“ใครๆ ก็ไปบาหลี”
เกาะสวรรค์ที่นักท่องเที่ยวทั้งโลกหมายจะมาเยือน
หลายคนอาจจะจำภาพว่าบาหลีมีแต่วัด
แต่พวกเราไปกันมาหมดทุกแนวแล้ว
ทั้งวัด เกาะ บาร์ นาขั้นบันได น้ำตก เล่นเซิร์ฟ
เพราะฉะนั้นถ้าคนบาปหนาอย่างพวกเราไปบาหลีได้คนที่ไม่ใช่สายบุญคนอื่นบนโลกนี้ก็ไปได้

- น ก อ อ ก -
***พูดคุยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/nokaokthetraveller
https://www.youtube.com/channel/UCGuHxDmnI0lLCMhpp61YFBA


แผนการเดินทางของเรา
เราไปกันวันที่ 5-11 กันยายน 2018 เจอฝนกลางคืนวันเดียว ฟ้าใส คลื่นกำลังดี
Day 1 : กรุงเทพ - บาหลี / วัด Uluwatu / Single Fin นอนที่ Sanur
Day 2 : Nusa Penida 1 Day Trip (Angel Billabong , Broken Beach , Klingking beach) นอนที่ Ubud
Day 3 : Lempuyang Temple / Tibumana Waterfall นอนที่ Ubud
Day 4 : Campuhan Ridge Walk / Tegalalang Rice Terrace / Tegenungan Waterfall / Sunset @Canggu Beach / Black Cat Minimart นอนที่ Canggu
Day 5 : Surfing @ Double six Beach / Sunset @ Echo Beach / Pretty Poison / Old Man นอนที่ Canggu
Day 6 : Lunch @ Motel Maxicola / Melasti beach / Karang Boma Uluwatu / บินกลับเมืองไทย
ข้อมูลที่ควรรู้ หรือไม่ต้องรู้ก็ได้
1. ตั๋วเครื่องบิน
- เราบินด้วยสายการบิน Air Asia ใช้เวลา 4 ชั่วโมง เวลาที่อินโดนีเซียเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง


2. การเดินทาง
- การเช่ารถพร้อมคนขับเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด และไม่เหนื่อยด้วย โดยเรตแทบทุกเจ้าจะเท่ากันหมดคือ 500,000 รูเปีย / วัน (10 ชั่วโมง) ถ้าเกินนั้นก็จ่าย OT ให้คนขับชั่วโมงละ 50,000 รูเปีย ถ้าไปที่ไกลๆ มากๆ ก็คิดเพิ่ม ราคานี้รวมค่าน้ำมัน ค่าจอดรถเรียบร้อยแล้ว

รถก็จะเหมือน Toyota Avanza นั่งได้ 6 ที่ แต่ถ้าวางกระเป๋าด้วยก็จะนั่งได้แค่ 4-5 คน
- การเช่ารถขับเอง เราลองหาตามเว็บแล้ว ราคาไม่ต่างกับเช่ารถพร้อมคนขับเท่าไหร่ แต่ถ้ามาแค่ 2 คน เช่ารถเล็กขับก็น่าจะประหยัดกว่า ที่อินโดพวงมาลัยฝั่งเดียวกันกับไทย - การเช่ามอเตอร์ไซค์ขับ วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมที่สุด แต่ทางบนเกาะค่อนข้างแคบ และถ้าฝั่งที่ไม่ติดทะเลจะเป็นทางขึ้นเขาค่อนข้างเยอะถ้าคนที่ขับรถไม่แข็งไม่แนะนำให้ขับ ราคาที่เราเช่า คันละ 50,000 รูเปีย / วัน ส่วนน้ำมันขาย ขวดละ 10,000 รูเปีย เป็นน้ำมันขวด ขายตามข้างทางมีตลอด ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำมันหมด

3. ที่พัก
- ที่พักในบาหลีมีทุกแบบตั้งแต่โฮสเทล เกสต์เฮาส์ โรงแรม Pool Villa ถ้าไปกันหลายคนแนะนำ Pool Villa ราคาค่อนข้างถูกและหลังใหญ่ หาได้ตาม AirBnB เลย


4. ทัวร์เกาะ Nusa Penida
- สอบถามกับทางรถเช่าได้เลย เพราะเราได้มาในราคา 650,000 รวมรถรับส่งโรงแรม
(รับที่ Sanur ส่งที่ Ubud) อาหารเช้า อาหารกลางวัน . เรือไปกลับ รถบนเกาะ ถ้าหาเอง เราเสิร์ชในเว็บ mola mola express ก็ 650,000 รูเปียแล้ว

5. อาหาร
- บาหลีนับถือศาสนาฮินดู เพราะฉะนั้นก็จะมีหมูขายเต็มไปหมด เมนูหลักก็จะมี Bakso
คือก๋วยเตี๋ยว /Nasi Goreng ข้าวผัด / Mie Goreng หมี่ผัด คล้ายๆผัดมาม่าบ้านเรา
แล้วก็สารพัดซี่โครงย่าง
- ที่บาหลีหาซื้อน้ำแข็งยากมาก การกินน้ำเย็นของเราก็คือน้ำที่เค้าแช่ในตู้เท่านั้น แทบจะไม่เจอน้ำแข็งเลย
- ซัมบัล หรือซอสของบาหลี หน้าตาจะคล้ายๆ พริกผัดกะเพราบ้านเรา อร่อยมาก มีแทบทุกร้าน ถ้ากินข้าวแล้วไม่อร่อย ใส่ซัมบัลจะช่วยท่านได้
- อาหารข้างทาง ที่ไม่มีราคาให้ถามราคาก่อนทุกครั้ง เพราะราคานี่ขึ้นอยู่กับคนขายจริงๆ นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด
- เบียร์ยอดฮิตคือ Bintang ราคาประมาณขวดละ 20,000 รูเปีย แล้วแต่ย่าน ขนาดในมินิมาร์ทเหมือนกัน แต่สาขาคนละย่านก็ราคาไม่เท่ากัน

6. ภาษา
- บาหลีเป็นเมืองท่องเที่ยว แทบทุกคนบนเกาะเลยพูดภาษาอังกฤษได้หมด ไม่ต้องห่วง

7. การจราจร
- บนเกาะมีรถเยอะมากทั้งรถนักท่องเที่ยว รถของคนบนเกาะ ทำให้รถติดมาก ถ้าต้องผ่านเส้นสนามบินให้เผื่อเวลาไปเยอะๆ ยิ่งคนไปขึ้นเครื่องขากลับ ให้บวกเวลาจาก Google Map ไปอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเลย ไม่งั้นอาจจะตกเครื่องได้

8. ค่าเงิน
- อินโดนิเซียใช้เงิน รูเปียห์ ตัวย่อ IDR อย่าจำสับสนกับรูปีนะ ค่าเงินประมาณ 0.0022
ตอนเราไปเราใช้วิธีหารด้วย 450 เลขศูนย์เยอะมาก จ่ายกันงงมาก หลายคนบอกให้แลก USD
ไปแลกเงินรูเปียที่นู่น แต่เพื่อนในทริปที่แลกรูเปียจากไทยไปเลย ก็ได้เรตไม่ต่างกันมาก
งั้นแล้วแต่สะดวกแล้วกัน



DAY01

เวลา 11.30 เครื่องบินก็ Landing ณ สนามบิน เหมือนบาหลีจะรับรู้ได้ถึงแต้มบาปของพวกเรา
พอเหยียบสนามบินแล้วไปต่อแถว ตม. ปุ๊บ ไฟก็ดับปั๊บ กว่าจะผ่านขั้นตอนสนามบินได้ ก็เป็นชั่วโมง

พอออกมา ก็เจอกับ อีฟาน คนขับรถของพวกเรา ที่เราได้ติดต่อผ่านทาง เท็ดดี้ทัวร์ เจ้าประจำแห่งสาธุชนชาวสยาม ยืนรอเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่รู้ดีใจที่ได้เจอ หรือดีใจที่พวกเราออกมาซักที นัดไว้ว่าให้มารับ . ตั้งแต่เที่ยง นี่ก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว


หลังจากขึ้นรถเสร็จ ก็บอกอีฟานเลยว่า เราอยากไปแลกเงินกับซื้อซิม เพราะอ่านจากรีวิว ทุกคนให้แลกเป็น US Dollar จากเมืองไทย แล้วค่อยมาแล้วเป็นเงิน รูเปีย IDR ที่นี่ แต่พอคำนวณแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าใครไม่สะดวกก็แลกเป็นเงินรูเปียมาจากเมืองไทยเลยก็ได้


ทริปนี้เราแทบจะไม่ใส่ร้านอาหารมาในแพลนเลย เพราะอยากไปแรนด้อมร้านอาหารท้องถิ่น เลยบอกอีฟานว่าอยากไป Local แต่อีฟานจะพาไปร้านอะไรไม่รู้ ที่เสิร์ฟหมูมาเป็นตัวแบบหมูหัน ทันทีที่เห็นรูปพวกเรา ก็ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง สุดท้ายเราก็ไปนั่งอยู่ร้านอาหารระหว่างทางไปวัด Uluwatu ที่ทัวร์ . นั่งกันเต็มร้าน อีฟานนน!! นี่โลคอลแล้วเหรอ?


มื้อแรกโดนไปกันคนละประมาณ 100,000 กว่า รูเปีย แต่ข้าวเกรียบที่เสิรฟ์มาเป็นเครื่องเคียงอร่อย เราทำเป็นจับถ้วยข้าวเกรียบเล่นๆ แล้วคุยกับเพื่อนว่าเติมได้มั้ย อยู่ดีๆ พนักงานเสิร์ฟ ก็เดินมาหยิบถ้วยนั้นแล้วเอาไปเติมให้เราเฉยเลย หรือเค้าฟังภาษาไทยออก โอเค ถือว่ากินข้าวเกรียบชดเชยข้าวที่ค่อนข้างแพงไปสำหรับมื้อนี้ละกัน

วัด Uluwatu วัดยอดนิยมที่ใครๆ ก็มา จริงๆ เราก็ไม่ค่อยอินกับวัดเท่าไหร่ แต่วัดนี้มีหน้าผา ก็เลยมาหน่อยแล้วกัน


จริงๆ สิ่งที่ทำให้อยากมาบาหลีก็เพราะภาพหน้าผาสูงๆ เต็มไปหมดเนี่ยแหละ เพราะเมืองไทยไม่ค่อยมีแบบนี้ เราเลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง พอมาถึงก็ต้องใส่โสร่ง จะเรียกโสร่งได้มั้ย มันเป็นผ้าสีสด
เหมือนผ้าสแตนด์เชียร์กีฬาสีอะ แล้ววันแรกเดรสโค้ดเราก็คือสีเหลือง โอ้โห!!! แหยม ยโสธรจะต้องกรีดร้องกับการจับคู่สีบนร่างเราตอนนี้แน่นอน เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง


เข้ามาตรงหน้าผาก็สวยดี แต่ว่าเรามาถึงประมาณบ่าย 3 แดดเลยร้อนไปหน่อย แต่น้ำทะเลสีสวยมาก
เวลาคลื่นซัดเข้าหาหน้าผาสีเทา ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า และฟองคลื่นสีขาว กดชัตเตอร์ไปเหอะ ถ่ายเพลินมาก


จบจากเข้าวัด เราก็จะไปจัดกับทางโลก Single Fin ร้านที่มาบาหลีทั้งที ขอเลยว่าอย่าพลาด ถึงแม้ว่า . พวกเราจะพลาดเพราะที่นั่งเต็มและคิวยาวเหยียดก็ตาม แต่ละแวกนั้น และหาดด้านล่างคือดีมาก ทะเลมองไม่เบื่อเลย อยากนั้งมองตรงนี้ทั้งวัน มีร่องหินให้เราเข้าไปถ่ายรูป แล้วก็มีนักเซิร์ฟที่ดูโปร ลากบอร์ดออกไปเล่นกลางทะเล


เมื่อมองทะเลจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เราก็จะมาหาที่นั่งบนร้าน Single Fin เก๋ๆ มองพระอาทิตย์ ลับขอบฟ้าแบบคูลๆ แต่อีก 30 คิวอะ พยายามรีเช็คกับคนอื่นว่าได้ยินว่า 30 หรือ 13 แต่เอาเหอะ ต่อให้ 30 หรือ 13 คิว พระอาทิตย์คงตกดินแล้วขึ้นมาใหม่พอดี

คืนแรกเรานอนที่ Sanur เพราะพรุ่งนี้เราจะไปเกาะ Nusa Panida ซึ่งท่าเรืออยู่ใกล้ Sanur ระยะทางจาก Single Finn ไป Sanur ก็ปาไปเกือบ 3 ชั่วโมง ตอนเย็นๆ แถวสนามบินรถติดมากกกกกกก มากกว่าแยกแครายตอนเช้าวันจันทร์ คือหลับไป 3 ตื่นก็ยังอยู่ที่เดิม ใครจะผ่านแถวนี้ เผื่อเวลาไว้แบบไม่จำกัดเลย เพราะติดแบบคาดเดาไม่ได้จริงๆ


มาถึงโรงแรม ก็ออกไปตามล่าหาซิมการ์ดต่อ ถามพนักงานโรงแรมให้เดินไปทางขวา เดินไปทางขวา ถามพนักงานมินิมาร์ทก็ให้เดินไปต่อ ไปตามแม่ค้าแถวนั้นก็ให้เดินไปซ้าย กว่าจะหาเจอเดินกันจนขาลาก ที่นี่เราซื้อซิมได้ในราคา 4.5 GB 150,000 รูเปีย 15 GB 250,000 รูเปีย เพราะเหลืออย่างละอัน ส่วนของเราเลือกทีหลังเลยเหลือแต่ 25 GB 350,000 รูเปีย ลังเลอยู่นาน จนคนขายบอกว่า อะ!! ฉันให้ 25 GB ราคาเท่า 15 GB ไปเลย เอาจ้า จัดมา 2 เลยค่ะคุณพี่

แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้เน็ตเยอะ ซื้อซิมจากเมืองไทยมาเลยสะดวกกว่า แบบ 8 วัน 399 บาท
ก็จะประหยัดกว่ามาซื้อที่นี่ ถ้าใครมาพักที่เดียวกับเรา ให้ออกมาปากซอย เลี้ยวซ้ายแล้วเดินมาเรื่อยๆ จนพ้นโค้งไป จะเจอร้านนี้อยู่ร้านเดียวในแถบนั้น

ย่านซานูร์จะเป็นร้านอาหารเงียบๆ ดูต๊ะต่อนยอน แล้วก็อาหารซ้ำๆกับที่เรากินไปเมื่อกลางวัน เราเลยตัดสินใจว่า คืนแรกที่บาหลี เราจะกินบะหมี่กึ่งและเบียร์ยอดฮิตของอินโดกัน เลยซื้อกลับมากินที่โรงแรม และแต้มบาปของเราก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ไม่หยุดหย่อน กลับมาถึงโรงแรม กำลังซู้ดมาม่าคำแรกเข้าปาก ไฟก็ดับพรึ่บ ดับแบบไม่มีใครมาบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนดูไม่เดือดร้อนอะไร เรารอจนเกือบเที่ยงคืน ไฟก็ติดขึ้นมา โอเค อาบน้ำ นอน พรุ่งนี้รถมารับ 6 โมงเช้า แม่เจ้าาาา ตื่นเช้ากว่าอยู่กรุงเทพอีกจ้า




DAY02


ตื่นเช้าตรู่ ออกจากโรงแรม 06.30 น. เดินทาง 15 นาทีก็ไปถึงท่าเรือ วันนี้เราจะไปเกาะ Nusa Penida ทัวร์วันนี้เราก็ให้ทางเท็ดดี้จัดให้เหมือนเดิม เพราะตอนเสิร์ช เฉพาะราคาเรือไปเกาะ ก็คนละ 650,000 รูเปีย เลยถามทางเท็ดดี้ เค้าบอกว่าคนละ 650,000 รูเปีย รวมอาหารเช้าและเที่ยง รถบนเกาะ และรถรับจากโรงแรมที่ซานูร์และไปส่งโรงแรมที่อุบุด เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปเกาะให้ลองถามไปทางบริษัท . ที่เช่ารถเลย เพราะถ้าซื้อตั๋วเรือเองส่วนใหญ่เราก็เจอราคาประมาณนี้เท่ากันหมดเลย


อาหารเช้าของเรา เป็นแซนด์วิช กับน้ำเปล่า

นั่งเรือประมาณ 45 นาทีก็มาถึงเกาะแล้ว มาถึงอีฟานก็พาเราไปเจอคนขับรถบนเกาะ ที่ตั้งแต่ต้นจนจบเราก็ยังไม่รู้ว่าเค้าชื่ออะไร ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราและเค้าทั้งสิ้น มีเพียงอวัจนภาษา การจิ๊ปาก บีบแตร ถอนหายใจเท่านั้น ที่เค้าสื่อสารกับเรา


ทางบนเกาะที่ทุกคนเตือนแล้วว่านรก ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ขอเดือนเลยว่าใครเพิ่งผ่าตัดมา หรือว่าท้อง อย่าได้คิดที่จะมาย่างกรายที่นี่ ถนนเป็นหลุมบ่อขั้นสุด แล้วแคบมาก รถสวนกันทีก็เบียดจนกระจกจะเกยกัน บางทีรถเยอะ ก็แย่งกันอีก ต่างคนต่างไม่ยอมหลบ โอ๊ย!!! นี่จำภาพทุกคนหัวสั่นหัวคลอนบนรถได้แม่นกว่าสถานที่สวยๆ บนเกาะที่ไปอีก


ส่วนใครที่คิดจะเช่ารถมอไซค์ขับเอง ขอเตือนเลยว่าอย่า เพราะฝรั่งที่เดินมา 10 คน คือพันผ้าพันแผลไป 6 คนอะ ทางอันตรายมากจริงๆ เกาะเสม็ดก็ไม่สู้ ปิล็อกนี่ถือว่าเบาไปเลย รักชีวิตอย่าคิดขับมอเตอร์ไซค์ . บนเกาะนี้

ที่แรกที่เรามาคือ Angel Billabong กับ Broken Beach ซึ่งอยู่ติดกัน

Angel Billabong ส่วนตัวเราว่า คลื่นที่ซัดหน้าผาด้านนอก Angel Billabong สวยกว่าอีก เราถ่ายรูปอยู่ตรงนี้นานมาก เพราะน้ำทะเลสีสวย ฟ้าใสหน้าผาสูง ถ่ายจนอีฟานต้องบอกว่าไปต่อเถอะ

Broken Beach มันสวยแหละ แต่เราว่าบริเวณรอบๆ ตรงนั้น ถ่ายอะไรก็สวยหมด เลยไม่ได้ตื่นเต้นกับตรง Broken Beach เท่าไหร่ คือมันสวยเท่าๆกันหมดเลยอะ เอาจริง


ออกจาก Broken Beach ก็นั่งหัวสั่นหัวคลอนต่อไปร้านอาหาร ระหว่างทางคนขับรถนี่เกือบลงมาวางมวยกับคันอื่นหลายรอบแล้ว พี่เอ๊ย!! ใจเย็นเด้อ เดือดขนาดนี้ไปขับสาย 8 ที่กรุงเทพมั้ยล่ะ?

ไฮไลท์ของเกาะนี้ Klingking beach หรือ หน้าผา T-rex น้ำทะเลสีสวยมากหาดข้างล่างก็สวยมาก แต่เห็นทางลงแล้วก็ท้อ เราเลยขอเดินลงไปหน่อยละกัน เผื่อได้ภาพแบบที่บล็อกเกอร์ฝรั่งเค้าถ่ายมา แต่ทางลง โอ้โห ถนนบนเกาะที่ว่าอันตรายแล้ว ทางลงนี่อันตรายมาก ทั้งชัน แล้วพื้นก็คือดินที่เหมือนเคยเป็นขั้นบันไดแต่ตอนนี้มันกลายสโลปเป็นเอียงๆ แล้วก็มีทรายอยู่บนพื้น พร้อมจะทำให้เราลื่นได้ตลอดเวลา กับกิ่งไม้ที่ผูกไว้ข้างทางลวกๆ แบบที่ไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวร่างกายอะไรฉันได้เลย แต่ทางลงที่ว่าร้ายกับเรามากแล้วนั้น ก็ไม่เท่าอีฟาน ที่เราลงไปได้ 3 ขั้น นางบอกให้พวกเรากลับว่ะ โอ๊ย!! คือที่แรกเราคงเลทแหละ โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เราเลยแบ่งกัน 2 คนลงไปถ่ายข้างล่างอีกหน่อย ซึ่งกว่าจะลงไปถึงก็ทุลักทุเล คนก็เยอะ ดินก็ลื่น ขั้นบันไดก็กว้างขนาดที่เราลงไปนั่งแล้ว ขายังเหยียดไม่ถึงขั้นข้างล่าง จนฝรั่งแถวนั้นคงสมเพช เลยช่วยดึงมือ จับพวกเรา 2 ชีวิต ค่อยๆไต่บันไดลงไป

ส่วนคนที่เหลือก็ไปบินโดรนข้างบน เสร็จแล้วก็พุ่งตัวไปที่รถ ที่มีคนขับทำหน้าฟึดฟัดอยู่พอขึ้นรถเสร็จ นางก็ซิ่งแบบไม่ชีวิต ซิ่งเหมือนอยู่บนเขาอากินะ ขับด้วยพวงมาลัย คันเร่ง และแตร อย่าถามหาเบรคเลยจ้า ไม่มีเบรคเลยจ้ะพี่จ๋า นาทีนั้นอยากโทรไปบอกรหัส ATM กับแม่มาก อยากฝากข้อความให้แม่โพสต์เฟสบุ๊คให้เผื่อเกิดอะไรขึ้น แต่โชคยังดีที่รอดมาได้ แบบไม่ตาย แต่ข้อศอกกระแทกกับประตูรถช้ำนิดหน่อย

แต่โดยรวมเกาะนี้สวยมาก สวยจริง ถ้าใครมีเวลาค้าง 1 คืนน่าจะกำลังดี เพราะถ้า 1 Day Trip เรือไป 8 โมง กลับบ่าย 3 เวลาเท่านี้เที่ยวไม่พอจริงๆ ถ้าได้ไปอีกก็อยากไปค้างคืนที่นี่เหมือนกัน อยากลองลงไปหาด ข้างล่าง Klingking Beach คงฟินน่าดู

ยังค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ลงจากรถไปขึ้นเรือ ด้วยความที่เรือข้างล่างมันค่อนข้างอึดอัด แล้วท้ายเรือ คนนั่งค่อนข้างเต็ม นี่เลยนำทีมเลยจ้า ไปหน้าสุดกัน เพราะมีช่องลมอยู่ด้านหน้า ลมเย็นๆ จะได้ไม่เมาเรือ หารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะมาเยือน พอออกเรือไป 5 นาทีเท่านั้นแหละ คลื่นแรงมาก กระแทกเหมือนอยู่ในสวนสนุก กระแทกแบบตัวลอยจากเบาะ นอกจากมอไซค์บนเกาะที่ไม่ควรขับ ที่หน้าสุดบนเรือก็ไม่ควรนั่งด้วยจ้า เตือนแล้วนะ!

วันนี้เราจะย้ายไปนอนที่อูบุด ที่พักที่อูบุดเราเลือกเป็นโฮสเทล เพราะเห็นจากรูปใน Booking แล้ว Rooftop Bar มันช่างยั่วยวน ยั่วจนยอมแลกกับการนอนโฮสเทล ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็ตาม เพราะไปกันหลายคน เม้ามอยกันลำบาก





DAY03

วันนี้เราออกแต่เช้าอีกแล้ว เพื่อไปถ่ายภาพมุมยอดนิยมที่วัด Lempuyang ที่อยู่ไกลจากอุบุดประมาณ 2 ชั่วโมง มาถึงก็ต้องจอดรถที่ด้านล่าง แล้วนั่งรถขึ้นไปอีก คนละ 20,000 รูเปียต่อเที่ยว พอขึ้นไปถึง ก็ต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 100 เมตร ตรงนี้ถ้าใครไม่มีโสร่งก็เช่าได้ คนละ 10,000 รูเปีย ส่วนค่าเข้าที่นี้เค้าให้บริจาคตามศรัทธา ซึ่งกว่าเราจะคุยกับเค้ารู้เรื่อง คือภาษาอังกฤษเค้าบางทีก็ฟังยาก บวกกับสกิลอันอ่อนด๋อยของเราแล้ว ฟังคำว่า Donation เป็น Indonasian อยู่หลายรอบ ก็งงว่า เอ้อ ฉันไม่ใช่ Indonesian ไง ก็บอกราคาต่างชาติมาสิว่าต้องจ่ายเท่าไหร่
จนต้องมาช่วยกันฟังหลายๆคน ถึงอ๋อ ว่าคือ Donation บริจาคแล้วแต่เราเลยจ้าาาาา


เดินขึ้นมาถึงบนวัดก็แอบตกใจนิดนึง คือทั้งวัดมีแค่นี้ แถมประตูที่ถ่ายรูปก็มีคนง่ายยืนโบกปูน ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่อีก แถวที่ต่อเพื่อรอถ่ายรูป


มุมยอดฮิตก็ยาวมาก และเวลาถ่ายจะมีคนคอยถ่ายให้ และรูปนี้มันก็มีเทคนิคเล็กน้อย (ส่วนเทคนิคคืออะไร ไปดูในคลิปท้ายรีวิวนะจ๊ะ) ซึ่งเราก็รู้ก่อนไปแล้วแหละว่าคืออะไร แต่ถึงต่อให้ตาเปล่าจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เราตั้งใจแล้วว่ามาเพื่อภาพนี้ เพราะฉะนั้น นานแค่ไหนก็ต้องรอ



พอถึงคิว วิ่งเข้าไปยืน ยังไม่ทันโพสเลย คนถ่ายบอก Another Pose นี่ก็แบบ อะไรวะ? แต่ไม่กล้าโวยวาย เพราะมีสายตาอีกประมาณ 100 จับจ้องอยู่ แล้วก็ Last Pose คือคนนึงเค้าจะให้โพสได้ 3 โพส พอถ่ายเดี่ยวแต่ละคนเสร็จก็ถ่ายหมู่ เราวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะเมฆกำลังเคลื่อน ภูเขาไฟข้างหลังกำลังเผยตัว เราเลยได้ภาพนี้มา เอาเถอะ ต่อให้บางคนจะผิดหวังที่ไม่ได้มีน้ำสะท้อนแบบที่คิด แต่การมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟแบบนี้ มันก็มหัศจรรย์แล้วไม่ใช่เหรอ? เวลาถ่ายให้เราเอาโทรศัพท์ไปฝากไว้ที่เค้า ส่วนค่าถ่ายก็แล้วแต่เราจะให้เลย แต่ดูจาก นักท่องเที่ยวแล้ว รายได้ต่อวันน่าจะรวยอยู่


ถ่ายเสร็จก็ลงจากวัดกัน บอกแล้วไงว่ามาเพื่อภาพนี้จริงๆ ระหว่างทางก็เจอ Satay ที่อยากกินเลยแวะซื้อ พอนั่งรถมาถึงข้างล่าง ก็เจอร้านข้าวราดแกง และ Bakso รสชาติก็อร่อยกับข้าวเผ็ดๆ อร่อยดี แต่ Bakso
กินคำแรกก็อร่อยดี แต่หลังๆ ก็รู้สึกสงสารไต เค็มมากจ้ะพี่จ๋า นี่ว่าคนไทยกินเค็มแล้ว อันนี้ยอมแพ้เด้อ


น้ำตก Tibumana ก็จ่ายค่าเข้าไปคนละ 20,000 รูเปีย แล้วก็เดินลงไปไกลเหมือนกัน พอไปถึงก็แอบเศร้าเล็กๆ ทำไมมันแค่นี้ล่ะ คือมันก็ไม่ได้เล็กมาก แต่ว่าจากรูปตามรีวิว มันดูอลังการมาก แต่ถ่ายรูปออกมา ก็โอเคนะ ถ้าถ่ายเห็นน้ำตกกว้างๆ แต่ถ้าถ่ายแคบๆ ก็คือน้ำตกในเดอะมอลล์ดีๆ เนี่ยแหละแก


วันนี้อีฟานพาเรามาส่งที่ตลาดอุบุด ตลาดอุบุดอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามาก อีฟานบอกว่าเสร็จแล้วให้ไลน์บอกเพราะตรงนี้จอดไม่ได้ เราเลยบอกว่า ให้อีฟานกลับไปเลย เดี๋ยวพวกเรากลับที่พักกันเอง ตลาดอุบุดก็มีของพวก Handmade ขายเต็มไปหมด แต่เราไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย เพราะของก็คล้ายๆ จตุจักรบ้านเรา


ก่อนกลับก็มาจบที่ร้านอาหาร เป็นร้านอาหารฟิวชั่น ไทย-อินโด ก็อร่อยดี เสิร์ฟมาแบบอลังการ ราคาโอเค

วันนี้ฝนไม่ตกแล้ว เราเลยได้ไปนั่ง Rooftop Bar สมใจอยาก พอขึ้นไปก็จะเจอกับฝรั่งกลุ่มใหญ่ ที่คุยกันเหมือนสนิทสนมกันมานาน ส่วนเราก็เป็นเอเชียหัวดำ 5 คนที่นั่งงงๆ อยู่ตรงบาร์ คนที่เค้าไปเที่ยวแล้วได้เพื่อนใหม่จากการเที่ยวนี่เค้าทำไงอะ นี่พยายามสบตาฝรั่งทั้งหญิงชาย ก็ไร้บทสนทนาใดๆ นอกจาก Hi ยอมแพ้ค่ะ นั่งกินเบียร์ คุยกับเจ้าของเกสต์เฮาส์ที่ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของบาร์ และบาร์เทนเดอร์ไปในตัว เจ้าของบาร์นางน่ารักมาก คุยเก่งเป็นคนยูเครน ชื่ออะไรไม่รู้ เพราะว่าชื่อฟังยาก มาเที่ยวบาหลีที่แรกในเอเชีย แล้วตกหลุมรักก็เลยอยู่ที่นี่ยาวเลย เอาจริงๆ คำว่าตกหลุมรักน่าจะเป็นเจ้าของผู้ชายชาวบาหลีมากกว่า


จบวันนี้ด้วยการกินเบียร์ไปคนละกี่ขวดไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครเมา เพราะกลัวปีนขึ้นไปนอนบนเตียง อันสูงเสียดฟ้าไม่ไหว



Day 04

จากเดิมที่เรานัดอีฟานมารับ 9 โมง วันนี้เราเลยตื่นเช้าขึ้นเพื่อไปเก็บ Campuhan Ridge Walk ที่เราพลาดจากเมื่อวานกันก่อน จากที่พักก็เดินไปประมาณ 1.2 กิโลเมตร พอไปถึงคนก็ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าจริงๆ มันคือเส้นทาง Trekking ที่มีคนมาออกกำลังกายยามเช้ากันอยู่พอสมควร คนวิ่งก็วิ่งไป คนถ่ายรูปก็ถ่ายไป คนบินโดรนก็บินไป ไม่มีจังหวะโล่งๆให้ฉันถ่ายเลย


เสร็จแล้วด้วยความที่เราขี้เกียจเดินกลับ เลยโทรบอกอีฟานให้มารับพวกเราที่ตรงนี้ก่อน แล้วค่อยไปเอากระเป๋าที่เกสต์เฮาส์ พอมารับด้วยความที่ตรงที่เราขึ้นมันคือเนิน พอเราขึ้นรถครบแล้ว ในระหว่างที่อีฟานก้มไปหยิบของ รถก็ไหลจ้าาา แล้วชะนีไทยก็สติแตก ตะโกน รถไหลๆๆๆ อีฟานก็นึกว่าเราคุยด้วยก็หันมามอง ก่อนที่จะรู้ตัวว่ารถไหลแล้วเหยียบเบรค คือสถานการณ์ตอนนั้นมันน่ากลัวมาก ดีที่ไม่มีรถตามหลังมา แต่พอผ่านมาแล้วพวกเราก็ขำพรวดกันทั้งรถ จนตอนนี้ไม่รู้ว่าอีฟานรู้รึยังว่า รถไหล แปลว่าอะไร 5555

หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อย วันนี้เราจะย้ายไป Canggu อ่านว่า ชางกู ชางกู ชาง ชางแมง ว้ายยย มุกอะไรอะ?

แต่ก่อนไป Canggu เราก็จะแวะเที่ยวที่ใครมาอูบุดก็ต้องมาที่นี่ ก็คือ นาขั้นบันได Tegalalang Rice Terrace เมื่อเราลงรถ ก็ต้องบริจาคเงินเป็นค่าเข้านาขั้นบันไดก่อนนะคะ แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกอยู่เรียงราย ทุกซอกร้านก็จะมีทางที่เขียนว่า entrace ซึ่งจนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ไอ้ entrance ที่เป็นทางหลักจริงๆ คือทางไหน พอโผล่หัวบนป้าย entrance ก็จะเห็น....นาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ไพศาลเหรอ?
 หึ!!! บันไดลงที่โคตรลึกเลยจ้ะ ไอ้ตอนลงไม่เท่าไหร่ แต่ตอนขึ้นเนี่ยแหละ พอลงไปสุด ก็จะเป็นนาขั้นบันได ที่ไม่ได้มีต้นข้าวเขียวขจีเต็มทุ่งนาขนาดนั้น เพราะน่าจะไม่ใช่ฤดูกาล . ปลูกข้าว และด้วยความที่เค้าปลูกกันตามซอกเขาที่ชัน มันเลยสูงอย่างเดียว
แต่วิวไม่กว้างเท่าที่เราคิดไว้ ถ้าใครเคยไปป่าบงเปียง หรือซาปา แล้วหวังว่าที่นี่จะเหมือน เราว่าน่าจะไม่เหมือน ถามว่าเราเคยไปป่าบงเปียงกับซาปามั้ย ก็ไม่อะ แต่เดาเอาว่ามันน่าจะกว้างกว่านี้ หรือเราเข้าทางเข้าผิดทางไม่รู้


ส่วนใครที่อยากเล่นชิงช้ามุมสูง หรือ Bali Swing ก็มีหลายเจ้า เลือกเล่นได้ตามอัธยาศัย แต่พวกเราเฉยๆ เลยไม่เล่นดีกว่า

Tegenungan Waterfall เหมือนน้ำตกเจ็ดสาวน้อยบ้านเรา ที่มีร้านอาหารเรียงราย เป็นที่ พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัว คนค่อนข้างเยอะ แต่วันนี้เราขี้เกียจ เลยส่งตัวแทนเดินลงไป แล้วเรานั่งรออยู่ข้างบน


ออกจากน้ำตกก็มุ่งหน้าไปยัง Canggu แป๊บเดียวก็ถึง แต่เรามาถึงก่อนเวลา เลยต้องเอากระเป๋า มากองไว้ก่อน เพราะเค้ายังทำความสะอาดไม่เสร็จ ที่พักนี้ชื่อว่า Archi Villa เราจองผ่าน AirBnB 
https://www.airbnb.com/rooms/21195973?s=51
มาในราคา 2 คืน 5 คน 9000 บาท ถ้าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นน่าจะถูกกว่านี้เยอะ ที่พักกว้างมาก มี 2 ห้องนอน มีครัว โต๊ะกินข้าว โต๊ะรับแขก สระว่ายน้ำใหญ่กว่า Pool Villa ที่เมืองไทยที่เคยไปมา และเดินออกไปประมาณ 100 เมตรก็จะเจอกับ Super Market อยู่ปากซอย มีของขายเยอะมาก อารมณ์คล้าย ๆ Tops หรือ Foodland ในเมืองไทย


ระหว่างรอพนักงานเคลียร์บ้าน เราก็เลยเดินไปหาเสบียงที่ซูเปอร์ พอเข้าไปก็ต้องพบกับ ความจริงที่ว่า เบียร์ Bintang ยอดฮิตที่เรากินทั้งที่ Sunur ราคาขวดละ 23,000 รูเปีย หรือ ที่ Ubud 25,000 รูเปีย ที่ผ่านมาที่ Canggu ราคาแค่ขวดละ 19,000 เอง เราเลยซื้อไปตุนไว้ที่บ้าน พร้อมกับเฟรนช์ฟราย ไก่ฟรีซ น้ำมัน เตรียมพร้อมกับการกินเบียร์คืนนี้

อ่อ ลืมบอกไป อยู่ที่ Canggu เราจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับกัน เพราะอ่านรีวิวมาว่าที่นี่ทางแคบ และรถติด อีกอย่างที่เที่ยวแต่ละที่ก็ไม่ได้ไกลกันมาก เราเลยถามเบอร์ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ที่พนักงาน villa แล้วโทรให้เค้าเอารถมาส่ง เช่ากัน 2 วัน 3 คัน ราคารวม 300,000 รูเปีย

หลังจากเล่นน้ำจนตัวเปื่อย เราก็อาบน้ำ แต่งตัวออกไปที่หาด Canggu เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ The Lawn ทางไปก็จะเป็นทางแคบ ๆ มีทั้งรถยนต์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ แย่งกันไปแล้วก็ติดแหง็กกันอยู่ กว่าจะไปถึงหาดก็เกือบครึ่งชั่วโมง แต่ทางไปท่ามกลางที่พัก และร้านอาหารก็ยังมีทุ่งนาแทรกอยู่ เลยเป็นวิวที่สวยดี ไปถึงก็วิ่งไปที่หาดเลย เพราะดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน อาทิตย์ตกที่นี่สวยมาก
มีแสงครบทุกสี พอมองไปไกลๆ ก็จะฟุ้งๆ แล้วหาดก็กว้างมากกก


ดูพระอาทิตย์ตกเสร็จก็หิวแล้ว เลยเปลี่ยนแผนจาก The Lawn ไปหาข้าวกินแบบ Local กันดีกว่า ขับวนซอยนู้น ออกซอยนี้อยู่นาน ก็ยังไม่เจอ แต่ 2 ข้างทางที่ Canggu เต็มไปด้วยคาเฟ่ และร้านเก๋ๆ เต็มไปหมด คาเฟ่ที่ Seoul ว่าเก๋แล้ว เจอที่นี่เข้าไปยังต้องยอม คาเฟ่ก็เก๋ ร้านเสื้อผ้าก็คือสวยทุกร้าน

สุดท้ายเราก็แรนดอมมาเจอร้านนี้ คล้ายๆ ร้านอาหารตามสั่ง แต่ก็จะมีแค่พวก หมี่โกเร็ง นาซิโกเร็ง
เหมือนหลายๆ ร้านที่ผ่านมานั่นแหละ ซึ่งความจริงอีกอย่างที่เราได้รู้ก็คือ อาหารโซนแถบเมืองติดทะเลทางนี้ ถูกกว่าแถวอูบุดอีก ตอนแรกก็นึกว่าอูบุด เมืองวัฒนธรรม ต๊ะต่อนยอน จะอาหารราคาถูก ฝั่งทะเล มีความเป็นเมืองท่องเที๋ยวจ๋าาา อารมณ์แบบภูเก็ต น่าจะแพง ที่ไหนได้ ฝั่งทะเลหาอาหาร local ง่ายกว่า และถูกกว่าอีก จากที่เคยกินฝั่งอูบุดจานละ 50,000 โดยเฉลี่ย มาอยู่ที่นี่ หมี่โกเร็งเฉลี่ยจานละ 25,000 รูเปีย ถูกว่ากันครึ่งนึงอะ แต่อาจจะเพราะฝั่งนี้เป็นร้านอาหารแบบตามสั่งเลย แต่อูบุดมีแต่ร้านแบบเป็นร้านอาหารใหญ่โตเลย

อาหารที่บาหลีเค้าจะผัดน้ำมันค่อนข้างชุ่ม เราก็เลยตัดเลี่ยนโดยการไปขอ ซัมบัล หรือคล้ายๆ น้ำพริกหนุ่มบ้านเรา แต่เป็นพริกแดงๆ เผ็ดๆ มีแทบทุกร้าน อารมณ์เหมือนพริกน้ำปลา ใส่กับอาหารอินโดอะไรก็อร่อย


กินเสร็จเราก็ไปบาร์ลับ ที่มีกิมมิคคือต้องผ่านมินิมาร์ทเข้าไปก่อน ก็คือ Black Cat Minimart เราน่าจะมาถึงเร็วเกิน ก็เลยไม่มีคนเลย แล้วก็น่าจะมีการก่อสร้างอะไรอยู่ไม่รู้ เลยมีกลิ่นสี เรานั่งกินเบียร์กันคนละขวดอยู่ซักพักก็เลยออก กลับไปกินเบียร์ที่บ้านดีกว่า มาถึงบ้านก็ทอดเฟรนช์ฟราย ไก่ทอด จิบเบียร์ จนถึงเที่ยงคืน ก็แยกย้ายกันไปนอน เก็บแรงไว้เล่นเซิร์ฟพรุ่งนี้กัน




Day 05

วันนี้เราตื่นแต่เช้า ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเล่นเซิร์ฟกัน อาบน้ำเหรอ? บ้าาาาา คนเค้าไปเล่นน้ำทะเล เค้าไม่อาบน้ำกันหรอก จาก Canngu ขับไปที่ Double Six Beach ประมาณ 20 นาที วันนี้เราเรียนกันที่ NAS Surf School ที่เราจองตั้งแต่อยู่เมืองไทย โดยตอนแรกสาเหตุหลักๆ เลยก็คือ พี่มิ้นเจ้าของโรงเรียนเป็นคนไทย ถึงแม้ว่าเราจะคุยกับคุณครู ด้วยภาษาอังกฤษแต่ยังไงมีคนไทยอยู่ใกล้ๆ ก็อุ่นใจกว่า

ไปถึงเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไปเล่น กะว่าไม่กินข้าวเช้าเพราะกลัวอ้วก แต่พี่มิ้นแนะนำว่า กินไปเหอะ ต้องใช้แรงอีกเยอะ เดี๋ยวจะเล่นไม่ไหว พี่มิ้นเลยพาเราไปซื้อข้าวห่อๆ ที่มีเครื่องเคียง กับคุณลุงที่จอดมอเตอร์ไซค์ขายอยู่ สนนราคามื้อนี้ ห่อละ 5,000 เท่านั้น ประมาณ 10 บาทอะ ถูกมาก และอร่อยมากก เข้าใจเลยว่าฝรั่งที่เค้ามาอยู่เล่นเซิร์ฟกันเป็นเดือนๆ เค้าอยู่ได้ยังไง เพราะอาหารแถบนี้ถูกมากกกก


กินเสร็จก็เตรียมตัวไปเล่นเซิร์ฟ นี่เป็นการเล่นเซิร์ฟครั้งแรกของพวกเรา พี่มิ้นบอกว่าสำหรับ Beginner เล่นที่ Double Six Beach เหมาะที่สุด เพราะคลื่นดี แล้วพื้นยืนถึง บางหาดที่พวกโปรไปเล่น คือคลื่นสูง แล้วข้างล่างเป็นหินหรือปะการังหมดเลยไม่เหมาะกับ Beginner อย่างเรา


ก่อนเล่น ก็ต้องเรียนพื้นฐานกันก่อนกับคุณครูอานัส ตอนเรียนก็ง่ายจัง แค่นอน push แล้วก็ยืนทรงตัว เองงแก๊ สอนเสร็จก็ลากบอร์ดลงทะเล เข้าใจแล้วว่าทำไมนักเซิร์ฟถึงหุ่นดีกันจัง แค่ลากเซิร์ฟนี่ก็ร้าว จั๊กกะแร้แล้ว


พอลงทะเลเท่านั้นแหละ ไอ้ทฤษฎี ท่าทางที่ยืนบนบกเมื่อกี๊ หายวับไปหมดจ้า ทำไมมันยากแบบนี้ รอบแรกๆนี่ไม่ใช่แค่ยืนไม่ขึ้นนะ ยังไม่ทันได้ตัดสินใจยืนเลย นอนกอดบอร์ดเกยหาดกันไปจ้าา เวลาลงไปจะมีครู 2 คน คอยประกบพวกเราทั้ง 5 คน คอยดูคลื่นให้ ส่งสัญญาณให้เรายืน แต่จนแล้วจนรอด คนอื่นยืนได้หมด แต่เรานี่คนอยากเล่น คนนั่งหาข้อมูลทุกอย่าง ดันยืนไม่ได้อยู่คนเดียว

ตลอดเวลาที่เราเล่นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมต้องใช้สมาธิขนาดนั้น คือพอคุณครูส่งสัญญาณตอนคลื่นมากระทบที่บอร์ดของเรา มันคือสมาธิและการตัดสินใจล้วนๆ เลย ต้องตัดสินใจว่าจะยืนเลยมั้ย ยืนยังไง สเต็ปอะไรบ้างรีบเกินไปก็ไม่ได้เพราะบาลานซ์จะเสีย
แต่ถ้าช้าไปเราก็จะไปถึงหาดก่อน นอกจากการเลือกคณะตอนเข้ามหาลัย นี่น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดอีกอย่างในชีวิตเลย ใครที่อยากฝึกสมาธิ การตัดสินใจ ถ้าคุณไม่ชอบไปนั่งวิปัสสนาในวัด ขอให้มาค่ะ มาเล่นเซิร์ฟ แล้วคุณจะรู้ว่าการลาออกจากที่ทำงานที่แสนน่าเบื่อ ตัดสินใจง่ายกว่าการจะยืนยังไงดีบนบอร์ดกลางทะเลอีก พอใกล้จะหมดเวลาก็ยืนได้แป๊บนึง แล้วก็ร่วงลงมา จริงๆ จะเรียกว่ายืนได้แล้ว ก็กระดากปากอะ แต่ร่วงลงมาแล้วโผล่หัวมาจากน้ำ อานัส ก็ยืนรอและยื่นมือมา Hi-five แล้วบอกว่า You can do it!!! คือให้กำลังใจเก่งงงงงง เก่งจนอยากจะให้ไปเป็น Life Coach ขายคอร์สที่เมืองไทยอะ เดี๋ยวนะครู เมื่อกี๊เรียกยืนได้แล้วหลอ? เอาวะ ได้ก็ได้ ปลอบใจตัวเองไป


จริงๆ วันนี้เราแพลนจะไปคาเฟ่ ไปร้านอาหารอีกมากมาย ไอ้ร้านที่กินข้าวในน้ำทั้งหลายอะ มีในแพลนเราหมดแหละ แต่สุดท้ายก็เทให้กับเซิร์ฟไปหมดวันเลย


หลังจากเล่นเสร็จก็จะมีช่างภาพที่แอบถ่ายเรามาเสนอขายรูป ที่แอบถ่ายเราตอนไหนไม่รู้ เค้าจะคิดราคา เป็นคน แล้วแต่ว่าใครมีช็อตที่ถ่ายได้เยอะกว่าก็จะได้ภาพเยอะ ของเพื่อนๆที่ยืนได้เยอะก็ได้มา 20-30 รูป ส่วนเราน่ะเหรอ 6 รูปถ้วนจ้า แต่ราคาเท่ากันหมด ไหนๆ ก็มาแล้วก็เลยให้ทางคุณครูไป ต่อรองราคาให้ ได้ราคาที่ถูกใจก็ควักเงินจ่ายกันเลย โดยช่างภาพเค้าจะส่งให้ทางเมล หรือถ้าเรามีอะไรไปก๊อปจากเค้าเลย . ก็จะได้เร็วกว่า


ตกเย็น Echo Beach คือหาดทรายดำที่อยู่ถัดไปจาก Canggu ที่มีร้าน Finn Beach Club ชื่อดังที่ใครๆ ก็ไปเช็คอิน ตอนแรกเราก็ใส่ไว้ในแพลนแล้ว แต่สุดท้าย ร้านอะไรในแพลนก็เทหมด ไปนั่งชิลๆ ดูพระอาทิตย์ตกที่ Echo Beach ดีกว่า จริงๆ ที่มาหาดนี้เพราะพี่มิ้นแนะนำว่า ตอนเย็นๆ จะมีนักเซิร์ฟ เล่นเซิร์ฟอยู่ในทะเล แล้วมีพระอาทิตย์ตกเป็นแบ็คกราวน์ เราจะรออะไรล่ะคะ มาแบบไม่ต้องคิดเลย เราไม่ได้บ้าผู้ชายนะ แค่อยากได้วิวพระอาทิตย์ตกเฉยๆ แต่ไม่รู้ว่าเรามาถึงเย็นเกินไปรึเปล่า วันนี้เลยไม่ค่อยมีนักเซิร์ฟเท่าไหร่ แต่พระอาทิตย์ตกก็ยังสวยอยู่ดี ถ้าใครมากับแฟนแนะนำเลยว่ามาปูเสื่อนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่นี่โรแมนติคแน่นอน ส่วนเรานะเหรอ หึ!


พอออกจากหาดเราลยมาจอดกิน satay หรือหมูสะเต๊ะกันข้างทาง ร้านจะนั่งปิ้งกันบนพื้นเลย ส่วนคนกินก็จะมาสั่ง ใส่จากถือนั่งกินบนเก้าอี้ข้างหลัง ราคา 10 ไม้ 15,000 เราเลยสั่งไป 20 ไม้ แต่ไม่มีที่นั่ง เลยมานั่งกินกันบนมอเตอร์ไซค์ บอกเลยว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ หมูสะเต๊ะ จะเป็นหมูก้อนๆ นุ่มๆ ปกติเราจะไม่กินมันที่อยู่ตามหมูสะเต๊ะ หรือหมูปิ้งในไทยนะ แต่มันหมูที่แทรกใน Satay ที่นั่นเรากินได้สบายมาก น้ำจิ้มก็จะคล้ายๆ น้ำจิ้มของไทย แต่จะพริกซอย กับเกลือมั้ง ตักแยกมาให้ พอเอาคลุกๆกันแล้วจิ้ม นี่คือที่สุดของที่สุด 20 ไม้หายวับไปกับตา เรามองหน้ากันไปมา เลยตัดสินใจทันทีว่า ต่อเถอะ เลยถือจานไปเดิมไปสั่งคุณป้าเพิ่มอีก 20 ไม้ ถ้าใครกลัวไม่อิ่มก็สั่งข้าวเพิ่มได้นะ แต่เรากินแค่เบาๆ เป็นอาหารทานเล่นก่อนเลยกินแค่นี้พอ


จากนั้นก็ไปบาร์ที่พวกเราตั้งใจกันมาตั้งแต่เมืองไทย ถึงขนาดคิดธีมชุดมาเพื่อบาร์นี้ด้วย เอาจริงๆ ก็คิดธีมชุดมาทุกวันแหละ ซึ่งเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว หาเสื้อผ้ายากเวอร์เด้อออ Pretty Poison บาร์ที่มีลานสเก็ต สุดเจ๋ง ที่เราเห็นจากรีวิวของฝรั่ง แต่พอเรามาถึง เงียบกริบ ก็เดินเข้าไปนั่งเล่น เผื่อว่าดึกๆ มันคงมีคนแหละ รอไปซักพัก เลยส่งตัวแทนไปถามพนักงานที่ร้าน ที่นั่งจิบเบียร์ชิวๆ กัน 2 คน สรุปคือวันนี้ไม่มีโชว์จ้า เนี่ยแหละความนก นกแล้วนกอีก ฮือออออ

.

เราเลยย้ายไป Old Man แทน Old Man บาร์ที่เหมือนรวมคนทั้งเกาะมาไว้ที่นี่ ร้านกว้างมาก แต่คนก็เยอะมาก ฝรั่งหล่อๆ เพียบ แต่ฝรั่งสวยๆ เพียบกว่า บ้าไปแล้ว กินอะไรเข้าไปกันอะพวกเธอ ทำไมสวยขนาดนี้ ถ้าใครคิดว่าจะมาแอ๊วฝรั่งที่บาหลี เธอต้องต่อสู้กับหญิงสาวหน้าตาดีราวกับหลุดมาจาก Victoria Secret นับล้านก่อนนะจ๊ะ นั่งกินเบียร์กันไปคนละ 2 ขวด ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว เลยกลับดีกว่า ถ้าเป็นฝั่งตัวร้านเลยก็น่าจะสนุกกว่านี้ แต่เราไปถึงโต๊ะเต็ม เลยมานั่งอีกฝั่งที่เสียงเพลงจากดีเจมาไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ สุดท้ายบาร์ที่เล็งไว้แต่ละที่ ก็ทำเรานกหมดเลย เสียใจ



ก่อนกลับ ก็ซื้อ satay อีก เราก็ถามราคาไป ก็ได้ยินว่า 25 ถามอยู่หลายรอบก็ไม่ค่อยได้ยิน เพราะเสียงเพลงบาร์แถวนั้นดังมาก ก็เลยไม่ถามแล้ว มันคงราคาไม่ต่างกับเมื่อค่ำมากหรอก เลยสั่งมา 20 ไม้ ก็จ่ายตังค์ไป 50,000 รูเปีย นางบอกไม่ใช่ 100,000 รูเปีย อีบ้า!!! แพงกว่าร้านเมื่อค่ำ 3 เท่า แค้นมากกก โกรธ!!! ที่นี่ร้านขายอะไรข้างทาง มักจะไม่ค่อยมีราคาบอก ทำใจไว้เลยว่าเราต่างชาติ โอกาสโดนฟันสูงเหมือนกัน พูดแล้วก็โมโห


Day 06

วันสุดท้ายแล้ว วันนี้เราตื่นสายมากหลังจากที่ตื่นเช้ามาหลายวัน เพราะกะว่าจะเช็คเอาท์ ออกจากบ้าน . เที่ยงเลย พอเที่ยงอีฟานก็มารับตรงเวลาเป๊ะ เราก็เอาของทั้งหมดขึ้นรถอีฟาน เพราะวันนี้เราจะบินกลับไฟลท์ 01.10 น

เที่ยงแล้ว เราเลยไปหาอะไรกินก่อน ที่ Motel Maxicola ที่คนอื่นมาตอนกลางคืน แต่เราดูจากแผนที่แล้ว กลัวมาตอนกลางคืน เมาแล้วขับกลับบ้านไม่ไหวแน่นอน เราเลยมาตอนกลางวันแทน ร้านนี้ก็ตกแต่งสวยดี ขายอาหารแม็กซิกันตามชื่อร้าน แต่ราคาแรงเอาเรื่องอยู่

สั่งทาโก้ไปราคาประมาณ 90,000 รูเปีย ก็กะว่าเอ้อออ คงพอกินแหละ พอเสิร์ฟมาเท่านั้นแหละ ทาโก้แผ่นกลมๆ เท่าไอโฟนเท่านั้น ดีที่ได้ satay ที่โดนโกงมาเมื่อคืนแล้วกินไม่หมด เลยเหลือมาถึงเช้า มื้อนี้เลยพอยาไส้ แต่ถามว่าอร่อยมั้ย อร่อยเลย แต่ราคาก็แอบโหดร้ายไปนิด


กินเสร็จเราก็ไปหาด melasti beach ที่มีหน้าผาที่โดนตัดเป็นเรียบๆ ที่อีฟานก็ยังไม่รู้จัก นั่งรถมาไกลพอสมควร จนถึงหน้าผาก่อนลงหาด ก็มีคู่รักมา Pre-wedding กันเพียบ ระหว่างขับรถผ่านหน้าผาไปเรื่อยๆ ก็แอบเห็นอีฟานกดถ่ายวิดิโอไว้เลยแอบแซวไปว่า ยูตื่นเต้นกว่าพวกเราอีกนะ พอลงไปถึงหาดแล้วก็จะพบกับคู่รักมา Pre- Wedding กันอีกเป็น 10 คู่ พร็อพรถตู้ Folk ก็มา ห่วงยางรูปแหวนเพชรก็มี คือทุกตารางเมตรมีคู่แต่งงานมาจริงๆ อะ หรือบางทีเค้าซื้อทัวร์ถ่าย Pre-wedding มาด้วยกันก็ไม่รู้ นอกจากคู่แต่งงาน ก็มีคู่รักที่พาหมามาเดินเล่น ครอบครัวที่พาลูกมาเล่นน้ำ กับพวกเราอีก 5 คนเท่านั้น ที่ไม่ได้มา Pre-Wedding กัน


นอกจากหน้าผาที่เป็นเอกลักษณ์ของหาดแห่งนี้แล้ว หาดที่เป็นหินแล้วมีพืชน้ำอะไรซักอย่างเขียวๆ ก็ไม่เหมือนที่ไหน น้ำที่นี่ใสมาก แต่คลื่นค่อนข้างแรง จนต้องมีแนวกันคลื่น ส่วนบนหาด ก็มีการก่อสร้างน่าจะเป็นรูปปั้นเทวรูป ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานหาดแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แบบเต็มรูปแบบ และมีคนมาเยอะกว่านี้แน่นอน


ออกจากหาดก็ไป สถานที่ลับๆ ลับมั้ยอะ? ก็ไม่ค่อยลับหรอก แต่ว่าถามคนที่อยู่บาหลี หลายคนก็ไม่รู้จัก ก็เลยเคลมเองว่ามันลับละกัน Karang Boma Uluwatu เป็นหน้าผาที่อยู่ถัดจากวัด Uluwatu นั่นแหละ เราเห็นจากรีวิวของฝรั่งที่ไปนั่งตรงยอดผา เลยอยากได้รูปมุมนี้บ้าง

มาถึงแล้ว เราต้องจอดรถด้านหน้า เอารถเข้าไปไม่ได้ เข้าได้แค่มอเตอร์ไซค์ เสียค่าเข้าให้กับเจ๊ที่เฝ้าประตู โดยที่ก็ไม่รู้ว่าเจ๊เกี่ยวข้องอะไรกับหน้าผานี้ ตรงนี้ก็ Donation อีกจ้ะ เราเลยจ่ายไป 20,000 รูเปีย พอลงจากรถ เจ๊แกเห็นกระเป๋าโดรน เลยถามว่า จะบินโดรนเหรอ?
ถ้าบินโดรน 100,000 รูเปียนะ เอ่อ...เกณฑ์การคิดเงินของเจ๊คืออะไรอะ แต่ขี้เกียจถามเลยจ่ายๆไป

เดินไปประมาณ 1 กิโล ขึ้นเนิน ลงเนิน ประมาณ 3 รอบ ทางที่เดิน เป็นถนนคอนกรีตอย่างดี เหมือนเคยเป็นสถานที่อะไรมาก่อน สุดทางก็มีเป็นอาคารก่อสร้าง เหมือนเป็นสำนักงานอะไรไม่รู้ ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง ต่อจากนั้นเดินลุยต้นไม้รกๆ มาอีกหน่อยก็ถึงแล้ว มาถึงก็เห็นมีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่เต็มเลย คงมีแค่เรา 5 คน . ที่มาที่นี่ด้วยการเดินเท้า


เรามาถึงที่นี่ตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ยังไม่ตก คนเลยยังไม่ค่อยเยอะ เราก็เลยจะไปถ่ายตรงหน้าผา “วังวารี" ว้ายยยย รู้เลยอะอายุเท่าไหร่ แต่พอเดินไป โอ้โห ขานี่สั่นพั่บๆ น้องที่จะถ่ายให้ ก็บอกก้าวอีกๆ เราก็ค่อยๆ กระดึ๊บไปทีละนิด ดูจากอีกฝั่งมันดูไกลขอบผามาก แต่ลองไปยืนดูสิ คือตอนนั้นเหมือนจะตกลงไปแล้ว ตอนนั้นก็คิดอีกแล้ว หรือว่าประกันการเดินทางจะได้มาใช้วันสุดท้ายก่อนกลับวะ คนที่ลงไปนั่ง . ตรงขอบได้นี่จิตใจทำด้วยอะไร คือหน้าผากะด้วยสายตาน่าจะประมาณ 20 เมตรได้อะ


พอเริ่มเย็น คนก็เริ่มมาเรื่อยๆ รวมถึงแก๊งเจ้าถิ่นที่มี 2 สาวผลัดกันถ่ายรูปตรงจุดพีคหน้าผากันนาน อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่แคร์คนต่อคิวรอถ่าย ทั้งสมาชิกในแก๊งเรา ทั้งฝรั่งอีก 2-3 คน ที่ยืนรออยู่นาน ก็หาทำอะไรน้องเค้าได้ จนต้องถอดใจเดินกลับมานั่งดูพระอาทิตย์ตกกันก็ได้ พระอาทิตย์ตกที่นี่ก็สวยมาก ทะเลสุดลูกหูลูกตา กับท้องฟ้าสีทอง เป็นการจบทริปนี้ที่น่าประทับใจมาก


มาถึงสนามบินก็ทำการจ่ายเงินค่ารถให้กับอีฟาน ค่ารถทั้งหมด 4 วัน รวม 2,100,000 รูเปีย เพราะวันที่ 2 ที่ไปเกาะ Nusa Penida อีฟานขอเก็บวันนั้นเลย จริงๆ ค่ารถเราจะจ่ายวันต่อวัน หรือจ่ายทีเดียวเลยก็ได้ เราเลยให้ทิปไปอีกนิดหน่อย ถึงอีฟานจะเงียบไปนิดหน่อย แต่ว่าเป็นคนขับที่มารยาทดี สุภาพเรียบร้อย จนเราดูเป็นคนกักขฬะไปเลยก็ตาม แต่ที่ประทับใจที่สุดคืออีฟานขับรถนิ่มมาก นิ่มจนเราสามารถแต่งหน้าบนรถแทบทุกวัน และหลับเป็นตายแทบทุกครั้งระหว่างทาง

บาหลี สมแล้วที่เค้าบอกว่าเป็นเกาะสวรรค์ ถามว่าเราประทับใจอะไรที่บาหลีบ้างก็ตอบไม่ได้แน่ชัดขนาดนั้น คือธรรมชาติก็สวย แต่เราคงคาดหวังมากเกินไป เลยยังไม่ว้าวขนาดนั้น คนที่นี่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับเค้ามาก เลยตอบไม่ถูก อาหารก็มีเลี่ยนบ้าง จืดบ้าง ส่วนการเดินทางก็รถติดนรกยิ่งกว่ากรุงเทพ แต่ความไม่เพอร์เฟ็คอะไรหลายๆอย่างของบาหลีเนี่ยแหละ กลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนที่ไหน ทำให้เราอยากกลับไปอีกหลายๆครั้ง อยากใช้ชีวิตที่นั่นให้นานกว่านี้ อยากขับมอไซค์ไปดูพระอาทิตย์ตกที่หาดทุกเย็น อยากไปยืนเลือกข้าวแกงตามร้านข้าวโถ อยากจิบเบียร์ Bintang กับ Satay อีก อยากนั่งมองฝรั่งหล่อๆ สวยๆ เดินกันเต็มเมือง อยากไปนั่งทุกร้านที่ Canggu เพราะร้านสวยๆ เต็มไปหมด ถ้าใครที่มองหาที่เที่ยว ที่มีครบรส ราคาไม่แพง บาหลีเนี่ยเหมาะมาก เราแนะนำ!



สรุปค่าใช้จ่าย
1.ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ (ซื้อน้ำหนัก 40 กิโลหารกัน 5 คน) = 5,556 บาท
2.ค่าที่พัก 2,996 บาท / คน
- Pool Villa 9202 บาท / 2 คืน
- Pillow Inn Ubud 3431 / 2 คืน
- Semarandana Bedrooms and Pool 2344 3 ราคารวม 3 ห้อง / 1 คืน
3. ค่า Nusa Penida 1 Day Trip 650,000 รูเปีย ~ 1,435 บาท
4. ค่ารถ 2,100,000 รูเปีย (ทิป 300,000 รูเปีย). ~5,230 บาท
5. ค่าซิม 250,000 รูเปีย ~ 550 บาท
6. ค่าประกันการเดินทางคนละ 624 บาท
7. ค่าเรียนเซิร์ฟ 1.30 ชั่วโมง + ค่ารูป คนละ 600,000 รูเปีย 1,325 บาท
8. ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ 300,000 รูเปีย ~ 663 บาท
9. ค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ 40,0000 รูเปีย ~ 90 บาท
10 . ค่าเข้าสถานที่ 700,000 รูเปีย (รวม 5 คน) ~ 1,545 บาท
11. ค่ากินรวมค่าเบียร์ ~ 4,000 บาท
รวม ~18,000 บาท / คน
ถ้าไม่กินเบียร์ ไม่เรียนเซิร์ฟ ไม่ซื้อน้ำหนัก ก็จะถูกกว่านี้อีก ไปตั้ง 6 วัน 6 คืน วิวขนาดนี้ กับงบไม่ถึง 20,000 บาท คุ้มจะตาย



สุดท้าย ใครอยากดูแบบเป็นคลิป อย่าลืมไปติดตามพวกเราได้ที่

ความคิดเห็น