เชียงใหม่"

ยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทำให้หลายๆ คนหลงไหลในทุกครั้งที่มาเยือนได้เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ และสายหมอก

หรือจะเป็นความงดงามทางอารยธรรมที่บ่งบอกถึงตัวตนและความรุ่งเรืองของเมืองเชียงใหม่เมื่อครั้นอดีต

ที่ยังคงหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมจวบจนปัจจุบันนี้


ในช่วงวันหยุดเข้าพรรษาที่ผ่านมา ชาวพุทธอย่างเรามีโอกาสได้พาครอบครัวไปทำบุญกันที่จ.เชียงใหม่

จึงได้เก็บเอาเรื่องราวความสวยงามของเมืองเชียงใหมในอีกหนึ่งมุมมองมาฝากกัน

การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางในแบบฉบับ 2 วัน 1 คืน เราเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง


วันที่ 1 เดินสายทำบุญกัน

โดยเราเริ่มต้นกันที่ "วัดศรีสุพรรณ" ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวัวลาย เป็นวัดขนาดเล็ก มีพื้นที่จอดรถไว้รองรับนักท่องเที่ยวแต่ก็ไม่มากนัก วัดแห่งนี้ก่อสร้างมากว่า 500 ปี ในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้ว กษัตริย์เชียงใหม่ราชธานี และพระนางสิริยสวดี พระราชมารดามหาเทวีเจ้า โปรดเกล้าฯ ให้มหาอำมาตย์ชื่อเจ้าหมื่นหลวงจ่าคำ สร้างวัดชื่อว่า “วัดศรีสุพรรณอาราม” ต่อมาเรียกสั้น ๆ ว่า “วัดศรีสุพรรณ”

จุดเด่นภายในวัด คือ อุโบสถเงินแห่งแรกของโลก โดยอุโบสถหลังนี้ได้ปฏิสังขรณ์จากฐานและเขตพัทธสีมาของอุโบสถหลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมไปมาก ซึ่งชาวชุมชนและทางวัดได้มีแนวคิดที่จะสืบสานมรดกงานศิลป์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืนสืบไป ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันจึงทำให้เกิดพระอุโบสถเงินทรงล้านนา สร้างด้วยโลหะเงินและดีบุก โดยฝีมือและภูมิปัญญาช่างท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องเงินนี้ขึ้นมา ซึ่งที่ชุมชนวัวลายแห่งนี้เป็นชุมชนทำหัตถกรรมเครื่องเงินที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่

*ทางวัดไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปภายในอุโบสถตามความเชื่อของคนในพื้นที่



จากนั่นไปต่อกันที่ "วัดพระสิงห์วรวิหาร" เป็นวัดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นวัดที่มีความสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ภายในวัดมีพื้นที่กว้างขวาง และมีพื้นที่สำหรับจอดรถเอาไว้รองรับนักท่องเที่ยว (แต่ก็ไม่เพียงพอกับจำนวนรถของนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่)

ในส่วนของด้านหน้าเราจะพบกับ "โบสถ์" เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขโถงทั้งด้านหน้าด้านหลัง ลักษณะอาคารและการตกแต่งเป็น แบบศิลปะล้านนา โดยแท้ ด้านข้างแลเห็นหน้าต่างขนาดใหญ่ตีเป็นช่องแบบไม้ระแนง แต่ภายในเป็นหน้าต่างจริง มีลายปูนปั้นบริเวณ ซุ้มประตูทางเข้า หน้าบันมีลักษณะวงโค้งสองอันเหนือทางเข้าประกบกัน เรียกว่า คิ้วโก่ง เหนือคิ้วโก่งเป็น วงกลม สองวงคล้ายดวงตา ที่เสาและส่วนอื่นๆ มีปูนปั้นนูน มีรักปั้นปิดทอง วิจิตรพิศดารมาก


นอกจากนี้ วัดพระสิงห์วรวิหาร ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณ ประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ มีพุทธลักษณะปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง" คือจะเป็นพุทธลักษณะนั่งขัดสมาธิเพชร เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปแห่ไปตามถนนรอบเมืองเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำกัน


ในส่วนขององค์พระธาตุเจดีย์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระสิงห์แห่งนี้ ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิด ของคนที่เกิดปีมะโรง (งูใหญ่) โดยองค์พระธาตุมีขนาดไม่ใหญ่นัก และตั้งหลบอยู่ภายใน มีการตกแต่งน้อย ถือเป็นความงามที่เรียบง่าย



ออกจากวัดพระสิงห์วรวิหารเราก็มุ่งหน้าไปตามถนนสุเทพ เพื่อขึ้นดอยไปกราบสักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพ ที่ "วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร" ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เส้นทางขึ้นค่อนข้างจะลาดชัน ผู้ที่ไม่ชำนาญในการขับขี่แนะนำให้ใช้บริการรถโดยสารประจำทางจะดีกว่า

สำหรับ พระธาตุดอยสุเทพ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีมะแม (แพะ) ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงแยกพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นสองส่วน โดยอัญเชิญองค์หนึ่งบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก ส่วนอีกองค์หนึ่งได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างมงคล โดยพระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายว่าหากช้างเชือกนั้นหยุดลงตรงที่ใดก็จะให้สร้างพระธาตุขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งช้างเชือกดังกล่าวได้มาหยุดลงตรงยอดดอยสุเทพแห่งนี้ โดยทำทักษิณาวรรตสามรอบก่อนที่จะล้มลง (ตาย) ดังนั้นพระเจ้ากือนาธรรมิกราชจึงทรงรับสั่งให้สร้างพระบรมธาตุอันเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ ณ ยอดดอยสุเทพ อยู่คู่ฟ้าคู่ดินเชียงใหม่มานับแต่นั้น

สำหรับการขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพนั่นเราสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงได้ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น.ก็ได้


เหน็จเหนื่อยจากการทำบุญกันแล้วเราจึงเดินทางเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนกันซะที ซึ่งเราเลือกพักกันที่ "Cmor Hotel by Andacura" ที่พักบูติกทำเลดีงามกลางเมืองเชียงใหม่ มาตรฐานระดับ 4 ดาว ดีไซน์เก๋ ตกแต่งทันสมัย ห้องพักกว้างขวาง พร้อมทั้งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสุดชิคอย่างย่านนิมมาน

การเดินทางก็สะดวก ลงจากดอยสุเทพ ขับตรงเข้าเมือง เมื่อถึงห้างเมญ่า ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนห้วยแก้ว ไปประมาณ 300 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปอีกประมาณ 100 เมตรก็จะพบกับ Cmor Hotel by Andacura อยู่ทางซ้ายมือ

พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/t41hVzD7VMqjbBZG7




นอกจากนี้ Cmor Hotel by Andacura ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับผู้เข้าพักอย่างครบครัน ทั้ง สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องอาหาร ร้านกาแฟ จักยานให้ยืมปั่นรอบเมืองฟรี รวมไปถึงบริการเช่ารถและบริการรถตุ๊กๆ รับ-ส่งไปยังสถานที่ต่างๆ อีกด้วย


มาดูทางด้านห้องพักกันบ้าง ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 6 Room Tpye ทั้ง ซูพีเรีย ดีลักซื แกรนด์ดีลักซ์ จูเนียสวีท สวีท 1 ห้องนอนและสวีท 2 ห้องนอน เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกไลฟ์สไตย์

สำหรับเราพักห้องดีลักซ์ทวิน ห้องพักเตียงคู่ ขนาด 32 ตร.ม. วิวภูเขาดอยสุเทพ สามารถพักได้ 2 คน เสริมได้อีก 1 คน ตกแต่งเรียบง่ายสไตย์มินิมอล ใช้โทนสีสบายตาอย่างโทนขาวเทาดำ


- ห้องน้ำ : ภายในแยกส่วนเปียก ส่วนแห้ง อ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า ออกจากกันเป็นสัดส่วน อีกทั้งยังมีเครื่องใช้ต่างๆให้ครบครัน


- ห้องครัว : ภายในห้องจะมีมุมครัวเล็กๆ ไว้ให้บริการ อุปกรณ์ที่มีให้ก็จะเป็นไมโครเวฟ กาตั้มน้ำ อ่างล้างจาน จาน ถ้วย ช้อน แก้วกาแฟ ชากาแฟกำเร็จรูป(ฟรี) ผลไม้ตามฤดูกาล(ฟรี) รวมไปถึงคุ๊กกี้ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มและมาม่าคัพไว้ให้บริการอีกด้วย(3 อย่างหลังนี้มีค่าบริการเพิ่มเติมนะ)


วันที่ 2 .............

เพราะมื้อเช้าสำคัญที่สุด อาหารเช้าที่นี่ให้บริการที่ห้องอาหารอยู่ที่ชั้น 1 ตรงข้ามกับล็อบบี้


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม "Cmor Hotel by Andacura"

โทร : 053-400111

Fanpage : https://www.facebook.com/cmorhotel/

Wabsite : http://cmorhotel.com/index.html




หลังจากพักผ่อนชาร์จพลังกันจนเต็มที่แล้ว เราก็ check out ออกจากโรงแรมและเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือเราจึงมุ่งหน้าไปยัง "วัดเจ็ดยอด หรือ วัดโพธิธารามมหาวิหาร" ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของเราเพียง 500 เมตร เท่านั่น

จุดเด่นของที่วัดนี้อยู่ที่ มหาเจดีย์พุทธคยา เป็นสถาปัตยกรรมแบบอินเดีย ที่ไม่เหมือนเจดีย์ที่ใดในประเทศไทย จัดว่าโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของวัด ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านในเป็นมหาวิหาร (อุโมงค์) มีพระพุทธรูปปางสิงห์หนึ่งประดิษฐานเป็นพระประธาน พระเจดีย์เจ็ดยอดองค์นี้ เชื่อกันว่าถ่ายทอดมาจากเจดีย์มหาโพธิวิหารพุทธคยา ประเทศอินเดีย สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-20 เมื่อ พ.ศ. 2020 และที่นี่ยังเป็นวัดประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีมะเส็ง (งูเล็ก) อีกด้วย


เป็นยังไงกันบ้างคะกับเรื่องราวการเดินทางแอ่ววัดงามคู่เมืองเชียงใหม่ของเรา

แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ

-อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว Want To Travel-

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว Want To Travel

 วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.32 น.

ความคิดเห็น