#เกาะกูดฟิลกู้ดมากก หนีความวุ่นวายในเมือง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์กัน
High Season Pool Villa & Spa
รีสอร์ทสุดหรู ใจกลางหาดคลองเจ้า ซึ่งเป็นหาดที่ได้รับการสำรวจมาแล้วว่า ทรายขาวสะอาด ละเอียดที่สุดบนเกาะกูด จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดตลอดทั้งปี เราสองคนเข้าพักที่ตลอด 3 วัน 2 คืนเลย จะดีแค่ไหน ตามไปดูกันค่า
Day 1
ออกเดินทางจากกรุงเทพ ใช้เวลาโดยประมาณ 5 ชม. ถึง High Season Pool Villa & Spa : Leam Sok reception officeหรือจุดจอดรถ เช็คอินของโรงแรมนั่นเอง จะอยู่ที่ท่าเรือแหลมศอก ซึ่งเป็นท่าเรือเดียวที่ไปเกาะกูด
(ที่อื่นจะไม่ได้มีออฟฟิสแบบนี้นะคะ ที่นี่แตกต่างและสะดวกสบาย เราสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้แบบสบายใจเลย) มาถึงที่นี่ พี่ ๆ พนักงานยิ้มแย้มต้อนรับดีมาก เสิร์ฟน้ำผลไม้ ผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้ หอม~ ชื่นใจ นั่งพักให้หายเหนื่อย
สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟ ก็สั่งได้เลยน้าา กาแฟที่นี่รสชาติใช้ได้เลย
ได้เวลาไปที่ท่าเรือแล้วค่ะ จะมีรถของรีสอร์ทไปส่ง ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีก็ถึงท่าเรือแหลมศอก กระเป๋าสัมภาระต่าง ๆ ไม่ต้องกังวล เดินขึ้นเรือแบบสบายใจเพราะพี่ ๆ เขาคอยบริการดูแลเราตลอด
เรือข้ามฝากไปเกาะกูด จะมี 2 แบบ คือ เรือเฟอร์รี่สาธารณะ ขนาดใหญ่ รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 200-250 คน ซึ่งจะออกเป็นรอบตามเวลานะคะ
ส่วนเรืออีกประเภทคือ Speed Boat ของโรงแรม ไวกว่าและไพรเวท (จองได้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมได้นะคะ ยิ่งจองล่วงหน้าก็จะเวิร์คสุดเลย) สำหรับพวกเราสองคนนั่งเป็นเรือเฟอร์รี่นะคะ เพราะว่าเรามากันช่วง Low Season จะมีแต่เรือประเภทนี้เท่านั้นที่ให้บริการ ลุ้น ๆ อยู่เหมือนกัน สรุปแอร์เย็นฉ่ำ นั่งสบาย ใช้เวลาประมาณ 1.10 ชม. จุด ๆ นี้ใครเมาเรือ แนะนำให้หลับไปเลย5555
(บรรยากาศบนเรือ เป็นที่นั่งติดกันแบบนี้เลยค่ะ เรือขนาดใหญ่ จุคนได้เยอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเบียดกันน้าา นั่งสบาย ๆ เลย รับประกัน)
นั่งชมวิวไปเรื่อย ก็ถึงแล้วค่ะ ท่าเรืออ่าวสลัด เกาะกูด มีพี่พนักงานยืนยิ้มต้อนรับเราแบบนี้เลย ใครมาเกาะกูดครั้งแรก ไม่ต้องกลัวหลง ที่นี่เขามีพนักงานมารอรับ พาขึ้นรถ เป็นบริการเฉพาะลูกค้าโรงแรมเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที
และแล้ว…เราก็ถึง รีสอร์ทในฝันของพวกเรา วันนี้ได้มีโอกาสมาแล้ว พร้อมรอยยิ้ม การต้อนรับอย่างอบอุ่น ๆ จากพี่ ๆ พนักงาน ตั้งแต่ทางเข้าของรีสอร์ทเลย
ผ้าเย็น กลิ่นตะไคร้ หอมชื่นใจ~~ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของที่นี่เลยแหละ
การตกแต่งของ High Season Pool Villa & Spa เน้นวัสดุจากธรรมชาติ ทั้งหลังคาหญ้าคา เฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ ตามคอนเซ็ปต์ Green, Health, Culture
รวมถึงการสอดแทรกวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของไทย ในจุดต่างๆ ภายในรีสอร์ท ซึ่งพี่พนักงานพาเราเดินผ่าน “ถนนวัฒนธรรม” ที่สร้าง Story ได้น่าสนใจเลยทีเดียว
เช่น ทางเดินภายในรีสอร์ทที่จำลองมาจากไม้หมอนรางรถไฟ บ่อน้ำ เกวียน แปลงนาสาธิต สวนกล้วยไม้ เป็นต้น
ห้องที่เราเข้าพักในทริปนี้ คือ Deluxe Pool Villa (ซึ่งเป็นห้องประเภทเริ่มต้นของรีสอร์ท)
ขนาดเตียงและพื้นที่บริเวณสระว่ายน้ำ กำลังพอดีกับการเข้าพัก 2 คน
ขนาดห้อง 95 ตรม. พร้อม Facilitie ครบครันเหมือนห้อง Type อื่นเลย
ที่สำคัญห้องน้ำกว้างมากกก ขนาดเท่าห้องนอนเลย
แบ่งพื้นที่ของห้องอาบน้ำและอ่างอาบน้ำอย่างชัดเจน
บริเวณอ่างล้างหน้า พื้นที่กว้างมาก กระจกบานใหญ่ ส่องได้เกือบทั้งตัว ส่วนทางซ้ายก็จะเป็นระเบียงที่สามารถนำผ้าหรือเสื้อผ้าเปียก ไปตากได้นะคะ
ห้อง type นี้จะมีให้เลือก 2 แบบนะคะ คือแบบที่มีต้นไม้เป็นแนวรั้วปกติ และแบบรั้วไม้มิดชิดสำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวแบบสุด ๆ รวม ๆ คือชอบมากกกกก โดยเฉพาะการแบ่งสัดส่วนห้องพักของเขา ทั้งมุมนั่งเล่น เตียงนอน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ถูกวางในพื้นที่ ที่เหมาะสม และรู้สึกว่าไม่อึดอัดเลย นี่แหละที่เรียกว่าการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ส่วนของพวกเราขอเลือกเป็นแบบมีรั้วไม้ดีกว่า ไม่รู้ว่าชอบมิดชิดหรือขี้อายกันแน่5555
ดูบรรยากาศภายในห้องกันจนครบ ก็ได้เวลาของอาหารมื้อเย็นแล้วค่ะ
มื้อเย็นวันนี้ เป็นดินเนอร์ภายใต้แสงเทียนเลย โรแมนติกมากกก 555
อาหารไทยของที่นี่คือไฮไลท์อย่างหนึ่งเลยแหละ รสชาติแซ่บมีหลากหลายเมนูให้เลือก ถูกปากทั้งต่างชาติและคนไทย
จุดที่นั่งของเราคือ มุม Outdoor ของ Beach Front Restaurant ชั้น 1 ลมพัดสบาย บรรยากาศดีและอาหารอร่อยแบบนี้ เจริญอาหารแน่นอน555
ก่อนเข้านอนคืนนี้เรามานั่งชิวกันต่อที่ Season Bar
จิบ Mocktail ฟังเพลงเพลิน ๆ ริมหาดแบบนี้ คือดีมากกกก
แอบกระซิบว่าตอนเฟิร์นมาใช้บริการ เขามีโปรโมชั่น Happy Hour 1 แถม 1 ด้วยนะ ถ้าเพื่อน ๆ มาต้องคอยเช็คข้อมูลเวลากับพี่พนักงาน จะได้คุ้ม ชิลได้ทั้งวันเลย
Day 2
สวัสดีเช้าวันที่ 2 ค่าา วันนี้เราสองคนตั้งใจมาเดินดู Facilitie รอบ ๆ โรงแรมกัน แต่ขอเติมพลังกันก่อน อาหารเช้าวันนี้ที่ Beach Front Restaurant ชั้น 2 กับบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ให้เลือกทานกันแบบจุใจไปเลย
เมนูไข่ จะไช่ลวก ไข่ต้ม สุกระดับไหน พี่เขาก็จัดให้
มุมของขนมปังหลากหลายชนิด อยากจะทานให้ครบทุกอย่าง555
มุมของข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมเมนูทานคู่อย่าง กุนเชียง ยำไข่เค็ม และอาหารทะเลอีกเพียบ
ขึ้นชื่อว่าบุฟเฟ่ต์ ก็ต้องอลังการแบบนี้เลยอะเนอะ น่าทานทุกอย่าง จนต้องตักมาให้หมด!
อาหารไทยอย่างผัดไทยกุ้งสด ก็เป็นเมนูที่อยากแนะนำน้าา
ที่เซอร์ไพร์สก็คือมีน้ำผลไม้ปั่น ปั่นกันให้ดื่มแบบใหม่ ๆ และมีมะพร้าวน้ำหอมทั้งลูกมาเสิร์ฟ ดื่มได้แบบไม่อั้น
วันนี้พร้อมในการลุยทุกกิจกรรม ได้ยินมาว่าที่นี่มีกิจกรรม ให้ทำเยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นสปา ฟิตเนส โยคะ มวทย Cooking Class และการรับประทานอาหารบน Bird’s Nest จะสนุกแค่ไหน ตามไปเลยค่า
เริ่มกันที่ High Spa ก้าวเข้ามาก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายทันทีด้วยกลิ่นหอม ๆ จากธรรมชาติที่ทางโรงแรมได้นำมา เป็นน้ำมันหอมระเหย
น้ำมันหอมระเหยของที่นี่ มีทั้งหมด 6 กลิ่นนะคะ แต่กลิ่นที่ขายดีที่สุดคือกลิ่น RATREE ไม่แปลกใจเลย เพราะกลิ่นมันหอม ออกอโรมานิด ๆ ดีต่อใจจริง ๆ
Spa ที่นี่มีทั้งหมด 4 ห้องสำหรับการนวด และมีห้องซาวน์น่าให้บริการ
ส่วนห้องซาวน่า ก็จะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านหน้าแบบนี้เลย ที่นี่มีพี่ ๆ พนักงานคอยดูแลตลอดนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดเลย
สำหรับ High Spa จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 09.00 – 21.00 น. ใครจะมานวดตอนบ่ายก็ได้ หรือตอนเย็นก็ผ่อนคลายไปอีกแบบ แต่สำหรับพวกเราเช้า ๆ แบบนี้แหละ ฟินสุด ^^
ผ่อนคลายกันเสร็จแล้ว ก็มาทานกาแฟและขนมกันแบบฟิน ๆ ต่อที่ The Coffee Terrace คาเฟ่นี้ตั้งอยู่ทางเข้าโรงแรมเลยค่ะ
มีเค้กและเครื่องดื่มให้เลือกค่อนข้างเยอะ
ที่แนะนำเลยต้องเป็น สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก ชิ้นนี้ เนื้อเค้กนุ่ม ๆ กับสตอเบอร์รี่สด รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันได้ดีมาก
สำหรับอาหารเที่ยง มื้อนี้ เราขอฝากท้องกันที่ Italian Restaurant (อยู่ด้านบนของ The Coffee Terrace)
จริง ๆ แล้วพื้นที่ของ Italian Restaurant แต่วันนี้อากาศร้อน เราเลยสั่งมาทานในห้องแอร์เย็นๆ ที่ The Coffee Terrace กันนะคะ
เมนูที่ปลื้มปลิ่ม คือ พิซซ่า ถาดนี้แหละ เป็นพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ จริง ๆ แล้วเขามีเมนูให้เลือกเยอะเลย แต่เฟิร์นเลือกเป็น ฮาวายเอี้ยน เพราะเป็นหน้าโปรด555 ชอบตรงเป็นแป้งบางกรอบ เสิร์ฟตรงจากเตาอิฐขนาดยักษ์ เชฟจะให้เลือกหน้าได้ตามใจชอบ ท็อปปิ้งจัดเต็ม (ทั้งเกาะกูดมีที่นี่ที่เดียวเลยน้า)
มาเดินดูบรรยากาศด้านในกันต่อ เหลือบไปเห็น ห้องโถงใหญ่ ใกล้ ๆ สระว่ายน้ำ นั่นคือ Fitness Center นั่นเอง
เครื่องเล่นเยอะอะไรขนาดนี้ แถมแอร์ยังเย็นฉ่ำตลอดวัน เขาเปิดให้บริการตั้งแต่ 7.00 โมงเช้าถึง 19.00 น. ใครสายสุขภาพนี่ห้ามพลาดเลย
ตกบ่ายแล้ว แอบเก็บภาพน้ำทะเลมาฝากทุกคน เคยแต่ได้ยินว่าเกาะกูดน้ำใสมาก แต่ไม่เคยมาสัมผัสด้วยตาตัวเอง
ดูสิ เพื่อน ๆ ใสขนาดไหน เห็นปลาว่ายน้ำด้วยน้าา เอาล่ะ แล้วก็มาถึงเวลาที่เราสองคนรอคอย นั่นก็คือ…. การทานอาหารบน Bird’s nest นั่นเอง! ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่เลย
ซึ่งสามารถเลือกเวลาได้ตามที่เพื่อน ๆ สะดวก จะเป็น Afternoon Tea แบบเฟิร์น หรือจะเป็น Dinner มองพระอาทิตย์ตกดิน ได้บรรยากาศแบบโรแมนติกเอามาก ๆ
สำหรับ Afternoon Tea ของพวกเรา เป็นชาของ TWININGS เสิร์ฟมาพร้อมกับแซนวิชแฮม กุ้ง , หมึกชุปแป้งทอด และขนมไทยอย่างลูกชุป เค้กฝอยทอง ทานไปชมวิวไป คือดีมาก ๆ
ส่วนราคาสำหรับ Afternoon Tea ราคาจะอยู่ที่ 950++ / ท่าน ถ้าเป็น Dinner ทางรีสอร์ทแจ้งว่าสั่งอาหารและเครื่องดื่ม 5000 บาทต่อบิลก็สามารถขึ้นไปทานได้แล้ว ใครกำลังมองหาโอกาสพิเศษในการทานอาหารกับคนรู้ใจ แนะนำเลยค่ะ
และสำหรับใครที่มีน้องตัวเล็กมาด้วย ที่นี่เขามี Kids Club ให้บริการด้วยค่ะ เปิดให้บริการตั้งแต่แต่ 09.00 – 18.00 น. ของเล่นและพื้นมีเบาะรอง มั่นใจในความปลอดภัยได้เลย
มีโซนสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ไว้นั่งดูทีวี ทำกิจกรรมกับน้อง ๆ ไปด้วยนะ เฟิร์นไปมาค่อนข้างหลายที่ โรงแรมส่วนใหญ่จะไม่มี Kids Club แบบนี้ให้บริการ แต่ที่นี่มีน้าา
เวลาบ่าย ๆ แบบนี้ใครง่วงแต่เราไม่ง่วง! เพราะสระว่ายน้ำยั่วใจเรามาก
สระว่ายน้ำที่นี่เป็นสระเกลือ ขนาดใหญ่กว่า 30 เมตร วิวจากสระน้ำมองออกไปจะเห็นวิวทะเลแบบสุดลูกหูลูกตา เป็นอีกสถานที่ที่ผ่อนคลายสุด ๆ ที่ใครมาก็อยากให้มาลองสัมผัสด้วยตัวเอง
สำหรับดินเนอร์คืนนี้ เราขอมานั่งทานกันที่ Season Bar ริมหาดเช่นเดิม (เพราะติดใจวิวพระอาทิตย์ตกจากเมื่อวาน555) ซึ่งบริเวณนี้ก็สามารถสั่งอาหารเย็นมาทานได้เหมือนกัน
มื้อนี้ของพวกเราลองเปลี่ยนมาทานอาหารตะวันตกบ้าง อย่างซีซ่าสลัดแซลมอน , สเต็กเนื้อ , คารามาริหรือหมึกชุปแป้งทอด
ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยดาว เต็มท้องฟ้าเลย เป็นอีกหนึ่งคืนที่น่าจดจำของพวกเรา
Day 3
เช้าวันสุดท้ายของพวกเรา ขอทำตัวขี้เกียจ ๆ ทานข้าวที่ห้องแบบชิว ๆ กันดีกว่า มื้อนี้เราให้พี่ ๆ พนักงานมาเสิร์ฟกันถึงห้องแบบนี้เลย สะดวกสบายและไม่ต้องตื่นเช้า เพื่อน ๆ คนไหนอยากชิวแบบนี้ ที่นี่เขาก็มีให้บริการนะคะ
ก่อนกลับวันนี้ ก็ไม่ลืมแวะซื้อของฝากบริเวณด้านหน้าของรีสอร์ท สังเกตป้ายใหญ่ ๆ ชื่อ High Souvenir
มีของที่ระลึกขายเยอะเลย ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับไปจนของตกแต่งที่ใช้ในรีสอร์ท
และที่ต้องติดไม้ติดมือไปก็คงหนีไม่พ้นโลชั่นและเจลหอม ๆ ที่ที่นี่เขาผลิตขึ้นมาด้วยสูตรและกลิ่นเฉพาะ ใครชอบกลิ่มธรรมชาติ ๆ และไม่แรง แนะนำเลยนะคะ
เราสองคนกลับเช้าหน่อย เพราะกลัวคนเยอะ (ซึ่งจะมีรถของรีสอร์ทมาส่งที่ท่าเรือเช่นเดิม)
ถึงท่าเรือปุ๊ปก็ลงทะเบียนผู้โดยสาร จากนั้นก็เดินขึ้นเรือได้เลย ส่วนกระเป๋าและสัมภาระต่าง ๆ ก็มีพี่พนักงานคอยช่วยถือจนถึงเรือเลยค่ะ เราสองคนกลับเรือรอบ 09.00 ใช้เวลาโดยประมาณ 10.30 ก็ถึงท่าเรือแหลมศอกแล้วค่ะ
จากนั้นก็มีรถของรีสอร์ทพร้อมพี่พนักงานมารอรับเหมือนเคย พาไปส่งที่ออฟฟิศแหลมศอกที่เราจอดรถไว้ เรียกได้ว่าสะดวกสบายทั้งไปและกลับ
ก่อนจะขับรถกลับกรุงเทพแบบยาว ๆ เราก็นั่งพักดื่มน้ำ ดื่มกาแฟที่ ออฟฟิศ High Season ให้หายเหนื่อยก่อนจะใช้พลังขับรถยิงยาวถึงกรุงเทพเลย
จบไปแล้วสำหรับทริป 3 วัน 2 คืน ของพวกเราที่เกาะกูด ยกให้ High Season Pool Villa & Spa เป็นรีสอร์ทสุดประทับใจของที่นี่ ที่มีโอกาสก็อยากจะกลับมาอีกแน่นอน!
ใครอยากไปฟิน ตามรอยพวกเราแบบนี้แนะนำให้ไป : ช่วง ต.ค. – ธ.ค. อากาศจะเย็นสบาย ไม่มีฝน และไม่ร้อนจนเกินไป และ ช่วง ม.ค. – เม.ย. น้ำจะใสเป็นพิเศษ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้องพักที่ได้ที่ High Season Resort
Papainhoi Couple
วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.36 น.