่ะ

ลาจากคุณยายมา ก็เริ่มบ่ายแก่ๆ น้ำเงี้ยวที่กินไปตอน 11 โมง ย่อยหมดแล้ว ไปหาของกินต่อดีกว่า 555

ทริปนี้มีแต่ถ่ายรูปเล่นและก็กินค่ะ ร้านต่อไปก็ร้านที่มีชื่ออีกร้านนึงของเชียงของค่ะ "ข้าวซอยป้าอ่อน" ข้าวซอยอีกแล้ว ฮ่าๆๆ แต่คราวนี้เป็นข้าวซอยแบบสิบสองปันนาซึ่งจะไม่เหมือนข้าวซอยที่ใส่น้ำกะทิ ที่เรากินเป็นประจำที่เชียงใหม่นะคะ หน้าตาจะเป็นยังไง ไปดูกัน

พิกัดร้านข้าวซอยป้าอ่อน จะอยู่ในซอยที่อยู่ตรงข้ามกับวัดพระแก้วนะคะ (คือบอกก่อนว่า เชียงของเป็นเมืองที่เล้กกกกกมากกก) ไม่หลงแน่นอนค่ะ เพราะวัดพระแก้วก็ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ที่เป็นถนนหลักที่ผ่านกลางเมืองเชียงของเลย

ร้านป้าอ่อน นี้ก็เข้าซอยตรงข้ามวัดพระแก้วมาเรื่อยๆ ก็จะเจอสี่แยกเล็กๆ ร้านอยู่หัวมุมขวาด้านหน้าเลยค่ะ หน้าร้านจะมีหลักกิโลจำลองอันใหญ่ๆอยู่ด้วย

นิดนึงคะ ร้านนี้เราขอเตือนว่า อย่าไปจอดรถบริเวณประตูทางเข้าร้านด้านขวามือนะคะ เพราะจุดนั้นมันมีรังแตนอยู่ค่ะ

เราเอาจักรยานเข้าไปจอด จอดปุ๊บ เจอแตนต่อยปั๊บ เสี้ยววินาทีที่พี่เจ้าของร้านร้องเตือนว่าอย่ามามใกล้แถวนี้ เราก็ตอบพี่ไปว่า ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ โดนซะแล้ว แป่ววววว พี่เค้าก็เอายาหม่องมาทาให่ค่ะ โชคดีที่เราโดนแล้วมันไม่มีเหล็กในฝัง และมันต่อยผ่านเสื้อด้วย และเราก็ไม่แพเ้พิษแตน เราก็แค่เจ็บๆบวมๆชาๆ กินข้าวซอยสิบสองปันนาไปค่ะ 555 หน้าตาข้าวซอยเป็นแบบนี้นี่เอง

คิดว่าป่านนี้พี่เค้าอาจจะกำจัดรังแตนนี่แล้ว (รึเปล่าก็ไม่รู้) แต่ยังไงก็ระวังไว้ก่อนเป็นดีค่ะหลังจากกินอิ่ม ก็ปั่นจักรยานไปยังจุดชมวิวจุดต่อไปค่ะ

ทางซ้ายเป็นทางเลี้ยวไปท่าผาถ่าน ส่วนทางขวา ก็คือทางที่ย้อนกลับไปทางหาดไคร้ ก่อนจะไปท่าผาถ่าน เราเลี้ยวกลับไปทางหาดไคร้อีกครั้งนึงก่อน เพราะก่อนหน้านี้เราขี่จักรยานทางเส้นถนนหลักค่ะ เลยยังไม่ได้ถ่ายรูปวิวช่วงนี้

นี่ไง เลี้ยวไปก็เจอวิวน่ารักๆ แบบนี้ พุ่มไม้ตัดทรงเป็นรูปปลาบึก อิอิ

ณ จุดนี้ ปลอดผู้คน เป็นโอกาสอันดีที่เราจะตั้งขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายรูป อิอิ เราอยากได้รูปแบบว่า ขี่รถถีบผ่านหน้ากล้องงี้ ก็เลยตั้งขา และตั้งเวลาถ่ายรูป แล้วปั่นจักรยานผ่าน ฮ่าๆๆ ปั่นไปประมาณสิบรอบได้ กว่าจะได้รูปที่ตรงพอดี แต่ว่า มันก็ไม่ชิวเท่าไหร่ เพราะเรามัวแต่มองกล้องและเกร็งว่า ชัตเตอร์มันลั่นไปแล้วรึยัง ฮ่าๆๆ

ป้ายอันนี้เราเอามาตั้งชื่อรีวิว อิอิ

ร้านอาหาร เห็นวิวน้ำโขง แต่เราไม่ได้กิน แฮ่

ถ่ายรูปเล่นจนหนำใจ เราก็ปั่นรถถีบขึ้นทางเหนือ กลับมาที่ท่าผาถ่านค่ะ ถึงแล้วววว

สวยมาก บรรยากาศดีมากค่ะ มีผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยว และคนพื้นที่มาเที่ยวเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาย ออกกำลังกายกันเยอะเลยค่ะ

บรรยากาศยามเย็น ณ ท่าผาถ่าน

จากท่าผาถ่าน ก็ใกล้ค่ำแล้วค่ะ ไปหาอะไรกินเป็นอาหารเย็นดีกว่า ได้ข่าวว่าเย็นวันเสาร์เค้าจะมีถนนคนเดินกันค่ะ

จริงๆก็ไม่เชิงเป็นถนนคนเดินเพราะไม่ได้ปิดถนนให้ขายของ รถยังแล่นบนถนนได้ตามปกติค่ะ แม่ค้า พ่อค้าจะมานั่งขายของกันริมฟุตบาทแทน ที่เป็ยแบบนี้เพราะเชียงของเป็นเมืองเล็กมากค่ะ ถนนสายหลักมีอยู่เส้นเดียว ถ้าปิดเส้นนี้ก็คือจะไม่มีทางให้รถวิ่งแล้ว เค้าก็เลยต้องมาขายของริมถนนแทนค่ะ

ของที่ขายก็จะออกแนวตลาดสด พวกผัก ผลไม้ เนื้อสด ของป่า และพวกกับข้าวถุง อาหารพื้นเมืองทางเหนือ ของกินปิ้งย่าง อะไรเทือกนี้ มากกว่าของที่ระลึกนะคะ เราแทบหาร้านของทีระลึกไม่ได้เลย เจอร้านขายเสื้อพื้นเมืองอยู่แค่ร้านเดียว แต่ขนาดมีร้านเดียวเราก็ยังเสียเงินช๊อป ฮ่าๆๆๆ



ดนตรีสดหน้าวัด นักดนตรีน่าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ แต่เจ๋งมากค่ะ

หลังจากเดินวนไปมาอยู่หลายรอบ เพราะไม่รู้จะกินไรดี เราก็เข้าไปกินผัดไทยร้านที่มีนักดนตรีวัยรุ่นร้องอยู่หน้าร้าน ร้านนี้เลยค่ะ

กินผัดไทยไป ฟังดนตรีจากเด็กๆไป อิอิ ผัดไทยอร่อยดีค่ะ ในร้านคนต่างชาติมากินเยอะเลยเช้าวันอาทิตย์ วันนี้เราต้องนั่งรถกลับเชียงรายแล้ว หลังจากนั้นเพื่อนจะมารับจากสถานีขนส่งเชียงราย กลับสู่บ้านเกิดเชียงใหม่ค่า


วันนี้พยายามตื่นเช้า แต่ก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงกว่า หมอกที่หวังว่าจะได้เห็นก็ไม่ได้เห็นมากเท่าไหร่ แฮ่ๆ ตื่นเช้าไม่ไหวเจงๆๆ

กินข้าวเช้าที่บ้านตำมิละ ข้าวผัดสัปะรดทูน่าห่อไข่ คืออร่อยฟินมากกกก เสียดายที่เช้าวันแรกไปกินขนมปัง ควรจะสั่งข้าวตั้งแต่วันแรก

ตอนเช้ายังมีเวลา เลยลงไปเดินเล่นถ่ายรูปอีกซักแป๊บก่อนเช็คเอ้าท์

แอบส่องเรือท่องเที่ยวในน้ำโขง ที่มาจอดพักริมน้ำฝั่งไทย เห็นเค้าตื่นมากินข้าวเช้าด้วยบรรยากาศฟินๆบนเรือกัน อิจฉาเจงงงง

ส่วนใหญ่เห็นแต่คนต่างชาติ

บรรยากาศยามเช้าฟินมาก

ได้เวลาเช็คเอ้าท์แล้ว เพื่อที่จะไปยังท่ารถในตลาด เราเลือกที่จะแบกเป้เดินริมน้ำโขงไปค่ะ

แต่คิดผิดไปนะ ถนนเส้นริมน้ำโขงอยู่ฝั่งตะวันออก คือร้อนมาก จะเป็นลม เป้บนหลังก็หนัก ไหนจะหอบขาตั้งกล้องอีก เราเลยปีนขึ้นเนินกลับมาเดินเส้นที่เป็นถนนใหญ่ ยังมีร่มเงาจากอาคารบังแดดบ้าง

ผ่านไปรษณีย์ นึกขึ้นได้ว่าลืมส่งโปสการ์ดให้ตัวเองนะ แต่ไม่ทันแร่ะ

เดินแบกเป้ แบกขาตั้งกล้อง เหนื่อยหอบ ร้อนแดดจะเป็นลม มากว่า 20 นาที ถึงจะถึงท่ารถที่ตลาด เอิ่มมม รู้งี้ยอมเสีย 40 บาท ซะก็ดี

ถึงรถแล้วจ้าาาา กลับบ้านละน๊าาา

ชื่นชมบรรยากาศท้องนาระหว่างทางได้แป๊บนึง เราก็มีสภาพเหมือนคนคู่นี้เลยค่าาาา 5555

ลาไปด้วยภาพท้องนา ระหว่างทางกลับเชียงรายค่ะ

บ๊ายบาย เชียงของ เจอกันใหม่เมื่อมีวาสนา

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

omegaohm

 วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.33 น.

ความคิดเห็น