หลังจากที่ลาออกจากงานมาตอนต้นเดือนเมษา ก็ขอพักสมองก่อนสักเดือน อยากออกเดินทางไปในที่ ที่ไม่มีคนรู้จัก แต่ด้วยงบประมาณที่มีจำกัดเลยเลือก หลวงพระบาง เมืองที่อยากไปมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง จัดการจองตั๋วเครื่องบินไปหลวงพระบาง และจองที่พักออนไลน์ให้เรียบร้อยแล้วก็นับถอยหลังรอเวลาเดินทาง
17 เมษา 62
ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ไม่ได้แบกเป้ออกเดินทางคนเดียวมานาน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่จะได้ออกไปเจอโลกกว้าง
การเดินทางครั้งนี้งบประมาณจำกัด เลยต้องประหยัดกันสักนิด ปกติจากบ้านเวลาไปสนามบินดอนเมือง ผมจะนั่ง Taxi ไป แต่ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง บินช่วงบ่ายตอน 14.30 น. ก็ตื่นให้เช้ากว่าปกติ แล้วออกจากบ้านไปสถานีรถไฟบางซื่อ ขึ้นรถไฟรอบ 11.42 น. ไป นั่งไปแค่ 20 นาทีก็ถึงสนามบิน รถขบวนนี้เป็นรถเร็วธรรมดา ค่ารถแค่ 3 บาท
เครื่องออกจากสนามบินดอนเมือง 14.30 น. ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็ไปถึงสนามบินหลวงพระบาง พอเราผ่าน ตม.ออกมาก็จะเจอเคาน์เตอร์ขาย Sim card โทรศัพท์ ใครที่ต้องใช้งาน Internet ก็ซื้อตรงนี้เลยครับ ผมซื้อแบบ 7 วัน ใช้ Net ได้ 8 GB ในราคา 220 บาท หลังจากนั้นก็เดินออกมา ก่อนออกจากสนามบินก็แลกเงินให้เรียบร้อยนะครับ เรทที่สนามบินดีกว่าไปแลกในเมือง ตรงประตูทางออกจะมีเคาน์เตอร์ของรถ Taxi สนามบิน ติดต่อตรงนี้เลยครับ จะเป็นแบบแชร์กัน ถ้าเราเดินทางคนเดียว เดี๋ยวเค้าจะจัดรถให้เราเองว่าให้ไปกับนักท่องเที่ยวที่มาน้อยคนเหมือนกัน รถ 1 คันจะนั่งได้ประมาณ 4-6 คน ค่ารถอยู่ที่คนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 200 บาท)
จังหวะบังเอิญไปตรงกับวันแรกที่มีการอัญเชิญพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกันเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ที่วัดใหม่สุวันนะพูมาราม
พระบางเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง เป็นพระพุทธรูปสำริดปางประทานอภัย มีความสูง 1.14 ม. มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ศิลปะเขมรแบบบายนตอนปลาย มีพุทธลักษณะคือประทับยืนยกพระหัตถ์ขึ้นทั้งสองข้าง นิ้วพระหัตถ์เรียบเสมอกัน พระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง พระขนงเป็นรูปปีกกา พระเนตรเรียว พระนาสิกค่อนข้างแบน พระโอษฐ์บาง พระเศียรและพระเกตุมาลาเกลี้ยงสำหรับสวมเครื่องทรง
หลังจากที่ผมได้สรงน้ำพระบางแล้ว ก็ไปเดินเล่น ตลาดมืด เริ่มต้นที่วัดใหม่สุวรรณภูมารามบนถนนศรีสว่างวงศ์ ไปจนสุดพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง (พระราชวังเดิม) ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร บรรยากาศจะคล้ายๆ ถนนคนเดินในเมืองไทย
เดินเล่นสักพักท้องเริ่มหิว ก็ได้เวลาไปหาของกินในตรอกอาหารของหลวงพระบาง มีของกินหลากหลายให้เลือกกิน
หลังท้องอิ่มเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลากลับเข้าห้องพัก ไปนอนเตรียมตัวออกมาตักบาตรข้าวเหนียวตอนเช้า
18 เมษา 62
ผิดแผนตั้งแต่วันที่สอง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5 แต่ตื่นมา 7.30 น. ตื่นมากินมื้อเช้าของทางโฮสเทล
หลังจากหม่ำมื้อเช้าเรียบร้อยก็ได้เวลาออกไปถ่ายรูปเล่น เช้าวันนี้ผมไป วัดเชียงทอง วัดแสนสุขาราม
วัดเชียงทอง เป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ล้านช้าง ราชวงศ์หลวงพระบาง และราชวงศ์ลาว สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2103 โดย สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ปกครองราชอาณาจักรล้านช้าง-ล้านนา ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างตอนเหนือที่งดงามมาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "อัญมณีของศิลปะล้านช้าง" การเข้าเยี่ยมชม
ภายในวัดเชียงทอง จะต้องซื้อตั๋วในราคา 20,000 กีบ (80 บาท)
วัดแสนสุขาราม สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทน์ได้ 11 ปี
ช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ หลวงพระบางร้อนมากมาย ร้อนจนไม่มีอารมณ์ออกไปเดินเที่ยวที่ไหน ผมเลยหลบแดดไปนั่งชิล หากาแฟกินที่ร้าน Joma ร้านที่ใครๆ บอกว่ามาเที่ยวลาวต้องลองไปกิน
หลังจากนั่งกินกาแฟสักพัก ก็ไปเดินเล่น ดูอดีตของเมืองหลวงพระบาง ที่พระราชวังเก่า จะต้องซื้อตั๋วในราคา 30,000 กีบ (120 บาท) หากต้องการเข้าไปดูภายในพระราชวังเก่า แต่ถ้าเข้าไปเดินดูบรรยากาศรอบๆ ไม่ต้องเสียตังค์
พระราชวังเก่า หรือชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่าหอคำ เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นพูสี แต่เดิมเคยเป็นพระราชวังหลวงที่เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2447 ในสมัยพระเจ้าสักกะริน และมาแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2452 ภายหลังเปลี่ยนระบอบการปกครองในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ. 2518 รัฐบาลลาวได้ใช้พระราชวังหลวงนี้เป็นหอพิพิธภัณฑ์ และเปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เพื่อนำมาแสดงให้เห็นวัตถุ ทรัพย์สินต่างๆของราชวงศ์
แดดเริ่มหุบก็ขึ้นไปดูวิว หลวงพระบางจากมุมสูง ดูแบบ 360 องศากันบนพระธาตุพูสี เสียค่าตั๋วขึ้นไป 20,000 กีบ (80 บาท)
พระธาตุพูสี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดภูษีทำให้เห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ และเห็นสายน้ำโขง มีบันไดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือตรงข้ามพระราชวัง 328 ขั้น ตลอดทางขึ้นร่มรื่นไปด้วยต้นจำปา (ดอกไม้ประจำชาติลาว)
พูสี มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษี เดิมชื่อว่า ภูสรวง ครั้นเมื่อมีฤาษีไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าภูฤาษี หรือภูษีมาจนถึงปัจจุบัน แต่ยังมีนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่าภูษี อาจหมายถึง พูสีซึ่งเป็นศรีของเมืองหลวงพระบาง
19 เมษา 62
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เช้านี้ตื่นมาตามเวลาที่ตั้งปลุกไว้เป๊ะ ไม่พลาด โฮสเทลมีข้าวเช้าให้กิน ก็ไม่กิน มาหลวงพระบางทั้งทีก็ขอไปกินร้านดังสักหน่อย
ร้านประชานิยม ร้านอยู่บริเวณท้ายตลาดเช้า อยู่ริมแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวมากินเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้อร่อยอะไรมากมายธรรมดามาก ที่คนมากินกันเยอะน่าจะเป็นเพราะบรรยากาศยามเช้าดีแน่ๆ
กินข้าวเช้าเรียบร้อย ก็ไปเที่ยว น้ำตกกวางสี (ตาดกวางสี) ทริปนี้มาคนเดียวจะเหมารถไปก็แพงเกิน 800 บาท แต่ไม่ยากเกินความพยายาม อยากไปต้องได้ไป วันก่อนผมเลยเดินถามตามร้านขายทัวร์ว่ามี Oneday Trip พาไปไหม เลยได้แชร์รถตู้ไป-กลับ คนละ 50,000 กีบ (200 บาท) พาไปตาดกวางสี ตอน 9.00 น. เป็นรถตู้ไป-กลับแค่นั้นไม่ได้พาแวะเที่ยวที่ไหน
น้ำตกกวางสี (ตาดกวางสี) อยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางประมาณ 30 กิโลเมตรเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีหลายชั้น ชั้นบนสุดซึ่งเป็นไฮไลท์ของน้ำตกแห่งนี้มีความสูงถึง 70 เมตร โดยจะไหลลดหลั่นลงมาตามสระน้ำไปสู่น้ำตกชั้นล่าง มีค่าเข้า 20,000 กีบ (80 บาท)
ด้วยความที่เดินทางบ่อย ทำให้กล้าที่จะทักทายพูดคุยกับคนไทย ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในต่างประเทศทริปนี้เจอน้องคนไทย มาคนเดียวก็เลยทักทายแล้วถ่ายรูปให้ที่ตาดกวางสี เดินเที่ยวด้วยกันสักพัก น้องบอกเหมารถโรงแรมมาคนเดียว เลยชวนให้เราติดรถกลับไปตัวเมืองหลวงพระบางด้วยกันเลย ด้วยความที่เราก็เป็นคนใจง่ายใครชวนไปเที่ยวไหนก็ไป ก็เลยไม่ปฏิเสธ เดินไปบอกรถตู้ที่นั่งว่าไม่กลับด้วยนะ จะไปเที่ยวต่อกับคนไทยที่เจอกันระหว่างทางกลับหลวงพระบางก็แวะ ลาว บัฟฟาโล่ เดรี่
ลาว บัฟฟาโล่ เดรี่ (Laos Buffalo Dairy) เป็นฟาร์มควายแห่งแรกของหลวงพระบาง ก่อตั้งโดยมิส ซูซี่ มาร์ติน (Susie Martin) หญิงสาวชาวออสเตรเลีย ผู้ซึ่งตกหลุมรักสปป.ลาว และตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่หลวงพระบาง แล้วก็ได้ก่อตั้งฟาร์มควายแห่งนี้ขึ้นมา นักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางมาเที่ยวภายในฟาร์ม จะได้สัมผัสกับฟาร์มควายที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีส่วนของคอกควายที่มีควายจำนวนหนึ่งถูกเลี้ยงไว้และนำออกมาให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป ได้สัมผัสควายกันอย่างใกล้ชิด สามารถให้อาหารควายได้ด้วยมือตัวเอง แล้วยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจชวนให้ทำอีกมากมาย มีค่าเข้า 50,000 กีบ (200 บาท)
กลับเข้ามาถึงหลวงพระบาง ผมก็แยกกับน้องคนไทยที่ได้เที่ยวด้วยกัน น้องไปล่องเรือเที่ยวต่อ ส่วนผมทริปนี้ทริปประหยัดก็เดินเล่นดูเมืองหลวงพระบางยามเย็นวันสุดท้าย
20 เมษา 62
ตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเก็บกระเป๋า เตรียมไปเดินทางไปวังเวียงต่อตอน 8.00 น. แต่มาถึงหลวงพระบางแล้วยังมีอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำคือตักบาตรข้าวเหนียว ผมเลยเดินจากที่พักไปตักบาตรข้าวเหนียวที่บริเวณหน้า "วัดแสนสุขาราม"
การตักบาตรข้าวเหนียว ถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยังคงสืบทอดยึดถือปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานชาวบ้านจะใช้ข้าวเหนียวใส่บาตรเพียงอย่างเดียว ส่วนกับข้าวชาวบ้านจะเอาไปถวายพระที่วัด
หลังจากตักบาตรข้าวเหนียวเรียบร้อย ผมก็กลับมาที่โฮสเทล ทำธุระส่วนตัว ให้เรียบร้อยแล้วออกมาขึ้นรถตู้ที่จองไว้เพื่อไปวังเวียง จากวังเวียงใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงวังเวียง
แต่เหมือนเรามาเที่ยวผิดเวลาไปหน่อย วังเวียงช่วงบ่ายอากาศร้อน แบบไม่น่าออกไปเที่ยวที่ไหนเลย กว่าจะออกมาเดินเล่นดูวิวแม่น้ำซองได้ก็เย็นแล้ว
ผมมาวังเวียงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ตามแผนผมจะอยู่วังเวียง 2 คืน ก่อนเข้าเวียงจันทร์ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนทำให้คิดว่าเลื่อนการไปดูวิวที่ผาเงินไว้คราวหน้าดีกว่า อีกอย่างส่วนตัวรู้สึกว่าวังเวียงไม่เหมือนเดิม เหมือนเสน่ห์มันหายไป ดูคล้ายๆถนน ข้าวสารยังไงก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะว่าเรามาช่วงหน้าร้อนทำให้รู้สึกว่าไม่สวยเหมือนตอนมาหน้าหนาวก็ได้ เลยเปลี่ยนแผนเป็นนอนคืนเดียวพอ เช้าก็ต่อรถเข้าเวียงจันทน์เลย
ไหนๆ ก็เปลี่ยนแผนแล้ว งั้นคืนนี้ก็จัดให้สุด ส่งท้ายวังเวียงซะหน่อย 2 ทุ่มก็ไปซากุระบาร์ ดื่มให้เต็มที่ไปเลยมีเวลาชั่วโมงเดียว สำหรับ Free Drink แต่สำหรับสายดื่ม ลองเช็คร้านแถวนี้ดีๆ ครับแต่ละร้านจะมีช่วงเวลา Free Drink เผลอๆ กินร้านนี้เสร็จ ไปต่ออีกร้านได้ เมาฟรีแบบไม่เสียเงิน 555+
21 เมษา 62
เช้าวันนี้ตื่นมาแล้วก็ออกไปเดินเล่น ตลาดเช้าของวังเวียง แล้วก็กลับมาหม่ำมื้อเช้าที่โฮสเทล แล้วก็นั่งรถตู้ไปเวียงจันทน์ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึง หลังจากถึงเวียงจันทน์แล้ว ก็เอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่พักแล้วก็ออกไปหามื้อเที่ยงกินก่อนเดินเที่ยวต่อ ผมเคยมาเวียงจันทน์แล้ว 2 รอบ เคยไปพระธาตุหลวงกับประตูชัยมาแล้ว รอบนี้ผมเลยไม่ไปอีก เพราะแดดร้อนมากด้วยจะเดินไปก็ไม่ไหว เลยเที่ยวแค่ หอพระแก้ว กับ วัดสีสะเกด
หอพระแก้ว คือสถานที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกต ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงธนบุรีในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีค่าเข้า 10,000 กีบ (40 บาท)
พอออกมาจากหอพระแก้วก็ข้ามมาฝั่งตรงข้าม จะเจอวัดสีสะเกด
วัดสีสะเกดเชื่อกันว่าวัดสีสะเกดเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเวียงจันทน์ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2361 โดย พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์สุดท้ายของราชวงศ์ล้านช้าง ออกแบบวัดตามศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นของไทย หลังจากสร้างวัดเสร็จเกือบ 10 ปี เจ้าอนุวงศ์ได้ก่อกบฏขึ้นทำให้สยามต้องยกทัพมาตี เวียงจันทน์ ด้วยแบบก่อสร้างคล้ายวัดไทยจึงทำให้รอดพ้นจากการถูกทำล้ายในครั้งนั้น มีค่าเข้า 10,000 กีบ (40 บาท)
กลับจากวัดสีสะเกด ก็กลับไปพักรอให้แดดหมดแล้วไปเดินเล่นริมแม่น้ำโขง ที่สวนสาธารณะเจ้าอนุวงศ์
สวนสาธารณะเจ้าอนุวงศ์ อยู่ริมแม่น้ำโขงตรงข้ามกับอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายที่สร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 450 ปี การสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาว เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ชาวลาวนิยมมาพักผ่อน และออกกำลังกันยามเย็น
22 เมษา 62
ออกจากบ้านมาเกือบ อาทิตย์เต็ม ก็ได้เวลากลับประเทศกัน เช้านี้ผมนั่งรถ Interbus รอบ 10.30 น. จากนครหลวงเวียงจันทน์ ไปนอนที่อุดรก่อนบินกลับกรุงเทพวันที่ 23 เมษา 62
สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบดูคลิปเที่ยวแบบภาพเคลื่อนไหวสามารถเข้าไปดูรีวิวนี้ได้ทาง Youtube Channel
This's My World ได้นะครับ
ติดตามผมได้ที่เพจ : สี่ตาพาตะลอน : This is My World และมาพูดคุยเรื่องเที่ยวกันได้ที่กรุ๊ป : คนเดียวก็เที่ยวได้
This is My World
วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.26 น.