สวัสดีค่ะ พึ่งไปภูกระดึงก่อนจะปิดฤดูกาลมาสดๆเลย
อยากมาเล่าถึงบรรยากาศการขึ้นภูหน้าร้อนให้ฟังกัน ซึ่งปกติก็จะมีแต่คนไปภูกระดึงหน้าหนาวใช่ป่าว

ก่อนหน้านี้ก็มีชวนเพื่อนไป ก็มีแต่คนบอกว่า บ้าเปล่า ไปภูกระดึงหน้าร้อน
เราก็.. แหม หน้าหนาวมันผ่านมาแล้วนี่ยะ มันไม่มีเวลาไป ไปตอนเนี้ยแหล่ะ ไปปิดภูกัน!!!

สรุปที่ถามเพื่อน ไม่มีใครอยากไปด้วยเลยยยยยยย

เลยตัดใจว่าจะไปคนเดียว เห็นเค้าบอกว่าไปง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ก็พร้อม
เต้นท์ก็ขึ้นไปเช่าได้ อาหารการกินบนนั้นไม่ต้องพูดถึง มีสากกะเบือยัน หมูกะทะ (ได้ยินมานักต่อนักแล้ว อยากไปให้เห็นกับตามากๆ)
น่าจะไปได้แหล่ะ

แต่บังเอิ๊ญโชคดี ไปลองชวนพี่ที่ชอบเดินป่าคนนึงในเฟสบุค แกแทบไม่ได้คิด แล้วก็ตอบทันทีว่า "ไป"
งั้นดีเลย
พี่คนที่จะไปด้วยแกอยู่กทม เป็นผู้ชาย
งั้น... ชวนพ่อไปด้วยดีกว่า

คุณพ่ออายุ 50 กว่าแล้ว ไม่เคยไป เชยยยยยยยยยมาก (ล้อแก)
ว่าแล้วก็ไลน์ไปถามแก

10 นาที ก็ตอบมาว่า "ไปด้วยยยยย"
"จะไปหาเพื่อนด้วย".... อ้าวเห้ย ... นี่ทริปคุณลูกนะ ขุ่นพ่ออย่าเปลี่ยนตามอำเภอใจสิ
คือตอนแกตกลง ก็ไม่มั่นใจนะ ว่าจะขึ้นได้มั๊ย
เห็นปั่นจักรยานทีไร ตะคริวกินบ้าง ขับรถก็ตะคริวกิน
ออกกำลังกายก็แทบจะไม่บ่อย ถ้าเราไม่ชวน แกก็ไม่ออก
เราก็ถามย้ำ จะไปจริงๆปะ ต้องแบกเป้ของใครของมันขึ้นไปเองนะ ไม่จ้างลูกหาบ เพราะจะไปฝึกกำลังขา
แกก็บอกว่า "ได้ ไม่มีปัญหา"

ดูกระเป๋าฮีสิ


บอกให้เอาของออกอีก มันหนักไป ขึ้นไปข้างบน แอบโยนของทิ้งข้างทางไม่ได้นะ



และแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกัน เย็นวันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม ((ภูปิด 1 มิถุนายน))



มาลุ้นกันไหม ว่าใครจะถึงก่อน



พวกเราออกจากบ้านด้วยมอเตอร์ไซต์ไอค่อนคันเล็กๆ กับเป้ใบใหญ่ๆ 2 ใบ

พอเข้าไปถึงในเมือง ถนนทุกสายถูกปิดหมด เพื่อให้ขบวนเสด็จผ่าน ณ เวลานั้น คือรีบมากๆ เลย

แถมฝนก็เริ่มตั้งเค้าแล้ว

ขบวนเสด็จผ่านไปได้ไม่นาน ฝนที่จะน่าจะยังไม่ตก ก็ตกลงมาห่าใหญ่ ทำให้พวกเราต้องแวะคลุมเป้กันข้างทาง

โชคดี ที่พวกเราเอาเสื้อผ้า และของทุกสิ่งใส่ถุงพลาสติกก่อนจะยัดเป้เรียบร้อย เป้ก็เปียกนิดหน่อย แต่คนนี่สิโซ่กเลย

พวกเรากะไปทานข้าวเย็นกันที่สถานี เนื่องจาก ต่างคนต่างเลิกงาน เก็บๆของ รีบมากๆ ขับมอไซต์อย่างรีบ

เพื่อให้มาทันขึ้นรถ

ปรากฏว่าพอมาถึงได้สักพัก สถานีขนส่งไฟดับ ป้าคนขายอาหารปิดร้านกลับบ้านพอดี อดเบยยย

ยังไงเดี๋ยวไปทานบนรถก็ได้ คนขายตั๋วบอกมีข้าวแจก

ขึ้นมาบนรถ แทนที่จะเสิร์ฟข้าวเลย ดันมีมาม่า เพราะคนขายตั๋วเกิน

ทำให้คนนั่งกันมั่วไปหมด ... นี่รถพึ่งจะมาจากเชียงใหม่นะนี่ ทำไมวุ่นวายกันมากเลย



สุดท้าย พี่พนักงานก็จัดการเคลียร์ทุกอย่างจบ จนกว่าจะได้เสิร์ฟข้าวก็ลำปางนู่นนนน

ข้าวเป็น ข้าวผัดหมูเซเว่น เสิร์ฟร้อนๆ โอเคนะ หิวมาก อะไรก็ได้ 5555

ส่วนกล่องใหญ่บะเริ่มเทิ่มนี่ ข้างในก็มี หนมเวเฟอร์โนเนม แลคตาซอย5บาท และน้ำเปล่าขวดนึง โอเคล่ะ

ค่าตั๋วรถ คนละ 583 บาท ลำพูน - อ.ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

คนที่มาจากทางเหนือแล้วต้องการไปผานกเค้า เพื่อขึ้นภูกระดึงต้องมาเปลี่ยนรถที่ชุมแพก่อนค่ะ รถขอนแก่น

มาถึงชุมแพ ระหว่างรอต่อรถไปผานกเค้า ก็จัดการทำธุระส่วนตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กว่ารถจะมาก็นานพอสมควร น่าจะรอสักครึ่งชั่วโมงได้นะ

นัดเจอพี่วัช พี่ที่มาจากกทม ที่ผานกเค้าเลย เค้ามาถึงนานมากแล้ว

คนกรุงเทพถ้าจะไปภูกระดึง ต่อเดียวถึงเลยค่ะ สบายจุง

ทุกรูปแกจะต้องเอาตัวเองใส่แหมะไว้กับวิว

แกบอกว่า ... จะได้รู้ว่ามาแล้ว

คิคิ

มาถึงผานกเค้าแล้ว ที่ต้องไม่พลาดคือ ข้าวแกงร้านเจ้กิม

น่าจะดังเพราะเป็นจุดจอดรถสองแถวที่จะไปอุทยาน ... เราว่าอาหาร กลางๆ นะ เต็มสิบให้ 6

ส้มตำ ไก่ย่าง ฝั่งตรงข้ามยังชวนน้ำลายไหลกว่าอีก แต่เสียดาย พ่อชอบตามรอย

แกดั๊นไปอ่านรีวิวในเน็ต แล้วสงสัยบอกให้ไปทานร้านเจ้กิม ... ก็ลงเอยร้านนั้นแหล่ะ

แต่การบริการต้อนรับ ให้ 10 เต็มเลย ดูแลน่ารักดี .... จัดระเบียบคนขึ้นรถสองแถวให้ด้วย

เพราะรถสองแถว เหมาอยู่ที่ 300 บาท พวกเรามา 3 คน ก็รอให้คนมาสักพักจะได้หารกันถูกๆ

แต่แล้วช่วงเวลาคงไม่ประจวบเหมาะ บางกลุ่มมากัน 9 คนบาง กำลังทานข้าว พึ่งมาถึงกันบ้าง พวกเรารอสักพักใหญ่ๆ

สุดท้ายก็ตัดสินใจออกเดินทางไปอุทยานโดยหารกันแล้ว คนละ 100 บาท กับระยะทาง 16 กิโล .....มันจี๊ดดดดดดดจุง

มาถึงก็สแตมป์สมุด passport อุทยานก่อนเลย

แล้วถึงไปเค้าเตอร์จองบ้านพักอุทยาน



ทริปนี้พวกเรากะมากันชิลๆ ส่วนตัวแล้วตั้งใจมาทดสอบกำลังขาเฉยๆ ช่วงนี้แบบว่าเข้าฟิตเนตทุกวัน

มีวิ่งoutdooเพราะคาดว่ามาหน้าร้อนก็คงไม่เห็นเมเปิลแดง

หรือ ทะเลหมอก

พี่วัชที่มาเจอกันที่นี่เค้าก็เคยมาแล้วรอบนึง แต่น่าจะเมื่อ 7-8 ปีมาแล้ว เค้าเล่าให้ฟังว่างั้น ((นานมั่ก))



พวกเราไม่ได้จองที่พักมาก่อนเนื่องจากโทรไปแล้วเค้าบอกว่า คนไม่มาก ให้ไปจองตอนถึงอุทยานได้เลย

สรุปแล้วได้บ้านหลังละ 900 บาท ห้องน้ำรวมค่ะ

พวกเราลองไปชั่งน้ำหนักกระเป๋าก่อนจะเริ่มเดินขึ้น

ของพ่อ 8 โลกว่าๆ เท่าของชิ เลย

ส่วนของพี่วัช 11 โล ((รายนั้นเน้นของกินเป็นหลัก เลยหนักมากกก



ปล.พ่อยังหน้าระรื่นได้อีก

ดูจากกระเป๋าฮีแล้ว ไม่น่ารอด



ทุกครั้งที่ออกทริปด้วยกัน พวกเราจะทะเลาะกันเรื่องกระเป๋าก่อน ((ทะเลาะงุ้งงิ้ง))

เพราะพ่อจะไม่มีกระเป๋าหลัก แกจะเปลี่ยนไปเรื่อยอยู่ 2-3 ใบ

แต่ของอชิใช้เป้แดงใบเดียว คือมันโอเคมาก ใช้มา 2-3 ปีละมั้งน่ะ ถือว่าคุ้มมากกกก



แล้วกระเป๋าใบนี้ ถามว่าทำไมเอาใบนี้มา

แกตอบว่า ข้างในมัดจัดของได้เป็นสัดเป็นส่วนดี .... เง้ออออ



ดูสิๆ ถ้าสะพายแล้ว น้ำหนักมันจะถ่วงลงก้น จะปวดใหล่มาก คือพูดยังไงก็ไม่ฟัง ถือว่าเป็นพ่อหัวดื้อสุดๆคนหนึ่ง

เราก็ เออ ปล่อยเลยตามเลย

ความเยอะของแกยังไม่หมด

พร้อบแกไม่ใช่แค่ในรูป

แกมีเป้สีดำอีกใบนึง ยัดอยู่ในเป้ใหญ่

บร๊ะเจ้า !!!



ถามว่าเอามาทำไม

เค้าบอกว่า

เวลาเดินเที่ยวบนภูจะได้มีที่ใส่ของ ..



เอาเห๊อะะะะ หลังจากนี้ขาใครขามันแล้วนะ

start !!

ก่อนจะถึงซำแรก อยากรู้ว่า

มันจะชันไปถึงไหนนนนน!!

พวกเราผลัดกันนำ ผลัดกันตาม

อ้าว ป๊า ร้างท้ายไปละ



ฮี่ๆๆๆ

อากาศร้อนเว่อร์

แต่ตลอดการเดินทาง ไม่เคยนึกถึงประโยคนี้เลยว่า "เราขึ้นมาทำไม"

เพราะการเดินทางคือสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว

ยิ่งเหนื่อย ยิ่งม่วน ยิ่งร้อน ยิ่งมันส์ 55555

อชิมาถึงก่อนใครเลย ซำแรก ใช้เวลาไป 30 นาที รู้สึกว่า ไม่ง่ายเลยนิ เหนื่อยโฮกก



ขึ้นมาก็ตลึง เห้ยยยย

มันเหมือนเป็นซุ้มไม้ไผ่สัก 10 หลังคาเรือน มาตั้งอยู่บนนี้

แต่เปิดขายของกันเพียง 3-4 ร้าน

เจ้าของร้านแต่ละร้านก็พากันเรียก เชิญชวนมาซื้อ ... งานเข้าสิ เอาร้านไหนดี ถ่ายรูปรอพ่อดีกว่า



สัก 2-3 นาที พ่อก็ขึ้นตามมา

เห้ยยยย ไวจุง

พี่วัชหล่ะ ??! พ่อบอกเดี๋ยวตามมาๆ

.....

ว้าวววว

โอะโอ้ว ยังชู 2 นิ้วสบายยย !!



สุดท้ายก็เลือกป้าแก่ๆคนนึง เพราะเห็นเหมือนมีน้ำผลไม้สด

ราคาอาหารที่ซำแรกและซำที่ 2 เหมือนกัน แต่พอซำที่ 3 ขึ้นไป ราคาอาหารแต่ละอย่างจะถูกบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เรียกว่า "ยิ่งสูง ยิ่งแพง"



พวกเราอุดหนุนน้ำมะนาวคั้นสด แก้วละ 20 บาท

คิดในใจ เห้ย ทำไมถูกจัง

พอมาเสิร์ฟ .... อะเคร แถวบ้าน แก้วนี้มูลค่าประมาณ 10 บาท

แต่มาถึงบนนี้ ได้ทานน้ำมะนาวคั้นสดแล้วมันรู้สึกว่า เอายี่สิบบาทของชั้นไปเลยยยยยยยยยยยยยยย



รู้สึกเฟรชชช ขึ้นมาเลย



ป้าบอก เดินขึ้นลง ทุกวัน สักบ่ายสาม ก็เดินลงละ

ขาขึ้นมาก็เกือบชั่วโมง เพราะต้องแบกของขึ้นมา

เห้ยยยยย คืออายุ 60 แล้ว แต่แข็งแรงมากกกกกกค่ะ

ด้านหลังทุกซำที่มีร้านค้า จะมีห้องน้ำค่ะ น่าจะทุกซำมั้งไม่แน่ใจ

คือเป็นการเดินป่าที่สะดวกสะบายมากที่นึงเลยหล่ะ



จะว่าสบายมากก็ไม่ถูกหรอก

เพราะขึ้นเขานี่มันเหนื่อยสุดๆไปเลย



พ่อกลับมานำแล้วค่ะ

ต่อให้ก่อน ๆ อิอิ

นอกจากกลุ่มพวกเราแล้ว เด็กน้อยตัวจิ๋วขนาดนี้ก็มาเดินแบบไม่งอแงด้วยย น่ารักมากๆค่ะ ((ได้ยินแม่เรียก น้องมากิ น่ารักมากๆอ่า))



มาถึงอีกซำที่มีร้านขายของ

ได้ยินว่า คนที่แวะทุกซำแล้วใช้เวลาขึ้น 7-8 ชั่วโมงกว่าจะถึงนี่ ท่าจะจริงแฮะ

พวกเราก็แวะ รอบนี้สั่ง แตงโมปั่นนนนน 55555

สภาพนี่เหมือนหมาตกน้ำสุดๆ



พวกเราตัดสินใจว่า จะไม่แวะไหนแล้วนะ รอบนี้ยิงยาว

กำหนดการให้ไปถึงหลังแป (Mountain top) ไม่เกินบ่าย 2



จากตรงนี้ เราสองคนพ่อลูกได้สละยานลำนึง

ปล่อยให้พี่วัชนั่งทานข้าวชมวิว ชิลๆไป ส่วนพวกเราไม่หิวมาก เพราะจัดน้ำปั่นไปมะกี๊ จึงขอเดินขึ้นเขาแข่งกันต่อ

สภาพ

ตอนที่ไปถึงอช. เจ้าหน้าที่บอกว่า มีคนมาแล้ว 60-70 คนเอง

สรุป ทั้งภูก็จะมีกันประมาณนี้แหล่ะ เดินสวนๆกัน ผลัดกันนำ ผลัดกันตาม

คนเคยไป เข้าใจอารมณ์แถวในภาพนี้ไหมคะ

ว่าแบบความรู้สึกว่า ใกล้ถึงแล้ว แต่ทำไมยังไม่ถึงสักที

มันขึ้นอย่างเดียวเลย

แทบยกขา ก้าวไม่ขึ้น

เป้ก้อหนัก น้ำหนักตัวก็ไม่ได้น้อยๆ เอิ่มมมมมม

ได้แต่สั่งตัวเอง ปีนไป อย่าได้บ่น !!



สุดท้ายก็มาถึงแล้ววววววววววววว

หลังแป

ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมง 40 นาที

กับครั้งแรกที่ขึ้นภูกระดึง

นาทีนั้น ร้อนมากเลย พ่อยังไม่ขึ้นมาเลย พี่วัชก็ด้วย จะรอไรล่ะ หลบแดด นั่งพักขาก่อน

เหนื่อยโฮกกกกกกก

ไม่ถึง 5 นาที ต่อมา ฮีก็โผล่ขึ้นมา

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

ฮีทำได้ เก่งสุดยอดดดดดดดดดดด

ที่เคยท้าทาย ลบหลู่ดูหมิ่นนี่ต้องมองใหม่ละ

ไม่นานพี่วัชก็ตามขึ้นมา พวกเราถึงได้ถ่ายรูปเล่นกัน ซึ่งเรากับพ่อหารู้ไม่ ว่าจากหลังแป ไปที่พัก ต้องเดินทางราบอีก 3 โลฟ่า กลางแดดเปรี้ยง

แว่นตาตัวเองไม่สวยอ่ะ เวลาถ่ายรูปชอบขอแว่นตาขุ่นลูกไปใส่อะ

หล่อเบยยย

จากนี้จะเป็นมหากาพย์การเดินทางเรียบบนภูลุยแดดเปรี้ยงๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องป้างๆ

ฝนใกล้ลงละ ทุกคนจึงตัดสินใจรีบคลุมเป้

จนกระทั่งมาถึงที่พักของอุทยาน เมฆครึ้มมาเชียวว

ลานกางเต้นท์ตรงนี้ ถ้าเป็นฤดูหนาว เดาได้ว่า คงจะแทบเหลือที่โล่งโจ้งแบบนี้แน่

มาสแตมป์ผู้พิชิตอิอิ

จากนั้นถึงได้เดินเอาสัมภาระไปเก็บที่บ้าน

ห้องกว้างมากกกกกกกก สำหรับนอนกัน 6 ที่

พวกเรามากัน 3 คน นอนท่าปลาดาวได้สบายเลยย

เก็บสัมภาระเสร็จ เอาจริงๆคือล้ามาก แต่มาถึงกันน่าจะบ่าย 3 กว่า เวลาเหลือ

และชอบไฟ้ท์ เลยไปเดินเล่นกันต่อ เวลาเหลือจะได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ผาด้วยเลย



ระหว่างทางก็พบเจอคนหลายๆ กลุ่ม

มากันแบบครอบครัวบ้าง เพื่อนๆบ้าง น่ารักกันมากเลยย



ไม่เหมือนครอบครัวเรา ง้องแง้งกันได้ตลอดเวลา

นี่ไง พ่อเปลี่ยนเป็นกระเป๋าสะพายหลังสีดำแว้ว

พร้อบเยอะปะหล่ะ



มาพราบพระพุทธเมตาก่อนเลย

เดินไปน้ำตกกันต่อ

ทำเหมือนพลังงานเหลือกันเยอะมากกกก



ตลอดทางก็จะเจอป้ายบอกเตือนระวังช้างป่าอยู่ตลอด



ถามจนท ว่า ถ้าเจอช้างป่า ควรทำอย่างไร

จนท บอก วิ่งสิคะ จะรออะไร ....

..ค่ะ

แต่ ถ้าเจอนี่ วิ่งไม่ออกละ เหนื่อยสุดๆ ให้จับกินเลย

ดูน้ำตกแต่ละที่ ดูจะใกล้ๆกันนะ พวกเราวางแผนไปกันใกล้ๆอันแรกสุดก่อนเลย

ดูไม่หมดพรุ่งนี้มาต่อ

ลูกสน น่ารัก ชอบมากอะ ใจจริงอยากเก็บกลับบ้านใส่กระเป๋าพ่อทั้ง 3 ใบให้หมดเลย

แต่ไม่เอาดีกว่า ไปหาซื้อถนนคนเดินเชียงใหม่สบายใจกว่า

อีก 100 เมตร ถึงน้ำตก

พ่อเจอป้ายนี่เข้าไป เค้าเรียกอาการไรนะ ป-อ-ด ไม้ตรี ... เลย

บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

....น้ำตาจิไหล

เดินมาเหนื่อยโฮก เจ็บเท้าสุดๆ



ไม่เป็นไร ไปหาหน้าผาสักผาดูพระอาทิตย์ตกดินดีกว่า

แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ผาหล่มสักมีช้างป่าอยู่ ....อดอีก

มันเป๋นจั่งไดน้อ ช้างป่าเนี่ย

อันนั้นก่ออด อันนี้ก่ออด



สรุปได้ไป ดูพระอาทิตย์เกือบตกที่ผาหมากดูกแทน

คือย้อนกลับทางเดินตอนที่เจอ พ่อแม่ลูก 3 คนระหว่างทางอ่ะ แล้วเดินไปอีก 2 โลกว่า

จุดๆนี้ คือ ไกลมว้ากกกกกกกกกกกก ปวดดดดดเท้า 555555

ดอกอะไรไม่รู้ น่ารักมากก ไม่รู้จะถ่ายไงให้สวยดี



ดูหนุกหนาน ชมนั่นชมนี่ แต่เอาจริงๆ คงปวดเข่า 555555555555555555



เย้ มาถึงสักที

ขอถ่ายกับป้ายก่อนละกัน

... จัดไป คับพ้ม

บอกให้ไปนั่งใกล้ๆผาหน่อย จะได้สวยๆ .... ฮีไม่เอา ฮีกลัวตกหน้าผา

เพราะด้านล่างก่อนขึ้นภูมีป้ายคล้ายไวนิลติดอยู่ข้างตึกบอกว่า

"ทุกปีมีนักท่องเที่ยวตกหน้าผาทุกปี บลาๆๆๆ" โดนขู่ไว้ก่อนไง 555555555



ขุ่นลูกขอมั่ง

รู้สึกดีชะมัดเลย

มันมองเห็นวิวด้านล่าง กว้าง ชัดเจน ลมเย๊นเย็น

กลับไปอาบน้ำปุ๊บ ก็รีบออกมาที่ร้านอาหารบนภู

เราจะไปกินหมูกะทะแบบฟินๆ บนภูกระดึง กัน

นี่เลย หมูกะละชุดใหญ่ 500 บาท ชุดเล็ก 400 บาท

สายแข็งกันขนาดนี้ 3 คน จัดชุดใหญ่ไปเลย

ดูเหมือนจะไม่เยอะใช่ไหม แต่ได้เยอะมากค่ะ

ฟินมาก สะใจสุดๆ เพราะเดินขึ้นมาเหนื่อยมากกกกกกกกกกกก



บางคนเข้าใจนะคะ อาจจะมองว่า เสียภาพลักษณ์การเที่ยวดอย กางเต้นท์ เอาซะเสียบรรยากาศธรรมชาติ ป่าเขาหมด

แต่เพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวก่อฟืน หุงหาอาหารเอง มีโทษปรับนะคะหากฝ่าฝืน

จึงต้องอุดหนุนร้านรวงที่เค้ามาเปิดด้านบนนี้แทน

ช่วงฤดูหนาว ร้านคงพรึบ เยอะมาก

วันที่ไป เหลือสัก 4-5 ร้าน

ซึ่งพรุ่งนี้อีกวันเดียว ภูก็ปิดแล้ว โชคยังดีที่มีเปิดให้ทานอยู่

แถมก็ยังมีหมูกะทะด้วย อิอิ

มีแขกไม่ได้รับเชิญเป็นเจ้ากวาง มาแจมด้วย 4-5 ตัวแน่ะ

มันอวบอ้วนและเป็นกันเองสุดๆไปเลย

พวกเรากินเสร็จแล้วรีบเข้านอนทันที .... เอาตรงๆ จุกสุดๆ ! แต่ก็ยังนอนหลับอยู่

พรุ่งนี้มีนัดไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าหน้าที่นัดทุกคนที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5

แล้วจะนำทางไปที่พานกแอ่นค่ะ



ตื่นเช้ามาคุยกันถึงตอนนอน

พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า เมื่อคืนร้อนมากกกกก!!

5555555555

น่าจะสัก 19 องศาเองมั้งคะ



เดินไปสัก 2 กม กว่าๆ ก็ถึงค่ะ ต้องพกไฟฉายไปด้วยนะคะ

ทุกคนอาจจะแปลกตาไปใช่ไหมคะ

มันไม่มีทะเลหมอกกกกกกกกกก

ก็จะเห็นเมืองเลย เห็นผานกเค้า เห็นเรือกสวนไร่นาของลุงๆ ด้านล่าง อุอิๆ

ทริปนี้เจอเด็กน้อยเยอะมาก

ขาแรงๆทั้งนั้นนนน

2 คนนี้จัดเต็ม ใส่ถุงกันทากด้วยเรียบร้อยยย

เม้ามอยกันเรื่อง "กันดั้ม" อย่างฟินอะ

ไม่มีรูปกับป้าย ไม่ใช่พ่อเราค่ะ

ดูพ่อเราใส่เสื้อคิดว่าหนาวมั๊ย......ไม่ได้หนาวขนาดน้านนนนน 55555

เห้ยๆๆ ขากลับเจอดอกนี่ด้วย ใครไปภูสอยดาวมา จำได้ไหม ดอกอะไร

ดอกหงอนนาคใช่ปะๆๆ มีบนนี้ด้วยอะ

พระใหญ่ ระหว่างทางกลับ

เดินๆอยู่ เห็นวิ่งๆๆๆ เขาไปในพงต้นสน นึกว่าไปฉี่ ถามว่าไปทำไร

ตอบกลับมาว่า "ถ่ายรูปให้หน่อย"



อาหารสำหรับเช้านี้ มีเมนูให้เลือกคือ ข้าวต้มหมู ไข่กระทะ น้ำเต้าหู้ และโอวัลตินร้อน

เลือกทานร้านไหนก็ได้เลยจ้า เมนูคล้ายกัน

ขณะที่นั่งทานอยู่ ปรากฏมีทากไต่ขึ้นขา เป็นครั้งแรกในชีวิต

ซึ่งพวกเรากำลังคุยกันว่า วันนี้ไปน้ำตก โดนแน่



แต่ไอ้ 2 ตัวที่ไต่ขานี่มันยังไม่ทันได้ดูดนะ เราจับมาแล้วส่งให้พี่วัด ปั้นๆมันเป็นก้อนๆ แล้วปาทิ้งทันพอดี

ส่วนพ่อ โดนจ๊ะเอ๋ เลือดเยิ้มเลย 555555555555

ทานข้าวเสร็จ เก็บกระเป๋าไปฝากเจ้าหน้าที่อุทยาน พร้อม check-out ค่ะ

วันนี้เราจะเดินเก็บน้ำตกกันครึ่งวัน

จะใช้เวลาไม่เกิน 12:30 น

เพราะว่า จะเดินทางไปเชียงคานกันต่อ



เอาภาพน้ำตกบนภูกระดึงที่เดินกันไป4-5 ชั่วโมงมาให้ค่ะ

หินตรงน้ำตก ลื่นมากๆเลยค่ะ ใครอยากเข้าไปถ่ายใกล้ๆน้ำตก ต้องถอดรองเท้า แล้วใส่แต่ถุงเท้าเข้าไป

ใจจริงอยากเข้าไปถ่ายอยู่หรอก

แต่ไม่ดีกว่า

พ่อถ่ายมือไม่เที่ยง เดี๋ยวเสี่ยงเปียกฟรี 5555555

น้ำตกโผนพบ

น้ำไมมาก แต่ทากอะ เยอะ !!



เหลือบไปเห็นอีกที พ่อทัก ทากกำลังไต่รองเท้าอยู่ !!

เราบอกแป๊บนึงๆ ขอถ่ายรูปก่อน แกก็จะฉีดสเปร์ตะไคร้

แล้วเจ้าทากน้อยก็หล่นตกพื้นเลย คือกลัวมันตาย บอกเลยยย

กลิ่นฉุนมาก ไม่เชื่อลองฉีดใส่หน้าได้

เข้าใจความรู้สึกของทากกกเลยมะ



พวกเรานั่งทานข้าวเหนียวหมูทอดที่ซื้อจากร้านอาหาร คนละ 1 ชุด ชุดละ 60 บาท

นั่งทานกันที่น้ำตกสุดท้าย ได้บรรยากาศมาก

เจอเห็ดแปลกๆเยอะมาก

คาดว่าจะไม่เจอแล้ว ยังแอบเจอตั้งใบนึง



ตอนขากลับ พี่วัชเดินตามหลัง ถึงได้รู้ว่า

ขาเรามีเลือดออกเพราะทาก เลือดไหลเยิ้มเลย

เค้าบอกว่า มันน่าจะกัดจนอิ่มแปร้ หงายท้องหล่นไปแล้ว

แล้วทำไม เค้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย....เธอมาทำร้ายเราตอนไหนเนี่ยยยยยยยยยยยยย

เอิ่บ



นั่งพัก ดื่มน้ำดื่มท่า

(โกโก้ แก้วละ 40 )

สักพักก็ได้เวลากลับไปเอาเป้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

ทำเวลาได้ไม่เกิน เที่ยงครึ่งจริงๆ ค่ะ

อ่อ ในห้องพักไม่มีเต้าเสียบใดๆทั้งสิ้นนะคะ จะมีแต่สวิตซ์ไฟกับหลอดตะเกียบวัตต์ต่ำๆ อยู่ดวงเดียว

หากจะชาร์ตแบตอะไรก็ตาม เชิญได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ

ครั้งละ 20 บาท ชาร์ตจนเต็ม

ชาร์ตเต็มแล้วไม่มาเอามีคิดตังด้วย ชม. ละ 20 มั้ง อิอิ

ลาแล้วจ้า ภูกระดึง

หน้าหนาวมีโอกาส จะพยายามมาให้ได้นะ

เดี๋ยวลงภู ต่อรถไปเชียงคานต่อเล้ยยยยย

ขากลับสุดระทึก

พวกเราต้องการทำเวลาขากลับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะ "หลงทาง"

ทางที่ลงไปนั้น ไม่ใช่ทางที่พวกเราขึ้นมา



ทีแรกก็เดินๆกันไปเรื่อย แล้วก็นึกสงสัยกันว่า ทำไมมันรกจัง มีต้นไม้ใหญ่โค่นพาดกลางทางมั่ง

หญ้า หรือแม้กระทั่งทางเดิน ก็รก ดูเหมือนไม่ใช่ทางที่คนเค้าเดินปกติ



ส่วนตัวคิดในใจ เห้ย ไปนอนบนภูคืนเดียว ฟ้าฝนทำขนาดนี้เลยหรอ



ไม่ทราบว่า พ่อ กับพี่วัชคิดยังไง เพราะ เดินกันดุ่ยๆ ลงไป แต่ละคนคงจะไม่ค่อยเอะใจเท่าไหร่ เพราะ ขาขึ้น พวกเราก็ไม่ได้เดินขึ้นมาพร้อมกัน



พวกเราแทบจะเดินเหนื่อยมากจนไม่ได้จำ สองข้างทางเลย



แต่สุดท้าย คนเดินนำคนแรก (พี่วัช) ก็หยุดกึก พ่อหยุดตาม จนอชิตามมาทัน

พวกเราคุยกันว่า มันไม่ใช่ทางที่พวกเราใช้เดินขึ้นมาตอนแรกแล้วหล่ะ มันรกมาก

โดนหนามด้วย เพราะทางมันแคบ



พ่อก็ถามว่า เอาไง มีเบอร์ จนท มั้ย



ส่วนเราคิดว่า (((โอ้วววววว น่าสนุกจัง จะไปโผล่ไหนนะ 555555555)))

จะให้ย้อนกลับขึ้นไปหรอ ไม่เอาหรอก ลงมาไกลขนาดนี้



พวกเราตัดสินใจเดินลงไปกันเรื่อยๆ จนมาโผล่ซำหนึ่ง

มีป้ายติดทางที่พวกเราเดินลงมาว่า "ด่านช้าง"



เจอลูกหาบกลุ่มหนึ่งนั่งพักอยู่ เค้าทักพวกเราว่า อ้าวลงมาทางนั้นได้ยังไงง

พวกเราบอกหลง ลงมา ไม่ได้ตั้งใจลงทางนี้

ลุงลูกหาบบอกว่า ปกติทางนั้นไม่ได้ปล่อยให้คนขึ้น หรือ ลง มันอันตราย



เอิ่บ ..ลงมาแล้ว นี่ไง เลือดออกด้วย



อ่ะ ไม่เป็นไร สนุก

เค้าบอกว่า โชคดีไม่เจอช้างป้า ... อุย

ลงมาถึงพื้นที่ราบ เราต้องมีหลักฐานยืนยันว่าเรายังอยู่ดี

พ่อ กับ หลักกิโล จัดดไป



พวกซื้อตั๋วรถที่ข้างร้านเจ้กิม

110 บาท ผานกเค้า-เชียงคาน จัดไป!!



นั่งรอร้านกาแฟสักพักรถก็มา รีบๆเก็บของ รีบวิ่งขึ้นรถทันที

นั่งของนครชัยขนส่งค่ะ

รถต้องเข้าตัวเมืองเลยก่อน จอดอยู่นานเชียว แต่เราหลับยาวนะ ไม่รู้เรื่อง 55555

จนพี่วัชถามตอนตื่นว่า นี่รู้ปะมะกี๊ฝนตกหนักมาก ..... อ่าว หรอ ไม่รู้ หุหุ



พนักงานบริษัทนี้ ทำงานกันดีมากเลย พอลูกค้าลงไป มี เก็บขยะ ปรับเบาะตรง น่ารัก เป็นระเบียบมาก แม้นั่งแค่ช่วงสั้นๆก็ประทับใจ

แล้วมันน่ารักตรงที่ เก้าอี้ผู้โดยสารแต่ละที่นั่ง ด้านหลังจะมีตัวหนีบ

เค้าเอาไว้ให้หนีบตั๋ว พนักงานจะได้เก็บตั๋วได้ง่ายๆ .... น่ารักเน๊อะ



มาถึงที่พัก ที่จากผ่าน agoda จองเมื่อตอนอยู่บนรถก่อนหลับค่ะ

จองปุ๊บจ่ายปั๊บ ได้ห้อง family ราคาถูกๆ 690 กว่าบาท นอนได้ 3-4 คนเลย

แต่ห้องน้ำรวม ... ดีสิ ไม่ต้องรอกันเข้า ปวดหนักปวดเบาพร้อมกัน ไปเลย คนละห้อง

ที่พักชื่อ Ban Hao บ้านเฮา ค่ะ



น่ารักมาก ชอบนะ คือ บ้านคนดัดแปลงเนี่ยแหล่ะ อบอุ่น ชอบ เป็นกันเอง



ไปเดินถนนคนเดินก่อนน้าาาาา

บ้านพักที่พวกเราพักอยู่ ไม่ได้อยู่บนถนนคนเดินเชียงคาน

แต่อยู่ใกล้ๆ สามารถเดินไปได้ค่ะ จะไปโผล่ซอย 5 ของถนนคนเดิน

ส่วนถนนคนเดินจุดที่ร้านรวง คนเยอะแน่นๆจะอยู่ที่ซอย 9-15 จ้าา



ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวของที่นี่ ทำให้ผู้คนดูบางตา

แต่ร้านรวงก็ยังเปิดเป็นปกติ

พวกเราไปเดินหาข้าวทาน ได้ร้านระเบียงโขง

อาหารรสชาติโอเค สั่งต้มยำปลาคัง ต้มยำหมูกระดูกอ่อน(แต่ได้คากิมาซะส่วนใหญ่)

และปลาคังผัดฉ่า ค่าเสียหาย 600 บาท



ร้านรวงบ้างก็ดูโบราณ บ้างก็ทำให้ดูเหมือนโบราณ

แต่ก็สวยงาม เดินเที่ยวเล่น ปลอดภัยหายห่วง

ตาคุณลูกถ่ายบ้าง

ผมยาวขึ้นบ้างแล้วเนี่ยย หุหุ

ดื่มด่ำความสุข เตร่ดเตร่ยามค่ำคืนจนปวดน่องกันพอแล้ว

กลับไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ เที่ยวยาวๆ อีกวันหนึ่งค่อยกลับ

นี่รูปที่พักค่ะ

ดูเหมือนอยู่บ้านป่ะ น่ารักอะ

คุณป้าจัดแจงชุดใส่บาตรไว้ให้แล้ว ชุดละ 50 บาท



รอใส่บาตรพระ 6 โมงกว่า

วันนี้เป็นวันหยุด วันวิสาขบูชา พระเยอะ คนก็เยอะ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มารอใส่บาตรกัน

คนขวาสุดคือป้าเจ้าของโรงแรม ใจดี๊ใจดี

ที่พักมีอาหารเช้าเป็นขนมปังกับกาแฟให้ แต่พวกเราเก็บท้องไปใส่ข้าวปุ้นกันที่ร้านใกล้ๆ ที่พัก

ยานพาหานะของพวกเราวันนี้คือ จักรยาน แถมได้คนละคันด้วย ฟรี !! จากที่พักค่ะ



ตอนที่เก็บสัมภาระจะเช็คเอาท์แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่พัก ก็พบกับข่าวร้าย

ว่า "หมวกสุดเลิฟ" หาย

เราเป็นคนชอบหมวกมาก รักหมวกใบนี้อ่า หมวกเดินป่า มูลค่าไม่กี่ตังหรอก แต่มันลุยป่า ลุยฝนกับเราหลายประเทศแล้ว

เหมือนคนชอบนาฬิกา คนชอบอะไรสักอย่าง ถ้าของหาย ก็จะเซงไปทั้งวันเลยใช่ปะ

เศร้ามากอะ



เพื่อนๆ พอจะเดาได้ไหมว่า ทำหายไปตอนไหน เพราะใส่ครั้งล่าสุดคือ ใส่ถ่ายภาพกับป้ายศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บนภู อะค่ะ



เสียดาย ภาพข้าวปุ้นหายอ่ะ

ข้าวปุ้นคือก๋วยเตี๋ยวเส้นขนมจีน ใส่เครื่องในหมูต่างๆ เสิร์ฟในถ้วยใบใหญ่มว้ากกกกกก เท่ากะละมัง

แล้วแต่จะปรุง หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ปกติค่ะ



โปรแกรมแรกวันนี้พวกเราว่าจะปั่นไปตลาดสดเทศบาลค่ะ

ไปตามหาปลาท่องโก๋ยัดไส้

เมื่อคืนก็เห็นที่ถนนคนเดิน แต่อิ่ม ((เจ้านั้นน่าจะเป็นเจ้าต้นตำหรับนะ อชิว่า))

ปั่นมาตลาดเทศบาลเชียงคาน ไม่ไกลเลย แป๊บๆก็ถึง

เจอแล้ว ปลาท่องโก่ยัดไส้ เหลือแต่ไส้หมูกับไส้กล้วย

มะกี๊กินเครื่องในหมูจนเอียน เลยสั่งไส้กล้วยมา

มีราดนมข้นด้วย อร่อยอยู่นะ แต่บังเอิญลิ้นมันติดโรตีกล้วย อันนี้เลยเฉยๆ หรืออิ่มข้าวปุ้นมะกี๊ไม่รู้ ล่อเป็นกะละมังเลย 55555

กินของคาว ของหวานกันจนแน่นท้อง

ได้เวลา ตามหา"แก่งคุดคู้"กันล่ะ

เคยได้ยินกันมะ แก่งคุดคู้

แต่ก่อนหน้านั่น ขอหาพร้อบกันให้พร้อมแป๊บนึง

วันนี้ขอเป็นคนเยอะๆ กันบ้าง

จัดเลย

หมวก 50 บาท คนละใบ กันแดด กันลม กันฝ้า กันทุกสรรพสิ่งไม่ให้ย่างกลายมาบนใบหน้า

เพราะแดดมั้นร้อนมั่กกกกกก



ว่าแล้วก็ออกปั่นกินลมชมเมืองกันเล้ยย

พวกเราไปแวะสวนสาธารณะเชียงคานที่อยู่ถัดจากถนนคนเดินมานิดเดียวเอง

ดูฮีสิ มาถึงปุ๊บ ลาก จักรยานขึ้นไป บอกถ่ายให้หน่อย

เอามั่ง

สงสารพี่วัชว่ะ 55555555555555

มาดูสองพ่อลูกเล่นปาหี่ ตลกๆ ง้องแง้งกันตลอด 55555



ท้องฟ้าสดใส แดดแรงอย่าได้แคร์ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ดูอะไร 55555 ว่าแล้วก็ปั่นกันต่อไป

ระหว่างทางที่ผ่าน จะผ่านวัดท่าแขก วัดเกจิอาจารย์ชื่อดังหลวงปู่ชอบ

กุฏิหลวงปู่ มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งเหมือนหลวงปู่ด้านในด้วยค่ะ

ยังไงต่อคะ .... ขึ้นไปถ่ายค่ะ รอไร

แซวๆ

ไม่ถ่ายรูปอย่างเดียวนา

พวกเราก็ร่วมบริจาคเงินทำบุญซื้อที่ดินบ้าง

บุญก็ได้ รูปก็ได้ ว้าวววววววว

5555555



ดูปลอกแขนฮี

ซื้อที่ตลาดมะกี๊ 20 บาท ฟรุ้งฟริ้งปะหล่ะ

ปั่นจากวัดท่าแขกไปอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้วค่ะ



ตลอดทางจะมีผู้ผลิตและจำหน่ายมะพร้าวแก้วอยู่ตลอดทาง เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก

จากที่ไม่คิดจะซื้อ

มันเหมือนโดนจิตวิทยาหมู่เข้าไปทันทีค่ะ (นั่นมันอุปทานหมู่ปะ)

เหมือนแบบว่า ถ้าไม่ซื้อนี่แม่มม ผิดค่ะ เหมือนไม่ได้มา เชย ไม่ได้กินกับเขา .... เออ อย่างหลังนี่ใช่ละ



มาถึงแระ แก่งคุดคู้

เอิ่มมม มันคุดคู้ตรงไหนเนี่ยย บอกที มัวแต่ขายมะพร้าวแก้วกันสนุกเลยยย

อืมมมม ก็คงจะเป็นแก่งหินตรงกลางน้ำโขงนั่นสินะ

อ่ะๆ

ถ่ายต่อ

จริงๆ มีรูปถ่ายกับป้ายด้วย แต่หาไม่เจอ

ขอโต๊ดดดดดดดดดดดดดดนะกั๊บขุ่นพ่อ



ณ เวลานี้ ขอหาที่นั่งสงบๆ หน้าร้านที่ไร้ซึ่งคนซื้อมะพร้าวแก้วก่อน

ลมพัดเอื่อยๆ เย็นสบาย ผ่อนคลายได้พักหนึ่ง

พ่อเดินกลับมาพร้อมน้ำมะนาวปั่น และชวนไปซื้อมะพร้าวแก้ววว



แพลนต่อไป หลังจากได้อุดหนุนมะพร้าวแก้วเกรด A ที่นี่เสร็จเรียบร้อย

พวกเราวางแผนจะไปปั่นเล่นในเมืองกันต่อ

ปั่นไป ถ่ายไป ชิมไป



ป่ะ เริ่ม !

อ้อ เจอแบ้ววว

นั่งเรือชมแก่งคุ้ดคู้ ชมสองฝั่งไทย ลาว

ราคา 800 บาท นั่งได้ไม่เกิน 15 คน

มีบริการลอยอังคารด้วย 600 บาท ค่ะ



ปั่นกลับเข้าไปในเมือง

อย่างแรกต้องไปซื้อตั๋วขากลับกันก่อน

ที่ขายตั๋วจะอยู่ท้ายๆตลาดเทศบาลที่พวกเราไปมาเมื่อเช้า

อ้าวที่แรกปิด



ต้องปั่นต่อไป เลี้ยวๆ ไปเดี๋ยวก็เจออีกเจ้า หาไม่ยากค่ะ

แอร์เมืองเลย พี่วัชบอก รถดีมากกก มีที่เสียบ usb ด้วย แหมมม แชทสนั่นไม่ต้องนอนเลยทีเดียว

แต่รถขึ้นเหนือ ที่นี่ไม่มีค่ะ

ต้องไปขึ้นข้างปั๊มน้ำมันที่รถบัสจากผานกเค้ามาส่งเมื่อวาน

ได้ความว่า มีรถเข้าตัวเมืองเลย 37 บาท ไม่ต้องซื้อตั๋ว แต่รถเที่ยวสุดท้ายคือ 15:30น.

แล้วถึงซื้อตั๋วจากที่นั่นกลับลำพูนได้

ปั่นกลับเข้าเมืองมาใหม่

เนี่ย ชอบอะ เค้าทำทุกอย่าง ตกแต่งให้มันดูลงตัวกันทั้งเมือง

ปั่นมั่วๆหาของกินไรเรื่อยย

ที่ถ่ายทำหนังเรื่อง ตุกแกรักแป้งมาก

ทุกทีจะปั่นเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียว

วันนี้มีคนมาปั่นเป็นพื่อนอีก 2 คน รู้สึกดีไปอีกแบบจริงๆละนะ

กินข้าวก็มีคนคุยด้วย ปั่นตามกันไปเรื่อยๆ แวะกินนั่นนี่ ช่วยกันหาร้านอาหาร

ร้อน แต่ก็สนุก ดี

ความสุขอยู่ที่เราพอใจจริงๆ

และแล้วก็ได้เวลากลับไปเอาสัมภาระ และอาบน้ำ เพราะต้องไปให้ทันก่อนรถเที่ยวสุดท้ายคือ 15:30 น

ขออณุญาตป้าเจ้าของที่พัก เค้าอนุญาตนะ ใจดีมากๆ

หมวกนี่ก็ยืมป้าเค้ามา ยังเศร้าใจไม่หายเลย

ที่หมวกตัวเองหาย ออกทริปคนเดียว ไม่เคยทำหาย

มากัน 3 คน ดั๊นนน หาย เจ็บใจมากๆ

พวกเราโทรหารถตุ๊กๆ ให้มารับที่ที่พัก ให้ไปส่งสถานีรถนครชัยขนส่ง

37 บาทค่ะ รถแอร์ จากเชียงคาน ไปเลย

ตอนรอขึ้นรถ ก็ยังนึกถึงหมวกสุดเลิฟใบนั้น ก็ถามพ่อว่า มะวานพวกเรานั่งรถนี่มาปะ แล้วเค้าต้องมาจอดที่นี่ปะ

พ่อบอก เออ น่าจะใช่

ชิรีบเดินไปถามพนักงาน พนักงานก็ถามต่อว่า รถเบอร์อะไรจำได้ไหม ขึ้นกี่โมง มาถึงกี่โมง เราก็ตอบไป

เค้าบอกรอสักครู่

......................

................

ใจนึงก็ลุ้นมาก กลัวแบบ เค้าเจอแล้วโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว เพราะเค้ารักษาความสะอาดกันเยี่ยมมาก บนรถบริษัทนี้

อีกใจก็คิดว่า อาจจะลืมไว้ร้านกาแฟที่ผานกเค้า ตอนรีบๆ จะขึ้นรถ



พนักงานโทรไปถามที่ไหนสักที่แล้วก็บอกรายละเอียดเกี่ยวกับหมวกเรา

เค้าบอกว่า "เจอ"

บอกว่า หมวกไป นครราชสีมาแล้วหล่ะ



ดราม่าน้ำตาไหลกันเลยทีนี้

เค้าถามว่า จะอยู่เลยกี่คืน เราบอก ไม่ได้พักค่ะ ไปถึงเลยก็กลับแล้ว

เค้าก็บอกว่า กว่าหมวกจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะวันพรุ่งนี้



เราเริ่มมีหวัง เราบอกว่า ให้ส่งหมวกกลับมาทางไปรษณีย์ พร้อมฝากเงินให้ 200 บาท

พนง ตอบโอเค ถ้าเงินเหลือจะคืนให้พร้อมหมวก



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำไมเทรนมาได้ดีขนาดนี้

หรือพื้นเพคนอีสานแบบจั่งสิกันทุ๊กคน น่ารักจุงเบย

เราบอก ไม่เป็นไร ไม่ต้องส่งตังกลับมา ใครไปส่งก็เก็บค่าน้ำมันไว้แหล่ะ ส่ง ems ไม่น่าเกิน 100 หรอก

เค้าก็เขียนเบอร์ให้เรียบร้อย ติดตามความคืบหน้าของหมวกได้ที่เบอร์นี้นะคะ



ประทับใจมากกกกก

จะมีใครเชื่อไหมว่า

วันนี้ ตอนนี้พิมพ์อยู่ หมวกส่งมาแล้ว

เราดีใจมาก แต่มันส่งไปบ้านพ่อน่ะ พ่อส่งรูปมาให้ นี่ถ้ารับเองกับมือพี่ไปรษณีย์นี่คงกรี๊ดลั่น

ไม่เวอร์นะ หมวกสุดรักเลยย

วันที่ไปเที่ยวแก่งคุดคู้ ด้วยความที่ทำใจไม่ได้ เรานั่งเสิร์ชหาในเน็ตใบใหม่ทั้งวัน เพื่ออะไร ... ต้องการเอามาแทนที่ใบเก่าไงเหมือนกับว่าใบนั้นไม่เคยหายไป

คิดไปคิดมา มันก็แทนกันไม่ได้อยู่แล้ว ของมันเคยลุยด้วยกันมา

มันยิ่งไปกันใหญ่ ทำไมเราไม่ยับยั้งความรู้สึกนี้ด้วยการปลงล่ะ ถ้าของมันเป็นชิ้นใหญ่กว่านี้ หรือเป็นบุคคลที่เรารัก

เราจะเสียใจ ฟูมฟายมากไหม......

ปลงได้ ช่วงกลางวัน



ตกเย็นตอนที่มาสถานีรถนั่นแหล่ะ ถึงฉุกคิดอีกรอบ 555555555555555555

ไม่งั้นไม่ได้คืนหรอก ฮิ้วววววววววว



รออะไรหล่ะคะ ปรบมือให้บริษัทนี้หน่อยค่ะ

นครชัยขนส่ง

ดิชั้นจะไม่ลืมเลยค่ะ

นั่งรถไปถึงเลย

ก็ไปหาซื้อตั๋วกลับลำพูน ได้รอบ 4 ทุ่มมา

ราคา 636 บาท ต่อ คน

เวลาเหลือ เข้าทางพ่อเลย แกก็โทรหาเพื่อนที่จังหวัดเลย แล้วก็ไปทานข้าวกัน



ทานข้าวกันเสร็จอิ่มหนำสำราญ พามาทานไอติมหน้า กศน. เลยอีก

ร้านขนมหวาน ไอติมที่นี่พิเศษตรงที่ คนชรากินฟรี !!

เอ้า ใครรู้ตัวว่า แก่ เชิญไปรับสิทธิพิเศษได้นะคะ อิอิ

(มีคนบอกว่า คำว่า แก่ พูดเบาๆ ก็เจ็บ....อูย)

อิ่มหนำสำราญกันบานตะไท รียูเนี่ยเล็กๆของคุณพ่อก็จบลง

เมื่อเพื่อนพ่อมาส่งมที่สถานีขนส่งอีกครั้ง

เรื่องยังไม่ได้จบแบบ Happy ending

มันจะทึกยันวินาทีสุดท้าย

เมื่อรถที่นั่งกันมานั้น เสียค่ะ ตั้งแต่แพร่ ก็ซ่อมกันมาจนถึงจังหวัดลำปาง

พวงมาลัยพาวเวอร์เป็นอะไรไม่รู้ มันฝืดขึ้นจนคนขับตัดสินใจจอดรถข้างทางทีปั๊มน้ำมันปตท ปั๊มสุดท้ายก่อนลงขุนตาล



ดีแล้วค่ะที่คนขับตัดสินใจแบบนั้น

ไม่งั้นก็จะได้แอดเวนเจอร์กันสิคะ



สุดท้ายก็ต้องพึ่งเมล์เขียวกลับ

นี่งสวยไม่ถึงตอนจบสักครั้งเลยยย เยินนนนค่ะ

มีไก่ชน เค้าฝากส่งมาจากเลยด้วย วางข้างหน้าชิเลย ขันที หันมามองกันทั้งรถ

หนูไม่ได้เอาม๊าาาาาาาาาาาา



จากกำหนดการต้องถึงลำพูน 6 โมงเช้า แต่ดันถึงนู่น ปาไป 10 โมง ค่ะ

กลับถึงขนส่ง ไปเอารถที่ฝากป้าไว้ที่ขนส่ง

ด่านสุดท้ายที่ต้องหลบคือ ด่านตำรวจ ค่ะ



ก็ไม่ได้เอาหมวกมาน่ะสิ ลืมมมมมมมมมมมมมม กรี๊ดดดดดดดด

กว่าจะถึงบ้าน ต้องลัด เข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ หนีกันไป

จนถึงบ้านอย่างปลอดภัย



ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ น่าจะให้ความบันเทิงอยู่บ้างท่ามกลางอากาศร้อนระอุแบบนี้

หวังว่า คงเป็นประโยชน์ถ้าจะตามทริปภูกระดึงในหน้าร้อนปีหน้า อุอิ

หรือใครจะไปปีนเขาที่ไหน ขาดคนมาชวนได้นะคะชอบแบบทริปหารเฉลี่ยค่ะ

ขอบคุณ สวัสดีจ้า

เม้นนี้ซ้ำ ขอโทษจ้า

เน็ตรวน หุหุ

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

 วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.53 น.

ความคิดเห็น