"เมืองแป้แห่ระเบิด"

คุ้นหูกันไหม



รู้เปล่า แปลว่าอะไร เราเองยังไม่รู้เลย



ไปเยือนเมืองแพร่ก็ได้คำตอบเลย

สมัยก่อนคนงานสถานีรถไฟได้ขุดพบซากระเบิดสมัยสงครามโลกที่ถูกทิ้งโดยฝ่ายสัมพันธมิตร จึงได้ช่วยกันตัดชนวนและเอาดินปืนด้านในออก จากนั้นก็เอามาบรรทุกใส่ล้อเกวียนเพื่อที่จะนำไปสร้างเป็นระฆังถวายวัด ชาวบ้านเห็นก็แตกตื่น เนื่องจากไม่เคยเห็น จึงเดินตามกันออกมาดูมาเป็นขบวนยาว ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็ออกมาช่วยกันตีกลอง ร้องรำทำเพลง ประหนึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี นั่นจึงเป็นที่มาของฉายา “เมืองแป้ แห่ระเบิด” นั่นเอง



6:10 น. มารอรถไฟฟรีที่เก่าเวลาเดิม

ทริปสั้นๆ ทริปนี้จะไปสำรวจเมืองแพร่กันค่ะ มีเวลาแค่ 2 วัน ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด เอิ๊กๆ



พาเจ้า 2 ใบนี้มาเที่ยวอีกแล้ว

หน้าฟ้า หลังแดง ทริปที่แล้วพาไปภูสอยดาวยังไม่ได้ซักเลย เหอะๆ ก็ไม่ได้ซกมกอะไรเท่าไหร่นะ แต่ทริปมันติดๆกันจริงๆ



หกโมงครึ่งก็แล้ว รถไฟไม่มาสักทีวันนี้คงเลทอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะก็ไม่ได้รีบอะไร

เวลา 6:50 น. รถไฟเทียบชานชลา รีบคว้าเป้ กระโดดขึ้นโบกี้สุดท้าย สเตปเดิมม รถไฟฟรี ชั้น 3



ได้ที่นั่งข้างยายอายุ 80 กับลูกชายที่น่าจะอายุ 50+

อากาศวันนี้เย็นๆ โชคดีที่พกเสื้อกันหนาวมาด้วย เลยหลับสบาย 55555 เอาจริงๆ ไปคนเดียวก็ควรระวังตัวไว้หน่อย แต่แหม ตื่นเช้าขนาดนี้ ให้นั่งตาแข็งได้ไง



บรรยากาศบนรถไฟวันนี้คึกคักมาก คนเยอะ เต็มตู้เลย



หลับตื่น หลับตื่น ผ่านไป 4ชั่วโมงครึ่ง

รถไฟก็มาถึงสถานีรถไฟเด่นชัย

สถานีรถไฟเด่นชัย

ให้ 3 ส. ไปเลย

สะอาด

สงบ

สงัด

ตอนอยู่บนรถ หูดี ได้ยิน คนละแวกใกล้เคียงคุยๆ กัน ว่า ลงเด่นชัย

แต่ไหงตอนเราลงสถานี คนหายไปหมด ดูท่าจะได้เหมาเข้าเมืองเปล่าเนี้ยยย

ยังไงก็เดินไปดูสถานการณ์ก่อน



เดินลงไปหน้าสถานีรถไฟเด่นชัย ก็ต้องหารถเข้าเมืองไป ดูจากข้อมูลที่เก็บมา ก็ประมาณ 20 กว่าโล

เราก็เดินไปถามเค้า โชคดีที่ไม่ต้องเหมา รถออกตามเวลา

รอสักพัก ไม่มีใครแล้วรถจึงออก ทั้งคันจึงมีแต่เรา

เราถามเค้าว่า ไปในเมืองเท่าไหร่ อ้ำๆอึ้งๆแล้ว บอกว่า 50 บาท



คือเราเป็นโรคกลัวสองแถวฟันราคา ก็คิดในใจ แพงไปปะวะ

ก็ลองแย้บๆดู โห ทำไมแพงจัง เค้าก็บอกว่า โอยย ไปไกล 25 โลเลยนะ

ไอ่เราก็ เออๆออๆในใจ ก็คนมันมาต่างถิ่นนี่นา คนไทยชอบฟันราคาคนไทยด้วยกัน เจอบ่อยมาก ไอ่ตอนไปนั่งจากแอร์พอร์ทหาดใหญ่ไปตลาดกิมหยงก็โดน มารู้ทีหลังแล้วมันเจ็บปวด



สักพักรถก็มาจอดหน้าตลาดเพื่อรอรับคนต่อ

มีลุงแก่ๆเดินขึ้นรถมา เราถามลุงว่า ลุง เข้าเมืองกี่บาทเนี่ย

ลุงบอกแบบไม่คิด

40 บาท

นั่นไง

คิดซะว่า 10 บาทนี่ค่ารถจากสถานีรถไฟมาตลาดนี้ละกัน (แต่ขับไม่เห็นถึง 5 นาทีเลยงิ) งกๆ ฮ่า ๆๆๆ



อ่อ เราหาที่พักในเน็ตไว้เมื่อคืน ก็เมมๆ ชื่อไว้ 2 ที่ อยู่ใจกลางเมืองเลย รถสองแถวทุกคันรู้จัก

สักพักก็มาถึง รถจอดฝั่งตรงข้ามโรงแรม

เรายืนอึ้งอยู่ สักพักรถออกไปแล้ว เราก็ เห้ยยย เ ดี่ ย ววววว ก่อ นนนนนนนนนนน (ลากเสียงยาว)

.......

นี่ใช่โรงแรมนะ


ดูท่าจะเปิดมานานกว่า 30 ปี เช็คอินแล้วสอบถามราคาได้ความว่า

พัดลม 160

พัดลม+ทีวี 190

แอร์ ................. (ไม่ได้ถาม เพราะไม่สนใจ)



โอเคป้า ห้องพัดลม ไม่เอาทีวีค่ะ



จ่ายเงิน รับกุญแจก็เดินขึ้นไปชั้น 3 ห้องอยู่ชั้น 3 ไง

นี่เป็น costume วันนี้

ดูบ้าหอบฟางมาก

มาถึงขั้น 3 แระ รีบเอาของไปเก็บละไปหาจักรยานเหอะ



เปิดประตูห้องเข้าไป .... ออกเสียง " ผ่าง!! " งี้ด้วยนะ

นิ่งไปแป๊บนึง แล้วเดินเข้าไปเอาของวางบนโต๊ะเกร๋ๆ

ห้องวิจิตร บรรเจิดมาก

มองไปรอบๆห้องแล้วคิดในใจ

คืนนี้ ออกมาให้เห็นเป็นตัวแน่ ไม่นั่งบนพัดลม ก็มาปลายเตียงเนี่ยแหล่ะ

แซวๆ

คิดในใจ เราเคยนอนแย่กว่านี้อีก แค่นี้จะเป็นไรไป

เดี่ยวหารูปให้ดู

อันนี้ ตอนไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยในอินเดียใต้

เราเรียกมันว่าคุกค่ะ ที่นอนจะเป็นเตียงเหล็ก ไม่ให้ฟูกอะไรเราเลย เราก็ขอแค่ผ้ารองนอนกับแม่บ้านที่ดูแลหอมา มันเป็นหอในมหาวิทยาลัย Karunya University เมือง Coimbatore

ห้องน่าจะกว้าง 2x2.5 เมตร คือ แคบที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยไปอยู่มา



อีกที่หนึ่ง ที่กัวลาลัมเปอ เดี่ยวหารูปปลากรอบบ

อันนี้น่าจะโอเคนะ แต่ที่นอน บับว่า ยุบแล้วยุบอีก กลัวน้องชายที่นอนข้างบนจะทะลุลงมาทับเค้า 5555

ทริปนี้ สามพ่อลูกแบกเป้ลุย 2 ประเทศ มาเล-สิงคโปร์ค่ะ



คือคำว่าห้องพัก ในความคิดเรา ถ้าผนังสะอาด ส้วมโอเค ที่นอนไม่สกปรก เรานอนได้

แต่ที่นี่ไม่มีสักข้อที่บอกมา 555555555555555 เดี่ยวมาดูว่าคืนนี้จะนอนยังไง



ถามว่าทำไมไม่เปลี่ยนที่

เป็นคนยังไงก็ได้ ขอแค่นอนได้พอ

ถามว่าทำไมเลือกที่แปลกๆแบบนี้

ตื่นเเต้นดีไง โรงแรมโบราณ 55555555555 เห้ย ในห้องมีถังขยะเป็นกระโถนโบราณด้วยนะเอ้อ

เอาเป็นว่า นอนสบายๆ นอนบ้านเห๊อะะะ มาผจญภัย มันต้องสนุก มันส์ ฮา เสียวไส้ ไว้ก่อน ไม่งั้นการเดินทางไม่มีความหมาย

ไอ่เราก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว


อ่อ ถ้าถูกใจทริปของจขกท อยากติดตามเรื่องราวการเดินทางสนุกๆ บ้าๆ แบบนี้ ขอเชิญกดไลค์เพจ

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

https://www.facebook.com/gotravelgotri
เรามีแฟนเพจเป็นของตัวเองแล้วน้า

เผื่อเราอาจจะได้เจอกันสักมุมหนึ่งในประเทศไทย อิอิ

ทิ้งกระเป๋า เข้าห้องน้ำ หยิบแผนที่ที่ได้จากป้าเจ้าของโรงแรมด้านล่างแล้วก็เตรียมตัวสำรวจเมืองแพร่กัน



ดูดิ แผนที่ยังโบราณเลย เหลือเล่มเดียวด้วย แต่มันโอเคมากค่ะ



เที่ยงกว่าแล้ว หิวสุดๆไปเลย บนรถไฟซื้อแค่นมไวตามิลดื่มเอง



ก็คิดว่าจะต้องหาจักรยานก่อนแล้วค่อยปั่นไปหาร้านอร่อยๆกิน

หาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งเช่า ยืม จักรยาน ได้ความว่า ที่เทศบาลในตัวเมืองแพร่ จะมีจักรยานให้บริการ ฟรี !!!

แต่ โชคร้ายวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็อดเลย จะไปหาจากไหนหล่ะเนี่ย ถามที่พัก คนแถวนั้น ก็บอกว่า ไม่มีเลย



ตัวช่วยสุดท้าย ที่พึ่งพาได้ยามยาก เสมอ ! ย้ำ ว่า เสมอ

คิดไม่ออก โทรเลย

ททท. ของ จังหวัดนั้นๆ



ชิแบ็คแพ็คไปจังหวัดไหน ไม่ทราบอะไร ถามหมด แล้วก็ได้คำตอบหมด ชอบมากค่ะ

จัดการเสิชหาเบอร์ ททท.จังหวัดแพร่ ถามเค้าว่าเมืองแพร่มีจักรยานให้เช่าใหม และที่ไหน

เค้าบอกมาเลย ชื่อ ร้าน จินเจอร์เบด อยู่แถวถนนเจริญเมือง



ได้ข้อมูลมาเท่านี้ก็ดีใจน้ำตาไหลแล้ว

ถามต่อไปว่า วันนี้มีถนนคนเดินไหมคะ เค้าบอกว่ามี ... แจ๊คพอตเลย

รู้ป่าวว่า จังหวัดแพร่ เค้าจะมีถนนคนเดินแค่วันอาทิตย์แรกของเดือนเท่านั้น โชคดีมากๆ



ระหว่างทางที่เดินไปร้านจินเจอร์เบด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยู่ไกลแค่ไหน

ท้องก็ร้องบอก หิวๆๆๆ

เลยต้องแวะทานข้าวกลางวันก่อน ที่ถนนเจริญเมือง และถนนคนเดินเค้าก็จะจัดที่นี่ตอนเย็นค่ะ

เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว ดูโบราณๆๆๆ น่ากินมากกกกกกก

ชื่อร้าน ไทยนิยม

สั่งไปเลย ไม่ต้องคิด บะหมี่เกี๊ยว ฮ่าๆๆ

เกี๊ยวทำเองอร่อยมากค่ะ น้ำจืดไปนิดต้องปรุง เอาเป็นว่า

ความอร่อย 8

รวดเร็ว 7

ความเป็นกันเอง 10



เริ่มรู้สึกประทับใจและหลงรักในความเป็นกันเอง เฟรนลี่ของคนแพร่ แล้วค่ะ

ทานเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปหาร้านจินเจอร์เบ้ด เค้าบอกว่าอยู่หน้าสถานีตำรวจ คงหาไม่ยาก

เดินมาไม่นานก็เจอเลย อยู่มุมสี่แยกไฟแดง

ชิเดินเข้าไปถามยืมจักรยานด้านในร้าน เค้าขายเค้กและกาแฟด้วยค่ะ



พนักงานบอกว่าไม่มีจักรยานเช่ายืมจ้าา เราคิดในใจ เห้ย อุตส่าโฆษณาเรื่องราวน่าประทับใจในการเป็นผู้รู้รอบทิศของ ททท ไปนะ ทำไมไม่มีอ่า

บอกพนักงานไปว่า เอิ่ม โทรไปถาม ททท เขาบอกว่ามีอะค่ะ ช่วยมีหน่อยเห๊อะะะ มันหายากมากเลยนะ เมืองนี้

สักแปป พนักงานก็เดินเข้าไปถามเจ้าของร้าน เค้าตะโกนบอกเราว่า มีค่ะ แต่มีคันเดียวนะ

เราก็ ..เอิ่ม จะปั่นสองคันไงไหว



ตอบไปว่า เอาคันเดียวค่ะ



ลุ้นๆ ว่าจะมีเกียร์อ๊ะป่าว

ปรากฏว่า ได้จักรยานอาม่าสีแดง มีตระกร้าหน้าหลัง ไม่มีเกียร์



แต่ในเมื่อมีตัวเลือกเดียว ก็เลยตัดสินใจเอาค่ะ

ปะ เดี่ยวพาไปแว้น กัน

สอบถามสถานที่ท่องเที่ยวจากพี่โอเจ้าของร้านใจดีและช่วยถ่ายรูปให้ด้วย เสร็จแล้วก็ร่ำลาแก บอกตอนเย็นเอามาคืน

จักรยาน 60 บาท คืนไม่เกิน 2 ทุ่มค่ะ



เรามี 2 ตัวเลือก ที่คิดจะสลับสับเปลี่ยนว่าจะทำสิ่งใหนก่อน

คือ เที่ยวในตัวเมืองแพร่ และออกนอกเมือง



ถ้าออกนอกเมือง อยากไปแพะเมืองผี หรือ ไม่ก็ อช ดอยผากลอง

ได้ยินว่า แพะเมืองผีต้องไปขึ้นรถที่ขนส่ง กะว่าถ้าไปแพะเมืองผีที่อยู่นอกเมืองก็จะฝากจักรยานไว้แถวนั้น เย็นๆค่อยมาเอา



แล้วก็ตัดสินใจไปขนส่งก่อน รีบสวมวิญญาณนักปั่นน่องเหล็ก ลุยเลยยย

คือ ปกติชอบวิ่งช่ายปะ กำลังขาเลยดี แล้วลองนึกภาพที่ชิปั่นจักรยานอาม่ามีตะกร้าหน้าหลัง ปั่นแบบเร็วๆ ติดสปีดเองในเมื่อไม่มีเกียร์ ก็โอเค๊ มาถึงขนส่งในเวลาไม่กี่นาที (จากขนส่งมาที่สี่แยกไฟแดงร้านเช่าจักรยานประมาณ 2 โลได้)



มาถึงขนส่งแพร่ รีบปรี่ไปหารถสองแถว

เลยไปสอบถามข้อมูลก่อน เค้าบอกว่า ไปแพะเมืองผี ต้องเหมารถไป 400 บาท เราว่า มันแพงไป เอาเป็นว่า ขอไปคิดดูก่อน พรุ่งนี้ยังมีเวลาอีกวัน

ตอนนี้ก็ปาไปครึ่งวันกว่า เดี่ยวจะลองโพสถามในพันทิพดูว่าจะมีใครไปมั่ง (แน่ะ กระชั้นชิดแบบนี้ ใครเขาจะไป แต่คือก็โพสเผื่อโชคดี 5555 โอกาส 0.0000001% เลยทีเดียว)



ได้เบอร์ลุงและข้อมูลเสร็จ ก็ปั่นจักรยานไปวัดนึงใกล้ๆกับขนส่ง

ชื่อว่า วัดจอมสวรรค์

เป็นวัดที่ทำจากไม้สักทั้งหลัง สร้างมากว่า 150 ปีแล้ว

ไปชมด้านในแล้วถือโอกาสนั่งพักคุยกับป้าๆเจ้าถิ่นกัน

ดูๆแล้ว น่าเป็นศิลปะพม่านะ

ด้านในมีของให้ชมคือ พระพุทธรูปงาช้าง และโบราณวัตถุต่างๆ

วัดนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลป์ด้วย

สวยมากอ่า


เห็นท่าฝนจะตก เราเลยรีบไปต่อ นึกได้ว่าควรจะซื้อตั๋วรถกลับกันไว้ก่อนเลยต้องจำใจปั่นไปที่ขนส่งอีกรอบ

ลุงคนเดิมก็มาตื้อให้ไปแพะเมืองผีอีก เราบอกว่า ยางงไม่ปายยย 5555



ได้ตั๋วรถกลับแล้ว แต่ก็ต้องติดฝนที่ขนส่ง ฝนตกหนักมากไม่เหมือนตอนไป ปั่นมั่วๆที่ลำปาง ไม่สามารถ จริงๆ เสื้อกันฝนก็อยู๋ในเป้แดง

คิดในใจว่า แล้วจะเอาติดมาเพื่อ

เราก็นั่งเล่นเน็ตฆ่าเวลารอ เพื่อนที่เป็นคนแพร่พึ่งจะรู้ว่ามา ก็มารับ เอาจักรยานใส่หลังรถ แล้วพาไปนั่งกินอาหารร้านเพื่อนเค้าอีกที

พอฝนหยุดตก ก็เริ่มเดินเที่ยวกัน



แต่ปรากฏว่า บ้านวงศ์บุรีและคุ้มเจ้าหลวง ปิดแล้ว พรุ่งนี้เราต้องได้ทำการบ้านภาคทฤษฎีหนักแน่

ต้องมาเก็บให้หมดภายในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน



เราจึงตัดสินใจไปเดินถนนคนเดินก่อนจะเข้าที่พัก

สรุปวันนี้ เดินโต๋เต๋ไปเรื่อย แต่ปิดกันหมด คงได้รายการเดียวคือ ถนนคนเดินเมืองแพร่ อ่อ เข้าวัดพระบาทมิ่งเมืองด้วยค่ะ



ย้อนกลับมาที่ถนนเจริญเมือง เพื่อเดินถนนคนเดิน

สีแยกไฟแดงร้านจินเจอร์เบ้ด ที่เราเช่าจักรยานค่ะ

ถนนคนเดินเมืองแพร่ จะมีทุกๆ วันอาทิตย์แรกของเดือนค่ะ

ของที่ขายก็เป็นอาหารปกติทั่วไป มีเสื้อหม้อฮ่อมของดีเมืองแพร่ด้วย

เดินไปสักพักจะมีการจัดประกวดเวทีต่างๆ 2-3 เวที ดูคึกคักไม่เงียบเหงา

เวทีนี้ประกวดเพลงลูกทุ่ง

อันนี้สตริงง จำได้เลย น้องเค้าร้องเพลง คงม่ายทันนนนนนนนน พลังเสียงสุดยอดมาก จนต้องจอดดู

เดินถนนคนเดินเสร็จ คืนจักรยาน แล้วก็เข้าที่พักค่ะ



ตัดภาพมาที่ห้องผีสิง

เมื่อเห็นสภาพห้องที่ดูแล้ว 30 ปีไม่มีรีโนเวท ส้วมเป็นยังไงก็อย่างงั้น ถังขยะเป็นกระโถนทรงโบราณอะ

รูปทรงคล้ายกับกระโถนที่เราเจอในคุ้มเจ้าหลวงเลย เพียงแต่ในคุ้มเป็นทองเหลืองมีราคา



อาบน้ำมา อ้อ ไม่มีน้ำอุ่นด้วย ลองมานั่งบนเตียง เราดมทุกอย่าง พิสูจน์ว่าเค้าซักไหม

หมอนกับผ้าปูที่นอนน่าจะซักไว้นานแล้วนะ มันไม่มีกลิ่นสาบก็โอแระ

ส่วนผ้าห่มโอเคยังมีกลิ่นอ่อน



โชคดี ทริปนี้เอาถุงนอนที่แม่เย็บให้มา มันเป็นผ้าใหมสีชมพูที่ปูในรูปค่ะ

แม่ทำไว้ให้ ตั้งแต่ตอนปี 3 แล้ว ตอนนั้นไปฝึกงานแลกเปลี่ยนที่อินเดียใต้

หลังจากที่เราไปเห็นเพื่อนชาวออสเตรียเค้ามีถุงนอนแบบนี้เหมือนกัน เค้าจะเอามาปูนอนที่โรงแรมเวลาพวกเราแบ็คแพ็คเที่ยวในอินเดียค่ะ

กลับไทยมา อยากได้บ้าง แม่เลยเย็บให้ อิอิ ไท๊ไทย

คุณสมบัติของมันคือ

เราสอดตัวเข้าไปนอนในนั้นได้ ใช้กับที่นอนที่ต่างๆที่สกปรก เช่นการเดินทางโดยรถไฟ

หรือเอามาปูนอนเฉยๆโดยไม่ต้องสอดตัวเข้าไป เหมือนคืนนี้แหล่ะ จะนอนบนผ้าสีชมพูนี้



แต่เราว่า หากใครไม่ไหวกับห้องแบบนี้จริงๆไม่ควรลอกเลียนแบบ

เพราะอาจทำให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเลยก็เป็นได้ 55555



สรุปว่า เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก ไม่เจออะไรสักอย่าง

แต่ก็สวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิแผ่บุญให้ด้วย

โชคดีเป็นคนไม่มีเซ้นส์มั้ง เลยไม่เคยเจออะไรเลยตั้งแต่เกิด อิอิ

เช้าวันที่ 2

วันนี้ชิตัดสินใจจะไปอุทยานแห่งชาติดอยผากลองค่ะ ถ้าเวลาเหลือจะมาเก็บหลายๆอย่างในตัวเมือง



ตื่นแต่เช้า ทำธุระส่วนตัว ออกจากห้องเกือบๆ 8 โมง

เช็คเอาท์เรียบร้อย แต่ทิ้งกระเป๋าไว้ ของข้างในไม่กลัวหายเลยนะ แต่เป้แดงใบเนี้ยะ รักเท่าชีวิต ลุยมาหลายร้อนหลายหนาวแย้วว อิอิ

วันนี้จะเข้าป่าค่ะ เลยอยากใส่อะไรที่ดูกระฉับกระเฉงหน่อย

ถามคนรู้จักที่เคยไปมาเค้าบอกว่า ใส่ขาสั้นก็ไม่มีปัญหา



พอฝากกระเป๋าปุ๊บ มุ่งหน้าไปตลาดชมภูมิ่งเลย เพื่อที่จะขึ้นรถสองแถวไปอุทยานแห่งชาติดอยผากลอง

เดินผ่านจราจรท่านหนึ่ง เราก็ดันไปถามเค้าว่า แถวนี้มีอะไรให้ทานอร่อยๆบ้างไหมคะ

เพราะเห็นร้านรวงยังไม่เปิดไง ถ้ามีคนชี้เป้าเลยจะได้รวดเร็ว อิอิ



เค้าก็บอกว่า ข้างหน้า มีร้านเมตตาอยู่ อร่อยๆ

เราก็เดินไปตามลายแทงเล้ย

เจอแล้ว คนเยอะเสียด้วย น่าจะอร่อยจริง

สั่งมาเลย เกี๊ยวหมูน้ำ ((เมื่อวานก็เกี๊ยว คือชอบกินเกี๋ยว)) จริงๆเค้าก็มีข้าวหน้าเป็ด มีอะไรอย่างอื่นเยอะเลยนะคะ น่าจะอร่อยทุกเมนู

30 บาท กลั้นใจกินเกือบหมด เผื่อตอนไปเดิน อช . จะได้ไม่หิว



ทานข้าวอิ่มแล้วก็ถามทางให้มั่นใจอีกทีว่าตลาดชมภูมิ่งไปทางไหน

ซึ่งจริงๆอยู่ใกล้ๆร้านอาหารนี่เลย



เจอแล้วค่ะ รถสองแถวสาย ลอง-แพร่

ก่อนขึ้นรถก็ไปซื้อน้ำเตรียมไว้ เพราะน้ำขวดเก่าหมดละ

ดีที่เมื่อวานก็ซื้อของกินในเซเว่นตุนไว้แล้วด้วย

พร้อมจะออกเดินทางแล้วค่ะ



เราสอบถามพี่ที่ขายน้ำให้เราว่า รถออกเป็นเวลาหรือยังไง

เค้าบอกว่า ถ้าได้ครบ 300 บาทก็ออก

ไอ่เราก็ อ่อ โอเค

แต่ที่ไหนได้ 9 โมง ขึ้นไปนั่ง 8 คน แมกซ์เลย ถึงออกรถ ...

บางที ข้อมูลบางอย่างจากคนท้องถิ่นก็อาจจะมีผิดเพี้ยนไปได้บ้างแฮะ

นั่งสองแถวใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ถึง



ตอนที่ยังไม่ได้ลงรถ เราก็เหลือบไปเห็นป้ายนึงเขียนว่า "เขาหินปะการัง" .... เห้ย อันนี้นี่ที่เราจะไป

รถก็ยังไม่จอด ขับผ่านไปอีกสัก 2-3 โล มองไปเห็นป้ายอีกอัน "อุทยานแห่งชาติดอยผากลอง" รถก็ไม่จอดอีก

ทุกคนในรถรู้ว่าเราจะไปไหน ก็ช่วยกันกดออดให้ลงใหญ่เลย

สรุป รถมาจอดอยู่ที่หน้า "สวนหินมหาราช "

โอเค้ ไม่แย่มาก ในสมองเริ่มสร้างกระบวนการความคิดละว่า ต้องเดินขาลากย้อนกลับไปชมแต่ละอันแน่ๆ

คือจริงๆ ก่อนที่จะมา ชิจินตนาการว่า

ทุกอย่าง ตั้งแต่ สวนหินมหาราช และ เขาหินปะการัง มันจะอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยผากลอง

คือ ทุกสิ่งเป็นสับเซต ของดอยผากลอง ซึ่งจริงๆมันก็ใช่ แต่โลเคชั่นมันอยู่กันคนละที่



อย่างเขาหินปะการัง กับ สวนหินมหาราช อยู่คนละฝั่งถนนกัน และต้องวิ่งบนถนนสายลอง-แพร่ เพื่อไปหากันเป็นระยะทาง 2-3 กม



เอาเป็นว่า ตอนนี้ แอ่วสวนหินมหาราชก่อนละกัน



ลงรถปุ๊บ มองหาจุดให้บริการนักท่องเที่ยว

เจ้าหน้าที่อยู่ไหนคะเนี่ย คิดในใจ

วังเวงชะมัด ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลยนอกจากเรา

เอาวะ เดินเที่ยวป่าหินก่อนละกัน



ก็จะมีหินรูปร่างคล้ายสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ ช้าง ไดโนเสาร์ อูฐ อาไรก็ว่าไป



but first, let's me take selfie

เป็นผู้หญิงที่อยู่ได้ด้วยการปัดแค่บลัชออน กับปัดคิ้ว

เดินดูไปเรื่อยเปื่อยค่ะ ในใจก็คิดทำเวลาด้วย เดินเที่ยวอุทยานแห่งชาติ มักจะใช้เวลานาน กลัวจะไปขึ้นรถไม่ทัน

คราวนี้ เดินมาเจอถนนใหญ่ จ้ำเลยค่ะ

ยังไม่เจอสิ่งมีชีวิตนะ ต้องหากันต่อไป

สักพักก็มาเจอจุดบริการนักท่องเที่ยว

ซึ่งเหมือนกับเราวิ่งเป็นรูปตัว U จริงๆ เดินลัดถนนใหญ่ ตัดตรงก็เจอเลย


นี่ไง เดจาวู

ป้ายที่นั่งสองแถวผ่านไป เมื่อตะกี๊

สวนหินมหาราชนะคะ ใครเคยไปหรือกำลังจะไป

ลองสังเกตกันดูว่า ทำไมหินถึงเหมือนจับตั้งเรียงไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีแนวขวางเลย ลองไปชมสิ่งลี้ลับนี้กันค่ะ



ตัดภาพมาที่จุดบริการนักท่องเที่ยว



เราเจอเจ้าหน้าที่อุทยานท่านหนึ่ง ไม่รู้จะเริ่มเรื่องอะไรยังไงดี

เหลือบไปเห็นแผนที่ก็ขอเลย เค้าก็ถามเราว่า มากี่คน เราบอกว่ามาคนเดียวค่ะ

ยังไม่ทันได้ถามไรต่อ เค้าก็รีบเดินไปเรียกใครคนนึง



เค้าเดินกลับมาพร้อมกับจนท อุทยานอีกคนนึงและมอไซต์

พี่คนขับมอไซต์บอกว่า ปะ เดี่ยวพี่จะไปส่ง ไอ่เราก็ อ๋าาา ที่ตรงนี้ไม่มีไรแล้วเหรอ เค้าบอกว่า มันอยู่ตรงนู้นนน

ตรงเขาหินปะการังนู่น เราก็อ่อ โอเค้



ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีคนไปส่ง ก็ว่าจะเดินไป เพราะมันแค่ 2-3 โลเอง

เค้าใจดีสุดๆอะ

นี่ไง เดจาวู

ที่นั่งสองแถวผ่านมาเจอป้ายแรก



เค้าขับไปส่งด้านใน ถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวเลย

มาถึง มี ชิเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียว เค้าบอกว่า รอแป๊บนึงๆๆๆ

เดี่ยวพี่ทำธุระก่อน เดินเที่ยวแถวนี้ไปก่อน

ไอ่เราก็ อ่อ ค่ะๆ รอๆ

พี่เค้าชื่อพี่ขุน เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานมา 12ิ ปีแล้ว

เค้าก็มาอธิบายให้เราฟังว่าจะเดินไปไหน จุดไหนกันบ้าง แล้วก็เอาสิ่งเหล่านี้ให้

เค้าบอกมี 4 จุดหลักๆ ด้วยกัน

-แอร์ธรรมชาติ

-ถ้ำผากลอง

-เขาหินปะการัง

-ดงตะแบก



เค้าบอกให้ชิเดินไปรอที่จุดแรก "แอร์ธรรมชาติ" ก่อน เค้าขอทำธุระต่ออีกสักแป๊บบ

เราก็โต๋เต๋ เข้าป่าไปคนเดียวเลย




เพิ่งมารู้ทีหลังว่า พี่เค้าเล่าให้ฟังว่าบริเวณนี้ จุดที่เราต้องเดินผ่านก่อนจะไปถึงจุด แอร์ธรรมชาติ

เมื่อก่อนใช้เป็นที่ฝังศพชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคตาย ทั้งพื้นที่นี้เลย


อะนะ แล้วก็ให้เราเดินเข้าไปคนเดียวเลย

มุดๆๆ

ตะไคร่เขียวเลย

อ้อ ป่าที่นี่เป็นป่าประเภทเบญจพรรณดิบชื้น ค่ะ ถ้าเข้าไปลึกๆ จะมีอะไรให้ดูเยอะแยะเลย

จุดแรกมารอพี่ขุนที่นี่ค่ะ

พี่จนท มาถึงก็ชี้ให้ดู ว่าจุดนี้แหล่ะ ที่มีลมออกผ่านช่องหินออกมาคล้ายกับแอร์

ไอ่เราเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ เอ้อ จริงเว้ยยย

เย็นสบายยยดีจัง

แล้วพี่ขุนก็พาเดินไปอีก

สักแปป ก็มาถึงถ้ำผากลอง

เค้าถามชิว่าจะเข้าไปมั้ย เราก็บอกว่า มาถึงแล้วก็ต้องเข้าสิ

เค้าบอกว่า งั้นต้องเชื่อและทำตามที่พี่บอกนะ ข้างในอันตรายมาก

โอเค๊ น่าสนุกจัง



พอไปเห็นปากทางเข้าถ้ำ โอ้โห แคบมาก เข้าไปจะทะลุมิติไหม

ตามพี่ขุนไปโลดดดดด


ก่อนเข้าถ้ำ พี่ขุนถามว่า ก่อนจะเข้าถ้ำไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ให้ทำยังไงก่อน !!??

ไอ่เราก็ไม่รู้ ปูเสื่อรอพี่เล่าละกัน

พี่แกบอกว่า ก่อนจะเข้าถ้ำ ให้ดมกลิ่นสำรวจก่อน ถ้าได้กลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่าสัตว์ใหญ่เอาสัตว์เล็กเข้ามากินในถ้ำ



เค้าก็บอกว่า โอเค ไม่มีกลิ่นเข้าได้



ด้านในถ้ำผากลองแห่งนี้มืดมากค่ะ ไม่ได้ติดไฟให้แสงสว่าง จะมีแต่เพียงแสงสว่างจากไฟฉายที่ติดบนศีรษะพี่ขุน เจ้าหน้าที่อุทยานของเราเท่านั้น

เราจึง ถ่ายมั่วไปเรื่อยๆ เนื่องจากมองไม่เห็น พยายามไม่ให้ภาพมันเบลอแล้วค่ะ

เข้ามาได้นิดนึง พี่เค้าก็ส่องไฟไปที่กลุ่มเจ้าหมูบินได้นี่



พื้นถ้ำที่นี่ ไม่ได้เป็นทางเรียบเหมือนกับถ้ำทั่วๆไปนะคะ

จะมีหินเป็นกองๆ ที่เราก็ต้องหาที่เหยียบไปตลอดทาง

บางทีก็ต้องก้าวลงจากที่สูงลงที่ต่ำ แต่หินด้านล่างที่เราจะเหยียบก้าวลง มันดันอยู่ไกลมาก

เป็นครั้งแรกที่เราคิดว่าตัวเองขาสั้นมากกกกก TT

ด้านในก็จะมีหลายๆห้องค่ะ ก็ปีนป่ายกันไป



ช่วงนึงที่เราเดินตามหลัง จนท มันมืดมาก ก็คลำๆทางตามเค้าไป

ชิเหยียบพลาดค่ะ ตัวไถลตกลงไปก้นกระแทก เราพยายามเอาใช้มือสองข้างเกี่ยวกับอะไรไว้แล้วนะ แต่ดูเหมือนน้ำหนักตัวที่มากบวกแรงโน้มถ่วง ทำให้ไหลรูดดดดลงไปทั้งๆที่แขนเรายังไม่ได้ปล่อยจากสิ่งที่เกาะ ทำให้หลังจากนั้น แขนเคล็ดเลยค่ะ ทีแรกนึกว่าแขนจะหักซะละ ดวงดีไปหน่อย กลัวไม่ได้ไปเขาหินปะการัง ฮาาา

แต่ขาถลอก กล้องเปื้อน หัวโนด้วย ตอนนี้ที่พิมอยู่ขายังช้ำไม่หายเลยค่ะ



เพราะฉะนั้นให้ระมัดระวังในการเข้าชมถ้ำผากลองด้วย

มันแอดเวนเจอร์มากๆ ซึ่งเราไม่ผิดหวังเลยที่ได้มา ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบการเที่ยวถ้ำสักเท่าไหร่

เคยไปแต่ถ้ำที่ตกแต่งไฟสีทั้งในและต่างประเทศ ดูเหมือนๆกัน ไม่มีสิ่งที่ดึงดูดใจเลย

แต่ที่นี่ มันเหมือนอยากให้เราเข้าไปค้นหาโดยต้องปีนป่ายในความมืด

ชอบและประทับใจมากค่ะ กับ ถ้ำผากลอง

อันนี้ชิ กับพี่เค้า เดินไปเจอ

ก็เดาๆกันว่ามันคืออะไร

พี่เค้าไม่ได้เข้ามาในถ้ำนานสัก 2 เดือนแล้วค่ะ

เค้าเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นมีพระธุดงมาขอนั่งภาวนาในถ้ำ ไม่กินข้าวกินน้ำ

พวกเราเลยเดาว่า นี่คงจะเปนกลด อะค่ะ เห็นมีที่แขวนอยู่ตรงกลางกากบาทนั่น

ลองสาดแฟลชเข้าไป มันมืดจริงๆค่ะ แถมชิต้องเดินตามหลังพี่เค้าด้วย

พี่เค้าต้องนำค่ะ ว่าหินไหนเหยียบได้ หินไหนเหยียบไม่ได้

มีบันไดไม้ไผ่ที่อุทยานทำกันข้างในนี้ แต่ด้วยอายุการใช้งานมันจำกัด ตอนนี้มันก็พังแล้ว

จุดที่ต้องใช้บันได ขึ้น-ลง เลยทำให้ต้องปีนป่ายเอา ต้องbe careful สุดๆ นะคะ ย้ำ

เจอหมูน้อยห้อยหัวด้วยอะ น่ารักมาก มันสั่นดุ๊กดิ๊กๆเลยจับภาพไม่ได้ค่ะ

เป็นลูกค้างคาว ตัวอื่นบินหนีหมด เจ้าตัวน้อยก็แกว่างตัวไปมาๆๆๆ อิอิ

ด้านซ้ายมือ พี่จนท บอกว่า มันเป็นเห็วลึก เราก็ถาม พี่รู้ได้ไง

เค้าบอกว่า สมัยแรกๆที่เข้ามากับทีมสำรวจใหม่ๆ เค้าได้เป็นคนโรยตัวลงไปสำรวจ

แล้วเชือกเส้นนั้นมีความยาวถึง 18 เมตรแน่ะ เอิ่ม ถ้าเดินพลาดตกลงไปก็ไม่ต้องถามถึงนะ



ในรูป พี่เค้ากำลังจะไปทำเสียงกลองให้ฟัง มันเป็นเสียงเหมือนกลองจริงๆค่ะ ที่พี่เค้าตีกับหินปูนอะ



เข้ามาลึกมากๆ มีห้องโถงอยู่

พวกเราใช้เวลาในถ้ำกันชั่วโมงกว่า ไม่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก หรือ อะไรเลย

ชิเอนจอยมาก สนุกๆ

รู้ไหมว่า เวลาเราไปไหนคนเดียว เรามักจะเสียโควต้าที่โดยปกติแล้ว ถ้ามากันกลุ่มใหญ่ เราจะได้ทำมันเป็นปกติ

แต่พอไปคนเดียวทีไร โควต้านั้นจะหายไป เราจะได้ทำกิจกรรมหรืออะไรน้อยกว่าปกติ เพราะเหมือนเค้าจะไม่เห็นความสำคัญของเรา



เหมือนที่หนึ่ง เดือนที่แล้วไปล่องแก่งน้ำเข็กกับพ่อ 2 คน

เราอยากได้ประสบการณ์มันส์ทะลุจอ อะไรแบบนั้น ในใจเริ่มสังหรณ์ ว่าเค้ากั๊กอีกแล้วสิเนี่ย

เอาเรือยางลำเล็กลง แถมคนที่เหลือเป็นสตาฟหมด กลายเป็นงานนี้งาน OJT ของสตาฟฟฟค้าาาาาา (งานฝึกเทรนสตาฟต้องมา เมื่อนักท่องเที่ยวน้อย =_=) แต่ก็เป็นเรื่องปกติอ่าเน๊าะ

ส่วนลำอื่นมากัน 6-7 คน ล่องแก่งเรือใหญ่ สนุกสนาน

ของพวกเรา สตาฟแกล้งกันเอง แถมพยายามไม่ให้แพคว่ำ เพราะไม่ใช่ on duty



ไปคนเดียว หรือ กลุ่มเล็ก มักจะเสียเปรียบตรงนี้แหล่ะ

แต่ครั้งนี้ที่ไปคนเดียวแล้วเจอเจ้าหน้าที่อุทยาน เค้าให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวอย่างเรามาก

ให้ความรู้หมด แม้แต่เห็ดที่ขึ้นข้างทาง ชิหยุดเดินแล้วตะโกนถามเค้า เค้าก็เดินกลับมาตอบอธิบายให้เป็นฉากๆ

มีจรรยาบรรณสมหน้าที่ ขอชื่นชมค่ะ

เค้าชื่อ พี่ขุน คุณ ดรเล่ วงศ์เรือน เดี่ยวจะลงรูปเค้าอีก ถ้าใครได้ไปเจอเค้า ถือว่าโชคดีมากๆค่ะ ชิฝากขอบคุณเค้าด้วย

ได้เวลาออกจากถ้ำแล้ว เพิ่งสาดแฟลชเข้าไป ขี้ค้างคาวเยอะเหลือเกิน



ใช้กล้องไม่เข้ากับไลฟสไตล์เลย 55555



เดินไปเรื่อยๆ จุดต่อไปที่จะไปชมคือ เขาหินปะการัง ค่ะ

เทียนนกแก้ว บางพื้นที่อาจเรียกต่างกันค่ะ

เจอเถาวัลด้วย

พี่เค้าบอกว่า ถ้าใช้มีดปาดมีน้ำใสๆ ใช้ดื่มแทนน้ำได้ แค่ปะทังนะ

ถ้ำเป็นสีขาวๆ มันเป็นยางค่ะ ทานไม่ได้




ว้าว เห็นแล้ว เขาหินปะการัง

ทั้งลูกเลย

เขาหินปะการัง เกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วก็โดนแดด ลม ฝน ชะล้างเป็นเวลาหลายล้านปีจนกร่อน

จนทำให้ภูเขากลายร่างเป็นเขาหินปะการังแบบนี้นั่นเองค่ะ

นั่งถ่ายรูปบนเขาหินปะการังจนฉ่ำใจแล้วก็ ไปลุยดงตะแบก โซนสุดท้ายกันค่ะ

ขนุนดิน

นี่ไงที่เราถามเค้าว่า เห็ดนี่มีพิษไหม เค้าก็กลับมานั่งอธิบายให้ฟัง

ถ้ามันมีรูปเหมือนแมลงแทะ ก็ไม่มีพิษ

กลิ้งกลางดง เค้าบอก

และตะแบกยักษ์

เข้าป่าครั้งนี้ ได้เปิดโลกทัศน์กว้าง ความรู้เยอะ ที่สำคัญ สนุกมากค่ะ ไปคนเดียวก็ไม่อันตราย แต่ต้องไปกับเจ้าหน้าที่นะคะ

พี่ขุน ดรเล่ ค่ะ เราถามเค้าว่า ชื่อภาษาไทยเหรอ เค้าบอกว่า ใช่สิ แม่มีลูก 5 คน ชื่อ บลาๆๆๆๆ จำไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆ

ฝากขอบคุณพี่เค้าด้วยค่ะ ใครได้เค้าเป็นวิทยากรนำทาง โชคดีสุดๆ อิอิ



หลังจากที่ออกจากป่ามา ชิก็มาโบกรถกลับหน้าอุทยาน

ขึ้นได้ทั้งรถตู้ และสองแถว คันไหนมาก่อนขึ้นคันนั้นเลยค่ะ

ถ้าเป็นรถสองแถวก็คงไปจอดที่คิวรถ ตลาดชมภูมิ่งที่เดิม

แต่ถ้าเป็นรถตู้ จะไปจอดที่ขนส่งค่ะ

บังเอิญขากลับได้รถตู้ นั่งสบาย และก็หลับยาวเลย

ตื่นอีกที อ้าวถึงแล้วเหรอ 55555555555555

มาถึงสถานีขนส่ง

เอ้า เจอลุงที่เราถามเค้าจะไปแพะเมืองผีเมื่อวานด้วย โลกกลมจริงๆ 555

บอกลุงว่า ไปอุทยานดอยผากลองแล้ว แพะเมืองผีคราวหน้าละกัน

ไม่เสียใจเลยที่เลือกไปที่นี่ ประทับใจมากค่ะ



มาถึงที่นี่บ่ายโมงกว่า ก็หิวอีกตามเคย

ตอนอยู่อุทยานก็กินแค่หนมปังในเซเว่นกะขนมนิดหน่อย

มีเวลาอีก 3-4 ชั่วโมง

วันนี้จะมาเดินเก็บให้หมดกัน แบบไม่ง้อจักรยาน



เริ่มต้นเดินจากขนส่ง ผ่านหน้าโรงแรมตัวเอง และเดินไปถนนเจริญเมือง เพื่อหาอะไรกิน

ตลอดทาง ก็เห็นมีร้านอาหารนะ แต่เราก็เลือกไม่ถูกจะทานร้านไหนดี

เอาเป็นว่า อดใจเดินต่อไป ไปกินที่ถนนเจริญเมืองละกัน



ไปทานร้านกาแฟเมืองแป้ อะไรสักอย่าง ข้าวหน้าหมูกรอบผัดพริก

ทานพวกเส้นๆ เกี๊ยวๆ มาหลายมื้อแระ อยากกินข้าวมั่ง



คนแพร่ที่นี่ เราว่าใจดีและเฟรนลี่กันทุกคนนะ

ตอนทานเสร็จ เราถามทางว่าจะไปพระธาตุช่อแฮ เค้าก็บอกจะไปส่งไปขึ้นรถ (เค้าก็ผ่านด้วยพอดี)

การต้อนรับ ยิ้มไหว้สวัสดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีในทุกคนอะ



ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน ในเมืองของเมืองแพร่หรือที่ไหนๆเราก็เชื่อว่าผู้คนก็คงคล้ายๆกัน

เค้าเห็นชิเป็นนักท่องเที่ยว ใส่หมวก แบกเป้ สะพายกล้อง เค้ายิ้มให้ทุกคนเลย ยิ้มด้วยความจริงใจนะ เราดูออก อบอุ่นจิงๆ



กินข้าวเสร็จเหมือนกระเพาะยังหลวมๆ เลยไปอุดหนุนหนมปังเจ้านี้เลย

เห็นตั้งกะมะวานละ วันนี้เลยขอจัดหนมปังเผือกก้อนนึง

อร่อยดีค่ะ เห็นเค้าบอกว่า สดใหม่ อิอิ

ออกป่า เข้าเมืองมา อากาศดีเหมือนเดิม ฟ้าใส แดดสวย

มาเที่ยวต้องไม่กลัวดำ 5555



ที่แรกที่จะจัดการซ่อมทริปคือ "คุ้มเจ้าหลวง" ที่เมื่อวานไปถึง เข้าชมได้แต่คุกใต้คุ้ม

เดี่ยววันนี้ต้องดูทั้งหมดให้ได้



เดินเลยวัดพระบาทมิ่งเมืองมาก่อนค่ะ เดี่ยวมาแวะทีหลัง

เจอวงเวียนศาลากลาง เลี้ยวซ้ายโลด

เดินไปนิดเดียวก็ถึงค่ะ อยู่ขวามือ

จนท ใจดีมากค่ะ บรรยายเก่ง

เค้าบอกว่า ที่นี่มีบานประตูมากถึง 72 บาน แต่ละบานมีชื่อเรียกต่างกัน และมีความหมายต่างกันไปด้วย

ส่วนช่องเล็กๆ ที่เห็นเด็กๆกำลังก้มมองดูอยู่ เพื่อนๆคิดว่ามันคือช่องอะไรคะ เจาะไว้กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณห้องนี้

มันคือช่องที่เจ้านายสมัยก่อนหย่อนอาหารให้กับนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ด้านล่างค่ะ เชร้ดดดดด

ช่องหย่อนคนก็มีเหมือนกัน

แต่ตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว
เนื่องจากมีโศกอนาฏกรรมขังลืมนักโทษไว้ใต้พื้นที่นี่ ไม่แน่ใจว่า 12หรือ 13 คน ค่ะ


จุดที่พี่เสื้อฟ้านั่งอยู่ ในสมัยก่อน จะเป็นมุมของทาสที่ก้มหมอบคอยรับใช้เจ้านายอยู่ค่ะ มุมแคบๆตรงนั้นน่ะค่ะ

นอกนั้นก็จะมีห้องบรรทม ที่สมัยก่อนเมื่อในหลวงและพระราชินีก็ยังเคยเสด็จประทับค่ะ และ 20 ปีก่อน พระเทพก็เคยมา

เนื่องจากสมัยนั้นไม่มีโรงแรม ก็เลยต้องมานอนคุ้มเจ้าสมัยก่อนแบบนี้ค่ะ



เดี่ยวพาลงไปเดินเล่นในคุกต่อเลยละกัน

อย่างที่บอก เมื่อวานชิมาแล้วครั้งหนึ่งแล้วมันปิด แต่คุกไม่ปิด เลยถือโอกาสเดินเล่นสำรวจไปก่อน

ด้านใน สลัวๆ มืดๆ เค้าตัดไฟอะค่ะ

ก็จะมีภาพการทรมานนักโทษสมัยก่อนรูปแบบต่างๆ กันออกไป

เช่นอันนี้เป็นตะกร้อยักษ์ ที่ให้นักโทษเข้าไปอยู๋ข้างในแล้วให้ช้างเตะ จะเห็นว่าเค้าทำหนามแหลมๆไว้ข้างในด้วย โหดดดดดดดดจัด

ส่วนอันนี้ก็เป็นตะขอเบ็ด เกี่ยวคาง ดึงร่างให้ลอยเลย เพื่อให้ยอมสารภาพ หรือ ทรมาน

ตรวนเหล็กที่ใช้กันสมัยนั้น

ส่วนตรงนี้จะเป็นห้องที่อยู่ตรงกับช่องหย่อนอาหารที่เราสามารถโยนอาหารจากข้างบนลงมาให้นักโทษกินค่ะ

หลังจากที่ออกมาจากคุ้มเจ้าหลวง

เราก็เดินต่อไปยังบ้านวงศ์บุรี



เดินเลาะๆมาค่ะ ถามทางคนแถวนั้น

มาเจอวัดพงษ์สุนันท์ก่อน เห็นสวยดี เลยแว้บเข้าไปถ่ายรูป แพล้บบบ

สวยมากกก

ในที่สุดก็เจอแล้ว บ้านวงศ์บุรี เค้าบอกว่าเป็นบ้านที่ที่ใช้แสดงละครเรื่องรอยไหม ซึ่ง ชิไม่ค่อยดูละคร เลยไม่เคยรู้จักว่าบ้านวงศ์บุรีเป็นยังไง

ในความคิดเรา น่าจะเป็นบ้านไม้ สีไม้สัก ดูเก่าๆ ขรึมๆ

แต่พอมาเห็นของจริง เหย

มันน่ารักอ้ะ

ตัวบ้านใช้เวลาสร้าง ๓ ปี เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปประยุกต์

ปัจจุบันมีอายุกว่า๑๐๐ปีค่ะ

เนื่องจากไม่ได้เป็นของหลวง

และเจ้าของบ้านหลังนี้ก็มีเชื้อสายมาจากอดีตเจ้าเมืองแพร่ ที่นี่จึงมีการเก็บค่าเข้าชมคนละ 30 บาท



ห้องทรงงาน

ห้องนี้ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเรียกว่า ห้องผีครู

ฝีมือทำลายฉลุของช่างสมัยก่อน สวยงาม วิจิตรมากค่ะ

มีคนเล่าว่า เคยมีคนมาขโมยของใช้มีค่าในบ้านวงศ์บุรีไป แต่ไม่นานก็ต้องเอามาคืน เพราะอยู่ไม่ได้



จากบ้านวงศ์บุรี ขากลับเดินผ่านวัดพระบาทมิ่งเมือง

เมื่อวานมารอบหนึ่ง แต่พิพิธภัณฑ์ปิด วันนี้ขากลับเลยขอแวะละกัน

ซ่อมอีกทริป

เข้าไปกราบ ขอพร พระพุทธโกศัยศิริชัยมหาศากยมุนี พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่

บังเอิญไปเจอกรงกระต่าย

ด้านในมีพระพุทธบาท ๔ รอยให้สักการะค่ะ

ได้เขาไปดูภายในพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ของวัดพระบาทมิ่งเมือง ด้านในสะสมของโบราณเยอะแยะมากมายเลย

ขอยกมาให้ดูกันสักหน่อย

อันนี้เป็นอักษรล้านนา ที่แม่เจ้าบัวไหล ได้ใช้ไหม ปักลงบนกระดาษสา มันเป็นงานที่ละเอียดละใช้เวลาทำ ต้องตั้งใจมาก


ภาพถ่ายโบราณภาพนี้เป็นภาพนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดคอ

ถ้าจำไม่ผิด เค้าเป็นคนสุดท้าย(ของเมืองแพร่ รึเปล่า)

ที่ถุกประหารโดยการตัดคอ หลังจากนั้น รัชกาลที่ ๕ ก็ได้ทรงออกกฏหมายให้มีการประหารเป็นแบบยิงเป้าค่ะ



ดูเวลาอีกที ก็รู้ว่าสายแล้ว

ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้วค่ะ ต้องหันหัวเรือกลับไปยังโรงแรม(ผีสิง) เอาเป้ที่ฝากไว้ แบกไปขนส่ง ด่วนนน

แต่ระหว่างทางก็ยังเจอบ้านสวยๆ ให้ชมอีก ไม่วายแวะเข้าไปถ่ายรูปเก็บไว้

เอ้า วันนี้เค้าแห่นักตะกร้อหญิงทีมชาติด้วย เค้าจึงมีการจัดเวที เชิญชวนพ่อแม่พี่น้องชาวแพร่ออกมาต้อนรับและให้กำลังใจชาวแพร่ด้วยกัน น่ารักมากกก

กลับไปเอาเป้ เดิน+วิ่งอย่างทรงพลังไปยังขนส่ง

กลัวจะไปไม่ทัน



สภาพตอนจบทริป แบ๊วไม่ออกแล้วค่ะ

ทริปนี้ค่าเสียหายทั้งหมดไม่เกิน 700 บาท



เดินทางกลับอย่างปลอดภัย

กรีนบัสเปิดแอร์เย็นมากกกกกกกกก จะเย็นไปไหน

นั่งเมื่อไหร่ เข้าหน้าหนาวก่อนใครตลอด



สรุปทริปนี้ ประทับใจมาก

แม้จะหลับหูหลับตาปักหมุด เลือกเมืองที่จะเที่ยวเมื่อคืนวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ออกเดินทาง มือมันนิสัยไม่ดีไปหยิบหนังสือเส้นทางรถไฟในประเทศไทยมาอ่านพอดี ว่างก็เลยไปค่ะ

เป็น 2 วันที่คุ้มค่าจริงๆค่ะ แม้อาจจะเที่ยวไม่ครบ (แต่ละจังหวัดถ้าจะเที่ยวให้ครบ ต้องไปเกิดใหม่เป็นคนจังหวัดนั้นเลยค่ะ

แต่ไม่จริงหรอก ขนาดจังหวัดบ้านเกิดตัวเอง เอาจริงๆ บางที่ก็ยังไม่เคยไปเลย แหะๆ)



ทริปหน้าไปเที่ยวเดี่ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกนะ ส่วนตัวตั้งเป้าไว้ พยายามออกไปดูโลกภายนอกที่ใกลบ้านให้ได้ทุกอาทิตย์

ใช้ชีวิตให้คุ้มมากกว่าใช้เวลาหมดทั้งชีวิตเพื่องานเพื่อเงิน

ชิไม่มัวรอเก็บเงินแล้วหาเวลาไปนะ มีโอกาสก็ไปเลย ตังน้อยก็เที่ยวแบบประหยัดไง แต่ไม่ใช่อดนะ กินทุกมื้อ อันไหนเซฟได้เซฟ

ไม่มีเพื่อน เราก็ยังเที่ยวได้ ความสุข ความสนุก เราชอบแบบไหนก็ทำเลย

ปล อย่าลืมออมเงินเพื่ออนาคต สำคัญมาก ต้องมีเก็บบางส่วนด้วยนะ ไม่ใช่เที่ยวอย่าเดียว อิอิ



ฝากเพจเที่ยวหัวหกก้นขวิด ด้วยค่ะ

https://www.facebook.com/gotravelgotri/

http://www.youtube.com/thekiddosmile

เผื่อจะได้ไปออกทริปแบบก้นขวิดกัน



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ

ความคิดเห็น