"หากพูดถึงประเทศพม่าเราจะนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก?
ประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยากับพม่า แรงงานพม่า หรือไม่ก็ทานาคาแน่ๆ
แล้วถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวล่ะคุณจะนึกถึงที่ไหน? ขอเปิด Google แป๊บ!!!"

“เฮ้ย!!! โคตรน่าไปเที่ยวเลยว่ะ" คำอุทานแรกในใจหลังจากเห็นรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศพม่าในอินเตอร์เน็ต ลองค้นหาคำว่า “พม่า" หรือ “Myanmar" ใน Google แล้วเลือกแสดงผลแบบรูปภาพดูสิแล้วจะรู้ว่าพม่าสวยแค่ไหน แต่เค้าว่ากันว่าพม่าน่ากลัวและแถมยังลำบากด้วยนะ การเดินทาง ที่พัก และอาหารการกินก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง นั่นดิ เป็นยังไงใครรู้บ้าง? แต่ถึงยังไงก็ยังอยากไปอยู่ดี แบบนี้ต้องออกไปพิสูจน์

จนกระทั่งนกแอร์มีโปรแรงกระแทกใจด้วยราคาไปกลับดอนเมือง-ย่างกุ้งเพียงคนละ 1,780 บาท เลยไม่รอช้ารีบกดจองตอนตีหนึ่งของวันแรกที่เปิดจอง ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปเที่ยวไหนบ้าง นอนที่ไหนหรือเดินทางยังไง พร้อมกับชวนเพื่อนใจง่ายชวนไปไหนก็ไป ไม่ถงไม่ถามรายละเอียดสักคำอีกหนึ่งคน

การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้นด้วยระยะเวลาทั้งหมด 5 วัน 4 คืน 3 เมือง กับ 2 ชายไทย ที่ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้านอกจากตั๋วเครื่องบินและที่พักสำหรับคืนแรก นอกนั้นเรียกได้ว่าไปตายเอาดาบหน้าล้วนๆ อาจจะดูเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่สำหรับเรามันคือสีสันและความสนุกอย่างหนึ่งของการเดินทาง

จึงเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่ออยากที่จะแบ่งบันประสบการณ์การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ เพียงหวังว่าจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆที่หลงรักการเดินทาง ทั้งที่เคยออกเดินทางแล้วหรือยังไม่เคยเริ่มออกเดินทางเลย ไม่ว่าจะเพราะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ได้ลองออกไปสัมผัสเสน่ห์ของประเทศพม่ากันดูสักครั้งในชีวิต ไปทำความรู้จักกับประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ให้มากขึ้น แล้วคุณอาจจะตกหลุมรักแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

"สูดหายใจเข้าให้ลึกสุดปอด รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วออกเดินทางไปพร้อมกัน"

LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...


DAY 1 : Don Mueang – Yangon

บินออกจากดอนเมืองไปถึงสนามบินย่างกุ้งใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาที ไปถึงที่นั้นตอน 20.30 หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จึงไปหาที่แลกเงิน ซึ่งภายในสนามบินมีอยู่หลายบริษัท เราเดินดูจนทั่วเพื่อให้ได้เรทที่ดีที่สุด จึงไปจบที่ 970 Kyat / 1 USD และควรแลก THB เป็น USD ที่ไทยมาก่อน เพราะที่นี่ไม่รับแลกเงินไทย เราจึงแลกจากไทยไปคนละ 5,000 THB ได้มาประมาณ 152 USD โดยแลกเป็น Kyat ไว้บางส่วน เพราะบางที่เช่นโรงแรมหรือ Taxi จะรับเป็น USD

แลกเงินเสร็จรีบวิ่งไปหารถ Taxi เพื่อไปที่พักที่จองไว้ ตัวเลือกเยอะๆมากแต่เรียกราคาแพงๆทั้งนั้น โชคดีเราเจอคนไทยสองคนที่จะเข้าเมืองเหมือนกันเลยตกลงจะแชร์ค่ารถกัน แต่เราต้องลงกลางทางเพราะที่พักของพี่สองคนถึงก่อน แล้วเราต้องไปต่ออีกประมาณครึ่งทาง จะใช้รถคันเดิมแต่เรียกแพงไปหน่อย เราจึงไปโบกรถคันใหม่หน้าโรงแรม เจ้าหน้าที่โรงแรมใจดีเอาไฟฉายมาช่วยโบกเรียกให้ รวมแล้วค่ารถจากสนามบินถึงโรงแรมราคา 6 USD (200 ฿) ถือว่าถูกมาก เพราะปกติถามที่สนามบินเข้ามาตัวเมืองประมาณ 8-10 USD แล้วแต่ต่อรอง

เราพักกันที่ “Sleep In Hostel" อยู่ใกล้ๆย่านไชน่าทาวน์ ตั้งอยู่ในซอยซึ่งขณะนั้นค่อนข้างมืดและเปลี่ยว มองหาโรงแรมกันอยู่นานเพราะป้ายโรงแรมเล็กมาก ตัวโรงแรมเป็นตึกแถวประมาณ 4-5 ชั้น ราคาคืนละ 300 ฿/คน จองผ่าน Agoda จ่ายตังค์ด้วยบัตรเคดิต แล้วเอาหลักฐานมายื่นตอน Check in ด้านนอกโรงแรมเก่ามาก แต่ด้านในกำลังปรับปรุงใหม่ ห้องพักเป็นแบบ Dorm แยกชายหญิง ภายในห้องมีเตียง 2 ชั้น 4 เตียง มีกล่องเก็บสมบัติพร้อมกุญแจล็อกอยู่ใต้เตียง หมอน ผ้าห่ม และผ้าเช็ดตัวสะอาดใช้ได้ เป็นห้องแอร์ และมี WIFI ความเร็วเต่าให้บริการ แต่ก็สามารถที่จะใช้ติดต่อมาไทยและอัพรูปลง Facebook ได้

ส่วนห้องน้ำเป็นห้องรวมด้านนอก มีห้องส้วม ห้องอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า แต่น้ำไม่ค่อยแรง โดยรวมถือว่าโอเคให้ 8 เต็ม 10

เก็บของเสร็จเลยเดินออกไปหาของกินย่านไชน่าทาวน์ ตอนประมาณเกือบ 5 ทุ่ม

ร้านอาหารส่วนใหญ่ปิดกันเกือบหมดแล้ว จะเหลืออยู่ก็แต่ร้านขายผลไม้ริมข้างทาง

ร้านจิ้งหรีดทอดก็มี

หรือโต๊ะบริการโทรศัพท์เหมือนกับบ้านเราเมื่อ 10 ปีก่อนก็ยังอยู่

เราเดินวนหาร้านข้าวอยู่สักพัก จนมาจบที่ร้านข้าวแกงริมข้างทาง

อาหารถูกเก็บไว้ในหม้อเล็กๆวางเรียงกันเป็นแถว ต้องเปิดฝาแล้วชโงกหน้าเข้าไปดูเอาเองว่าข้างในมีอะไร ภายใต้แสงไฟสลัวๆ เราเปิดดูครบทุกหม้อ สรุปได้ว่าหน้าตาเหมือนกันหมดจนไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร พูดภาษาพม่าก็ไม่ได้ ถามภาษาอังกฤษเค้าก็ไม่รู้เรื่อง จึงใช้ภาษาสุดท้าย นั่นคือ "ภาษามือ" หากอยากรู้ว่าข้างในนั้นคือเนื้ออะไร แนะนำให้ชี้ไปที่หม้อแล้วทำท่ากระพือปีกเหมือนไก่ หรือเอานิ้วชี้สองข้างมาวางไว้บนหัวเหมือนเขาวัว หรือเอานิ้วชี้ไปดันปลายจมูกให้เหมือนหมู หรือเอามือประกบกันแล้วว่ายให้เหมือนปลา ถ้าคนขายพยักหน้าก็แปลว่าใช่ ทีนี้อยากกินอะไรก็เลือกเลย สุดท้ายเราก็ได้ข้าวมาคนละจาน พร้อมกับข้าวมาสองอย่างเป็นเนื้อและหมู ค่าเสียหาย 1600 Kyat (50 ฿)

กินเสร็จก็ออกไปเดินย่อยแถวเจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เดินวนถ่ายรูปเล่นจนครบหนึ่งรอบแล้วก็กลับ

เจอเด็กน้อยกำลังนั่งทำการบ้าน ระหว่างรอพ่อกับแม่เก็บร้าน

ระหว่างทางก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดขวัญขึ้น เมื่อเราเดินผ่านกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังยืนรอซื้อหมากอยู่มาได้สักระยะ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรตามมาอยู่ข้างหลัง อยู่ใกล้มากจนรู้สึกถึงความปวด

รู้ตัวอีกทีข้าศึกก็บุกมาประชิดกำแพงเมืองเป็นที่เรียบร้อย โดนกับข้าวที่กินไปก่อนหน้านี้เล่นงานเข้าซะแล้ว รีบเดินจั้มกลับที่พักอย่างเร็วไวด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อประคองไปให้ถึงที่พักให้ได้ ฮ่าๆ คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการเลือกรับประทานอาหารข้างทาง

ค่าใช้จ่ายวันแรก

1. ค่าที่พัก : 600฿

2. ค่าเดินทาง : 6 USD (200 ฿)

3. ค่าอาหาร : 2800 Kyat (86 ฿)

สรุป : 886฿ / 2 คน


DAY 2 : Yangon - Bago - Kyaikto

วันนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปให้ทันรถไฟไปเมืองหงสาวดี รอบ 6 โมง ซึ่งจริงๆแล้วการเดินทางไปหงสาวดีมีรถทัวร์ให้บริการหลายรอบ และใช้เวลาเร็วกว่า แต่เราเลือกที่จะนั่งรถไฟไปเพียงเพราะอยากที่จะสัมผัสบรรยากาศสองข้างทางอย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญคือได้ใช้เวลาอยู่กับใจตัวเองให้มากขึ้น

ระยะทางจากที่พักมาที่สถานีรถไฟประมาณ 2 กิโล ถนนตอนเช้าโล่งและอากาศดีมาก

รถเมล์ที่นี่ดีนะสามารถเอารถสามล้อขึ้นไปได้ด้วย

เราเดินบ้าง วิ่งบ้าง เลยบ้าง หลงบ้าง สุดท้ายก็มาถึงจนได้

แต่น่าเสียดายมาไม่ทันเที่ยวหกโมง รถไฟขบวนนั้นแล่นออกไปต่อหน้าต่อตา

ยังดีมีขบวนถัดไปเวลา 7.15 น. ขบวนที่ 89 เลยรีบไปต่อแถวซื้อตั๋ว โดยใช้แค่พาสปอร์ตและต้องจ่ายเป็นเงิน Kyat เท่านั้นนะ ราคาค่าตั๋วคนละ 600 Kyat (18 ฿) สามารถตรวจสอบตารางการเดินรถเพิ่มเติมได้ที่ http://www.seat61.com/Burma.htm#Yangon-Mandalay

ก่อนรถไฟจะออกยังพอมีเวลาเลยไปเดินหาซื้อข้าวเช้า ขนม และน้ำดื่มแถวสถานีมารองท้อง และที่สำคัญแม่ค้าที่นี่น่ารักด้วยนะ

รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นั่งรถไฟพม่าเป็นครั้งแรก ระหว่างรอได้แต่นั่งมองไปที่เข็มนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาซะที จนรู้สึกว่าทำไมเวลาวันนี้เดินช้าจัง ทั้งๆที่เข็มนาฬิกาก็เดินเป็นปกติดี เพราะแบบนี้สินะที่เค้าบอกว่าความรู้สึกทำให้เวลาของคนเราเดินช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน

พอรถไฟเข้าเทียบชานชาลา พวกเราไม่รอช้าที่จะออกไปตามหาโบกกี้เป้าหมาย โดยได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่รถไฟที่ช่วยพาเราไปส่งถึงที่นั่งเลยทีเดียว อยากบอกเป็นภาษาพม่าว่า “ใจพี่หล่อมาก" แต่พูดไม่เป็นเลยพูดแค่ว่า “เจซูติน บาแด" แปลว่า ขอบคุณ

เพื่อนร่วมทางของพวกเราเป็นชาวพม่าทั้งขบวน แต่เรากลับได้ยินเสียงภาษาไทยพูดว่า “ คนไทย?" เป็นเสียงจากหลวงพี่ท่านหนึ่งที่มาส่งญาติขึ้นรถไฟ บทสนทนาภาษาไทยจึงเริ่มต้นขึ้น ทำให้ทราบว่าหลวงพี่ท่านนี้เคยไปทำงานที่เมืองไทย แถวๆคลองหก จ.ปทุมธานี แต่ลูกชายเสียชีวิตเลยกลับมาบวชที่พม่า แล้วจะกลับไปทำงานที่เมืองไทยอีกในอนาคต หลวงพี่ท่านนี้ชื่อว่า “โกโก้ วางวาง" ส่วนอีกคนขวามือชื่อว่า “สตา" เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆก่อนรถไฟจะออก เราได้เรียนรู้ภาษาพม่าเกือบสิบคำ เช่น “อะโก/อะมะ" แปลว่า พี่ชาย/พี่สาว “นีเร / นีมาเร" แปลว่า น้องชาย / น้องสาว หรือ “นาแมแปโรคอแร" แปลว่า คุณชื่ออะไร เป็นต้น (ไม่แน่ใจว่าถูกไหมเพราะพิมพ์ตามที่ได้ยินในวันนั้น ถ้าผิดต้องขออภัยด้วยนะ) ก่อนจากกันหลวงพี่ยังชวนว่าถ้ากลับมาที่ย่างกุ้งอีกให้ไปนอนค้างที่วัดได้ แต่ผมกลับจำชื่อวัดที่หลวงพี่บอกไม่ได้ อดนอนวัดเลยเสียดายมาก

รถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากชานชาลาอย่างช้าๆ ความตื่นเต้นค่อยๆเพิ่มขึ้นตามความเร็วของรถไฟ

ตั๋วรถไฟที่ขอยืมมาจากเพื่อนร่วมทางคลาสสิคมาก

ช่วงแรกๆยังเป็นเขตเมือง แต่ไม่ค่อยมีตึกสูงสักเท่าไหร่ บ้านริมทางรถไฟส่วนใหญ่ทำด้วยสังกะสีหรือไม่ก็ใบจาก

รถไฟ รถไฟมา ตา ตามารถไฟ?

รถไฟที่นี่ไม่กระแทกขึ้นลงแรงเหมือนเมืองไทย แต่จะโยกขึ้นลงเป็นเคิร์ฟอย่างนุ่มนวล โดยพื้นของโบกี้รถไฟทำด้วยไม้

มีทีวีจอแบนส่วนตัวขนาด 40 นิ้วทุกที่นั่ง ถ่ายทอดสดบรรยากาศด้านนอกแบบ 4 มิติ

สักพักเริ่มเป็นทุ่งนา แต่เสียดายที่มาช่วงหน้าแล้ง เลยไม่ค่อยได้เห็นแปลงนาสีเขียวๆ จริงๆเราได้รับแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากลองมานั่งรถไฟพม่า จากรายการหนังพาไปตอนที่พี่บอลพี่ยอดนั่งกลับจากเมืองมะละแหม่งเพื่อไปเมืองย่างกุ้งดูแล้วรู้สึกอิน

โชคดียังพอมีแปลงนาสีเขียวๆ แถมด้วยน้องควายฝูงย่อมๆ ให้ได้เห็นอยู่บ้าง

บางคนก็ออกมานั่งตากลมริมบันไดทางลง

ส่วนเราก็เดินออกสำรวจไปทั่วๆทั้งขบวน

ที่นั่งแบบนี้ (upper class) จะราคาแพงขึ้นมาหน่อย ประมาณ 1,150 Kyat (35฿) เหมาะกับการนั่งระยะทางไกล

เหตุผลที่รถไฟพม่าไม่เลทเหมือนรถไฟไทย เพราะว่ามีรางคู่ขนาน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารอสับราง ช่วยให้เข้าใจรถไฟไทยมากขึ้น

การลงแขกเกี่ยวข้าวมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ

และสิ่งที่ผมอยากเห็นมากๆที่นี่ก็คือ วัวหรือควายเทียมเกวียน ที่ยังมีการใช้งานกันอยู่อย่างเป็นปกติ พอได้เห็นของจริงที่มีการใช้งานจริงแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต อยากจะกระโดดลงไปขอนั่งด้วยเลยทีเดียว

อดสงสัยไม่ได้ว่าพี่เค้ากำลังคิดถึงอะไรอยู่ คิดถึงจุดหมายปลายทางหรือคิดถึงคนที่รออยู่ที่จุดหมายปลายทางกันนะ

ผ่านไปประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงยังสถานีหงสาวดี โดยมีพี่สตาช่วยเตือนให้เมื่อใกล้ถึงสถานี

เซลฟี่กับชาวบ้านเป็นที่ระลึกกันสักเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจกล้องเลย น่าจะคงกำลังยุ่งๆกันอยู่

“เจซูติน บาแด อะโก สตา" แปลว่า ขอบคุณมากนะครับพี่สตา

การเดินทางด้วยรถไฟของพวกเราจบลงที่สถานีนี้ แต่การเดินทางสำหรับน้องคนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

ทุกย่างก้าวของการเดินทางมักจะพบกับการจากลา เพื่อให้เกิดการเดินทางครั้งใหม่ของผู้ที่จากไป

ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากสถานี มีวัยรุ่นชายหนุ่มชาวพม่า 2 คน เดินเข้ามาหาแล้วสาดภาษาอังกฤษใส่เพื่อถามพวกเราว่าจะไปเที่ยวที่ไหน พักที่ไหน กินอะไรมารึยัง เราบอกว่าจะหารถต่อไปเมืองไจ๊ก์โถ น้องเค้าเลยบอกว่ารู้จักกับที่ขายตั๋วและจะอาสาพาไป พวกเราก็รู้แหละว่าเป็นนายหน้า แต่น้องเค้าบอกว่าจะพานั่งมอเตอร์ไซด์ไปฟรี พวกเราก็เลยไม่ปฏิเสธรีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายคนละคันอย่างไม่รอช้า

ผ่านย่านชุมชนตรงไหนสักแห่งของแผนที่ บนถนนลูกรังกลางแดดที่ร้อนระอุ

จนทะลุออกมายังถนนสายหลักที่มีการจราจรคับคลั่ง มีเสียงแตรดังตลอดเวลาเป็นปกติ โดยที่ไม่มีใครทะเลาะกัน และได้มาลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าร้านเป็นซุ้มขายตั๋วรถทัวร์ จากที่อ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าราคาค่าตั๋วจากหงสาวดีไปเมืองไจ๊ก์โถไม่ควรเกิน 5,000 Kyat เพราะระยะทางไม่ไกลมาก แต่ด้วยนะตอนนั้นเราไม่รู้ว่าท่ารถที่ขายตั๋วราคาปกติอยู่ตรงไหน และน้องเค้าก็อุตส่าพามาซื้อตั๋วและจะพาไปกินข้าว แล้วยังจะรอรับพวกเราไปส่งที่ท่ารถอีกก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วที่นี่ในราคาคนละ 7,000 Kyat (200฿) ต่อจาก 8,000 Kyat ที่ราคาเท่านี้เพราะบวกเซอร์วิสชาร์จดีดีนี่เอง

อาหารที่เราเลือกกินเกือบทุกมื้อจะเป็นข้าวผัด เพราะราคาถูกสุดแล้ว แถมยังได้เยอะ กินมื้อนึงก็อยู่ได้เกือบวัน ประหยัดดี

หลังจากกินอิ่มจนเกือบนอนหลับ น้องสองคนก็ขับพาเรามาส่งขึ้นรถตามสัญญา แถวนี้แหละน่าจะเป็นท่ารถ ไกลจากสถานีรถไฟอยู่เหมือนกัน

รถคันนี้มาจากย่างกุ้ง โดยจะแวะรับคนตามเมืองสำคัญๆอย่างหงสาวดี ซึ่งเหลือที่นั่งไม่มากพวกเราเลยได้นั่งแถวหลังสุด

ระหว่างทางจะมีแวะพักเข้าห้องน้ำและทานอาหาร ซึ่งรถของเราแวะนานหน่อยเพราะมัวเสียเวลาไปกับการซ่อมแอร์ที่ไม่ค่อยจะเย็น การแวะพักครั้งนี้ทำให้เราสองคนได้พบกับพี่คนไทยสองคนที่นั่งมาคันเดียวกัน และมีจุดหมายเดียวกันคือ พระธาตุอินทร์แขวน เรานั่งคุยกันจนได้ทราบว่าพี่เค้าเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่วังเวียง ประเทศลาว รีสอร์ทที่ใครหลายๆคนชอบไปถ่ายรูป เพราะมีเอกลักษณ์เป็นสะพานไม้พาดผ่านแปลงนาสีเขียวเข้าไปยังห้องพัก โดยมีพื้นหลังเป็นภูเขาสูงแห่งวังเวียง

ผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงเมืองไจ๊ก์โถ และลงที่คินปุนเบสแคมป์ (Kinpun Base Camp) จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปหาที่พักเพื่อเก็บของ แล้วนัดเจอกันที่ท่ารถเพื่อขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกัน

พี่เค้าจองห้องไว้แล้วล่วงหน้า แต่เราสองคนยังไม่ได้จอง เลยลองไปเดินหาดูแถวๆนั้น ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างแพง จนเจออยู่ที่หนึ่งซึ่งด้านหน้าเป็นร้านอาหารแต่ด้านหลังเป็นห้องพักลักษณะคล้ายๆห้องแถว ราคาคืนละ 10,000 Kyat (300฿) ประหยัดไปได้เยอะ เหมาะสำหรับผู้ชายขาลุยค่ำไหนนอนนั้นอย่างพวกเราสองคนเป็นที่สุด

ภายในห้องมีมุ้ง ที่นอน หมอน ผ้าห่ม และพัดลมให้ นอนได้ประมาณ 3-4 คน แต่ฝุ่นค่อนข้างเยอะ

ด้านหลังที่พักมีห้องอาบน้ำแบบอ่างรวม แต่แยกชายหญิง และมีห้องส้วมแยกต่างหากอีกสองห้อง ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีบริการอาหารเช้า แต่มีบริการทาแป้งทานาคาให้ฟรี และยังใจดีให้ยืมโสร่งได้

จัดการเรื่องที่พักเสร็จแล้ว ก็ออกไปเจอกันที่ท่ารถตามที่นัดหมาย จากสองคนไทยเพิ่มมาเป็นสี่คนรู้สึกอุ่นใจเพิ่มขึ้น รถที่จะขึ้นไปด้านบนเป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก กระบะหลังถูกปรับแต่งเป็นที่นั่งแถวยาวประมาณ 6 แถว บางคันก็มีราวจับด้านหน้าที่นั่งบางคันก็ไม่มี นั่งได้แถวละประมาณ 5-6 คน ราคาเที่ยวละ 2500 Kyat (75฿) ต่อคน

เส้นทางค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆ ถนนมีสองเลนสวนกันไปมาหวาดเสียวดี โค้งก็เยอะ โยกไปซ้ายทีขวาทีพร้อมมีเสียงหัวเราะ และโหร้องด้วยความตื่นเต้นประกอบตลอดทาง บรรยากาศศึกครึ้นมาก ทุกคนดูสนุกสนานและเวียนหัวในเวลาเดียวกัน

สองข้างทางเป็นป่าไม้ บางช่วงผ่านน้ำตก อากาศเย็นสบาย ยิ่งสูงขึ้นยิ่งได้เห็นวิวสวยๆ

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่งโมงก็มาถึงด้านบนอย่างปลอดภัย สวดมนต์ไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน ที่ท่ารถจะมีชาวบ้านมาค่อยให้บริการเสลี่ยงและตะกร้าเพื่อขนกระเป๋าเข้าที่พัก แต่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่นะ

"Travelers never think that they are the foreigners" - Mason Cooley

เราพยายามจะทำตัวกลมกลืนกับคนพม่าให้มากที่สุด หน้าตาและการแต่งกายพอได้แล้วเหลือฝึกภาษาพม่าอีกนิด ฮ่าๆ

ก่อนเข้าไปสักการะองค์พระธาตุ ต้องแวะไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อนนะ ราคาคนละ 6,000 Kyat (185฿) และเดินไปอีกไม่ไกลก็จะสามารถมองเห็นองค์พระธาตุอินทร์แขวนตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ปลายหน้าผา

ผู้หญิงพม่าส่วนใหญ่จะแต่งชุดสวยๆกันเกือบทุกคน เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ ส่วนคุณป้าท่านนี้มีพร็อพเก๋ดี

สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อมาถึงที่นี่หรือที่วัดอื่นๆก็คือ ความศรัทธาของชาวพม่าที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

ยิ่งพอได้เข้ามาสักการะใกล้ๆองค์พระธาตุยิ่งรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธ์ และความสวยงามขององค์พระธาตุที่มีสีทองอร่ามทั่วทั้งองค์ ตั้งอยู่บนขอบของหน้าผาอย่างหมิ่นๆ จากที่ดูด้วยสายตาไม่น่าจะตั้งอยู่แบบนั้นได้เลยด้วยซ้ำ มหัศจรรย์มากๆ

เดินถ่ายรูปเล่นและชมบรรยากาศรอบๆ กันอย่างเพลิดเพลิน ถ่ายกันจนแบตกล้องเกือบหมด

ยิ่งตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกยิ่งสวยมากๆ จนแทบไม่อยากจะหันหลังกลับ แต่พอหันมาดูนาฬิกาอีกที 17.50 น. ซวยแล้ว!!! รถเที่ยวสุดท้ายหมด 6 โมง วิ่งสิครับวิ่งจะรออะไร!!!

สุดท้ายก็ไม่ทัน!!! พวกเราพยายามไปสอบถามคนแถวนั้นว่ามีรถใครหรือรถอะไรที่จะลงไปอีกไหม คำตอบเดียวที่ได้คือ ไม่มี!!! รถที่นี่ออกตรงเวลาหมดแล้วหมดเลย เพราะการลงไปตอนกลางคืนมันอันตรายมากไม่มีใครอยากลงไปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คือตอนนั้นรู้สึกผิดมากนึกถึงที่ไรก็ยังรู้สึกผิดไม่หายที่ทำให้พี่ทั้งสองคนที่ขึ้นมาพร้อมกันตกรถไปด้วย เพราะเรามัวแต่ถ่ายรูปกันจนเพลิน ไม่ควบคุมเวลาให้ดี และคิดว่าจะไปทันรถเที่ยวสุดท้าย ที่พักและของใช้ทุกอย่างอยู่ด้านล่าง เหลือแค่ตัวกับตังค์ ลำพังที่พักเราคงไม่เท่าไหร่ แต่ของพี่ๆเค้าหลายบาทอยู่ กลับต้องเสียตังค์ฟรีแล้วมาลำบากอยู่ข้างบนกับพวกเรา ขอโทษอีกครั้งนะครับ

เมื่อทำใจได้แล้วว่ายังไงก็ไม่สามารถลงไปได้ ต้องรออีกทีตอนเช้า คืนนี้คงต้องนอนกันที่นี่ จึงเดินออกไปหาที่พักซึ่งส่วนใหญ่เต็มหมด จะเหลือก็แต่ที่พักใกล้ๆทางเข้าวัด ไม่แน่ใจว่าเป็นของชาวบ้านหรือของวัด ตั้งอยู่ริมหน้าผา มีเตียงเล็กๆ พร้อมห้องน้ำในตัว และไม่มีพัดลมแต่ตอนกลางคืนหนาวกว่าห้องแอร์ ราคาคืนละ 40,000 Kyat (1,200฿) อุตส่าตั้งใจว่าทริปนี้จะพักให้ถูกที่สุด กลับต้องมาเสียเงินเพราะความไม่ตรงต่อเวลาของเราเอง เฮ่อ!!!

นั่งหน้าเศร้านับเงินในกระเป๋าแล้วออกไปหาอะไรกินแถวนั้น เดินหาอยู่หลายร้านส่วนใหญ่ก็ปิดหมด จะเหลือก็แต่ร้านของชาวบ้านที่มีมาม่าของไทยขายอยู่ คืนนี้เลยได้กินเมนูยอดนิยมของคนไทยตอนใกล้สิ้นเดือน คืนนี้อากาศดีและเย็นสบายมาก มีหมอกลอยผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ จนบางครั้งคิดว่าไฟไหม้บ้านใครที่ไหนรึเปล่า

ที่นี่ยิ่งดึกกลับยิ่งคึกคัก มีคนออกมาสักการะองค์พระธาตุมากกว่าเมื่อตอนเย็นหลายเท่า บางคนก็เตรียมหมอนและผ้าห่มมานอนตากน้ำค้างเรียงรายกันอยู่บนลานกว้างๆ มุมใครมุมมันโดยที่ไม่มีมุ้งหรือหลังคากั้น ผมนี่อึ้งเลยว่านอนหลับกันไปได้ยังไง เพราะส่วนใหญ่ชาวพม่าที่มากันที่นี่เดินทางมาจากต่างเมืองใกล้บ้างไกลบ้างเลยต้องนอนค้าง เพื่อจะตื่นมาทำบุญใส่บาตรในตอนเช้า จริงๆที่นี่มีศาลาเอนกประสงค์ให้คนเข้าไปนอนได้ฟรี แต่เต็มหมดเลยต้องออกมานอนตากน้ำค้างกันอยู่ข้างนอก สุดยอดแห่งความศรัทธา

ประสบการณ์ของการนอนค้างคืนข้างบนนี้ช่วยย้ำเตือนให้เราตรงต่อเวลามากขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราได้ขึ้นมาสัมผัสบรรยากาศข้างบนนี้ตอนกลางคืนและตอนเช้า เพราะข้างบนนี้วิวสวยและอากาศดีมากๆ

ค่าใช้จ่ายวันที่ 2

1. ค่าที่พัก : 60,000 Kyat (1,800฿)

2. ค่าเดินทาง : 19,000 Kyat (550฿)

3. ค่าอาหาร : 4200 kyat (125฿)

4. ค่าเช้าชม : 12,000 Kyat (360฿)

สรุป : 2835฿ / 2 คน


DAY 3 : Kyaikto - Bago

พยายามขุดตัวเองให้ลุกตื่นจากที่นอนท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า พร้อมด้วยผ้าห่มคลุมตัวคนละผืน เพื่อออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกบริเวณดาดฟ้าของที่พัก ก่อนจะเดินขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุอินทร์แขวนอีกครั้งก่อนกลับลงไปข้างล่าง

บรรยากาศของผู้คนบริเวณวัดในตอนเช้ายังคงหนาแน่นและคึกคักไม่แพ้เมื่อคืน บางส่วนก็เริ่มทยอยกลับลงไปข้างล่าง

ก่อนกลับจะซื้อของเล่นไปเป็นของฝาก

หรือจะรับหมากไปเคี้ยวเล่นสักคำก็ได้นะ

รถพร้อมคนพร้อมก็เดินทางกลับ รถที่เรานั่งลงไปรอบนี้ไม่มีราวจับด้านหน้าของแต่ละแถว มีเพียงราวจับด้านข้างรอบรถเท่านั้น พวกเราเลยต้องใช้วิธีการเกาะแขนกันซ้ายขวา หรือไม่ก็เกาะไหล่คนข้างหน้า จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันก็เริ่มยิ้มให้กัน และรอบนี้ไม่ใช่แค่โยกซ้ายหรือขวา แต่แถมโยกไปข้างหน้าและโยกไปข้างหลังด้วย โยกทีก็หัวเราะที เป็นมิตรภาพที่มาพร้อมกับความสนุก ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแต่เราก็สามารถสื่อสารกันได้ด้วยสีหน้าและท่าทาง

เมื่อลงมาถึงด้านล่างก็รีบกลับไปอาบน้ำและเก็บของ เพื่อจะต่อรถกลับไปเที่ยวเมืองหงสาวดีอีกครั้ง จริงๆเราสามารถนั่งรถทัวร์จากเมืองย่างกุ้งตรงมายังเมืองไจ๊ก์โถได้เลย โดยไม่ต้องแวะหงสาวดี แต่ที่เราทำแบบนั้นเพราะแค่อยากลองนั่งรถไฟของพม่าเท่านั้นเอง ส่วนขาเรากลับขึ้นรถที่ต้นสาย ค่ารถคนละ 4500 Kyat (140฿) แบบไม่โดนหักค่านายหน้า

ระหว่างทางเราจะต้องข้ามสะพานที่พาดข้าม “แม่น้ำสะโตง หรือ แม่น้ำซิตอง" ที่มาของตำนานพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง จังหวะนั้นรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พยายามจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะตอนนั้น

พอลงจากรถก็เจอคนขับรถสามล้อ หลังจากพูดคุยตกลงราคากันเรียบร้อยก็ได้ความว่าจะพาเราเข้าเมืองในราคา 2,000 Kyat (60฿) แล้วพาเข้าไปไหว้เจดีย์ชเวมอว์ดอว์ (Shwemawdaw Pagoda) หรือ พระธาตุมุเตา โดยเสียค่าเข้าชมแบบครั้งเดียวราคาคนละ 7,000 Kyat (215฿) ปกติจะมีการขายตั๋วแบบเหมาราคาเดียวเที่ยวได้ทุกวัดทั่วหงสาวดีประมาณ 10 USD แต่พี่เค้าบอกว่าวัดอื่นส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าเข้าชม ส่วนถ้าวัดไหนเก็บค่าเข้าชมจะพาเข้าไปตอนที่เลยเวลาเก็บค่าเข้าชมแล้ว จึงแนะนำเราว่าไม่ต้องซื้อแบบเหมาก็ได้

พอดีเป็นช่วงเที่ยงแดดร้อนมาก แล้วยิ่งต้องถอดรองเท้าเดินด้วย วิ่งหาที่ร่มกันแทบไม่ทัน

หลังจากสักการะพระธาตุมุเตาเสร็จแล้วรถสามล้อก็พาพวกเราไปกินข้าว และส่งพี่ๆทั้งสองคนขึ้นรถกลับย่างกุ้ง จากนั้นก็พาเราไปหาที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากท่ารถประมาณ 2 กิโล เป็นโรงแรมใหม่ที่มีชื่อว่า Amara Gold Hotel สถาพดีมีทีวี WIFI และเป็นห้องแอร์ ราคาคืนละ 15,000 Kyat (460฿) จากนั้นประมาณ 4 โมงเย็นเรานัดกับน้องชายและลูกชายของคนขับรถสามล้อให้มารับ เพื่อขับมอเตอร์ไซด์พาเที่ยวรอบเมืองหงสาวดีในราคาเหมาคันละ 6,000 Kyat (180฿) จำนวน 2 คัน อยากไปไหนก็ได้ตามใจเรา

สถานที่แรกที่แว้นไปคือ เจดีย์ฮินตะกอง (Hintha Gon Pagoda) หรือวัดหงส์คู่ ซึ่งเอกลักษณ์ของวัดคือรูปหงส์ตัวเมีย (Hansa ) เกาะอยู่บนหลังหงส์ตัวผู้(Hintha) ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษญ์ของเมืองหงสาวดี

เนื่องจากที่ตั้งของวัดอยู่บนเนินเขา ทำให้สามารถมองเห็นวิวพระธาตุมุเตาได้จากระยะไกล

วัดที่ 2 จำชื่อไม่ได้ ไม่มีในไกด์บุ๊ค อยู่ไม่ไกลจากวัดแรก มีเด็กน้อยมายืนคอยแย่งกันขายดอกไม้ เราเลยให้เป่ายิ่งฉุบกัน ใครชนะเราจะซื้อ แต่สุดท้ายก็ซื้อของทุกคน

วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงกว่าวัดแรก ด้านบนเป็นองค์เจดีย์ มีลานโล่งกว้างอยู่รอบๆ สามารถมองเห็นวิวได้แบบพาโรนาม่า

และแลนด์มาร์คที่สามารถมองเห็นได้จากทุกที่ก็คือองค์พระธาตุมุเตา

ลงมาจากวัดก็แว้นกันต่อ เข้าไปในซอยเล็กๆ ผ่านย่านชุมชน เพื่อจะไปยังพระราชวังบุเรงนอง

แต่มาไม่ทันเพราะปิดไปซะก่อน ดูจากไกลๆไปก่อนละกัน โดยมุมนี้เป็นด้านข้างของพระราชวัง

ริมกำแพงของพระราชวังมีถนนเส้นเล็กๆเป็นเส้นทางสัญจรเข้าออกของชาวบ้านแถวนั้นซึ่งเต็มไปด้วยกองขยะ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปเกือบทุกเมือง ด้วยอาจจะเป็นเพราะความเจริญทางด้านวัตถุที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่มีการบริหารจัดการที่ดีมารองรับ

แว้นกันต่อไปยังวัดที่ 4 ซึ่งอยู่ไกลหน่อย คนที่นี่เค้าขับรถกันหวาดเสียวมาก บีบแตรกันเป็นว่าเล่น

พระมหาเจดีย์ (Mahar Zedi Pagoda) ที่นี่เข้าฟรีแต่เสียค่ากล้องถ่ายรูป 600 Kyat (18฿)

พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ไปกันต่อดีกว่า

วัดที่ 5 วัดพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียง (Shwethalyaung Buddha)

ต่อด้วยพระนอนนองดาวจี มย่ะตาเลียง (Naung Daw Gyi Mya Tha Lyaung) ตั้งอยู่ใกล้กับพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียง

และสถานที่สุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินคือ เจดีย์ไจ๊ก์ปุ่น (Kyaik Pun Pagoda) หรือ พระนั่งสี่ทิศ

หลังจากแว้นไปเที่ยวกันจนทั่ว ก็ไปแวะกินข้าวเย็นร้านเดียวกับเมื่อตอนกลางวัน เมนูเดิมคือข้าวผัดกับเบียร์พม่าอีกหนึ่งขวด กินเสร็จก็แว้นกลับมายังที่พักเป็นอันจบมอเตอร์ไซด์ทริป คำแนะนำ : ควรใส่ผ้าปิดจมูก ทาครีมกันแดดหนาๆ และเกาะคนขับแน่นๆ

ค่าใช้จ่ายวันที่ 3

1. ค่าที่พัก : 15,000 Kyat (460฿)

2. ค่าเดินทาง : 30,000 Kyat (900฿)

3. ค่าอาหาร : 12,400 kyat (370฿)

4. ค่าเช้าชม : 14,000 Kyat (430฿)

สรุป : 2160฿ / 2 คน


DAY 4 : Bago - Yangon

วันนี้ตื่นสายหน่อย นัดกับมอเตอร์ไซด์เจ้าเก่าให้มารับตอนเก้าโมง ไปส่งที่ท่ารถในราคา 300 Kyat (9฿)/คน ซึ่งเราตั้งใจว่าจะลองไปหารถเมล์ท้องถิ่นที่ราคาไม่แพง นั่งกลับไปย่างกุ้ง เพราะเห็นว่าระยะทางไม่ไกล เราบอกกับคนขับมอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งที่นั่น แต่เค้าบอกว่าไม่มี มีแต่รถทัวร์ที่เค้าพามาส่งเท่านั้น ซึ่งราคาก็แพงพอสมควรแต่เราไม่เชื่อ เลยพยายามเดินหาดูก่อน โดยถามจากคนแถวนั้น แต่เค้าก็ยังเดินตามเรามาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ เผื่อเราเปลี่ยนใจไปตามที่เค้าบอก สุดท้ายเราก็มาเจอท่ารถเมล์ประจำทางจนได้ และถามคนแถวนั้นจนมั่นใจว่าไปย่างกุ้ง

แวะซื้อของกินรองท้องได้ที่ท่ารถ โดยของที่นี่หลายๆอย่างมีขายเหมือนที่บ้านเรา พรีเซ็นเตอร์ก็เป็นดาราไทย และพร้อมบริการเสริฟร์ให้ถึงที่

อยากลองกินหมากอยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า

ไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นรถจับจองที่นั่งได้ตามสบาย โดยมีพี่คนที่ขับมอเตอร์ไซด์เดินตามขึ้นมาส่งถึงบนรถ แล้วบอกว่าจะช่วยเอาตังค์ไปจ่ายค่ารถให้ในราคาคนละ 3,000 Kyat/คน แต่เราว่ามันแพงไปนะ เลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปจ่ายเอง สุดท้ายกระเป๋ารถตัวจริงเดินมาเก็บเงินตกแค่คนละ 1,000 Kyat (30฿)/คน ว่าแล้วเชียวว่าความสบายมักจะมาพร้อมกับค่าบริการที่บวกเพิ่มเสมอ แต่พี่เค้าก็ไม่ได้มีท่าทางน่ากลัวหรือขู่เข็นอะไรนะ เค้าดูสุภาพมากเลยทีเดียว พยายามคอยจะช่วยเหลืออยู่ห่างๆ แค่บวกเพิ่มเยอะไปหน่อยแค่นั้นเอง ฮ่าๆ

หลังจากขึ้นไปนั่งและจ่ายตังค์ได้ไม่นานนักรถก็ออกเดินทาง โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นสาวๆด้านหลังที่เวลาถามอะไรไป บ้างครั้งก็ได้คำตอบ แต่บางครั้งก็ได้เสียงหัวเราะกลับมาแทน น่ารักอ่ะ!!!

ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาลงตรงไหนสักแห่งของย่างกุ้ง ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะใช่ท่ารถ ลงพร้อมกับสาวๆด้านหลัง ซึ่งช่วยเรียกรถ Taxi แล้วบอกคนขับให้ไปส่งเราที่วัดเจ้าทัตยี (Chauk Htat Gyi pagoda) ในราคา 4,500 Kyat (138฿)

ผ่านบ้านอองซานซูจี คนขับช่วยลดความเร็วให้เราได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ไม่นานนักก็มาถึงวัดเจ้าทัตยี ซึ่งประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า “พระตาหวาน" องค์ใหญ่และตาหวานสมกับชื่อที่คนไทยตั้งจริงๆครับ

เมื่อก่อนตายังไม่หวานสักเท่าไหร่ เพราะถูกสร้างขึ้นใหม่ในปีค.ศ 1966 แทนองค์เดิมที่เคยสร้างขึ้นในปีค.ศ 1907

ที่นี่นอกจากจะมาไหว้พระทำบุญแล้ว ยังสามารถมานั่งปิกนิคได้ด้วยนะ เพราะลมเย็นและอากาศดีมากๆ

เดินวนจนครบรอบครึ่ง ก็เดินไปต่อยังวัดงาทัตจี (Nga Htat Gyi Pagoda) อีกไม่ไกล ประมาณ 500 เมตรน่าจะได้ ซึ่งด้านในประดิษฐานพระพุธรูปองค์ใหญ่ชื่อว่า “หลวงพ่องาทัตจี" สูงประมาณตึก 5 ชั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่แกะสลักจากหินอ่อน ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ เครื่องทรงเป็นโลหะ ส่วนเครื่องประกอบด้านหลังจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด และสลักป็นลวดลายต่างๆ จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยยะตะนะโบง (สมัยมัณฑเลย์) อลังการและสวยงามมากๆ

จากนั้นก็เหมารถ Taxi ต่อไปยังเจดีย์โบตะตาว (Botataung Pagoda) ในราคา 2,000 Kyat (60฿)

เสียค่าเข้าชมคนละ 3 USD (100฿) และสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่จุดขายตั๋วได้

ใต้ฐานขององค์เจดีย์สามารถเดินเข้าไปได้ โดยเป็นห้องที่มีผนังสีทองสลักเป็นลวดลายสวยงาม

ภายในบรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้า

เมื่อเดินออกมาด้านข้างของเจดีย์ ก็จะได้พบกับสถานที่ยอดฮิตของคนไทย

นั่นก็คือศาลา “เทพทันใจ" ที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาขอพรกันอย่างไม่ขาดสาย

หลังจากได้เข้าไปขอพรเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินสำรวจไปรอบๆเจดีย์ ที่เห็นทุกคนรีบเดินกันไม่ใช่เพราะว่ามีธุระด่วนที่ไหนนะ แต่เพราะว่าต้องถอดรองเท้าเดินบนพื้นที่ร้อนมาก

และสถานที่สุดท้ายของย่านนี้ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามองค์เจดีย์ ที่คนไทยมักจะไม่พลาดอีกเช่นกัน

นั่นก็คือ “เทพกระซิบ" คนแล้วคนเล่าผลัดกันเข้าไปกระซิบรวมทั้งเราด้วยที่ไม่พลาด

จุดหมายต่อไปคือตลาดโบจ๊กอองซาน (Bogyoke Aung San Market) เพื่อไปหาที่แลกเงินเพิ่ม และหาที่พักสำหรับคืนนี้

แนะนำว่าถ้าจะแลกเงินที่นี่ให้แลกกับธนาคารหรือร้านที่มีป้ายบอกราคาชัดเจนจะได้เรทดีกว่า อย่าหลงไปแลกกับนายหน้าที่เดินไปเดินมาล่ะ

แลกเงินเสร็จก็ออกเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาที่พัก เข้าซอยนี้ออกซอยโน้น เจอแต่บ้านของชาวบ้าน

เดินจนเมื่อยก็ว่าใช่ แต่ก็ชอบนะ เพราะตึกรามบ้านช่องของที่นี่อาร์ตดีทีเดียว

เป็นตึกเก่ายุคอาณานิคมที่ดูกลมกลืมกับวิถีชีวิตของคนที่นี่เป็นอย่างมาก

เดินหาอยู่นานประมาณสามรอบสนามบอลก็มาจบที่ Okinawa Guest House 1 อยู่ใกล้ๆเจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เหลือเตียงสุดท้ายอยู่ติดทางเดินและบันไดทางลง ในราคา 16,000 Kyat (480฿) ต่อจากราคา 18,000 Kyat

หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็อาบน้ำแต่งตัวและนุ่งโสร่งที่ของยืมมาจากพนักงานประจำที่พัก เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของสถานที่ที่กำลังจะไปสักหน่อย เพราะสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นไฮไลของการมาเที่ยวย่างกุ้งที่ทุกคนต้องไม่พลาด

สถานที่แห่งนี้ก็คือ "มหาเจดีย์ชเวดากอง" (Shwedagon Pagoda) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่า

ทางขึ้นไปด้านบนมหาเจดีย์สามารถขึ้นได้หลายทาง โดยมีบันไดอยู่ทั้งสี่ทิศ แต่รถขับไปส่งเราตรงทางขึ้นที่เป็นลิฟท์ ค่าแท็กซี่ 2,000 Kyat (60฿) และค่าเข้าชมมหาเจดีย์ 8,000 Kyat (240฿)/คน สามารถฝากรองเท้าไว้ที่จุดขายตั๋วได้

นี่คือจุดแรกที่เราไปยืนหยุดนิ่งเพื่อชมความงดงามและความอลังการขององค์มหาเจดีย์ชเวดากองสีเหลืองทอง รู้สึกได้ถึงความศักสิทธิ์และความศรัทธาที่อบอวนอยู่รอบๆ โดยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาแต่สัมผัสได้ด้วยใจ

ช่วงที่เราไปถึงก็เกือบจะมืดแล้ว แต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวพม่า ที่เยอะที่สุดคือชาวพม่าที่ยกกันมาทั้งครอบครัว บ้างก็มาเป็นคู่หนุ่มสาวชวนกันมาไหว้พระเห็นแล้วดูน่ารักดี

เราเดินสำรวจไปรอบๆ จนไปเจอภาพที่ตามหา นั้นก็คือภาพชาวบ้านยืนเรียงแถวกันกวาดลานรอบมหาเจดีย์

รอบๆมหาเจดีย์จะมีองค์เจดีย์และพระพุทธรูปน้อยใหญ่ให้ได้สักการะ และมาสะดุดที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงประมาณ 9 เมตร ที่นอกจากจะถวายดอกไม้และไหว้ขอพระแล้ว ยังมีสายลอกยาวต่อไปยังม่านขนาดใหญ่ด้านบนขององค์พระ เพื่อดึงให้ม่านโบกไปมาพัดให้กับองค์พระ ให้เกิดความร่มเย็นขึ้นภายในจิตใจ

ใกล้ๆกันจัดเป็นห้องนิทรรศการรวบรวมภาพถ่ายประวัติศาตร์ของมหาเจดีย์ชเวดากองทั้งใหม่และเก่า ที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวของความศรัทธาผ่านกาลเวลา และยังได้เห็นยอดของมหาเจดีย์อย่างใกล้ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ และที่สำคัญทรัพย์สมบัติทั้งหมดของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือเพชรนิลจินดาไม่ได้ถูกปล้นมาจากกรุงศรีอยุธยาอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจนะ แต่มาจาก “ความศรัทธา" ของพุทธศาสนิกชนที่นำมาถวายล้วนๆ

เพียงแค่ได้นั่งจองมองอยู่ห่างๆก็มีความสุข และถึงแม้ว่ารอบข้างจะดูวุ่นวายแต่ในใจกลับรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก

สูงแค่ไหนอยู่ที่มุมมอง สุขแค่ไหนอยู่ที่ใจเรา

พวกเราเดินวนครบหนึ่งรอบจนพอใจจึงกลับลงมาทางเดิม ต่อรถแท็กซี่กลับไปหามื้อเย็นกินแถวไชน่าทาวน์ สั่งอาหารเมนูเดิมที่กินเกือบทุกวัน นั่นก็คือข้าวผัด แต่พิเศษกว่าวันอื่นคือเพิ่มไข่ดาว พร้อมเบียร์พม่าแก้กระหายสักขวดสองขวด แก้มด้วยพวกไส้ย่างหมูย่างที่เสียบขายเป็นไม้ๆ แต่อาหารที่สั่งดันมาช้ากว่าเบียร์ เลยจัดเบียร์ล่วงหน้าตอนท้องกำลังว่าง เมาสิครับเมา ตักข้าวเกือบไม่ตรงจาน กินเสร็จก็เดินกลับที่พัก อาบน้ำและเก็บของ เตรียมตัวกลับประเทศไทยในตอนเช้า หมดเวลาสนุกแล้วสินะ ขอกลับไปเจอกับโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อเก็บเงินสักพัก แล้วพบกันใหม่นะพม่า

“เจ๊ะโจนแม่" แปลว่า ลาก่อน

การเดินทางครั้งนี้ได้ออกไปผจญภัยในสถานที่ที่เราไม่รู้จักแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นอีกนิด ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตและใกล้ชิดกับคนพม่าในแบบที่เป็น ทำให้รู้สึกได้ถึงมิตรภาพ ความเป็นกันเอง ความมีน้ำใจ และความศรัทธาของชาวพม่าที่มีต่อพระพุทธศาสนา ประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนคิด จะติดก็แค่ความไม่สะดวกสบายอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง แต่จริงๆแล้วเราว่าก็ไม่ได้จะลำบากอะไรนะ ขอแค่มีที่ให้พัก มีรถให้นั่ง มีทางให้เดิน มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กินเติมพลัง มีรอยยิ้มให้กัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนักเดินทาง

ขอบคุณเพื่อนนักเดินทางทุกคนที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบ ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นของเรา รูปถ่ายและความทรงจำดีดีทั้งหมดนี้เป็นของเรา เราไม่สามารถขายให้เพื่อนๆได้ ถ้าเพื่อนๆอยากได้ต้องออกเดินทางด้วยตนเอง เราจะคอยเป็นกำลังใจให้นะ

LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...


ค่าใช้จ่ายวันที่ 4 และวันที่ 5

1. ค่าที่พัก : 16,000 Kyat (480฿)

2. ค่าเดินทาง : 15,100 Kyat (450฿)

3. ค่าอาหาร : 17,000 kyat (510฿)

4. ค่าเช้าชม : 22,000 (660฿)

สรุป : 2100฿ / 2 คน


สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับ 5 วัน 4 คืน 3 เมือง 2 คน กับ 1 ประสบการณ์ ดังนี้

1. ค่าตั๋วเครื่องบิน 1,780฿/คน

2. ค่าที่พัก : 3,340฿

3. ค่าเดินทาง : 2,100฿

4. ค่าอาหาร : 1,100฿

5. ค่าเช้าชม : 1,450฿

รวมทั้งหมดประมาณ 11,500฿ / 2 ตกคนละ 5,750฿ ส่วนประสบการณ์ที่ได้รับไม่สามารถประเมินมูลค่าได้


แวะเข้ามาทักทายกันได้ที่

Facebook : LIFE IS A JOURNEY

IG : https://www.instagram.com/lifeisajourneythailand/

Pantip : http://pantip.com/profile/1420383

LOVE & LIFE IS A JOURNEY

 วันพฤหัสที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.26 น.

ความคิดเห็น