ไปกินหมู...ที่บ้านแขก
สมัยก่อนที่ตรงนี้ยังเป็นสวนปลูกผลไม้ ไม่ปรากฎสิ่งก่อสร้างใดๆเลย กระทั่งปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าให้สมเด็จพระยาบรมศรีสุริยะวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ดูความเจริญของบ้านเมือง ขากลับจึงได้พลอยตระเวรตรวจราตามหัวเมืองภาคใต้ เมื่อผ่านไปยังปัตตานี ได้เห็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม จึงได้เชื้อเชิญช่างชาวมุสลิมที่มีฝีมือตลอดจนทายาทเจ้ามากลับมากรุงเทพด้วยเพื่อพัฒนาบ้านเมือง เมื่อถึงบางหลวง สมเด็จเจ้าพระยาได้แบ่งปัญที่ดินส่วนตัวให้อาศัยอยู่บริเวณด้านหลังจวน ต่อมากลายเป็นสถานมี่ตั้งมหาลัยบ้านสมเด็จในปัจจุบัน ในปัจจุบันชาวในชุมชนเรียกว่า "บ้านแขก" ที่นี่จึงรวมพี่น้องชาวมุสลิมไว้มากมาย จนกระทั่งเกิดเป็น ชุมชนบ้านแขก ที่กลายเป็นย่านที่ร่วมผู้คนหลายศาสนา หลากวัฒนธรรมไว้เข้าด้วยกัน
แผนที่การเดินทางไปสี่แยกบ้านแขก
(ขอบคุณรูปภาพจาก motif condo)
เราเริ่มเดินทางจากวงเวียนใหญ่ไปบ้านแขก โดยวิธีการเดินเท้าไปเรื่อยๆ พอดีวันนั้นมีพรรคการเมืองมาหาเสียงที่วงเวียนใหญ่ ทำให้การจารจรที่เคยดูบางตา กลับมาคึกคักอีกครั้ง ระหว่างทางเดินมีร้านค้าตั้งตามทางเท้าระเกะระกะ ผู้คนเดินกันแน่นขนัด ไม่แน่เวลานี้อาจประจบกับเป็นเวลาเลิกงานของคนทำงานหาเช้ากินค่ำก็เป็นได้ เราจึงรีบจ่ำเดินเบียดเสียดผู้คนเพื่อให้ไปถึงสี่แยกบ้านแขกไวๆ
ในที่สุดก็มาถึงแยกบ้านแขก เราไม่รอช้าเลี้ยวเข้าไปในชุมชนบางไส้ไก่ เดินเข้าไปได้ลึกนิดหน่อยเริ่มรู้สึก กลัวหวั่นๆ เพราะภายในชุมชนเป็นชุมชนแออัด ทางเดินก็เล็กและแคบ ระหว่างทางที่เราเดิน เราเจอกับคาเฟ่เล็กในตรอกชื่อร้านว่า "กูดังคาเฟ่" อยู่ติดกับศูนย์สุขภาพชุมชน เลยไม่รอช้ารีบเข้าไปหากาเฟดื่มแก้กระหายสักหน่อย
พอเริ่มอิ่มเราก็เดินต่อกันต่อจนไปเจอมัสยิดนูรุ้ลมู่บิน ภายในเป็นที่จอดรถและสวนที่ไว้สำหรับฝั่งศพตามความเชื่อของชาวมุสลิม ด้านหน้ามัสยิดเป็นสำนักสงฆ์ฮ่วงกวงจินซ้า แต่เรากลับสะดุดกับบ้านคุนป้าข้างๆสำนักสงฆ์ ซึ่งคุณป้าได้วางแผงขายน้ำสำรองหน้าบ้าน เลยแวะซื้อน้ำใบบัวบกดื่มระหว่างที่เดินต่อ
เราเดินต่อมาจนเจอศาลเจ้าใหญ่มาก แต่เสียดายวันที่เราไปเขาไม่เปิด เราได้แต่เงอะงะไม่รู้จะทำยังไงต่อ ขณะนั้นเราเหลือบไปเห็นคริสตจักร เขียนว่า คริสตจักร แสงสว่าง แบ๊พทิสท์ หน้าคริสตจักรมีแม่ค้าชาวมุสลิม ชาวพุทธขายของกันเป็นเรื่องปกติ ทำให้แปลกใจว่าทำไมทั้งที่ศูนย์รวมของศาสนาอยู่ติดๆกัน แต่กลับอยู่กันได้แบบสงบ แตกต่างกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยความสงสัยจึงเดินย้อนกลับเข้าไปในชุมชนบางไส้ไก่ จนเดินมาถึงสำนักงานของชุมชน ซึ่งมีห้องสมุด จุดออกกำลังกาย และจุดสาธารณะไว้ให้คนในชุมชนได้ใช้ทำกิจกรรม แต่แล้วเป้าหมายทั้งหมดก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะเราเจอร้านขลุ่ย อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานชุมชน ซึ่งเราค่อนข้างชอบเครื่องดนตรีอยู่แล้วทำให้ใช้เวลากับร้านขลุ่ยไปนานพอสมควร แต่ก็ได้ความรู้ใหม่มาอีกอย่างว่า คนที่อยู่ในชุมชนบางไส้ไก่นั้น บรรพบุรุตเดิมเป็นคนเวียงจันทร์ เมื่อถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยศึกของไทย พวกเขาได้นำความรู็ทั้งขลุ่ยและแคนมาด้วย ทำให้บางคนเรียกบริเวณวัดบางไส้ไก่ว่า "หมู่บ้านลาว" หลังจากเสร็จจากร้านขายขลุ่ย เราตัดสินใจไปเดินเล่นต่อที่วัดบางไส้ไก่
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดท้องก็เริ่มหิว จึงค้นหาร้านอาหารเด็ดๆที่บ้านแขกจนเจอกับร้าน
"ข้าวหมูทอดบ้านแขก 20 บาท" เขาว่ากันว่าใครที่มาบ้านแขกต้องมาลองทาน เราไม่รอช้ารีบเดินอย่างรวดเร็วด้วยความหิว พอถึงร้านก็เลยสั่งหมูทอดไปแบบพิเศษ เพราะเกรงว่า 20 บาท คงไม่อิ่มท้อง พอได้ทาน รู้สึกว่ารสชาติคล้ายๆกับรสมือแม่ เพราะท่านชอบทอดหมูให้ทานตอนเด็กๆ ใส่หมูมาแบบเยอะๆไม่ห่วงของ ทำให้รู้สึกคุ้มค่าคุ้มราคา นอกจากหมูทอดก็มีอาหารอย่างอื่นให้เลือกอีกหลากหลาย
ขอบคุณข้อมูลจาก wongnai
หลังจากเราทานจนอิ่มได้ที่ เวลาก็ได้ร่วงโรยไปถึง 2 ทุ่ม ถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อน เพื่อต่อสู้กับโลกที่วุ่นวายนี้กันต่อไป
สุดท้ายนี้สำหรับคนกรุงเทพที่มีเวลาว่างไม่เยอะ แต่อยากเที่ยวดูวิถีชีวิตหลากหลายวัฒนธรรม เราก็อยากแนะนำบ้านแขกไว้เป็นตัวเลือกให้ท่านมาสัมผัส
ติดต่อชุมชนบางไส้ไก่
343 ซอย อิสรภาพ 15 ถ.อิสรภาพ แขวง หิรัญรุจิ เขต ธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
เบอร์ติดต่อ 081-5136649
อิสระ อิสระ
วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.33 น.