สวัสดีค่ะ วิวนะคะ

เพิ่งจะได้มารีวิว หลังจากไปคลอด ไปดูลูกอ่อนมา

วันนี้เลยขอมารีวิวทริปท่องเที่ยวของแม่ท้องที่ไปเที่ยวยุโรปส่งท้ายมา 34 วันกับ 6 ประเทศก่อนคลอด


ก่อนไปก็แอบกังวลว่าคนท้อง (ตอนนั้นท้อง 5 เดือน) ไปเที่ยวนานขนาดนั้น

นั่งรถ ลงเรือ ขึ้นเครื่องบิน มากมายจะไหวไหม

สุดท้าย ทุกอย่างก็ผ่านพ้นด้วยดีอย่าสนุกสนาน


วันนี้เลยขอมารีวิวที่ที่ไปเที่ยวมาในทริปนั้น

เริ่มต้นด้วยประเทศที่ประทับใจที่สุดคือ โรมาเนีย

(รีวิวการเตรียมตัวเดินทางของแม่ท้อง ขอติดไว้ก่อน เดี๋บยวมารีวิว เผื่อใครสนใจ)


โอเค อารัมภบทมาเยอะ ไปเที่ยวกันเลยค่ะ


ครั้งแรกที่บอกเพื่อนชาวเยอรมันว่า ปีใหม่นี้เราจะไปประเทศ “โรมาเนีย”

ฟีดแบ็คที่ได้รับทันทีคือ “อิ้ววว ประเทศยากจน ยูไปทำไมอะ? ไม่เคยได้ยินหรอว่าคนโรมาเนียเป็นขอทานกับขโมยเยอะ”

เรารู้สึกเหวอเล็กน้อย “เห้ยยย จริงดิ!?”

แต่ก็เอาวะ ไม่ไปก็ไม่รู้ สิ่งที่เขาพูดมันจะจริงรึเปล่า

เรื่องอย่างนี้ต้องพิสูจน์!

เมื่อทำการ research เกี่ยวกับประเทศนี้

พบว่าโรมาเนียมีที่เที่ยวเยอะมากกก เที่ยวได้ทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้


เราไปช่วงหน้าหนาว ในเดือนธันวาคม ใช้เวลา 9 วันในโรมาเนีย

เอาจริง ๆ รู้สึกว่าเวลาน้อยไป ใครอยากเที่ยวสบาย ๆ ใช้เวลาประมาณ 11-14 วันน่าจะกำลังดี


ดังนั้นทริปโรมาเนียที่จะพาทุกคนไปเที่ยวนี้ ขอแบ่งเป็น 3 parts

1. แคว้น Transylvania อันเลื่องชื่อ เต็มไปด้วยเมืองน่ารักราวเทพนิยาย กับตำนานผีดูดเลือดแดร็กคิวล่า

2. ขึ้นเหนือจะไปสัมผัสหมู่บ้านท้องถิ่น ในแคว้น MARAMURES, BUCOVINA, MOLDOVA กับบรรยากาศชนบท กับที่เที่ยวอันเลื่องชื่อ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ไม้ กับสุสานสุขสันต์ที่เดียวในโลก และมรดกโลก painted monasteries

3. เมืองหลวง Bucharest


Part 1

เอ่ยถึง “Transylvania – ทรานซิลวาเนีย” หลายคนคงคุ้นกับชื่อนี้

เพราะมีหนัง Hotel Transylvania ที่เป็นเรื่องของผีดูดเลือด และบรรดาผี ๆ ทั้งหลาย


แคว้นนี้มีชื่อเสียงอันเลื่องลือเกี่ยวกับตำนานผีดูดเลือด

แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ผีดูดเลือด เท่านั้นนะคะ

ยังมีปราสาท และเมืองสวย ๆ อีกมาก


1. Peles Castle

ที่แรกเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาสัมผัส คือ Peles Castle

เป็นปราสาทฤดูร้อน ที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง Brasov และ Bran Castle (ปราสาทแดร็กคิวล่า)

ปราสาทนี้ถือเป็นปราสาทนึ่งที่สวยและสำคัญของโรมาเนีย

แวบแรกที่เห็น เหมือนเป็นปราสาทในเทพนิยายที่ซ่อนอยู่กลางป่าสนทึบที่รอให้ค้นหา

ภายนอกสวยแปลกตาจากปราสาททั่วไป

แต่เมื่อได้ชมภายใน โอ้โห…! สวยกว่าเปลือกนอกอีก

เป็นสถานที่แรกที่เปิดความประทับใจของเรากับประเทศนี้เลยทีเดียว

เมื่อเข้ามาในอาคารจะเจอโถงบันไดอลังการ

โถงกลาง ตกแต่งแกะสลักด้วยไม้อย่างปราณีต

ปราสาทนี้เป็นปราสาทที่กษัตริย์ Carol I ตั้งใจสร้างมาก

จะถามว่าเป็นศิลปะแบบไหน คงต้องบอกว่า “ทุกแบบ”

เพราะพระองค์ตั้งใจทุ่มทุนเฟ้นหาช่างฝีมือทั่วยุโรปมาร่วมสร้างปราสาทนี้ให้สวยงามที่สุด

ที่นี่จึงเป็นที่รวมของศิลปะหลายประเทศ

แต่ละห้องมีสไตล์ของตัวเอง เช่น เตอร์กิช ฝรั่งเศส มัวร์ เวเนเชียน ฯลฯ

ทำให้สนุกและเพลิดเพลินในการชม ดูรวม ๆ เลยมีเสน่ห์เหลือเกิน.. 🙂


เดินไปหลังปราสาทจะมีโซนบ้านน่ารัก ๆ เป็นร้านอาหาร โรงแรม และร้านขายของที่ระลึก ไปถ่ายรูปสวยดีค่ะ

จากปราสาท Peles สามารถไปชม Sinaia Monastery ได้

เป็นโบสถ์เก่า มีภาพวาดฝาผนังและ mosaic สไตล์อออร์โธด็อกซ์

แต่ตรงจุดนี้เราไม่ได้ไปเพราะผิดแผนเรื่องเวลานิดหน่อยค่ะ


แค่วันแรก ที่แรกในโรมาเนียก็มีความปลื้มปริ่ม

ปกติไปยุโรปตะวันตก (ไอ้เราก็ไม่ได้เซียน’ถาปัตย์ ประวัติศาสตร์มาก)

แต่รู้สึกว่าทางนั้นพวกปราสาทจะมีความคล้ายคลึงกัน


แต่เมื่อได้มาที่โรมาเนียนี้ รู้สึกปราสาทเขามีความสวยแบบพิเศษ

และมีเอกลักษณ์ พร้อมที่จะค้นหาประเทศนี้ต่อแล้วค่ะ!


2. Bran Castle

Bran Castle เป็นปราสาทที่ถือว่าเป็น the must ของผู้ที่มาเที่ยวประเทศโรมาเนีย

ที่นี่คือปราสาทที่รู้จักกันในนาม “ปราสาทแดร็กคิวล่า”


อยู่ไม่ไกลจาก Peles Castle ข้างต้น สามารถเที่ยวทั้งสองปราสาทภายใน 1 วันได้

ว่าแต่ปราสาทนี้มีท่านเค้าท์ผีดูดเลือดอย่างในนิยายอยู่จริงหรือเปล่า?

Count Dracula (เค้าท์แดร็กคิวล่า) คือตัวละครผีดูดเลือดในนิยายที่โด่งดัง

มีชีวิตเป็นอมตะ อาศัยอยู่ในปราสาทสูงใหญ่บนหินผาท่ามกลางป่าลึก

ประพันธ์โดย แบรม สโตกเกอร์ (Bram Stoker)


นิยายนี้ถูกนำมาสร้างเป็นซีรี่ย์ การ์ตูน และภาพยนตร์มากมาย


ว่ากันว่าตัวละครเค้าท์แดร็กคิวล่านี้ แบรมได้แรงบันดาลใจมาจากกษัตริย์โรมาเนียนามว่าเจ้าชายวลาด ที่ 3 (Vlad III Dracul) ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15th


ตัวจริงเจ้าชายมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความโหดร้าย ถูกเรียกขานว่า “วลาดจอมเสียบ”

เพราะพระองค์มักทรมานเชลยโดยการใช้ไม้แหลมเสียบปักให้เหยื่อค่อย ๆ ทรมานจนตาย


แม้จะฟังดูโหดเหี้ยม แต่สำหรับชาวโรมาเนีย รักและยกย่องในเรื่องความกล้าหาญ และการต่อสู้กับศัตรูที่มารุกรานของพระองค์มาก

ภาพบรรยายลักษณะของปราสาทในนิยายเค้าท์แดร็กคิวล่าของแบรม

ก็มีส่วนคล้ายกับปราสาทบรานแห่งนี้มากกว่าปราสาทอื่น

ที่นี่เลยมีชื่อเสียงเป็นปราสาทแดร็กคิวล่าไปโดยปริยาย

แต่ในความเป็นจริงเจ้าชายวลาดที่ 3 (ที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวละครท่านเค้าท์แดร็กคิวล่า) ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับปราสาทบรานนี้เลย

และตัวผู้แต่งเองก็ไม่เคยมาที่ปราสาทนี้ หรือไม่เคยแม้แต่มาโรมาเนียเลยด้วยซ้ำ (แป่ว!!)


…อย่างไรด้วยภาพบรรยายในนิยายที่เหมือนกับปราสาทนี้ ก็คงต้องขอบคุณแบรม

ที่ทำให้ประเทศโรมาเนีย และปราสาทบราน เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจ้า


ที่ปราสาทบรานนี้ด้านหน้ามีขายของที่ระลึกเยอะมากซึ่งต่างจากที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ เชื่อแล้วว่าดังจริง


ทางเดินขึ้นทราสาท มาหน้าหนาวพื้นลื่นมั่กค่า


เป็นปราสาทไม่ใหญ่มาก แต่สวยดีค่ะ ด้านในทางเดินจะดูลึกลับ ๆ หน่อย


ห้องภายในปราสาท


มีจัดแสดงพวกเครื่องทรมานต่าง ๆ ด้วย บรึ้ยยย



ว่าแต่.. แล้วปราสาทแดร็กคูล่าของจริงมีไหม?


คำตอบคือมีค่ะ

ปราสาท Poenari เป็นปราสาทที่เจ้าชายวลาดที่ 3 อยู่จริง ๆ

แม้ส่วนใหญ่ของปราสาทพังไปแล้ว

แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถขึ้นชมได้

โดยต้องปีนบันไดขึ้นไปประมาณ 1,450 ขั้น


ปราสาทนี้สามารถมองเห็นได้จากเส้นทาง Transfagarasan

ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย

(แต่เส้นทางนี้เปิดให้ขับรถแค่ช่วงหน้าร้อนเท่านั้น เราไปหน้าหนาวก็อดตามระเบียบจ้า)



3. Brasov

ทีแรกเมืองนี้วางไว้เป็นเพียงเมืองแวะพัก

เพื่อจะไปเยี่ยมชม Bran Castle และ Peles Castle

(ขับรถจาก Bran แค่ 30 นาที Peles ~1ชม.)


แต่เมื่อมาถึง เดินเล่นชมบรรยากาศเมืองเก่า

รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดไปกับเมืองขนาดกลางที่น่ารัก เดินเล่นได้สุดแสนจะชิล


สถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ของเมืองก็มี

- Piata Sfatului จตุรัสกลางเมืองเก่า (Old town) ที่มีคนพลุกพล่าน

บรรยากาศน่ารักในฤดูหนาว และคงมีสีสันคึกคักในฤดูร้อน

ขอบรอบ Old town ก็มีบ้านเรือนสีพาสเทลหวาน ๆ

เดินเล่นในเมืองเพลิน ๆ มีร้านรวงขายของ ไปเจอบ้านท้องถิ่น สวย อบอุ่นมากเลยค่ะ

Black Church โบสถ์ประจำเมือง Brasov

เป็นโบสถ์โกธิคที่ใหญ่สุดในยุโรปตะวันออก

ชื่อโบสถ์สีดำ (Black Church) นี้มาจากในปี 1689 มีไฟไหม้ใหญ่

กำแพงโบสถ์ถูกรมควัน จนเขม่าดำ ๆ ติดนั่นเอง


อีกไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ Black Tower และ White Tower

เป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองได้

สวยงามตราตรึงใจมากมาย โดยเฉพาะวันที่เราไป หิมะตกหนาปกคลุมทั่วเมือง รู้สึกเหมือนอยู่ใน winter wonderland

วิวของ Brasov จาก White Tower บนภูเขาจะเห็นทางของ Cable Car ขึ้นไปข้างบนได้


ป้าย Brasov เก๋ ๆ เหมือน Hollywood


Catherine’s Gate เป็นประตูเมืองโบราณอายุกว่า 500 ปีประตูเดียวที่หลงเหลืออยู่

จากรูปจะเห็นว่าด้านบนจะมีหอคอย 4 มุมอยู่ แสดงให้เห็นว่าสภาเมืองนี้ สามารถลงโทษประหารชีวิตได้


Strada Sforii หรือ Rope Street ชื่อไทยคงเป็นถนนเชือก

ถนนนี้เป็นถนนที่แคบที่สุดในยุโรป ยาว 80ม. กว้างแค่ประมาณ 111-135ซม.

เดิมเป็นเส้นทางที่นักดับเพลิงใช้ผ่านในการดับไฟ


4. Sighisoara

เมืองโบราณมรดกโลกของ Unesco ที่ถูกกล่าวขานว่าถูกอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในยุโรป

เมืองเก่าน่ารัก สีลูกกวาด กับบรรยากาศเหมือนหลุดออกมาจากนิทาน

เมืองเกิดของตำนานเค้าท์แดร็กคิวล่า – เจ้าชายวลาดที่ 3

เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ใช้เวลาวันเดียวก็เที่ยวหมด

ฟังดูเหมือนจะมีที่เที่ยวน้อยใช่ไหมหละ

แต่ด้วยความน่ารักของเมือง ให้อยู่นานกว่านี้ยังอยู่ได้เลย!


- หอนาฬิกาเก่าแก่ของเมืองเป็นที่แรกที่ต้องห้ามพลาด

สร้างตั้งแต่ปี 1556 เลยนะ! ด้านบนจะมีนิทรรศการของเก่าเล็ก ๆ น้อย ๆ

แต่ที่สวยที่สุดน่าจะเป็นวิวที่เห็นทั้งเมือง 🙂


วิวจากบนหอนาฬิกา ตามราวไม้จะมีกิมมิกบอกว่าเมืองสำคัญต่าง ๆ ห่างจากจุดนี้กี่กิโลเมตร


ด้านหน้าหอนาฬิกา มีระเบียงที่สามารถเห็นวิวเมืองได้เหมือนกันค่ะ


เสน่ห์ของที่นี่คือบ้านเรือนในเมืองจะมีสีสันเหมือนลูกกวาดตัดกัน

หน้าร้อนก็ดูสดใส บรรยากาศในหน้าหนาวก็ดูอ่อนโยน เดินเล่นดูบ้านโน้นบ้านนี้เพลิน ๆ


***ไฮไลท์สำคัญที่เป็นตัวชูโรงของเมือง คือบ้านเกิดของเจ้าชายวลาดที่ 3 หรือท่านเค้าท์แดร็กคิวล่าของเรานั่นเอง

เจ้าชายเกิดที่นี่ในปี 1431 และอาศัยอยู่ที่นี่จนถึง 4 ขวบ

ในช่วงนั้นกษัตริย์วลาดที่ 2 บิดาของพระองค์และมารดาได้มาอยู่ที่เมืองนี้โดยการต้อนรับของเจ้าเมือง Sighisoara ในช่วงที่ข้าศึกชาวเตอร์กิชบุก


ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ สามารถเข้าไปชมได้ค่ะ (แต่เก็บค่าเข้าชม)

จุดสังเกตเป็นบ้านเหลือง ๆ กลางเมือง ด้านหน้าจะมีป้ายเขียนบอกว่า ที่นี่เองบ้าน Vlad Dracul


จากใจกลางเมืองจะมีทางเดินไม้ เรียกว่า School Steps

เป็นบันไดเดินพอเหนื่อย แต่เดิมมีถึง 300 ขั้น แต่ภายหลังปรับปรุงเหลือ 176 ขั้น

ด้านบนเป็นโรงเรียน โบสถ์ และสุสาน บันไดนี้มีมาตั้งแต่ปี 1642

สร้างมาเพื่อให้นักเรียน และนักบวชสามารถเดินขึ้นยอดเนินได้ในช่วงหน้าหนาว

School Steps – ทางเดินไม้ขึ้นไปยังบนเนินเขา


โบสถ์ด้านบนเนินเขา


โรงเรียน


สุสานในหน้าหนาว ดูเหงากว่าเดิม


ขอแถม เดินออกนอกกำแพงเมืองเก่าไปทางแม่น้ำ

จะเจอโบสถ์สีขาวดำตั้งเด่น

น่าเสียดายที่วันนั้นโบสถ์ปิด

แต่ดูรูปภายในโบสถ์จากด้านนอก ผนังเพ็นท์เป็นเอกลักษณ์สวยอร่ามมาก


5. Sibiu

เมืองใหญ่ตอนกลางของแคว้น Transylvania

ที่ทำให้เรารู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา!!

อะไรนะ! โจรเยอะหรอ!?

ไม่ใช่จ้าาา บ้านมันมีตาออกมา!!


เอกลักษณ์ของ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น ๆ คือบ้านที่ทำหน้าต่างแบบในภาพ

เดินไปเดินมาในเมือง เหมือนมีตามองเราทุกหนแห่ง

ทั้ง 2 ตา 3 ตา 4 ตา หรือตาเดียว ดูเก๋ แต่ก็แอบรู้สึกกึ๊กกึ๋ยเล็ก ๆ


ที่นี่มี Tower ให้ขึ้นได้ 2 ที่ ซึ่งวิวก็คงคล้าย ๆ กัน

ที่แรกคือหอระฆังของ Lutheran Evangelical Cathedral อีกที่คือ Council Tower


Evangelical Cathedral ภายในก็งั้น ๆ

อยากจะบอกเลยว่าเป็นทางขึ้นหอระฆังที่รู้สึกน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยขึ้นมา (ฮาาา)

เพราะมันทั้งชัน ขั้นบันไดไม่เท่ากัน ทั้งมืด ทั้งสกปรก สนิมเขรอะ ขี้นกเต็มเลย

แต่วิวด้านบนก็ถือว่าคุ้มที่เสี่ยงภัยขึ้นมา เพราะสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ 360 องศาเลยค่ะ

ป้อมเล็ก ๆ 4 มุมบนยอดหอนาฬิกา สื่อว่า ใครฝ่าฝืนกฎหมายสามารถถูกประหารได้

โดยบางรายจะถูกนำมาแขวนคอจากบนยอดหอนาฬิกานี้


วิวมุมสูงจากหอนาฬิกา


รูปนี้คืออีกทาวเวอร์นึงที่ขึ้นไปชมวิวได้ – Council Tower


อีกที่ที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน คือวิหาร Holy Trinity Cathedral

ภายนอกเป็นสีส้มถ่ายรูปเด่นมาก ด้านในตกแต่งสไตล์ Neo-Byzantine เป็นสีทองอร่าม

ที่นี่เป็นวิหารออโทด็อกซ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโรมาเนีย



อีกตำนานของเมือง คือสะพานนี้ “Bridge of Lies” หรือสะพานโกหก

ที่เชื่อมระหว่างเมืองบน (Upper Town) กับเมืองล่าง (Lower Town)

เป็นสะพานเหล็กที่เก่าแก่ที่สุดของโรมาเนีย (1859)

เชื่อกันว่า สะพานนี้มีหู (เอาเข้าไปบ้านมีตา สะพานมีหู)

หากใครพูดโกหกบนสะพานนี้ สะพานจะถล่มลงมา


ในเมือง Sibiu จะมีจตุรัส 2 แห่ง คือ Piata Mare (จตุรัสใหญ่) และ Piata Mica (จตุรัสเล็ก) ให้เราเดินเล่น ชมบ้านเมือง จิบกาแฟ หาอาหารกินชิล ๆ ได้

วันที่ไปเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสพอดี

ในเมืองเลยเต็มไปด้วยแสงไฟ และมี Christmas Market

ได้ชื่อว่าเป็น Christmas Market ที่คึกคัก และมีเสน่ห์ที่สุดอีกแห่งของยุโรป

เลยเอาภาพมาฝากค่ะ

เนื่องด้วยเวลามีน้อย ที่เที่ยวมีเยอะ จึงเสียดายมากไม่ได้เดินเล่นใน Lower Town ซึ่งเดินลงจาก Bridge of Lies ไป

ดูจากรูปใน blog น่าไปเดินชิลมาก (จากblogนี้ -> http://blog.rossandhelen.com/en/the-magical-city-of-sibiu-in-romania/) ใครผ่านไปเมือง Sibiu ฝากเที่ยวด้วยนะคะ 🙂


6. Hunedoara

เมือง Hunedoara จริง ๆ ไม่ได้อยู่ในเส้นทางขับรถ

เนื่องด้วยเมืองนี้จะฉีกออกนอกเส้นทางไปทางซ้าย ไปเมืองถัดไปก็ต้องกลับทางเดิม

พูดง่าย ๆ คือต้องตั้งใจไปเท่านั้น!


แล้วที่นี่มีอะไร?

ที่นี่มี Corvin Castle เป็นปราสาทที่อยู่ในเรื่อง The Nun ของจักรวาลหนังผี The Conjuring นั่นเอง!


เราตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะมาที่นี่มาก

ดูจากรูปมันดูลึกลับ น่าค้นหา

แถมยังเป็นหนึ่งใน Seven Wonder of Romania


และไม่ผิดหวังจริง ๆ

วินาทีแรกที่เห็นปราสาทตระหง่านอยู่ตรงหน้า

ดูแข็งแรง น่าดึงดูด โดยเฉพาะวันที่ไปเป็นวันท้องฟ้าครึ้ม หิมะกำลังจะตก

ยิ่งเสริมบรรยากาศน่ากลัวของปราสาทนี้เข้าไปกันใหญ่

ต้องเกริ่นก่อนว่าปราสาทนี้ ไม่ใช่ปราสาทตะมุตะมิ พักผ่อนหย่อนใจ

แต่มันคือปราสาทที่เป็นป้อมปราการ เอาไว้กักขัง และทรมานนักโทษ


ปราสาทสร้างสไตล์โกธิค เป็นหนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

บรรยากาศภายในก็จะดูดิบ ๆ ยุคกลางแนวอัศวิน


รอบตัวปราสาท จะมีช่องลงไป มันคือบ่อหมี

นักโทษจะถูกโยนให้หมีตะปบกินทั้งเป็น (คิดภาพแล้วสงสารนักโทษ ก่อนตายคงกลัวมาก T.T)


ที่ลานปราสาทจะมีบ่อน้ำ ซึ่งมีตำนานเล่าว่า

บ่อน้ำนี้ถูกขุดโดยเชลยชาวเตอร์กิช 3 คน

ผู้ซึ่งได้ทำข้อตกลงกับเจ้าของปราสาทว่า เมื่อขุดเสร็จจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ


นักโทษทั้ง 3 เพียรขุดพื้นดินที่เป็นหินถึง 15 ปี ลึกลงไปถึง 28 เมตร จึงเจอน้ำ


แต่ทว่าในระหว่างนั้นเอง เจ้าของปราสาทได้เสียชีวิต

ภรรยาเจ้าของปราสาทไม่ได้รักษาสัญญาของสามีตน

แทนที่จะได้รับอิสรภาพ ทั้ง 3 ถูกสั่งประหารชีวิต..


คำขอสุดท้ายของนักโทษ เขาขอสลักข้อความลงบนหินในบ่อน้ำไว้ว่า

“You may have water, but you have no soul” – คุณอาจมีน้ำ แต่คุณช่างแล้งน้ำใจ –

เป็นคำทิ้งท้ายจารึกให้กับสัญญาที่ไม่รักษาของเจ้าของปราสาทนั่นเอง


นอกจากนี้ก็มีจัดแสดงเครื่องทรมานนักโทษแบบต่าง ๆ


ด้วยบรรยากาศสวยงามลึกลับของที่นี่ ปราสาท Corvin ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังและรายการผีอีกหลายรายการ


7. Salina Turda

สถานที่สุดท้ายก่อนจะอำลาแคว้น Transylvania คือสวนสนุกที่ไม่ซ้ำกับที่ไหนในโลก!

มันคือสวนสนุกที่อยู่ลึกลงไป 120 เมตรในเหมืองเกลือใต้พิภพ


Salina Turda คือชื่อของสถานที่นี้ ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปเป็นพัน ๆ ปี!

เดิมทีที่นี่คือเหมืองเกลือขนาดใหญ่


ด้วยความเป็นมาอันยาวนาน หลังจากเหมืองเกลือหยุดทำการไปในปี 1932 สถานที่นี้ถูกใช้งานหลายวัตถุประสงค์

เริ่มตั้งแต่เป็นที่หลบภัยตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 – ใช้เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ – ใช้เป็นที่เก็บชีส –

จนในปี 1992 หลังจากมีการศึกษาค้นพบว่า คนขุดแร่ของเหมืองเกลือ Wieliczka ใน Poland มีความสามารถในการหายใจได้ดีขึ้น เมื่อลงไปทำงานในเหมืองเกลือใต้ดิน

ที่นี่จึงถูกใช้เป็นที่บำบัดโรคทางเดินหายใจบางโรค เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือที่เรียกว่า Halotheraphy จน

ภายหลังได้มีการปรับปรุงห้องต่าง ๆ มีสปา และกิจกรรมหลากหลายให้ทำ โต๊ะตีปิงปอง มินิกอล์ฟ ชิงช้าสวรรค์ พายเรือ และยังมีส่วนพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเหมืองเกลือ จนกลายเป็นที่ท่องเที่ยวจนปัจจุบันนี้


จากทางเข้า ต้องเดินลงไปด้านล่าง


ทางเข้าเดิมตอนยังมีการขุดเกลือ ปัจจุบันไม่ใช้แล้วค่ะ


ทางเดินทั้งเหมืองมีเกลือเกาะหนาเต็มไปหมด


Crivac Room แกนนี้คือเครื่องที่ใช้ขนเกลือจากใต้ดิน ขึ้นไปด้านบน ทำงานโดยการใช้ม้าสองตัวผูกลากให้เครื่องหมุน


มีระเบียงยาว ๆ เดินไปยังบันได (ทั้งหมด 13 ชั้น) เพื่อลงไปสวนสนุกด้านล่าง หรือจะลงลิฟต์ก็ได้


ระหว่างทาง ที่เพดานมีหินงอกหินย้อยเกลือให้ชม ดู amazing ดีค่ะ


เมื่อลงมาก็จะเจอชิงช้าสวรรค์ และส่วนสันทนาการต่าง ๆ รวมถึงมีร้านขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย


ลงไปอีก level จะเป็นห้องเรียกว่า Terezia Mine

เป็นโถงทรงระฆังคว่ำ สูงถึง 90 เมตร

ในอดีตชาวเหมืองขุดจนเจอตาน้ำ ที่นี่เลยเป็นเหมือนทะเลสาบใต้ดิน

น้ำลึกประมาณ 8 เมตร ตอนนี้สามารถเช่าเรือพายเล่นได้


พาย ๆ อยู่ลำเดียว ดูเวิ้งว้าง แอบน่ากลัวนะเนี่ย


เอาจริง ๆ ที่นี่เดินเที่ยวชั่วโมงกว่า ๆ ก็หมดแล้วค่ะ

แต่ด้วยการเป็นสวนสนุกในเหมืองเกลือใต้พิภพแห่งเดียวในโลก ทำให้สถานที่นี้แปลกพิเศษ น่ามาเยือนสักครั้งค่ะ


Part ต่อไปจะพาไปเที่ยว ทางเหนือของโรมาเนีย สัมผัสชีวิตชนบท กับความน่ารักของชาวโรมาเนีย ฝากรอติดตามกันด้วยนะคะ




ความคิดเห็น