สวัสดีจ้า กลับมาอีกแล้ว หลังดองทริปนี้มานานมากก็ได้ฤกษ์เขียนรีวิวซักที



ชวนแล้วไม่มีใครไป ก็ไปคนเดียวนี่แหละ France-Switzerland: รีเฟรชที่ฝรั่งเศส-อัพเกรดที่สวิส



Strasbourg - Bern - Thun - Interlaken - Zermatt - Lausanne - Montreux - Vevey – Paris



ทริปนี้ เราตัดสินใจไปคนเดียว เนื่องจากได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ถูกมากขนาดนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะไปประเทศไหนดีเพราะมันไปได้ทั่วโลกที่สายการบินๆถึง ตอนแรกว่าจะไปอเมริกาแต่เคยไปเวิร์คแล้ว เลยลองไปประเทศที่แม่อุตส่าห์ส่งเสียมา “ฝรั่งเศส” ในใจไม่ได้หวือหวากับฝรั่งเศสนะ แต่ก็ลองไปชิมวัฒนธรรมดูซิ ว่าคนบ้านเมืองเขาเป็นยังไง แต่อยากไปประเทศอื่นอีก พอดีมีเพื่อนแต่งงานอยู่ที่สวิส เหมาะเจาะ! ที่พัก ข้าวปลาอาหารฟรี อย่างน้อยก็พึ่งพาได้ถ้ามีไรเกิดขึ้น



ตัดสินใจเดินไปบอกหัวหน้า “เอ่อ พี่คะ คือ จะขอลา..” “จะลาออกหรอ?!” “ ไม่ใช่ค่ะ ขอลาไปเที่ยว 7 วัน” หัวหน้าตกใจกว่าเดิม 5555 เพราะไม่มีคนอยู่ช่วย แต่ขอล่ะ โอกาสมาทั้งที หนูขอไปเปิดตาหน่อยค่า พอได้รับการอนุมัติ ก็ทำเรื่องขอวีซ่งวีซ่าให้เรียบร้อย เรื่องการขอวีซ่าเราใช้ TLScontact ตอนแรกที่ทำ ก็หาๆอ่านจากในพันทิพย์นี่แหละ มีคนอธิบายเรื่องวีซ่าไว้ละเอียดเยอะอยู่เหมือนกัน เราขอสกิ๊ปไปเรื่องเที่ยวเลยละกันนะ



เราวางแผนการเที่ยวเป็นจตารางแบบจริงจัง เพราะตารางรถไฟเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเลยแม้แต่นาทีเดียว เราจึงเขียน Timeline คำนวนระยะทาง เวลาที่ใช้เดินทางและท่องเที่ยว โดย Google map และคำนวนค่าใช้จ่ายคร่าวๆ เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ว่าถ้าเราต้องการไปที่นี่ ที่นั่น เราจะเสียค่าเดินทาง ถูกกว่าหรือแพงกว่าการซื้อ Swiss pass ซึ่งแน่นอน Swiss pass ถูกกว่า 5555



**Swiss pass ไปซื้อที่นู่นเลยค่ะ รายละเอียดบอกอีกทีนะ



อันนี้เป็นแผนเดินทางคร่าวๆ ที่ใช้ตอนเราไปเที่ยวจริง ส่วนเวลาก็บวกลบนิดหน่อย ขึ้นกับสถานการณ์ว่าติดลมบนแค่ไหน แผนเที่ยวคร่าวๆคือ ฝรั่งเศส 3 คืน สวิส 3 คืน



ชคดีของเราที่มีเพื่อนอยู่ที่ทั้งสวิสและฝรั่งเศส วันที่ไปนอนสวิส เราเลยขออาศัยเพื่อนนอนทุกคืนเลย เหตุผลหลักๆคือค่าใช้จ่ายที่จะงอกเงยขึ้นมา ทั้งค่าอยู่และค่ากิน ส่วนเรื่องความปลอดภัย เราให้ใจสวิสไปเลย <3



แผนที่พักคือ



21: Airbnb



22: บ้านเพื่อน



23: Zermatt



24: บ้านเพื่อน



25: บ้านเพื่อน



26: airbnb



จริงๆเราจะนอน airbnb 3 คืน แต่เนื่องด้วยเพื่อนต้องจัดงานของสถานทูต เราจึงอยู่ช่วยงานถวายดอกไม้จันทน์ พระราชพิธีถวายพระเพลิง ร.9 ที่สวิส



ขอบอกว่า airbnb มันเป็นอะไรที่คุณต้องลองจริงๆ 555 มันมีความพีคมาก เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังตามลำดับเหตุการณ์นะคะ



ตัดมาที่ขึ้นเครื่องเลยนะคะ เรามาถึงที่สนามบินบาเรนและต่อเครื่องไปที่ฝรั่งเศส สนามบิน Charles de Gaulle ประมาณ 7 โมงครึ่ง และให้เวลาตัวเองทำธุระ เสียค่าเข้าห้องน้ำไป 0,70 Euros และสำรวจอารยะสักนิด ก่อนมุ่งหน้าไปยัง Strasbourg เมืองทางตะวันตกของฝรั่งเศส เราจองขึ้นรถเวลา 11.21 น. ถึงที่หมายประมาณ 13.09 ที่ระบุไว้



ตอนไปขึ้นรถไฟ ให้มองหาป้าย SNCF/Grandes lignes/ Main lines ที่เราซื้อตั๋วเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว (ลืมบอกว่า ยิ่งซื้อตั๋วนานเท่าไหร่ยิ่งถูก เรามาซื้อเอาวันใกล้ๆ แพงเป็นเท่าเลย) รถไฟนี้จะอยู่ชั้นใต้ดิน จะรวมรถไฟหลายๆจุดหมายปลายทางในแต่ละเกต เราต้องมองป้ายว่ารถไฟที่เราจะไฟออกเกตไหน โดยจะมีจอสีฟ้าบอกเกต ก่อนเวลารถไฟออก 20 นาที เราได้นั่งริมหน้าต่าง มองวิวเพลินเลย วิวนี้แหละ ที่เราเห็นในหนัง อยากมาแทบตาย วันนี้ได้มาแล้ว ความเขียว ความธรรมชาติแบบฝรั่งๆที่เราโหยหา วันนี้ได้มาเจอของจริงแล้ว



DAY-1



Arrive at Strasbourg



มาถึง Strasbourg ตรงตามเวลาเลยค่ะ เมื่อออกจากสถานี เราก็รื้อฟื้นความจำที่เราได้จำลองเส้นทางเมื่อตอนไถ google map หลังจากออกสถานีจนถึงบ้าน ต้องบอกว่า มีประโยชน์มากจริงๆ ถ้าไปคนเดียว แนะนำให้เดินไปเดินมาใน google map พอมาถึงที่จริง เรานี่เดินปลิวเหมือนคนท้องที่เลย เพราะคุ้นหูคุ้นตาบ้านเรือนอยู่แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้อัพเดตมาก แต่ตึกรามบ้านช่องก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเสียจนจำไม่ได้ บางร้านเป็นร้านใหม่ แต่บนถนนเส้นเดิม



เดินออกจากสถานีสักระยะ ก็หันหลังกลับไปถ่ายรูปสถานีรถไฟที่มโหฬารและแปลกตาด้วยรูปลักษณ์เหมือนยานแม่มาจอดไว้บนพื้นดินล้อมด้วยกระจกจนมองๆไปก็เหมือนแมลงทับตัวเขื่องเลยค่ะ



ตอนแรกหาที่พักไม่เจอ บ้านเลขที่ไม่มีตามถนนที่หา ก็ถามเขาไปเรื่อย เดินวนไปวนมา จนเจอค่ะ คือเป็นเส้นผมบังภูเขาจริงๆ เขาก็เขียนแล้วว่ามีร้านอาหารอยู่ข้างล่าง โอ้ย งงในงง 5555 ตามอพาร์ตเม้นท์ airbnb พวกนี้เขาจะมีวิธีให้เข้าบ้านตามแต่ที่สะดวกกันไป อย่างที่นี่ เป็นเครื่องกดรหัส ซึ่งกว่าจะเข้าใจ function ก็ทำเอาคนอื่นมองๆอยู่เหมือนกันว่า อินี่จะมาแงะบ้านเขาป่ะเนี่ย แต่สุดท้ายก็เข้ามาจนได้ เดินขึ้นชั้น 2 แล้วเจอห้องที่ไม่ได้ปิดไว้ เดินเข้าไปข้างในได้เลยก็จะเจอพี่น้องร่วมสายพันธุ์มนุษย์ต่างรูปร่างสีผิวสีผมกันไป โฮสต์หรือคนเฝ้าเราไม่แน่ใจ เดินมาบอกให้ไปเลือกเตียงในห้องได้เลย



ห้องที่พัก มีห้องครัว ระเบียง 2 ฝั่งหน้าหลัง ห้องนอน 2 ห้อง แต่ละห้องมีเตียง 2 ชั้น 3 เตียง เท่ากับห้องนึงนอนได้ 6 คน คละชายหญิงนะจ้ะ คือตอนจองลืมคิดไปว่าคละหรือเปล่าว้า จนพี่ที่ออฟฟิศทัก แต่ก็เออ ไม่เป็นไร มันน่าจะไม่มีไร ตอเข้ามาในห้อง เราเลือกนอนเตียงบนขวามือ เตียงฝั่งตรงข้ามชั้นล่างก็มีผู้ชายอ้วนๆสูงๆจองไว้แล้ว ส่วนอีกเตียง เต็มทั้งสองชั้น



เราวางของจัดของเตรียมเที่ยวออกมาก็ว่าจะชาร์จแบตสักพักแล้วก็ค่อยออก แต่ตอนจะชาร์จแบต ปลั๊กอแดปเตอร์ของเรามันเสีย ผู้ชายที่นอนเตียงล่างเลยบอกให้ใช้ของนางได้ ก็เลยคุยกัน เขาบอกมาจากเยอรมัน เที่ยวมาเกือบทั้งยุโรปแล้ว เขาพกเครื่องสี่เหลี่ยมมาด้วย แล้วแนะนำว่าเป็นเครื่องช่วยให้ไม่นอนกรน เพราะเขากรนหนักมาก (นึกในใจ ซวยละ เตียงสั่นแน่ถ้าไม่ใส่เครื่อง) เคยหยุดหายใจไป 25 วิ บลาๆ พอชาร์จเสร็จสักพัก เราก็แยกย้ายออกเที่ยวเลยค่ะ



และนี่คือสถานีรถไฟ Strasbourg สวยดีค่ะ แต่ภายในเค้าเขียนว่าห้ามถ่ายรูปเราเลยไม่กล้าถ่ายอ่ะ

อุปกรณ์การเที่ยวครั้งนี้ มีพาวเวอร์แบงก์ 20,000 แอมป์ กล้อง sony a6000 เลนส์ samyoung 12 mm f2.8 และขาตั้งกล้อง



ระหว่างทางเดินไปที่พักก็จะเจอกับตึกแบบนี้ทั้งเมือง ภาพเพ้นท์ภายนอกอาคารโรงภาพยนต์ยังสวยเลย (CINÉMA STAR SAINT-EXUPÉRY) ชื่อโรงหนังนึกถึงนักเขียน The Little Prince เจ้าชายน้อยเลย



เพลินกับการมองบ้านเรือนเขามากเลยค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้ได้มายืนอยู่ที่นี่จริงๆ

Notre dame de Strasbourg อาสนวิหารสทราซบูร์



เดินออกจากที่พัก ก็เพิลดเพลินกับบ้านเมืองที่เป็นสีส้มๆอิฐๆ ให้บรรยากาศอุ่นๆเก่าๆ ตั้งแต่ศึกษาในเน็ต เราประทับใจความสวยงามของ Notre dame de Strasbourg มากๆ และเมื่อได้เห็นของจริง บอกเลยว่าคุ้มเหนื่อย คุ้มค่าตั๋ว สิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมาสิ่งแรกที่เราได้เห็นในประเทศนี้ทำให้เราตะลึงมากๆ พร้อมรายละเอียดการตกแต่งที่ประณีต

ประวัติคร่าวๆ วิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ตั้งอยู่ที่เมืองสทราซบูร์ แคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส อันเป็นที่ตั้งของอัครมุขมณฑลสทราซบูร์ ส่วนหลักของสถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ แต่ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตอนปลายที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีแอร์วีน ฟ็อน ชไตน์บัค สถาปนิกชาวเยอรมัน เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1277 จนถึง ค.ศ. 1318



อาสนวิหารสทราซบูร์เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ในช่วงปี ค.ศ. 1647 จนถึงปี ค.ศ. 1874 ด้วยความสูงถึง 142 เมตร ซึ่งในปัจจุบัน ถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับที่หกของโลก และสูงที่สุดเป็นอันดับสองรองจากอาสนวิหารรูอ็อง และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลาง ที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน (จากวิกิพี่เดียร์ค่า)



รอบๆโบสถ์มีของท่ะลึกขาย มีวงดนตรีพื้นเมืองมาเล่นให้ฟัง มีร้านอาหารเพียบ วิวดี แต่คนจอแจมากๆ มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเป็นกรุ๊ปทัวร์จำนวนมาก เราก็ได้แต่เดินรอบๆดบสถ์ ไม่ได้เข้าไปข้างใน แค่เห็นภายนอกก็จ้องนานมากๆแล้ว



สถานที่ต่อมา เราจะไป Palais Rohan พระราชวังโรฮัน กัน ก็เดินตาม Map ไปค่ะ ในการเตรียมการครั้งนี้เราไม่ได้เตรียมแค่ google map และเน็ตไปนะคะ เพื่อทำให้เราไม่ต้องเงอะๆงะๆ ก้มดูมือถือและไม่ประมาทกับสิ่งรอบตัว เราลอง Google street ตอนอยู่ไทยไปด้วยค่ะ ทำให้เหมือนเดินเองจริงๆ เลย แคปภาพหน้าจอนั้นและปะติดปะต่อกันจนถึงที่หมาย และใช้ Google map เพื่อทำให้ชัวร์อีกที ถ้าที่ไหนที่เราไม่แน่ใจและดูไม่ค่อยปลอดภัย เราจะเปิด Google map และใส่หูฟังไว้ข้างนึงให้นางบอกทาง เราจะได้ดูเหมือนคนที่ท้องที่มากที่สุด ก็ไม่รู้อ่ะเนอะ ผู้หญิงคนเดียว ถึงมันจะปลอดภัยแค่ไหนก็ไม่ใช่บ้านเรา บ้านเราเองยังต้องระวังเลยจ้า



ระหว่างทางเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากของทุกทริป



Palais Rohan พระราชวังโรฮัน

เดินต่อมาไปทางขวา เราจะเจอกับพระราชวังโรฮัน ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1732-1742 จัดเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดในศตวรรตที่ 18 ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ประเทศฝรั่งเศสจำนวนหลายพระองค์ครับ เช่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (Louis XV) , ราชินีมารี ออง ตัวแน็ต (Marie Antoinette) ,จักรพรรดินโปเลียนและเจ้าชายบิชอป แต่ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน พระราชวังได้กลายมาเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ



เราไม่ได้เข้าไปชมภายในเช่นกัน เนื่องจากเราต้องการเที่ยวหลายๆที่ และตั้งใจว่าจะเข้า 1 พิพธภัณฑ์ เราไม่อยากกลับบ้านดึกเกินไป เพราะยังไงก็ตัวคนเดียว ออกจากพระราชวังก็เดินอ้อมมาด้านหลัง เจอกับสะพานที่เป็น signature ที่ใครๆก็มักจะมาถ่ายรูป ช่วงนี้เป็นใบไม้เปลี่ยนสี สีใบไม้ส้มเขียวเหลืองสะท้อนน้ำแล้วสวยไปอีกแบบ



เราออกจากพระราชวังก็เดินเลาะแม่น้ำข้ามมาอีกฝั่งนึงเลย ตลอดการเดินทางไปแต่ละที่ถ้าต้องใช้เดิน อย่างที่บอก เราจะเปิด google map ลิ้งค์กับภาพในหัวที่เคยเปิด google street ตอนอยู่ที่ไทย มันจะทำให้เราเดินง่ายขึ้น ที่ต้องศึกษาให้ดี เพราะเราพยายามจะไม่เงอะงะ เดินงงๆหลงๆ เดินแบบมั่นๆไปเลยค่ะ 555



Musée alsacien พิพิธภัณฑ์ของชาวอัลซาซ

พิพิธภัณฑ์แสดงอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือการดำรงชีวิตในช่วงก่อนและช่วงเริ่มต้นของยุคอุตสาหกรรมของชาวเมืองอัลซาซ เปิดตัวเมื่อ 11 พ.ค. 1907

ค่าเข้าชม 6,50 Euros มีคู่มือให้อ่าน ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส นี่ก็เดินไปหยิบภาษาฝรั่งเศสมาเลยค่ะ ด้วยความเก๋าที่เคยเรียนจบฝรั่งเศสมา อย่างเท่อ่ะ! ชมพิพิธภัณฑ์ไปด้วยถือคู่มืออ่านไปด้วย แต่อย่าถามเรื่องราวในหนังสือนะ เพราะนี่ก็แปลไม่ออก 555

ภายในพิพิธภัณฑ์ เป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่ ถ้ามองจากริมถนนก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่พอเข้ามาข้างใน มีหลายห้องและซับซ้อน ได้บรรยากาศความเก่าแก่ของจริง เหมือนอยู่สมัยเจ้าชายอสูรที่เบล บงชูร์ กับทุกๆบ้านเลยค่ะ



พอออกจากพิพิธภัณฑ์ ก็เปิดกูเกิลไปต่อที่หมู่บ้านฝรั่งเศส แต่..... ฟ้าครึ้มมาเลย และเดินไปครึ่งทาง หาทางเข้าไม่เจอ เริ่มหลง ไม่เริ่มสิ หลงเลยอ่ะ 55555 แล้วเปลี่ยวด้วย มีกลุ่มผู้ชายคุยกันอยู่ตามมุมตึก เหมือนโจรในหนังเลย 555 นี่รีบเก็บมือถือใส่หูฟัง เดินรัวๆหน้าบึ้งๆไปเลย ฝนก็ตกหนักแล้ว พอถึงที่คนเยอะหน่อย เราก็ปักหมุดให้ไปที่บ้านเลย ไม่ไปแล้วหมู่บ้านฝรั่งเศส เปียกมะล่อกมะแล่ก หนาวก็หนาว

พอถึงบ้านก็เวฟข้าวกิน นั่งชิลตรงระเบียงมองดูผู้คน บ้านเรือน ท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆ และฝนปรอย แล้วก็เห็นรถยนต์ขบวนยาว พร้อมคนใส่ชุดงานแต่งงาน บีบแตรยาวววววววววววววววว ดังไปสวิส 555 ก็เป็นอะไรที่น่ารักดี



พอฝนหยุดตก นั่งพัก ชาร์จแบตสักพัก เราก็ออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนดีกว่า รอบๆบ้าน ไม่ค่อยน่ากลัว แสงสีสวยมากค่ะ จริงๆบ้านเมืองนี้ไม่ค่อยน่ากลัวหรอก มาที่นี่กลัวอย่างเดียว ผีแม่ชี 555 เพราะฉะนั้น รีบออกไปตอนคนเยอะดีกว่า



เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนแรก

พอเรากลับมา ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านอน (ห้องน้ำรวมนะ กากๆนิดๆ แต่ว่าก็รับได้แหละ) วันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางไปต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ ก็จัดข้าวของที่รื้อออกมานิดหน่อย พอกลับเข้ามา จำฝรั่งเยอรมันคนที่เล่าให้ฟังตอนแรกได้มั้ย เค้านอนละ กรนเสียงด้วย ขาเตียงสั่นอ่ะ เครื่องช่วยหายใจก็ไม่ใส่ นี่ก็นึกในใจ ไหนบอกว่าไม่ใส่เคยจะขาดอากาศไงวะ ภาวนาให้ใส่ แม่เจ้า! ยัง ยังไม่ใส่อีก ยังอีก...ยอมแพ้ นอนเล่นมือถือสักพัก เขาก็ตื่นมาไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมา เอาท่อมาครอบปาก เงียบละ นอนได้



ผ่านไปสามชั่วโมง เราก็เจ็ทแล็ก ตื่นมาจัดของ วางแผนการเดินทางอีกรอบ ก็นั่งเล่นบนเตียง สักพัก ผู้ชายคนนี้ก็ตื่น ไปเข้าห้องน้ำ ตัวเรานั่งกันข้าง หางตาซ้ายก็จะมองเห็นแวบๆ ด้วยความที่ห้องไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็ไม่ได้มืด เราก็เห็นลางๆจากด้านหลังว่าเขาไม่ใส่เสื้อ ก็ไม่ได้อะไร แต่พอตอนเดินกลับเข้ามา ปลายตาก็ดันสอดรู้สอดเห็นอีก “ด้านหน้ามันก็ไม่ใส่หรอวะ?” นึกในใจ แล้วก็ต้องตกใจอีกรอบสอง อะไรเป็นพวงๆดำๆ เดี๋ยวๆ “ข้างล่างก็ไม่ใส่หรอวะ?!!!” เอ่าแล้ว แล้วตอนเดินมานอนที่เตียง ยังจะเหลือบมามองเราอีก ไปนอนเถิดพ่อคุณ ไหว้ล่ะ เรานี่ตัวแข็งเลย แต่รู้ว่าเขาคงไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่ตกใจเจอไข่เยอรมัน 555 ดีว่าไม่ได้เห็นเต็มตา และดีที่ในห้อง มีผู้หญิงและผู้ชายนอนอยู่เตียงตรงข้าม แต่เขาหลับกันหมด



ต่ออีกนิด



ตอนกลางคืน เราออกมาเดินเล่นด้วยนะ ที่นี่สามารถออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนได้นะ ปลอดภัย รู้สึกไม่ต้องกลัวอะไร แสงไฟเจิดจ้ามากเลยค่ะ แม้ในมุมมืดก็ไม่ได้น่ากลัว จึงได้ภาพสถานที่สวยๆยามค่ำคืนมา

จบ 1 วันจริงๆละ

DAY-2

เราก็รอเวลา พอตีห้าก็ลากกระเป๋าออก ไปขึ้นรถไฟตอนเช้า ระหว่างทางที่ลากกระเป๋า ก็กลัวๆนะ รีบๆเดิน บ้านเมืองเขาไม่ได้มืดนะคะ ดูสว่างดี แต่เราก็ระวังไว้ดีกว่า เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักเหมือนญาญ่า ลากกระเป๋าใบใหญ่ เดินคนเดียวบนถนน มันก็จะรู้สึกไม่เซฟเท่าไหร่ ดีว่าพอเดินมากลางทาง มีคนขับรถจักรยานผ่านสองสามคัน และมีคนเดินสวนคนนึง ก็โล่งละ ชาวเมืองตื่นละจ้า บงชูร์ ฟรองเซ่!

รถไฟขบวนนี้จะเป็นรถไฟข้ามประเทศ จากฝรั่งเศสไปสวิส โดยต้องไปต่อรถที่ลูเซิร์น โดยก่อนที่จะขึ้นรถไฟ กรุณาไปปริ๊นท์ตั๋วที่เครื่องปริ๊นท์ตั๋วเถิด ถ้ามีเวลา เรานี่ก็มีเวลา แต่อ่านแล้วงงๆและคิดว่าคงไม่เป็นไรมั้ง พอขึ้นไปบนรถไฟ คนตรวจตั๋วก็จะขอดูตั๋วและพาสปอร์ต นางก็ถามหาตั๋วปริ๊นท์ แต่เราไม่ได้ปริ๊นท์ เปิดทั้งอีเมล์จองตั๋ว รหัสจองตั๋ว โค้ดอะไรก็ขุดมาให้หมด เขาก็เห็นเราเป็นเอเชียตาดำๆ น่าเวทนา นางก็ใจดี อธิบายว่า ขบวนนี้อ่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่ขาเข้าสวิสนี่อ่ะดิ เขาไม่แน่ใจว่าจะให้ผ่านไปหรือเปล่า เราก็ต้องลองเสี่ยง เพราะ ไปปริ๊นท์ที่สวิสตอนต่อขบวนก็ไม่ได้แล้ว



พอลงรถ ก็เดินตามป้ายเลยค่ะ ไม่ได้ยากมากนัก แต่ต้องสังเกตให้ดี มันต้องเดินออกจากชานชาลามาที่ถนนอีกฝั่งเพื่อเข้าอีกชานชาลานึง และเมื่อกระบวนการตรวจตั๋วเริ่มขึ้น เราก็อธิบายบลาๆเหมือนเดิม ขอโทษที่ไม่ได้ปริ๊นท์มา ได้โปรดเถิดคุณพี่ และแล้วก็ดึงแต้มบุญที่เคยไว้เอามาใช้ แล้วนางก็อนุโลมให้นั่งต่อได้

ปล. ชอบเครื่องแต่งกายคนตรวจตั๋วทั้งสองขบวนมาก จำรายละเอียดไม่ได้ แต่ถ้านึกถึงการ์ตูนเรื่อง The Polar Express อ่ะ ใช่เลย รถไฟสะอาดทั้งสองขบวน



สถานีปลายทางของเราคือกรุงเบิร์น เมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตามที่บอกตอนแรกว่าจะมาพักกับเพื่อนและเที่ยว แต่เกิดเหตุผิดประการบางอย่าง เพื่อนจึงจองตั๋วไปเที่ยวกับแฟนในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้เราต้องอยู่บ้านคนเดียว 2 วัน เราโอเคอยู่แล้วเพราะคิดไว้ว่าจะขอพักเท่านั้นและเที่ยวเองเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพื่อนและตามความฝันของเราเอง



เมื่อรถไฟถึงที่สถานีเบิร์น เราก็ไปซื้อ swiss pass ที่ชั้น 2 ของสถานี ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ เพราะถ้าหาไม่เจอก็แค่ถาม เราซื้อตั๋วแบบ 3-day Swiss pass เริ่มเปิดใช้งานวันที่ 23-25 ต.ค. (Swiss pass จะต้อง activate ก่อนการใช้งาน ถึงแม้จะซื้อที่ไทย ก็ต้องมา activate ที่นี่ และราคาไม่ได้ต่างกันมาก เราจึงเลือกมาซื้อตั๋วที่นี่แทน)



เมื่อเราต้องระบุเจาะจงวันเดินทาง วันที่จะใช้ swiss pass เราจึงต้องคำนวนและคิดแผนการเดินทางให้เรียบร้อยทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ swiss pass แต่รวมถึงตั๋วรถไฟที่เดินทางในประเทศฝรั่งเศสและข้ามประเทศ และอย่างที่บอก การจองล่วงหน้า ทำให้ประหยัดได้มากทีเดียวค่ะ

เพื่อนของเราก็แสนดีเหลือเกิน นางเดินถ่ายภาพบอกทางให้ตั้งแต่ในสถานีจนถึงบ้านของนางที่ป้ายรถราง Hasler เมื่อถึงป้ายรถรางที่หน้าสถานีรถไฟ ทุกป้ายจะมีเครื่องออกตั๋วรถราง สามารถซื้อตั๋วที่เครื่องได้เลย จะเลือกเป็นแบบรายวัน หรือแบบเที่ยว ของเราซื้อแบบ 1 day zone 100 101 ราคา 13 CHF



การโดยสารสาธารณะหลักภายในกรุงเบิร์นคือรถราง จริงๆตามเมืองอื่นๆก็ด้วย เราชอบนะ เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองและไม่มีมลพิษด้วย อย่างที่เราเคยได้ยิน รถรางของที่นี่ สามารถเช็คเวลาได้ ที่เว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (ชื่อเต็มมาเลย 55) ลิ้งค์นี้ https://www.sbb.ch/en/home.html หรอโหลดแอพในมือถือก็มีนะ SBB Mobile

ง่ายมาก Real time สุด กรอกแค่ จากที่ไหน ไปที่ไหน



พอถึงบ้านเพื่อน เอาข้าวของเก็บให้เรียบร้อย (แอบเกรงใจนางนะที่เข้าไปบ้านนางเองเหมือนบ้านตัวเองเลย แต่นางใจดีมากอ่า รักที่สุด) จากนั้นก็เดินสุ่มเลยจ้ะ เริ่มจาก Bahnholf เดินมั่วๆไปเลย ในมือมีลิสต์ว่าอยากไปไหนบ้าง แต่พอเห็นหลังคาโบสถ์หรืออะไรสวยๆ ฉันก็เดินมุ่งไปหาเลยจ้ะ 555



อ่ะนี่ คุณลุงแถวนั้นถ่ายให้ รอดจ้า

ภาพแรกลืมบอกว่าเป็นรัฐสภาของกรุงเบริ์น เราเดินเข้าไปด้านหลัง จะได้เห็นวิวเมืองด้วย สวยเชียวแหละ แสงดี เหมาะกับการถ่ายรูปสวยๆเฟียซๆ แต่เสียได้ไม่มีตากล้อง มีแต่ขาตั้งกล้อง เลยเฟียซได้เท่านี้ - -"



ต่อไปเราจะไปบ่อหมีกัน เป็นสวนสาธารณะสูดอากาศเริดๆต้นม้งต้นไม้เต็มไปหม๊ด แต่ก็ยังอยากถ่ายภาพเมืองไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหมดแรง



Barenpark หรือ Baren Graben หรือ สวนหมี/บ่อหมี

จะบอกว่า ระหว่างทางที่เดินจากที่นึงไปอีกที่นึง เราจะได้เพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรม เรื่องราว บ้านเรือนและผู้คน ขณะที่กำลังเดินเข้าโซนที่เป็นสวนหมี เราเริ่มสังเกตเห็นความครอบครัวของคนที่นี่มากขึ้น คุณพระ! ผู้ชายที่นี่นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้วยังเป็น Family man อีกด้วย ฉันอยากได้เขา <3 บ้างก็เดินกอดภรรเมีย บ้างก็อุ้มลูก เข็นรถเข็นลูก วิ่งเล่นกับเด็กๆ ละมุนตาเหลือเกินค่ะ

พอไปถึงสวนหมี ความหิวก็ทักทายเข้ามา เราก็เลยซื้อขนมปังและนมจากร้านค้าบริเวณนั้น เดินเตร็ดเตร่ลงมาข้างล่างหน้าแม่น้ำ Aare สีเขียวใสไหลเชี่ยวแรง หาม้านั่งที่ว่างๆ แล้วก็ทานข้าวกลางวัน โอ้ย คุณ มีความสุขมากเลยค่ะ แค่วิวและบรรยากาศบริเวณนั้นก็ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องทานร้านอาหารใดๆ

จากนั้นก็เดินเล่น ถ่ายรูป หาวิวเมือง ก็ได้ตามนี้แหละค่ะ



Bern Munster หรือ The Cathedral of Bern หรือ มหาวิหารเบิร์น

เป็นวิหารประจำกรุงเบริ์น สไตล์โกธิค สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1421 เก่ามาก เดินมาเจอแบบมึนๆเห็นคนยืนออกันอยู่หน้าประตู เข้าไปดูใกล้ๆแล้วรู้สึกชอบรายละเอียดบริเวณด้านหน้าประตู พอมาเสิร์ชดูก็พบว่ามันคือ “Last Jugdement แสดงเรื่องราวในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายของทางศาสนาคริสต์ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่าจะไปสวรรค์ด้านซ้าย หรือ ลงนรกด้านขวา คล้ายๆ กับของทางพุทธเรา” ขออนุญาต copy-paste รายละเอียดมาเลย เราไม่ได้เข้าไปชมด้านในโขสถ์ที่เป็นกระจกสีๆ ก็ยืนถ่ายรูปแค่ด้านหน้าโบสถ์มาแค่เท่านั้น



ขากลับก็ไปเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต Migros ใต้ดินที่สถานี Bahnholf ซึ่งพอลองซื้อของดูแล้วเราว่าถูกกว่าร้าน Coop นะคะ ลองไปดูกัน



หมดวัน พักผ่อน เด้อ

ลืมจนได้


เราไปที่สวนกุหลาบมาด้วยค่ะ

Rosengarten ตั้งอยู่ที่เนินสูงสามารถมองเห็นวิวเมืองเบิร์นได้น่าจะแทบทั้งเมืองเลยนะ เคยเป็นสุสานแต่ตอนนี้ปลูกดอกกุหลาบเต็มไปหมดแล้วจ้า เค้าว่ากันว่ามากกว่า 220 ชนิด

Day 3

วันนี้ตื่นเช้ามาก แพลนของเราคือ ไป Thun และนอนที่ Zermatt ไปชม Matterhorn ยอดเขาช็อกโกแลต Toblerone ก็จัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับ 1 คืนไป โดยยืมครัวเพื่อนเจียวไข่ราดข้าวสวยไป 1 กล่องทานระหว่างนั่งรถไฟ

6.30 ไปขึ้นรถไฟไป Thun โดยขึ้นรอบ 7.16 น. ระหว่างทางก็นี่แหละค่ะ ข้าวไข่เจียว



พอไปถึงสถานี Thun ก็เดินงงๆว่าท่าเรืออยู่ไหนหว่า เดินผิดเดินถูก แต่เวลาเหลือๆ ก็ชิลๆ แอบกังวลนิดๆเพราะฟ้ามันก็ยังมืดอยู่เนาะ แต่เห็นวิวภูเขาที่สถานีแล้วสวยมากกกกกกก แบบ นี่วอลเปเปอร์ป้ะเนี่ย

เห็นร้านขายของชำอยู่ไม่ไกล เราเลยเดินไปส่อง เป็นคนประเภทที่บ้าซื้อของในร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างประเทศมาก แค่ได้เข้าไปเดินก็รู้สึกระริกระรี้แล้วอ่ะ ตลกมาก มีใครเป็นเหมือนกันบ้าง และสิ่งที่เราได้มาก็คือ นมช็อกโกแลต มาเพิ่มน้ำหนักกระเป๋า



พอฟ้าเริ่มสว่าง ได้เวลาเดินสำรวจเมืองระหว่างรอเรือเที่ยว 9.40 น. ปลายทางท่าเรือ Interlaken West แล้วค่อยต่อรถไฟไป Interlaken Ost เพื่อไป Harder Klum ก่อนมุ่งหน้าไป Zermatt



แนะนำให้เดินไปดูรอบเรือก่อน คือเราก็ไม่รู้ว่ามันจะมีเปลี่ยนแปลงอะไรยังไงจากเที่ยวเรือปกติ พอทราบเวลาออกเรือแน่นอนแล้วก็ตั้งไทม์ไลน์ไว้ แล้วก็ไปเดินสำรวจเมืองสักนิดนึงก่อน ในใจอยากไปปราสาท Thun ก็เปิดแมพเดินไปเลย แต่พอเดินไปใกล้ถึง เราจะต้องเดินขึ้นบันไดทางแคบของเมือง ขึ้นไป 1 เลเวล เพราะความที่เมืองตั้งบนภูเขาทำให้บ้านเรือนอาคารปลูกเป็นเลเยอร์นิดๆ ภาพที่มองขึ้นไป บันไดเก่าๆ มีภาพวาดบนเพดานตกแต่งนิดหน่อย ได้อารมณ์มาก อารมณ์ The Nun ผีแม่ชีอ่ะ ก็ทำใจกล้า เดินกลับมาที่ท่าเรือ TvT ตั้งใจว่าขากลับมาใหม่เน่อ เอาให้ฟ้าสว่างมากๆกว่านี้ก่อน



ก็ไปนั่งรอที่ท่าเรือ พอเรือมาก็โชว์ Swiss Pass ขึ้นฟรีจ้ะ แต่ไปอยู่ที่โซนไม่มีอาหาร เจอคนไทยด้วย แต่ไม่ได้คุยไรกันนะ ตลอดทางที่ผ่านก็เพลิดเพลินและตื่นตาตื่นใจกับวิวมาก ในใจนี่นึกถึงแม่กับพี่สาวอยากให้มาด้วยกัน จริงๆนึกถึงทุกๆที่ไปเลย การไปเที่ยวคนเดียว ความอัดอั้นอย่างนึงคือ เราอยากจะกรี๊ดกับความสวยงาม และแบ่งปันประสบการณ์ความสุขนี้แต่ก็ทำได้แค่ถ่ายรูปไปให้ดูอ่ะ อ้อ ตอนนั้นเราวิดิโอคอลไปหาแม่เลย ให้แม่ดูวิวไปด้วย

ทำใจกล้าท้าลมหนาวไปยืนนอกเรือ แล้วให้แม่ดูภาพไปด้วยกัน ถึงแม้สัญญาณจะไม่ค่อยชัดแต่มันก็รู้สึกดีที่ได้แบ่งปันความรู้สึกนี้



พอถึงท่าเรือ Interlaken West ก็เอา Google Street ที่ปริ๊นท์เตรียมมากางดูอีกที เทียบกับ Google Map จากนั้นก็เดินแบบที่นี่บ้านฉันไปโลด มุ่งหน้า Harder Kulm พอถึงสถานีรถรางขึ้นเขา โชว์บัตร Swiss Pass ก็ได้ราคาตั๋วมาในราคา 50% จากไป-กลับ 32 CHF เหลือ 16 CHF ใช้เวลา 10-15 นาที วิวระหว่างทางขึ้นสวยมาก แนะนำให้แถวแรกหน้ากระจก พอเวลามันเลื่อนขึ้น เราจะเห็นวิวชัดสุดแบบเอากล้องแนบกระจกแล้วถ่ายมองลงไปเห็นเมืองหมดเลย ขาลงก็เช่นกัน



พอขึ้นไปถึง มีทั้งหมอกและหิมะ ชื้นไปหมดเลยค่ะ แนะนำควรพกร่มไปด้วยซึ่งดีที่เราเอาร่มไปด้วย เพราะเดินขึ้นเขาไปอีกนิดเพื่อถึงจุดชมวิว มันมีทั้งฝนและหิมะอ่ะ ลมแรงมาก มองไปข้างทางจริงๆต้องเห็นเมืองทั้งสองฝั่งแม่น้ำแต่มองเห็นแต่เมฆหมอกเลย ก็ไม่ยอมลดละความพยายาม ฉันเสียเงินซื้อตั๋วขึ้นมาแล้ว ก็ต้องไปให้ถึงที่ว่ามันไม่เห็นจริงๆ



ด้านบนเป็นร้านอาหาร ซึ่งมีทที่นั่งด้านนอกด้วย แต่วันนั้นที่อากาศไม่เป็นใจ ที่นั่งด้านนอกไม่มีคนนั่ง ทุกคนเข้าไปในร้านกันหมด มีแค่เราที่เป็นบ้ากางร่มไปยืนกับพี่วัวตรงแหลมที่ยืนออกไปชมวิว อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ แม่จ๋า หนูเสียเงินมายืนเหนือเมฆจ้า

ก็นั่นแหละ วิดิโอคอลไปฟ้องแม่ และให้แม่ดูสิ่งที่ 16 CHF ทำกับฉัน ก็ขำๆตลกตัวเอง แล้วเดินกลับเข้ามาแบบมึนๆ งงๆ ว่ามาทำไรวะ 555 (ภายใต้เลข 5 มีน้ำตาซ่อนอยู่) จริงๆก็ไม่ผิดที่ใครหรอก เราเองก็เลื่อนตารางเที่ยวที่เซ็ตไว้ไม่ได้ และรอนานกว่านี้ไม่ได้ เพราะไม่งั้นจะไปถึง Zermatt แบบฟ้ามืดเกินไป เราไม่ควรเดินงงในเวลาฟ้ามืด นี่คือคติในใจเวลาไปเที่ยวคนเดียว



ลงมาข้างล่าง ดูนาฬิกาแล้วยังพอมีเวลาเหลือ ก็เดินเล่นในเมืองสักหน่อย



พอเดินกลับมาสถานีก็มาซื้อเบียร์กับชีสกิน เดินเล่นแม่น้ำ Aare ถ่ายรูป ก่อนขึ้นรถไฟไป Zermatt คือชีสถูกและดีมากเลยอ่า อยากโกยกลับไทย

มุ่งหน้าไปต่อกันเลยจ้า โดยรถไฟจะจอดตามนี้ เริ่มที่ Interlaken Ost – Spiez – Visp – Zermatt และด้วยความดวงไม่ดีอีกรอบ รถไฟเสียจ้า ที่สถานี Visp ก็ต้องขึ้นรถบัสไป Tasch แทน แล้วต่อรถไฟไป Zermatt

เรามี Swiss Pass ไม่เสียเงินเพิ่มนะ แค่ต้องออกตั๋วเพื่อสแกนเข้าชานชาลาอีกที เพราะสถานีนั้นใช้การสแกนตั๋วเข้าชานชาลา



พอมาถึงสถานี ก็เป็นช่วงเย็น ฟ้าเริ่มครึ้ม ก็เดินไปขึ้นรถบัสข้างๆสถานีไปที่พักกันค่ะ

เราจองที่พักไว้ก่อน เป็นโรงแรมค่อนข้างดีเลย ตกคืนละประมาณพันกว่าบาท ในการเข้าโรงแรมนั้น ไม่มีเช็คอินที่เคาน์เตอร์ใดๆ เราจะต้องแจ้งข้อมูลผ่านเครื่องเช็คอินหน้าประตูโรงแรม จากนั้นพอได้บัตรแข็งมาถึงจะเข้าโรงแรมได้ เดินวนไปวนมาในโรงแรมแพบ ทางเดินเข้าห้องงงไปหมดเลยค่ะ 555 แต่ก็ถึงห้อง ภายในห้องถือว่าโอเคมากเลย สะอาด มีครัวในตัว และกว้าง มีหน้าต่างแต่ปิดไว้ก่อน กลัวเด้อ เช้ามาค่อยเปิด



เอาข้าวของเก็บเสร็จก็เดินเล่นออกมาข้างนอก ถ่ายภาพไปเรื่อยๆๆ จนเริ่มค่ำก็กลับเข้าห้อง เราชอบบรรยากาศตอนกลางคืนมากเลยอ่ะ เหมือนในหนังตอนช่วงคริสต์มาสเลย ไฟสีส้มและบ้านไม้ งือออ เดินวนไปวนมา เอามือไปลูบบันไดไม้บ้าง บ้านไม้บ้าง นี่เรามาที่นี่จริงๆหรอวะเนี่ย 555



ตกกลางคืน หิวนิดนึง เลยเดินไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นั่งรถผ่านมา จริงๆบ้านก็ไม่ไกลจากสถานีนะ ถ้าไม่ขี้เกียจก็จะได้ชมวิวไปด้วย และสิ่งที่ได้จากซุปเปอร์มาคือ มะเขือม่วงและเบียร์ กะจะเอามาจี่กะทะใส่เกลือ ออริกาโน่ แต่ป้าดดด ทำไม่เป็น ผลที่ได้คือมะเขือมันกรอบๆนิดๆ พริกไทย และเกลือก็ไม่เข้ากันสุดๆไปเลย ออริกาโน่ไม่มี คือมื้อนั้นกินแต่เบียร์ ซึ่งไม่อร่อยอ่ะ 5555 ไปน๊อนนนน



พรุ่งนี้เราจะขึ้นไปดูยอดเขา Matterhorn กัน



เขียนต่อแพบ

Day 4

ออกจากบ้านพักเพื่อไปเช็คตารางขึ้น Gornergrat มีรอบ 7.00, 8.24 น. โดยเราจะลงที่ Rotenboden ก่อน เพื่อไปถ่ายภาพเงาภูเขาสะท้อนน้ำ แล้วค่อยเดินขึ้นไป แต่ผลปรากฎตอนซื้อตั๋วว่า หิมะข้างบนตกหนักแรงมาก (เจ๊ขายตั๋วชี้ไปที่จอทีวีแสดงภาพถ่ายทอดสดสถานการณ์บนยอดเขา) อืมมม ค่ารถไฟ 47 CHF ต่อเที่ยว ถ้าไปกลับ 84 CHF ลงที่ Gornergrat เลย คือเป้าหมายเราไม่ใช่การขึ้นไปบนยอดโดยเสียเงินเท่านี้อ่ะ เราต้องการถ่ายภาพแบบนั้นที่เราโดนป้ายยามาจากพี่ๆในพันทิปนี่แหละ เลยตัดสินใจไม่ขึ้น

ด้วยความไม่ยอมแพ้ เราหาทางอีกรอบ มีทางขึ้นอีกคือขึ้นรถรางที่ Sanegga ค่าขึ้น 24 CHF ถูกกว่าและเร็วกว่า แต่ขึ้นไปได้เตี้ยกว่า เราก็ไม่ซี แต่พอเดินไปถึงสถานี เขาปิดอ่ะ ก็เลยมาเดินเล่นถ่ายรูปที่หมู่บ้านแทน



ที่ทำได้ก็แค่ถ่ายภาพ Matterhorn จากวิวในตัวหมู่บ้านนี่แหละ ก็ทำดีที่สุดแล้ว

ตามไทม์ไลน์ที่ตั้งไว้ ก็นั่งรถไฟกลับมา Thun สิ่งที่ติดค้างในใจคือ ฉันจะขึ้นไปปราสาทนั้นให้ได้

และตอนขากลับก็ประสบปัญหารถไฟอีกเช่นเคย นั่นแหละ ก็ต่อรถบัสแล้วมา Thun ตรงตามเวลาเป๊ะ ต้องปรบมือให้ความมือโปรของประเทศสวิสเขาเลยจริงๆ

Thun Castle

โชว์ Swiss Pass โลด เข้าฟรีไปเลยค่ะ หากมีสัมภาระสามารถฝากของไว้ได้ โดยมีเสียค่ามัดจำ 2 CHF หยอดเหรียญในเครื่องแล้วได้เงินคืนตอนรับกระเป๋า ตรงประชาสัมพันธ์จะมีคู่มือเป็นเล่มใหญ่เหมือนคัมภีร์ 3 ภาษาให้เราหยิบยืมไปอ่านประกอบเดินชมภายในตัวปราสาทได้ อันนี้ชอบมากๆ



เป็นปราสาทสมัย ศตวรรษที่ 12 ช่วงต้นของยุคมืด มันเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันมากว่าอยากเข้าชมปราสาทสักหลังของยุคกลาง ไม่รู้ทำไมถึงชอบ



เดินใกล้ถึงตัวปราสาทแล้วได้กลิ่นปัสสาวะอุยๆ 5555 รีบเดินเข้าไปข้างในเลยค่ะ



เข้าไปด้านใน เอาของเก็บเสร็จ เราเข้าห้องน้ำ คือวิวในห้องน้ำสวยมากอ่ะ ตะลึงไปเลย เป็นจกใสหลังอ่างล้างมือ มองเห็นวิวเมืองธูน ท้องฟ้า ทะเลสาบธูน ภูเขา บ้านเรือน นั่งนานๆได้สบาย แต่มันติดตรงที่เปิดประตูตอนทำธุระไม่ได้ไง



เข้ามาห้องแรกก็เอาเลย ความตุ๊กตาม้าหมุน เสียงเพลงสมัยก่อนเปิดคลอ ได้บรรยากาศมากๆ เค้าบอกว่าสมัยที่โรมันรุ่งเรือง เมืองนี้ก็กลายเป็นส่วนนึงของโรมันด้วย ไปเดินดูดีกว่าว่าข้างในมันมีร่องรอยอะไรบ้าง



ภายในพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกห้องคือห้องนักโทษ มีโซ่ตรวนและเก้าอี้ไม้ ถ้าตอนหน้าร้อนคงลมดี แต่ตอนหนาวนี่สิ



เดินไปถึงบริเวณห้องโถงใหญ่ จะมีบันไดชันให้ขึ้นไปด้านบน ซึ่งพอขึ้นไปก็จะเป็นด้านบนสุดของหอคอย มองเห็นวิวเมืองได้ชัดที่สุด



อิ่มเอมกับวิวบรรยากาศและเนื้อหาภายในปราสาทเสร็จก็ได้เวลาขึ้นรถกลับเบิร์นกัน

ระหว่างทางกลับเบิร์น ได้สแนปภาพมาภาพนึง เป็นอีกภาพในใจที่อยากเห็นของจริงมาก แค่น้องวัวและทุ่งหญ้ากว้างๆก็ทำให้รู้สึกดีแล้วอ่ะ

วันนั้นเพื่อนเรากลับมาพอดี นางก็เลยพาไปขึ้น Gurten สวนสาธารณะบนเขาสูดอากาศบริสุทธิ์ โดยถ้ามี Swiss Pass เสีย 5.50 CHF ครึ่งราคา แต่ถ้าเราซื้อ 1 day pass ก็จะไม่เสียค่าเข้าเลย

วันต่อไป เราจะไปโลซานกันค่ะ

ตกตอนกลางคืน เพื่อนบอกว่าที่อาคารรัฐสภามี light show โดยแต่ละปีจะมีตีมไม่เหมือนกัน ซึ่งเราจะต้องไปตีความเอาเองว่าเขาสื่อว่าอย่างไร ผ่านศิลปะเคลื่อนไหวบนตัวอาคาร ดูโชว์เสร็จก็งงๆ ไม่เข้าใจเลยจ้า ดูเพลินๆเฉยๆ

หลังจากไม่ได้เปิดคอมมาใช้สักพัก ก็เลยคิดว่าจะเปิดมาเช็คนู่นนี่ แต่ปรากฏว่า ขุ่นพระ! ฉันลืมคอมไว้ที่ Strasbourg ค่ะ ที่รู้ว่าลืมที่นั่น เพราะไม่ได้หยิบคอมออกมาเลย และเพิ่งคิดได้ว่าต้องวางไว้ตรงนี้แน่ๆ บุญแท้ๆ ที่อีเมล์ไปหา Host Airbnb ซึ่งนางก็ดีมาก ตอบว่ามาเอาได้เลย คอมวางไว้ที่ตรงนี้ๆ

DAY 5

ขึ้นรถไฟ รอบ 6.04 น. ไป Strasbourg เสียตังค์อีก 69 CHF ไป-กลับ ลงรถไฟปุ๊บ วิ่งหน้าตั้งไปบ้านเลย เชี่ยวชาญมาก 555 พอไปถึงบ้าน ฮืออ คอมยังอยู่ เขาเก็บไว้ให้เราด้วย เป็นความโชคดีที่ถึงแม้คนจะพลุกพล่านมากๆในบ้านเล็กๆที่แทบเรียกว่าห้อง แต่ทุกคนเคารพสิ่งของของคนอื่น ไม่มีใครหยิบฉวยคว้าไป พอได้คอมแล้วก็วิ่งแจ้นมาสถานี และขึ้นรถไปเที่ยวต่อกันจ้า



Next station is Lausanne

เป้าหมายของการมาโลซานน์ เราตั้งใจว่าอยากไปโรงเรียนที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านเคยศึกษา นั่นก็คือ Ecole Nouvelle de la Suisse Romande อ่ะ ก็กูเกิลมาก่อน พอลงรถไฟโลซานน์ ก็เดินหาป้ายขึ้นรถบัสสาย 42 ไป Foyer งงๆนิด เดินผิดเดินถูก แต่ก็ไปถึงจนได้ ลงป้าย Chemin de Rue Roseveas นะจ้ะ เปิดกูเกิลไปด้วยว่าถึงรึยัง รถบัสที่นั่งเป็นรถบัสติดแอร์ขนาดเล็ก

อีกเรื่องที่น่าตลกคือ ใส่โค๊ตเต็มมา ร้อนมากก อินี่ไม่ได้เช็คอากาศฝั่งตะวันออกเลย 5555



ลงป้ายรถบัส ก็เดินต่อเข้ามาในซอยนั้น ก็จะเจอป้ายโรงเรียน ภายในค่อนข้างเงียบ อาจเพราะปิดเรียนหรือเปล่าไม่แน่ใจ แล้วก็ได้เจอกับป้าแม่บ้านคนนึง โชคดีที่ได้ใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมา 4 ปี จึงได้สื่อสารภาษาฝรั่งเศสกับคุณป้า ถึงสำเนียงป้าจะฟังยากอยู่แต่ก็พอเข้าใจกัน และป้ายังพาไปอธิบายตึกนู่นนี่ให้อีก เพราะมีคนไทยไปที่โรงเรียนหลายคน ทางโรงเรียนจึงมีป้ายประกาศแจ้งคนที่มาเที่ยวชมโรงเรียน



คุยกับป้า ถ่ายรูปเสร็จก็กลับ เดินกลับมาขึ้นรถบัสป้ายเดิม โดยเขาจะวิ่งวนจนไปส่งเราที่สถานีรถไฟเหมือนเดิม จากนั้นก็ไปสถานีถัดไปเลยจ้า



Chillon Castle

ลงรถไฟสถานี Montreux ปุ๊บก็นั่งรถบัสต่อไปที่ปราสาท Chillon อ้อ รถบัสนี่เราโชว์ Swiss Pass ได้เลยนะคะ ไม่เสียเงินค่ะ ปราสาท Chillon เป็นปราสาทยุคกลางที่ได้ชื่อว่าเป็นเป็นอัญมณีทางประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์ สร้างขึ้นติดกับทะเลสาบ มีอายุกว่า 1,000 ปี สมัยราชวงศ์ Savoy มีประวัติที่น่าสนใจมาก ขออนุญาตก๊อบแปะมาให้อ่านกันคร่าวๆนะคะ

“ปราสาทชิลยอง เป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทาง ปราสาทสไตล์โกธิคของตระกูลซาวอย ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างแน่นหนา ด้านหน้าปราสาทที่ติดถนนเป็นป้อมปราการมีหอคอย 3 ยอดห่างออกมาจากฝั่งเชื่อว่าเป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย ส่วนอีกด้านหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ซึ่งเงียบสงบร่มเย็นคาดว่าน่าจะเป็นที่ประทับของเจ้าชาย และฝั่งด้านติดทะเลสาบนั้นยากแก่การลอบเข้าโจมตีของศัตรู มีกวีหลายคนได้เยี่ยมเยียนปราสาทชิลยองแห่งนี้ แล้วนำไปแต่งเป็นเรื่องราวและบทกวีต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของคุกที่เคยขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด ที่เป็นนักบวชและนักการเมือง โดยเขาเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย เขาจึงถูกจับล่ามโซ่ตรึงเข้ากับเสาต้นที่ 5 ในคุกใต้ดิน และโชคดีที่กองทัพสวิสจากเบิร์นเข้ามายึดอำนาจได้สำเร็จ ทำให้โบนิวาร์ดเป็นอิสระ และกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือที่เจนีวา” https://www.instyletravels.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87chillon-castle-38737.page

หลังจากเดินทั่วปราสาทแล้ว ก็นั่งรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟ Montreux ดูแล้วก็ยังไม่ถึงเวลากลับ ฉะนั้น หาซื้อไรกินชมวิวทะเลสาบดีกว่า

กินขนมเสร็จก็ได้เวลากลับรถไฟกลับเบิร์นค่า

DAY 6

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่สวิสแล้ว เพราะคืนนี้เราจะนั่งรถบัสไปฝรั่งเศสเมืองแห่งแฟ๊ชึ่น!กันค่ะ

เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นงานพระราชพิธีของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราก็เลยมีโอกาสได้ไปช่วยงานถวายดอกไม้จันทน์ พระราชพิธีถวายพระเพลิง ก็ตัดข้ามมาที่ตอนเย็นหลังช่วยงานเขาเสร็จ เราก็นั่งรถไฟรอบ 18.29 น. ไป Geneva เพื่อต่อรถบัสค่ะ แต่มันมีเหตุเกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ พอมาถึงสถานี Aarau รถไฟขบวนที่จะไป Geneva ยกเลิก นี่ก็ต้องหารถไป Genava ขบวนใหม่ พอขึ้นใหม่ก็นั่งเลยป้ายที่จะต้องต่อรถไปอีก

ด้วยความที่ประเทศนี้สามารถเช็คตารางรถไฟได้เรียลไทม์และแม่นยำ ก็เช็คจากมือถือเลย คิดสภาพคือ ทางเดินกลางอยู่ข้างล่าง จะขึ้นชาลาไหนก็วิ่งขึ้นทางลาดเอาซ้ายขวาตามเลขที่ เราก็มือนึงลากกระเป๋าใบ 28 นิ้ว สะพายเป้หลัง มือนึงจิ้มมือถือ วิ่งขึ้นลงไปชานชาลานู้นที นี้ที มั่วเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้ขึ้นขบวนที่ถูกซักที

สุดท้ายมาถึงเจนีวามืดเลย ก็เดินหาสถานีรถบัสไปปารีสตามที่ google map บอก ไปเจอลานกว้างที่นึงมีรถบัสจอดอยู่ ไม่ค่อยมีผู้คนเลย บรรยากาศมืดมัวไปหมด เราก็เดินไปถามผู้ชาย 2-3 คนที่ยืนคุยกันข้างรถบัสว่านี่ใช่รถที่ไปปารีสมั้ย นางก็ขำแล้วก็ล้อเลียนอะไรก็ไม่รู้ เราเลยเดินออกมา ในใจไม่ได้โกรธนะ กลัวว่าเขาจะทำร้ายมากกว่า เลยเดินมาอีกฝั่งนึงที่เป็นเหมือนออฟฟิศขายตั๋วแต่ปิดไฟมืด ตรงนี้ยังพอมีผู้หญิงอยู่บ้างถึงแม้แต่ละคนจะดูไม่ค่อยเป็นมิตร (คิดไปเอง) มีทั้งคนดำและคนขาว

เราเดินเลยมาหน่อยนึง มาอ่านป้ายรถบัส ก็เจอผู้หญิงวัยป้าคนนึงเหมือนสติไม่ค่อยเต็ม มาขอยืมปากกาและไล่หาสถานี คือเราก็ไปช่วยเขาอีกแต่มันไม่มีสถานีที่นางบอก นางก็ยังหาอยู่อย่างนั้น นางเอากระดาษขึ้นมาจด แล้วก็คืนปากกา ฮืออ แอบกลัวเหมือนกันตอนยืนรอนางจดเพราะมันค่อนข้างมืดมาก



ต่อมาผู้คนเริ่มมาออกันบริเวณหน้าออฟฟิศขายตั๋วมากขึ้น เราก็ใจชื้น เดินไปถามสตรีวัยรุ่นนางนึงว่าใช่ที่รอรถไปปารีสมั้ย ตอนแรกเราแอบกลัวนางเพราะนางเป็นเหมือนวัยรุ่นฝรั่งในหนังแนวพั้งก์ๆ แต่นางก็ตอบและให้ความช่วยเหลือดี บอกด้วยว่ารถเลท 1 ชั่วโมง นางน่ารักจัง

ระหว่างรอรถ ข้อความเด้งเข้ามาในมือถือว่าเน็ตจะหมด นี่ก็ต้องไลน์ไปหาพี่สาวที่ไทยให้เติมเงินซิมสองบินให้หน่อย ไลน์ก็ไม่ค่อยติดเพราะเน็ตก็จะช้าๆหน่อย



นั่นแหละค่ะ รถบัสจากตารางที่ต้องมา 5 ทุ่ม แต่จากที่บอกว่าจะเลทก็ควรมาเที่ยงคืน ฉันก็รอไป ก็ยังไม่มา ที่ออฟฟิศขายตั๋วเปิดแล้ว เราก็เข้าไปนั่งๆยืนๆ เมื่อยก็เมื่อย ไม่มีที่นั่งเลยคนแน่นละ จนกว่ารถจะมาคือตี 1 จ้า

ขึ้นไปบนรถนี่คือเปิดโลกมากกกกกก 5555 คือเรานั่งข้างๆผู้หญิงคนดำ ทุกคนในรถคือเป็นคนอีกแบบกับที่เคยเจอในสวิสเลย ไม่ใช่ว่าแย่หรือไม่แย่นะ แต่มันเป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดคนดำหรือบางคนในนี้อาจเป็นคนอพยพก็ได้มั้ง เราคิดในใจ

ระหว่างทางที่นั่ง แทบไม่ได้นอนเลยอ่ะ เก้าอี้ไม่คอ่ยสบายตัว หัวพับ เมื่อยคอ 555 แล้วคนขับก็จอดแวะปั๊มให้ทำธุระซื้อของกิน คุณป้าคนดำที่นั่งข้างๆเห็นเราตกใจว่าถึงแล้วหรอ นางก็รีบบอกว่ายังไม่ถึงๆ เค้าแวะให้เข้าห้องน้ำเฉยๆ 5555



หลังจากนั่งรถเข้าตัวเมืองไปที่พัก ความปวดหัวก็เริ่มเกิดขึ้นตอนที่หาที่พักเจอ รู้แหละว่าประตูบ้านนี้แหละ แต่เปิดไม่ได้ มันต้องมีกุญแจหรือคนข้างในต้องเปิดออกมาเท่านั้น และก็มีคนเปิดออกมา นี่ก็เดินเข้าไปข้างในคิดว่าสุดละ

พอเปิดเข้าไป มีตึก A-D อ่ะ! อ่านข้อมูลที่ host บอกมา ก็ไม่มีเขียน อีเมล์ไปหาแล้วก็ไม่ตอบ โทรศัพท์ก็โทรเบอร์ ตปท. ไม่เป็น สุดท้ายเลยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่อยู่ที่นั่น ให้โทรหาคนนี้ให้ที เจ้าของผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชายนางก็รีบวิ่งลกมาหาข้างล่าง หิ้วกระเป๋าขึ้นบนห้องให้ เป็นห้องไม่ใหญ่ แต่สะอาดกว่าที่สตราซบูกร์มาก เราเลือกนอนเตียง 2 ชั้น นอนชั้นบนเลย เจ้าของนางบอกว่ามีผู้ชายสิ่งคโปร์อีกคนมาพักด้วย



หลังจากเคลียร์ของไรเสร็จ ก็ออกเดินเที่ยวกันจ้า บ้านที่เราพักอยู่ใกล้ๆโรงละครโอเปร่าและลูฟร์ คือเดินไปได้ ประมาณ 10 นาที



ในรูปว่าสวยแล้ว ของจริงสวยกว่าอีก จริงๆทุกที่ๆไปมา ในใจมีคำนี้ตลอด

จากนั้นเพื่อนเราก็มาหา นัดกันว่าให้ไปเจอที่นู่นที่นี่ ตอนแรกกะจะเดินไป แต่ด้วยความขี้เกียจเลยลงไปตีตั๋วขึ้นเมโทร ตอนที่ตีตั๋วระวังกันนะ เพราะข้างๆออฟฟิศขายตั๋ว จะมีคนที่ไม่ได้ใส่ชุดฟอร์มอะไรเลย มายืนหน้าเครื่องตีตั๋วอัตโนมัติซึ่งอยู่ใกล้กัน เราคิดว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ เห็นส่งยิ้มให้ความช่วยเหลือมาแต่ไกล ก็บอกว่าจะไปที่นี่ๆ นางก็จิ้มๆที่หน้าจอ แต่ตอนจะออกตั๋วไม่ใส่เงินเข้าไป แต่บอกให้รอแปบนึง นางหายไปสักพัก เดินมาพร้อมตั๋วในราคา 25 Euros เราก็เอะใจ ตอนแยกกะนางมา เราถ่ายรูปส่งให้เพื่อนดูเลย ว่าตั๋วหน้าตาแบบนี้ใช้ได้หรอ สรุปโป๊ะแตก โดนหลอกจ้า คือถ้าขึ้นรถไฟแล้วเค้าตรวจนี่เราโดนปรับไปอีก นัง เลยต้องเดินออกจากสถานีไปรอเพื่อนที่เดิม



ไปเดินเที่ยวในเมืองปารีสที่หรูหรากันค่ะ หลังจากบริจาคเงินไป สวยๆรวยๆอย่างเรา



เพื่อนเรานางก็เดินเก่งไม่แพ้กัน นางงพาเดินไปหอไอเฟลค่ะ และความโชคดีคือ สวนสาธารณะปิด ไม่ได้เข้าไปเห็นหอใกล้เลยค่ะ TvT

เพื่อนนางบอกว่าพยายามทำตัวให้เหมือนคนท้องถิ่นมากที่สุด เราหน้าตาใจดีไป ขอ Aggressive กว่านี้หน่อย 55555



และนางก็พาเดินมาที่วิหารซาเคร่เกอร์ หรือ La Basilique du Sacré Cœur ในย่าน Montmartre

สถานที่ๆคนในพันทิปมารีวิวว่ามีเหล่าผู้อพยพมารวมตัวกันอยู่บริเวณบันได คอยผูกข้อมือให้นักท่องเที่ยวและเก็บเงิน

เพื่อนนางสอนอีกว่า ให้มองผ่านเหมือนเขาไม่มีตัวตนไปเลย ทำหน้าบึ้งๆเข้าไว้ 555



และในยามเย็นที่เราก็ไม่ได้เข้าไปในวิหาร ก็มานั่งทาน quiche lorraine กันที่ร้านแถวนั้น



ตกตอนกลางคืน ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตราคาถูกมากกับเพื่อน นางไปจ่ายตลาด เอ่อ ถูกจริง เหมือนตลาดคนจีนอ่ะค่ะ มีหมด ข้าวของวัตถุดิบไทยจีน ส่วนใหญ่จะจีน



แล้วเราก็แยกย้ายกับเพื่อนพรุ่งนี้กลับบ้านละ เราว่าจะไปเดินเล่นลูฟร์ซักหน่อยก่อน

พอเราเข้าห้องมาชาร์จแบตเก็บของ ฉันก็เจอกับพ่อหนุ่มสิงคโปร์อ่าาา นางตี๋น่ารักจุมม ก็คุยๆกันยาวระหว่างเก็บของ คือเขามาทำงานแล้วก็เลยแวบเที่ยวด้วย เขาก็ถามว่าไปไหนมาบ้าง ก็เล่าๆไป แต่ยังไม่ได้ไปลูฟร์ นางก็แนะว่าเออมันเดินไปได้นะ คิดในใจอยู่ อ้ำๆอึ้งๆกันอยู่สองคน นางก็ไม่เอ่ยตัวว่าจะพาไป นี่ก็ไม่ชวน สรุปไปคนเดียวจ้าาา 555555



ออกมาตอนกลางคืนก็ไม่น่ากลัวนะที่ปารีสอ่ะ แต่อาจเป็นเพราะที่ๆเราอยู่มันใกล้กับสถานีรถไฟใหญ่ด้วยแหละ นั่นคือสถานี Châtelet–Les Halles

ตอนกลางคืน สถานี Châtelet–Les Halles ยังเปิดไฟอยู่ สวยเลยนะ ข้างในมีของขายเต็มเลย ร้านเสื้อผ้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต บลาๆ และพรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้แหละ เพื่อไปสนามบิน CDG

หมดแล้วค่ะ ทริป 7 วันของเรา เราจดค่าใช้จ่ายมา สรุปทั้งทริปรวมตั๋วเครื่องบิน เราใช้เงินไปประมาณ 5 หมื่นค่ะ ส่วนใหญ่ไปหนักที่ค่าเดินทางในสวิส แต่ต้องยอมรับว่าการคมนาคมเขาดีจริงๆค่ะ จริงๆเขาดีทุกเรื่องนั่นแหละ เป็นนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆค่ะ จ่ายหนักแต่ก็เห็นผลชัด อยากไปอีกก ><

การเดินทางของหัวหอม

 วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 07.41 น.

ความคิดเห็น