"ภูทับเบิก" ใครๆก็บอกว่าต้องไปตอนหน้าหนาวถึงจะสัมผัสกับทะเลหมอกและอากาศหนาวจับใจได้

แต่หน้าฝนใช่ว่าจะทำให้เอกลักษณ์ทั้งสองของที่แห่งนี้จางหายลง สายหมอกยังคงปกคุลมตามแนวสันเขา

เพื่อให้ผู้คนได้บันทึกภาพ ตลอดทั้งวันอากาศก็เย็นสบายไม่แพ้หน้าหนาว และที่พิเศษคือความชุ่มฉ่ำจากสาย

ฝนที่โปรยปรายลงมาก็ทำให้ได้พบกับอีกมุมหนึ่งของภูทับเบิก


อยู่ๆก็อยากขึ้นเขาไปดูหมอกขึ้นมา เลยชวนเพื่อนไปภูทับเบิกกัน จากที่ตั้งใจชวนเป็นกลุ่ม กลับ

เหลือกันแค่ 2 คน ที่จะแบกเป้ ไปดูหมอกกัน ... ปุบปับภูทับเบิก ...

เชิญพบกับ บันทึกการเดินทางฝ่าฝนไปหาหมอก ณ ภูทับเบิกครั้งแรกของพวกเรากันเลย

..........................................


- 20.30 เจอกันที่บขส.รังสิต (รถออกจากบขส.หมอชิต 2 3 ทุ่มครึ่ง) ออกเดินทางจากบขส.รังสิตโดยรถบัสกรุงเทพฯ-หล่มเก่า

- 22.00 รอประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็เข้าบขส. รังสิต พร้อมเดินทางไปยังบขส.หล่มสัก โดยใช้เวลานั่งรถประมาณ 5-6 ชั่วโมง


การเดินทางในครั้งนี้เริ่มต้นจากนั่งรถบขส. คืนวันที่ 11 มิถุนา 2562 เพราะว่าพอเดินทางไปถึงบขส.หล่มสักประมาณตี 4 แล้วเนี่ย เวลานั่งรถขึ้นภูทับเบิกบรรยากาศจะดีมาก ๆ ได้เห็นทั้งพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นและอากาศก็ดีมาก ๆ ด้วย


DAY 1

- 04.00 ถึงบขส.หล่มสัก ทำธุระส่วนตัวและนั่งรอแปปเดียวคุณลุงสองแถวมารับ

- 05.00 (ช่วงเช้า) เดินทางขึ้นภูทับเบิก คุณลุงสองแถวน่ารักมากเพราะทั้งแวะให้เข้าเซเว่นซื้อของกิน แวะถ่ายรูประหว่างทางขึ้นภูที่เป็นทางที่ถ่ายรูปออกมาได้สวย เราเลยได้เห็นทั้งหมอก พระอาทิตย์ และได้สัมผัสหมอกตลอดเส้นทาง


- ประมาณหกโมงกว่า ๆ หลังแวะถ่ายรูปเสร็จ คุณลุงก็จะพาเราไปที่จุดสูงสุดของภูทับเบิก ตรงนั้นมีที่ถ่ายรูปเยอะมาก นอกจากนี้ถ้าใครจะกางเต้นท์นอนค้างคืนจุดสูงสุดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีค่ะ เพราะว่ามีทั้งร้านอาหาร อุปกรณ์เต้นท์ ห้องน้ำ ละแวกนั้นหมดเลย


- ช่วงเกือบเจ็ดโมง คุณลุงก็จะพาเราขับรถไปอีกส่วนนึงของภูทับเบิกที่อยู่แยกออกไป ก็คือพาไปวัดป่า ระหว่างทางก็จะเห็นวิถีชีวิตของคนละแวกนั้นแล้วก็ชาวม้งค่อนข้างชัดเจนเลย ทั้งเด็กที่กำลังไปโรงเรียนบนภูในช่วงเช้า กับผู้ใหญ่ที่ทั้งมาส่งลูก ๆ หลาน ๆ ไปโรงเรียน หรือว่าเก็บพวกกะหล่ำปีลงไปขายที่ตลาดด้านล่างของภู


- 07.00 วัดป่าเป็นวัดที่พอไปถึงจะเห็นได้ว่ารูปปั้นทางศาสนาในวัด (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) มีความหลากหลายมาก ๆ เพราะจะเป็นทั้งพุทธแบบอินเดีย ลังกา จีน เรียกได้ว่ามาหมดมีหมดอยู่ในวัด แต่ในขณะเดียวก็สวยมาก ขนาดตอนที่เราไปกันมายังขึ้นโครงอยู่หลายตัวก็ตาม สักพักก็เข้าไปไหว้พระกับถ่ายรูปตามมุม แล้วที่เป็นแลนด์มาร์กของวัดป่าคือจะเป็น (ไอ้ที่มันสูงๆอ่ะเรียกว่าไรไม่รู้) ซึ่งสูงมากจนเห็นจากภูทับเบิกส่วนที่ท่องเที่ยวได้ชัดเลย




- 09.30 ตอนแรกจากที่เราตกลงกับคุณลุงรถไว้ว่าจะให้มาส่งข้างบนกับพาเที่ยวตามจุดเล็ก ๆ ไม่ได้แวะเข้ามาภูผาหินร่องกล้า แต่สุดท้ายก็แพ้ต่อความอยากเที่ยวของเราเลยตัดสินจนเช่ารถคุณลุงเพิ่มเข้าไปในอุทยานภูผาหินร่องกล้า โดยระยะทางจะประมาณสามสิบกิโลเลยค่ะ ใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงด้านในตัวที่เที่ยวศึกษาประวัติศาสตร์สมัยยุคการต่อสู้ทางอุดมการณ์


- ช่วงสิบโมงกว่า ๆ ก็มาถึงด้านใน สารภาพเลยค่ะว่าแอบหลับบนรถสองแถว เพราะอากาศเย็นสบายกับต้องตื่นเช้า มาถึงเลยแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่ขายด้านหน้า และเพิ่งเคยเห็นจริง ๆ กับก๋วยเตี๋ยวใส่กะหล่ำปี จากนั้นเราก็จะเข้าไปด้านในกัน โดยเราสองคนตัดสินใจจ้างไกด์ท้องถิ่นค่ะ เนื่องจากอยากฟังคำบอกเล่าของคนร่วมสมัยจากเหตุการณ์การขัดแย้งทางอุดมการณ์ช่วงเดือนตุลา

- คุณลุงไกด์ที่เป็นชาวม้งจะพาเราเดินไปตามทาง อธิบายเส้นทางพร้อมกับเรื่องราวคอมมิวนิสต์ ได้ความรู้เยอะมากเลย อากาศก็ดี วิวที่ไปถ่ายรูปสวยมากเพราะวันนั้นหมอกลงทั้งวัน เราเดินไปทุกจุดในส่วนนั้นทั้งลานหินปุ่ม ลานพิชิตหินปุ่ม ผาชูธง ซึ่งหินเหล่านี้เป็นความงดงามที่ธรรมชาติสรรสร้างและสร้างความมหัศจรรย์ใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับไกด์ท้องถิ่นที่สอนทั้งความรู้พวกพืชพันธุ์ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์


- ออกมาคุณลุงก็พาเราไปที่โรงเรียนสอนการเมืองการทหารที่แต่ก่อนเคยเป็นทั้งบ้านทั้งแหล่งกำลังทหารของพคท. ตรงนั้นจะมีบ้านให้เห็นชัด ๆ พร้อมป้ายเลยค่ะว่าใครทำหน้าที่อะไรบ้าง รวมถึงรถแทร็คเตอร์ที่ได้ขโมยมาในยุคนั้นว่าถูกนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์จากกลุ่มยังไง


- ประมาณบ่ายกว่า ๆ คุณลุงก็ส่งเราที่พัก ซึ่งก็คือไร่ริมผาที่อยู่ริมสุดของแหล่งเที่ยวภูทับเบิกเลย ตรงนั้นจะเป็นที่กางเต้นท์ที่เป็นขั้นบันไดให้เลือก เราก็เลือกได้ง่ายเลยเพราะวันนั้นคนไม่เยอะ เลยเลือกที่กางเต้นท์สะดวกเลือกมุมสบาย ทั้งคืนนั้นสิริรวมจะมีเต้นท์มากางแค่ 5 เต้นท์ค่ะ รวมของพวกเราด้วย


- การกางเต้นท์จริงๆแล้วกางง่ายมากกกกก เพราะเต้นท์กางง่าย แค่ต้องลงสมอบกให้แน่น ๆ เพราะลมข้างบนมีมาตลอด บางครั้งก็แรงจนอยู่ในเต้นท์ยังนึกกลัว แต่สุดท้ายก็ผ่านทั้งลมทั้งฝนมาได้ตลอดทั้งคืนทั้งวัน เพราะเต้นท์กันลมกันฝน


- ช่วงห้าโมงเกือบหกโมงหลังเรานอนเล่นจัดของในเต้นท์เสร็จ ก็ออกไปกินหมูกระทะกัน เลือกกันได้หลายร้านเลยนะคะ ละแวกนั้นหมูกระทะเพียบบบบ ประมาณ 300-500 เราสองคนเลือกเซ็ต 400 ค่ะ เนื้อหมูครึ่งกิโล กำลังอิ่มกำลังเหมาะ พร้อมชมบรรยากาศหมอกก่อนพระอาทิตย์ตกและอากาศหนาวเย็นประมาณ 17 องศา


- กลับมาก็อาบน้ำซึ่งขอบอกเลยว่าเย็นมากกกก เพราะว่าห้องน้ำที่ให้อาบเนี่ยไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่กลั้นใจนิดเดียวก็เสร็จ ออกมาตัวนี่เย็นจนนึกว่าน้ำแข็งเกาะ คิดเลยว่าพรุ่งนี้จะไม่อาบน้ำแน่นอนเพราะเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับตั้งเต้นท์เดินป่าที่สะดวกกับเรามาแล้ว จากนั้นเราก็คุยเล่นชมหมอกกันอีกนิดนึง ก่อนจะเข้านอนตั้งแต่สามทุ่มจากที่ทั้งเพลียและอากาศ แอบบอกหน่อยว่าตรงลานกางเต้นท์ริมผาสัญญาณมือถือมา ๆ หาย ๆ เลยหลับไวรอตื่นมาถ่ายรูปทะเลหมอกยามเช้า


DAY2

- เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อจะตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่น่าเสียดายที่เช้าวันนั้นหมอกหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นถนนและภูเขาเลยทีเดียว เราจึงตัดสินใจนอนกันต่อเพราะอากาศที่นี่มันหนาวมากก โมเมนท์ที่สอดตัวใต้ถุงนอนภายในเต็นท์อุ่นๆให้ความรู้สึกที่สบายมากๆเลยค่ะ


-พอสายๆ ก็ตื่นนอนเป็นรอบที่สองของวัน แต่หมอกยังคงปกคลุมหนาอยู่และอากาศก็ยังหนาวเหมือนเดิม มองไม่เห็นพระอาทิตย์กันเลยทีเดียว

- อากาศน่านอนต่อมากกก แต่เราทนเสียงร้องของกระเพาะไม่ไหวเลยจัดมื้อเช้าชุดใหญ่เป็นโอวัลตินร้อนๆแก้วเบ้อเริ่ม มาม่าทั้งต้มและแห้ง และยังมีข้าวเซเว่นที่ซื้อไว้ตั้งแต่เช้าเมื่อวานมาอุ่นกินเป็นอาหารเช้าอีกด้วย ครัวของเราอยู่ตรงหน้าเต็นท์เลยค่ะ แต่กว่าจะจุดเตาได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน เพราะลมแรงต้องอาศัยไฟแช็คของพี่เต็นท์ข้างๆเอา ไม่เกินครึ่งชั่วโมงอาหารเช้าของเราก็พร้อมรับประทานท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ฟินสุด


- หลังกินเสร็จ เรานั่งชมวิวหน้าเต็นท์ให้พอหายย่อย จากนั้นก็เดินลงไปยังไร่กะหล่ำปลีที่ปลูกอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรามากนัก แสงแดดเริ่มปรากฏพร้อมๆกับหมอกที่เริ่มสลายไป เราเดินเล่นกันประมาณ 2 3 ไร่ สูดดมกลิ่นเขียวๆของต้นกะหล่ำ มองกิจวัตรประจำวันของชาวบ้านแทบนี้ (ระหว่างที่ไปเดินเล่นได้เอาพาวเวอร์แบงค์ไปชาร์ตไว้ที่ร้านค้าของไร่ริมผา)

-เกือบเที่ยงก็กลับที่พัก แต่เราไม่อยากอาบน้ำเพราะยังหวาดกลัวความเย็นของน้ำตั้งแต่เมื่อคืนได้เป็นอย่างดี นับว่าโชคดีที่เราติดผ้าอาบน้ำสำเร็จรูปมาด้วย เลยใช้เช็ดตัวแทนเอาร่างกายไปปะทะกับน้ำเย็นๆ วิธีการใช้ก็ง่ายนิดเดียว ชุดหนึ่งมีผ้า 2 ผืน ผืนแรกเป็นน้ำใช้เช็ด อีกผืนเป็นสบู่ เอามาถูๆตัวมีฟองออกด้วย จัดว่าพอถูไถไปได้กับการอาบน้ำแบบใหม่ จากนั้นก็จัดการเก็บสัมภาระและเก็บเต็นท์เพื่อเตรียมตัวกลับ


-เราตั้งใจลงจากภูทับเบิกโดยการโบกรถ ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของเราทั้งสองคน กลัวก็กลัวว่าจะไม่มีรถจอดรับ ระหว่างทางเดินออกจากไร่ริมผา เราเดินกินขนมปังกะนมกันคนละกล่อง จู่ๆก็มีเจ้าหมาละแวกนั้นเดินตามมาเฉย เดินมาสักระยะหนึ่งพอหันไปมองข้างหลัง เห้ย มันยังตามมาอีก เลยแบ่งขนมปังให้มันกินซะเลย พอลงมาถึงถนนข้างล่างที่เราจะเริ่มโบกรถ มันก็ยังตามมาไม่ลดละ แถมยังเดินออกไปกลางถนน ด้วยความเป็นห่วงว่ารถจะชนเอาเลยหันไปมองไม่ทันได้ดูถนนที่เป็นหลุมขรุขระ รู้ตัวอีกทีก็สะดุด หน้าเกือบคะมำ ส่วนเท้าเจ้ากรรมพลิกเป็นที่เรียบร้อยจ้า พี่สาวชาวม้งที่ขายเสื้อผ้าของที่ระลึกเห็นเรายืนประคองกันก็ช่วยจัดแจงหาที่นั่ง เอายาหม่องมาให้ทา แล้วยังให้ยาแก้ปวดของพี่เขาอีก ทั้งยังบอกว่าถ้านั่งไปสักพักแล้วยังเจ็บเท้าอยู่ก็จะให้แฟนของพี่พาไปส่งที่สถานีอนามัยให้หมอดูอาการ เราสองคนทำได้แต่ยิ้มและกล่าวขอบคุณกับความใจดีของพี่เขา


-นั่งให้เส้นคลายประมาณ 20 นาที เราก็ออกเดินทางต่อ เดินลงไปยังสามแยกข้างล่างที่มีรถผ่านมากเพื่อง่ายต่อการโบกรถ ระหว่างเดินลงมาเจ้าหมาตัวเดิมก็เดินตามมาส่งเรื่อยๆ ไล่ให้กลับก็ไม่ไป เดินนำบ้าง เดินตามบ้าง แต่ก็ไม่ทิ้งจากเราไป กระทั่งเราเดินมาถึงร้านค้าที่ตั้งขายผลไม้เป็นแถวๆข้างถนน เจอรถยนต์จอดอยู่และมีคุณลุงสองคนกำลังยืนพูดคุยกับบรรดาแม่ค้าด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เสียงหัวเราะดังขึ้นโดยรอบ พวกเรากำลังเดินผ่านแต่คุณลุงคนหนึ่งก็หันมาถามเราว่าจะไปไหนกัน เห็นเดินลงมาตั้งแต่ข้างบนละ เราก็รีบตอบว่าจะโบกรถลงไปข้างล่าง คุณลุงทั้งสองเลยชวนพวกเราให้ติดรถไปลงข้างล่างด้วยกัน ประสบการณ์โบกรถครั้งแรกของเราถือว่างดงามมาก เจอคุณลุงใจดี อัธยาศัยดีท้้งสองคน ติดรถไปด้วยความรู้สึกไม่อึดอัดเป็นกันเองสุดๆ ความใจดีของทั้งสองไม่หมดเพียงแค่นี้ พอลงจากภูทับเบิกแล้ว ท่านก็ได้พาเราไปกินส้มตำไก่ย่างวิเชียรบุรีรสเด็ด และยังอาสาไปส่งเรายังป้ายรถสองแถวในอำเภอหล่มเก่าเพื่อให้เรานั่งต่อเข้าตัวอำเภอหล่มสักกันเอง

-ประมาณบ่ายสามกว่าๆ เรานั่งรถสองแถวเข้าตัวเมืองหล่มสักเพื่อซื้อตั๋วรสบัสกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางได้สอบถามป้าบนรถถึงจุดขายตั๋วรถไปกรุงเทพในตัวเมืองโดยได้ทราบว่าจุดขายตั๋วของเพรชประเสริฐอยู่เยื้องกับป้ายสุดท้ายของสองแถวที่จะจอดหน้าสถานีตำรวจหล่มสัก


-ซื้อตั๋วขากลับเลือกลงรังสิต ได้รถกรุงเทพ-ภูเรือ รถออกจากหล่มสัก 17.30 ระหว่างรอรถเราก็ไปซื้อของกินในเซเว่นที่อยู่ห่างออกไปไม่มากรถบัสออกจากหล่มสัก พอนั่งประจำที่เราก็เริ่มหลับกันทันที

- และประมาณเกือบเที่ยงคืนกถึงรังสิตโดยสวัสดิภาพ


รวมค่าเสียหายสำหรับ 2 คน

- ค่าตั๋วรถบขส.ไป-กลับ 1400 บาท

- ค่ารถเช่าขึ้นภูทับเบิก + ภูหินร่องกล้า 1900 (ยิ่งไปกันหลายคนหารค่ารถก็ยิ่งถูก) บาท

- ค่าหมูกระทะ 400 บาท

- ค่ากางเต้นท์คนละ 80 บาท = 160 บาท

- ค่าไกด์นำทาง 200 บาท(อันนี้ใครให้เท่าไหร่ก็ได้นะคะ แต่เราตัดสินใจให้คนละร้อย)

- ค่าเข้าอุทยาน 2 คน + ค่ารถ = 70 บาท

- ค่าอาหารรวม 300 บาท

- ค่ารถสองแถวเข้าบขส.หล่มสัก คนละ 20 = 40 บาท

รวมทั้งหมด 4,470/2 = 2,235


ความคิดเห็น