"ดอยเต่า" คำที่ใครได้ยินก็คงจะต้องนึกถึงเพลง "หนุ่มดอยเต่า" ของวงนกแล วงดนตรีของเด็กๆชาวเขาที่มีเนื้อร้องติดหูอยู่ทอนหนึ่งว่า "ดอยเต่าบ้านเฮากันดาร หมู่เฮาจากบ้านไปหางานทำ" เกิดทันกันรึเปล่า!!!

"แล้วดอยเต่านั้นอยู่ที่ไหน? จะเหมือนกับดอยอินทนนท์รึเปล่า?"

คงจะเป็นคำถามที่ใครหลายๆคนคงอยากจะรู้ ซึ่งเราเองก็เช่นกัน จนกระทั่งเมื่อ 7 ปีก่อน เรามีโอกาสได้มาสัมผัสกับที่นี่เป็นครั้งแรก มาทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า “ดอยเต่า" นั้นอยู่ส่วนไหนบนแผนที่ประเทศไทย รู้แค่ว่าอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แถมนั่งรถไฟให้สนิมเกาะหน้าจนตูดชามาจากหัวลำโพง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เข็ด ยังมาอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และก็ยังนั่งรถไฟให้สนิมเกาะหน้าจนตูดชามาอีกเหมือนเดิม

และเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่อีกเป็นครั้งที่สาม แต่เปลี่ยนจากรถไฟเป็นรถทัวร์ เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทาง ถึงแม้ว่าครั้งนี้สิ่งแวดล้อมหลายๆอย่างรอบตัวเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความรู้สึกอบอุ่นและความประทับใจยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“สงสัยใช่ไหมละว่าที่นี่มีดีอะไร?"

เดินทางมาก็ไกล แถมไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักที่จะเดินทางไปยังตัวเมืองเชียงใหม่หรือใช้เดินทางกลับกรุงเทพ ที่จะสามารถแวะมาเที่ยวและถ่ายรูปเล่นก่อนกลับได้อีกต่างหาก ที่นี่จึงไม่ใช่ทางผ่าน หากอยากรู้จักต้องตั้งใจมาเท่านั้น วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปรู้จักกับดอยเต่าให้เพิ่มมากขึ้น ออกไปสัมผัสผ่านมุมมองในแบบของเรา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดของที่นี่ เพราะมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่เรารู้จักและอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก

LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...

"ดอยเต่า" คือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ออกไปทางทิศใต้ประมาณ 125 กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับอ.ฮอด ทิศตะวันตกติดกับอ.อมก๋อย ทิศใต้ติดกับ อ.สามเงา จ.ตาก ส่วนด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับอ.ลี้ จ.ลำพูน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้และภูเขาสูง มีบางส่วนเป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล หรือที่เรียกกันว่า "ทะเลสาบดอยเต่า" ซึ่งเป็นปลายทางของแม่น้ำปิง แม่น้ำสายหลักของจังหวัดเชียงใหม่

ส่วนที่มาของชื่ออำเภอดอยเต่า เราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่จากที่ลองสอบถามชาวบ้านได้ความว่า สมัยก่อนพื้นที่แถวนี้มีเต่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากทั้งบนบกและในน้ำ จึงน่าจะเป็นที่มาของชื่ออำเภอ และไม่ได้มีดอยที่ชื่อว่าเต่าอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ

เมื่อ 7 ปีที่แล้วเราได้เดินทางมาที่นี่ในฐานะนักศึกษา เพื่อขึ้นมาทำค่ายอาสาสร้างอาคารอเนกประสงค์ให้กับโรงเรียนและชุมชนเป็นระยะเวลา 15 วัน ได้ทำกิจกรรมสัมพันธ์ชุมชนและพักอาศัยร่วมกับชาวบ้านตลอดระยะเวลาค่าย ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พร้อมทั้งตัดขาดจากโลกภายนอก และเมื่อ 3 ปีที่แล้วเรามีโอกาสได้ขึ้นไปจัดกิจกรรมงานวันเด็กให้กับน้องๆที่โรงเรียนอีกครั้ง โดยกลับลงมาพร้อมกับความสุขที่ได้จากการเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันและอยากกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกหลายๆครั้ง

โดยครั้งนี้เราเริ่มต้นออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์ในคืนวันศุกร์ช่วงปลายเดือนตุลาคม พร้อมกับเปิดเพลง "ไม่ต่างกัน" ของวง 25 Hours ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง "คิดถึงวิทยา" เพลงที่ช่วยทำให้เรานึกถึงบรรยากาศของจุดหมายปลายทางในครั้งนี้อยู่บ่อยๆ

เรามาถึงสถานีขนส่งอาเขต จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณเกือบสิบโมงเช้า เพราะระหว่างทางเส้นลำปาง-เชียงใหม่มีฝนตกหนักอยู่เป็นระยะ จึงทำให้รถเคลื่อนที่ได้ไม่เร็วนัก

เดิมทีการเดินทางครั้งนี้เราตั้งใจว่าจะมาคนเดียว เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวที่เราเคยมาอาศัยอยู่ด้วยตอนที่มาทำค่ายอาสา และเอาเสื้อผ้าบางส่วนของเราที่ไม่ค่อยได้ใส่มาให้กับน้องชายสองคน และตุ๊กตาสำหรับน้องสาวคนเดียวของบ้าน

แต่ก่อนหน้าที่จะมาเราได้ไปกินข้าวกับรุ่นพี่ที่เคยขึ้นมาทำค่ายด้วยกัน และบังเอิญว่าจะมีแพลนขึ้นไปเชียงใหม่ช่วงนั้นพอดี จึงสนใจอยากจะไปดอยเต่าด้วยกัน และได้ลองชักชวนคนอื่นๆที่เคยไปค่ายด้วยกันเพิ่มเติม สุดท้ายทริปนี้จึงมีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 6 คน

ตัดภาพกลับมาที่ขนส่งอาเขต ซึ่งได้กลายมาเป็นจุดนัดพบกับเพื่อนร่วมเดินทางอีก 2 คน ที่มาถึงในระยะเวลาไร่เรี่ยกัน จากนั้นจึงไปหาข้าวเช้ากินกัน โดยมีร้านประจำที่เราชอบมากินเมื่อได้มาอาเขต เป็นร้านอาหารเหนือร้านเล็กๆ ที่มีหลังคาเป็นต้นหูกวางขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสถานีขนส่งหลังเก่า และอยู่ติดกับท่ารถแดง

อาหารถูกจัดเตรียมเอาไว้ในหม้อที่วางเรียงรายกันเป็นแถวยาวบนโต๊ะไม้ ให้เราเดินเข้าไปเปิดดูและเลือกได้ตามใจ เลือกเสร็จก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะหินใกล้ๆกัน สักพักแม่ค้าก็จะนำเอาอาหารที่เราเลือกตักใส่จานเล็กๆมาเสริฟให้ที่โต๊ะ พร้อมกับผักสดๆและข้าวเหนียวร้อนๆ

อาหารแต่ละอย่างเราเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไรบ้าง แต่มีอยู่จานนึงที่เราจำได้ อยู่ด้านบนซ้ายของรูป นั่นก็คือ "ก้อย" เนื้อดิบที่นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมช่วยให้เนื้อไม่มีกลิ่นคาว แถมมีรสชาติหวานและเผ็ดกำลังดี ใครที่เคยกินคงเห็นแล้วน้ำลายไหล แต่เชื่อว่าใครหลายๆคนต้องไม่กล้ากินแน่ๆ เราเองก็กลัวเรื่องท้องเสียและพยาธิ แต่เอาหน่ะนานๆที สุดท้ายก็กินจนเกลี้ยงและไม่ท้องเสียด้วยนะ แต่เรื่องพยาธิยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะกำลังโต 555

หลังจากกินเสร็จพวกเราจึงไปรับรถมอเตอร์ไซด์ที่จองเอาไว้ล่วงหน้าจากร้านประจำที่อยู่ใกล้ๆกับขนส่ง ซึ่งสามารถจองล่วงหน้าผ่าน Line แล้วมาจ่ายตังค์ทีหลังได้ สะดวกมากๆ (หากอยากรู้ว่าร้านไหนหลังไมล์มานะ) จากนั้นก็ขับไปเจอคนอื่นๆที่เหลือ ซึ่งรออยู่ที่บ้านของรุ่นพี่ที่จังหวัดลำพูน

แผนที่การเดินทาง

เมื่อทุกคนพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทางต่อด้วยรถมอเตอร์ไซด์ทั้งหมด 5 คัน ออกจากจังหวัดลำพูนมุ่งหน้าต่อไปยังอ.ฮอด เพื่อแวะพักและซื้อเสบียง แต่ถ้าไม่ได้มาแวะที่ลำพูนเหมือนกับเรา ก็สามารถขับออกจากตัวเมืองเชียงใหม่มาตามถนนหลวงหมายเลข 108 จนถึงอ.ฮอดได้เลยเช่นกัน

ระหว่างทางรถมอเตอร์ไซด์ของพี่คนหนึ่งเบรกเกิดเสีย จึงต้องแวะหาร้านซ่อมข้างทาง โดยใช้ระยะเวลาซ้อมประมาณชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างนั้นก็นั่งคุยนั่งเล่นฆ่าเวลาอยู่รอเป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะซ่อมเสร็จ เพราะเราจะไม่ทิ้งใครเอาไว้กลางทางอย่างแน่นอน

หลังจากซ่อมเสร็จก็ออกเดินทางต่อไปยังอ.ฮอด และจอดแวะพักบริเวณตลาด เพื่อกินข้าวกลางวันและซื้อเสบียงเตรียมที่จะนำเอาไปทำอาหารสำหรับมื้ออื่นๆตลอดระยะเวลาที่อยู่บน "ดอยแก้ว" ดอยหนึ่งในอ.ดอยเต่า ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเรา ในครั้งนี้ โดยจะต้องนำรถข้ามทะเลสาบดอยเต่าและขับข้ามภูเขาไปอีกประมาณ 3 ลูก จึงไม่มีร้านค้าเหมือนอย่างในเมืองให้เราได้ช๊อปปิ้ง

แผนที่การเดินทาง

หลังจากแวะพักและซื้อของเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยังตัวอำเภอดอยเต่า ไปตามถนนหลวงหมายเลข 1012 อีกประมาณ 1 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตัดเข้าถนนหลวงหมายเลข 1103 ไปอีกประมาณ 45 กิโลเมตร

เมื่อถึงตัวอำเภอดอยเต่าจะเห็นโรงพยาบาลดอยเต่าอยู่ซ้ายมือ ให้ขับเลยไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเจอกับสามแยกเล็กๆที่มีศาลารอรถหลังคาสีเหลืองอยู่ทางขวามือ โดยป้ายบริเวณปากทางเข้าจะเขียนว่าโรงเรียนบ้านผาจุกและบ้านผาจุก ส่วนป้ายไม้ด้านล่างสุดจะเขียนว่าหน่วยพิทักษ์ป่าดอยเต่า 12 ก.ม ซึ่งเป็นจุดที่เราจะไปขึ้นเรือเพื่อข้ามทะเลสาบดอยเต่า

แผนที่การเดินทาง

ระหว่างทางที่จะไปหน่วยพิทักษ์ป่าดอยเต่าช่วงแรกจะเป็นทางปูนผ่านหมู่บ้าน แต่พอเลยหมู่บ้านออกมาก็จะเป็นพื้นที่ปลูกพืชผักของชาวบ้าน และเริ่มเปลี่ยนเป็นทางลูกรังที่มีหินขลุขละ จึงใช้ความเร็วไม่ได้มากนัก ขับตามกินฝุ่นของคันหน้ามาเรื่อยๆสักระยะจนเกือบถึงครึ่งทางเลยแวะจอดรอรถคันหลัง เนื่องจากทิ้งห่างกันมากเกินไป ปรากฎว่ามีรถสองคันหายไปนานไม่ตามมาสักที กลัวว่าจะเลี้ยวไปผิดทาง แถมโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญา จึงขับย้อนกลับไปดูจึงรู้ว่ามีรถคันหนึ่งในทีมยางรั่วตอนขับผ่านหมู่บ้านเลยแวะเปลี่ยนยาง จึงให้คันอื่นขับล่วงหน้าไปก่อนเพื่อติดต่อเรื่องเรือข้ามทะเลสาบ

เมื่อขับผ่านหน่วยพิทักษ์ป่าดอยเต่ามาได้สักเล็กน้อย ก็จะได้พบกับพื้นที่โล่งกว้างที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวและฝูงวัว อยู่ท่ามกลางภูเขาสูง ภายใต้ท้องฟ้าใส โดยมีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ตรงกลาง ราวกับบรรยากาศของทุ่งหญ้าสเตปป์แห่งมองโกเลียที่เราเคยเห็นในจอทีวี

แต่ภายใต้ความสวยงามที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น ภายในใจเรากลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าน้ำในทะเลสาบที่เคยอยู่ตรงนั้นได้ลดน้อยลงไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อ 7 ปีที่แล้วของเดือนเดียวกัน และเมื่อ 3 ปีที่แล้วของเดือนมกราคม ซึ่งได้ถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าจนเหลือแค่เพียงแม่น้ำปิงสายเล็กๆ

และนี่คือภาพของทะเลสาบดอยเต่าที่เราเคยถ่ายเอาไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้วช่วงปลายเดือนตุลาคม ส่วนเดือนมกราคมของเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปริมาณของน้ำน้อยลงกว่าในรูปด้านล่างนี้ไม่มากนัก

"น้ำหายไปไหน? ทำไมถึงแตกต่างจากเดิมมากขนาดนี้ เป็นเพราะว่าป่าไม้ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น? หรือเป็นเพราะว่าปรากฎการณ์เอลนีโญที่กำลังส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบกับสภาวะแห้งแล้งอยู่ในขณะนี้?"

จากที่เราลองค้นหาข้อมูลในเบื้องต้น พบว่าน้ำหนักค่อนมาทางปรากฎการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นปรากฎการที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่อดีต และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าและการปล่อยมลพิษต่างๆออกสู่ธรรมชาติ ทำให้อุณหภูมิของกระแสน้ำในทะเลและสภาพอากาศทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง

สำหรับในประเทศไทยตอนนี้ก็มีหลายหน่วยงานรวมทั้งรัฐบาลกำลังประกาศเตือนเรื่องการรับมือกับภายแล้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้น สิ่งที่พวกเราทุกคนสามารถทำได้ตอนนี้และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่องของการช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัด ส่วนภาคเกษตรกรรมก็อาจจะต้องเปลี่ยนจากการปลูกพืชที่ใช้น้ำมาก เปลี่ยนมากปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยทดแทนไปก่อน เพื่อไม่ใช้พืชผลขาดน้ำและสร้างความเสียหายในภายหลังตามที่รัฐบาลกำลังขอความร่วมมืออยู่ในขณะนี้

ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม : http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=17 / http://www.thairath.co.th/content/570658

อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้ทะเลสาบดอยเต่าได้กลายมาเป็นทุ่งหญ้า สำหรับเลี้ยงวัวของชาวบ้าน ซึ่งมีฝูงวัวจำนวนไม่ต่ำกว่าพันตัวในบริเวณรอบๆทุ่งหญ้ากว้างแห่งนี้

เมื่อทุกคนกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง จึงได้เวลานำรถขึ้นเรือเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกเรียกว่าเป็นทะเลสาบ รถมอเตอร์ไซด์ทั้ง 5 คัน มีตั้งแต่มอเตอร์ครอส PCX ไปจนถึงรุ่นเล็กอย่างมอเตอร์ไซด์จ่ายตลาด พร้อมด้วยผู้ร่วมเดินทางอีก 6 คน

เท่สุดก็คันนี้แหละ แต่ขับไม่เป็นหรอกนะแค่ขอยืมมานั่งค่อมโพสท่าถ่ายรูปเฉยๆ ดูเท้าสิเกือบยันไม่ถึงพื้น 555

เมื่อเรือมาจอดเทียบท่า จึงค่อยๆขับลงไปจอดบนเรือทีละลำด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจจะกลิ้งตกลงไปซิ่งในน้ำแทนได้

เรือหนึ่งลำบรรจุพวกเรา 5 คัน 6 คนได้อย่างพอดี ค่าโดยสารคนละ 20 บาท ไม่คิดค่ารถ

เรือค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากฝั่งอย่างช้าๆ เคลื่อนตัดผ่านสายน้ำที่ไหลค่อนข้างแรง

ช่วงระยะเวลาสั่นๆระหว่างที่นั่งอยู่บนเรือ นอกจากการหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป อีกสิ่งที่ทำคือการยื่นมือลงไปราน้ำ เพราะมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

“คิดภาพไม่ออกเหมือนกันนะ ว่าถ้ามาที่นี่คนเดียวจะเป็นยังไง"

“คงจะเหงาน่าดู"

ใช้ระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที พวกเราก็สามารถข้ามฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งต่างจากเมื่อ 7 ปีที่แล้วมาก เพราะจะต้องใช้ระยะเวลาในการข้ามเกือบประมาณ 1ชั่วโมง ด้วยโบ๊ะข้ามฟากที่ถึงแม้ว่าจะมีอัตราความเร็วน้อยกว่าเรือ แต่ต้องข้ามทะเลสาบที่กว้างกว่าจึงใช้เวลามากกว่าอย่างในรูป

การนำรถลงเรือไม่ยากเท่ากับการนำขึ้นฝั่ง เพราะมีอุปสรรคเป็นทางที่ลาดชันและพื้นดินที่ร่วนเกินไป จนเกือบติดหล่มและหงายหลังลงน้ำ

แต่สุดท้ายพวกเราก็สามารถผ่านด่านนี้มาได้ ในขณะที่แสงตะวันกำลังเริ่มลดน้อยลงไปทุกที

แผนที่การเดินทาง

บ้านเรือนแพที่เคยลอยอยู่บนน้ำ ตอนนี้เปลี่ยนขึ้นมาลอยอยู่บนหญ้าแทนล่ะ

จากที่เคยเลี้ยงปลาในกระชังก็ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นเลี้ยงวัวในคอกแทน

ด่านต่อไปคือการขับรถลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้าง

ขับตามทางไปเรื่อยๆ ขึ้นเนินบ้างลงเนินบ้าง จนนึกว่ากำลังขับอยู่บนเนินเขาในการ์ตูนเทเลทับบี้

หลังจากผ่านบริเวณทุ่งหญ้ากว้างก็จะเปลี่ยนมาเป็นการขับเข้าป่าลัดเลาะข้ามภูเขาไปอีกประมาณ 3 ลูก ระยะทางประมาณเกือบ 10 กิโลเมตร บนถนนที่กว้างประมาณ 1 คันรถกระบะ ช่วงที่เป็นทางลาดชันมากๆจะทำด้วยปูน ส่วนอีกประมาณ 70 เปอร์เซ็นเป็นทางดินที่มีร่องรอยของร่องน้ำที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนและหินนูนๆขลุขละที่ทำให้ขับค่อนข้างยาก

บางช่วงต้องขับผ่านลำธารที่ไหลตัดผ่านถนน แต่ตอนนี้มีน้ำไหลผ่านเพียงเล็กน้อยจนเกือบไม่มีแล้ว

แผนที่การเดินทาง

ด้วยสภาพถนนที่ขับค่อนข้างลำบากประกอบกับความมืดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา ทำให้พวกเรามาถึง “หมู่บ้านแม่ป๊อกบน" หนึ่งในหมู่บ้านที่อยู่บนดอยแก้ว อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เกือบประมาณ 1 ทุ่ม พวกเราจอดรถบริเวณหน้า “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง" ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้านและเป็นที่ที่เราจะมาขออาศัยหลับนอนกันในคืนนี้

จากนั้นจึงเข้าไปสวัสดีคุณครูและเดินไปหาผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเดินทางมาของพวกเราในครั้งนี้ ซึ่งพ่อผู้ใหญ่ยังคงจำพวกเราได้เป็นอย่างดี แถมชวนกินข้าวและให้ไปนอนค้างที่บ้าน แต่พวกเรามากันหลายคน เลยขอไปนอนที่โรงเรียนดีกว่าจะได้ไม่เป็นการรบกวน คุณครูและพ่อผู้ใหญ่จึงจัดหาผ้านวมและหมอนมาให้กับพวกเราจำนวนหนึ่ง เพื่อเอามาเสริมทัพกับถุงนอนที่พวกเราเตรียมมาในการรับมือกับอากาศที่หนาวเย็นในตอนกลางคืน

จากนั้นพ่อครัวก็เริ่มบรรเลงเพลงตะหลิว เหนือกระทะที่ตั้งอยู่บนเตาฟืน เพื่อทำอาหารเย็นจากวัตถุดิบที่ซื้อมาจากด้านล่างกินกันเป็นมือแรก

ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็นในรูป ส่วนเรื่องของรสชาตินั้นค่อนข้างจะอธิบายยาก เนื่องจากไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความหิวหรือความอร่อย หรือทั้งสองอย่าง แต่เอาเป็นว่ากินกันจนเกลี้ยง จะเหลือก็แต่ต้มจืดกระรอกป่าฝีมือคุณครูที่ไม่ค่อยถูกปากคนเมืองอย่างพวกเราสักเท่าไหร่

ยิ่งดึกอากาศข้างบนยิ่งหนาว พวกเราจึงมานั่งล้อมวงรอบกองไฟและเผามันกินกันที่หน้าโรงเรียน พร้อมกับนั่งแหงนมองดูดาวบนท้องฟ้า เนื่องจากบริเวณโรงเรียนเป็นลานกว้างบนยอดเขาสูงและอยู่ไกลจากแสงไฟในเมือง จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดชมดาวที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าดวงดาวน้อยใหญ่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นนอนพร้อมเพียงกันเพราะเสียงนาฬิกาปลุกของพี่คนหนึ่งที่ไม่ตื่นด้วยเสียงของตัวเอง แต่เสียงนั้นทำให้คนอื่นตื่น เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของหมู่บ้าน

ด้านบนวัดอากาศเย็นสบาย มีลมพัดพาเอาสายหมอกอ่อนๆมากระทบใบหน้าอย่างเบาๆ

รออยู่ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็เริ่มโผล่หน้าผ่านกลุ่มเมฆหนาเหนือภูเขาออกมาทักทายพวกเรา

จุดที่พวกเรายืนชมวิวอยู่นี้ เป็นบริเวณด้านหน้าขององค์พระพุทธรูปปางประทานพร สูงประมาณ 20 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าผา โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถ้าไม่มีหมอกเราจะสามารถมองเห็นทะเลสาบดอยเต่า

ยืนสูดอากาศบริสุทธิ์และชมวิวอยู่ได้สักพักก็เดินกลับลงมาที่โรงเรียน ระหว่างทางจะผ่านบ้านของชาวบ้านที่ปลูกกระจายกันอยู่บนเนินเขาตลอดเส้นทาง บางหลังก็ทำด้วยไม้ไผ่และมุงหลังคาด้วยใบของพืช

หลายๆหลังทำด้วยไม้และมุงหลังคาด้วยสังกะสี ตรงกลางของตัวบ้านจะมีเตาสำหรับประกอบอาหารและให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว

น้ำที่ใช้ดื่มและอาบมาจากประปาภูเขา ไฟฟ้ามาจากแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาที่มีกันเกือบทุกหลัง โดยใช้ระยะเวลาในการชาร์ตประมาณหนึ่งวัน เพื่อนำมาใช้ให้แสงสว่างในเวลากลางคืนและเพียงพอให้สามารถดูละครได้หนึ่งเรื่องต่อวันพอดี ส่วนสัญญาณโทรศัพท์จะมีอยู่แค่บางค่ายและบางจุดของหมู่บ้านเท่านั้น

ส่วนสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นน้องหมู หมา ไก่ และวัว บอกได้เลยว่าน่ารักทุกตัว

ชาวบ้านที่นี่เป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยได้ ส่วนรุ่นปู่ยาตายายจะพูดไม่ได้ เลยต้องอาศัยการสื่อสารด้วยภาษามือและรอยยิ้มแทน ส่วนเด็กๆแรกๆจะขี้อาย แต่ถ้าสนิทแล้วเรียกได้ว่าไปไหนไปกัน น่ารักและอัธยาศัยดีทุกคน

และนี่คือครอบครัวที่เราเคยมาอาศัยอยู่ด้วยตอนมาทำค่ายอาสาเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ประกอบไปด้วย “พ่อ" ผู้ชายขี้อายแต่ใจดี “แม่" ผู้หญิงที่ทำกับข้าวอร่อยมากและชอบแย่งพวกเราล้างจาน “น้องชายคนกลาง" ใส่เสื้อสีน้ำเงิน คนนี้โคตรซน ชอบชวนไปล่ากระรอกในป่า “น้องชายคนโต" พูดน้อยขี้เกรงใจ แต่ไปไหนไปกัน ส่วนคนสุดท้ายคือ “น้องสาวคนสุดท้อง" เจอกันครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ยังพูดไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มโตเป็นสาวแล้ว เสื้อผ้าที่เราเตรียมมาให้มีแต่ของผู้ชายเลยต้องหาตุ๊กตามาฝากแทน ไม่ว่าระยะเวลาจะผ่านไปกี่ปี ความรู้สึกอบอุ่นและประทับใจที่มียังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

จากนั้นก็กลับลงมาที่โรงเรียน เพื่อกินข้าวเช้าที่พี่ๆจัดเตรียมไว้ให้ เป็นเมนูง่ายๆรองท้องในตอนเช้า

และนี่คืออาคารเรียนที่เรานอนพักกันเมื่อคืน

ส่วนรูปนี้คืออาคารอเนกประสงค์ที่เราเคยขึ้นมาสร้างไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ได้ถูกใช้เป็นที่ประชุมของหมู่บ้าน และเป็นห้องเรียนกับโรงอาหารสำหรับน้องๆ จากสภาพของอาคารที่เริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พวกเราและคุณครูจึงอยากที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยการก่ออิฐปูนสูงประมาณ 1 เมตร และติดตาข่ายเหล็กรอบตัวอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปสร้างความสกปรกภายในห้องเรียน เด็กๆจะได้มีสุขลักษณะที่ดี มีสุขภาพที่แข็งแรง

เราจึงกลับมาทำเสื้อขายในเพจของเราบนเฟสบุ๊ค ได้เงินมา 23,700 บาท จากนั้นก็ส่งเงินไปให้คุณครูเริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมาช่วยกันปรับปรุงอาคารในครั้งนี้ ซึ่งตอนนี้ก่ออิฐรอบตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ติดตาข่ายเหล็กเท่านั้น โดยเราอาจจะขึ้นไปเยี่ยมโรงเรียนอีกครั้งประมาณช่วงเดือนตุลาคมปีนี้ หากใครสนใจบริจาคสิ่งของช่วยเหลือสามารถบอกล่วงหน้าได้เลยนะ และนี่คือรูปล่าสุดที่คุณครูส่งมาให้ ขอขอบคุณผู้ร่วมสบทบทุนผ่านกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ

นอกจากการเล่นกีฬาทั่วๆไปอย่างเช่น ฟุตบอล หรือตะกร้อแล้ว น้องๆยังมีกิจกรรมสุดฮิตอีกอย่างหนึ่งในตอนนี้ก็คือการเล่นยิงลูกแก้ว ที่เล่นกันทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง คงคล้ายๆกับพวกเราในสมัยเด็กๆที่จะมีกิจกรรมหรือของเล่นยอดฮิตที่ทำตามๆกันเป็นช่วงสั่นๆ บางช่วงก็ฮิตยิงลูกแก้ว บางช่วงก็ฮิตสะสมการ์ดโปเกม่อน บางช่วงก็เปลี่ยนมาฮิตเลี้ยงปลากัดหรือปลาหางนกยูง ฯลฯ กิจกรรมพวกนี้ถ้าเป็นเด็กต่างจังหวัดแบบเราก็น่าจะเข้าใจดี

บนดอยก็มีรถลากเลื่อนเหมือนอย่างเมืองนอกที่เล่นบนหิมะด้วยนะ

สิ่งที่สามารถส่งต่อความสุขให้แก่กันได้รวดเร็วที่สุด นั่นก็คือ “รอยยิ้ม"

หลังจากกินข้าวเช้าและถ่ายรูปเล่นกับเด็กๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงขอตามชาวบ้านเข้าไปในป่า เพื่อไปดูวิธีการเกี่ยวข้าวไร่บนภูเขา โดยขับมอเตอร์ไซด์ตามชาวบ้านไปบนถนนแคบๆ ที่กว้างเพียงแค่ครึ่งเมตร ลัดเลาะไปตามไหล่เขา

ขับเลยหมู่บ้านออกมาไม่นานนักก็จะเริ่มเห็นแปลงปลูกข้าวไร่สีเหลืองทองที่กำลังพร้อมรอให้เก็บเกี่ยว จากรูปเราอาจจะเห็นว่าการปลูกข้าวไร่ของชาวบ้านนั้นมีการแผ้วถางป่า เพื่อนำพื้นที่มาใช้ประโยชน์ ซึ่งดูเหมือนเป็นการตัดไม้ทำลายป่า

แต่ในอีกมุมหนึ่งการกระทำเช่นนี้กลับเป็นการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากเป็นการปลูกพืชด้วยระบบไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกในพื้นที่หนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นจะย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ใหม่ เพื่อให้พื้นที่เดิมเริ่มฟื้นความอุดมสมบูรณ์เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี แล้วจึงหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง อาจจะทุก ๆ 5-9 ปี

โดยใช้องค์ความรู้ในการจัดการ ได้แก่ ตัดต้นไม้เหลือตอไว้ให้สามารถแตกกอใหม่ได้ ไม่ตัดฟันไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่บุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำ และควบคุมการเผาไม่ให้ไฟลุกลามออกไปนอกแปลงปลูก

การปลูกพืชในระบบไร่หมุนเวียนเป็นการปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยมีข้าว ผัก และพืชใช้สอยต่าง ๆ ปลูกรวมกันอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก และเน้นการเพาะปลูกพืชอาหารสำหรับเก็บไว้บริโภคในครัวเรือนเท่านั้น

จึงอาจถือได้ว่าเป็นรูปแบบของเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งเกษตรกรที่รักษาระบบเกษตรกรรมเช่นนี้มีกฎเกณฑ์ที่จะต้องเคารพคุณค่าและนอบน้อมต่อธรรมชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใช้ประโยชน์จากน้ำ ต้องรักษาน้ำ ใช้ประโยชน์จากป่า จักต้องรักษาป่า"

ที่มา : http://www.sathai.org/autopagev4/show_page.php?topic_id=681&auto_id=15&TopicPk=

การเก็บเกี่ยวของที่นี่จะใช้วิธีการลงแขกเกี่ยวข้าว เมื่อไร่นาของครอบครัวไหนที่พร้อมจะให้เก็บเกี่ยว ทุกคนในหมู่บ้านก็จะมาช่วยกัน และสลับกันไปเรื่อยๆจนครบทุกครอบครัว โดยที่เจ้าของไร่นานั้นๆจะเตรียมอาหารมาเลี้ยงคนที่มาช่วยเกี่ยวข้าวเป็นการตอบแทน

วิธีการเกี่ยวข้าวก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้มือข้างไหนก็ได้ที่ถนัดจับเคียวไว้ให้แน่น จากนั้นใช้เคียวเกี่ยวไปรวบกอข้าวมารวมกันประมาณสักสามสี่กอ แล้วใช้มืออีกข้างที่เหลือกำกอข้าวให้แน่นจากนั้นก็ตัดกอข้าวให้ขาด แล้วยื่นกอข้าวนั้นไปให้กับคู่หูอีกคน เพื่อใช้ใบข้าวที่อยู่ในกอมามัดรวมกันให้แน่นแล้ววางกองไว้กับพื้น โดยจะต้องมีการทำงานเป็นทีม คนนึงมีหน้าที่เกี่ยวอีกคนมีหน้าที่มัด คนเกี่ยวน่าจะเหนื่อยกว่า เพราะจะต้องก้มๆเงยๆบนทางลาดชันกลางแดดร้อนๆ ถ้าคนไม่เคยอาจจะหน้ามืดจนเกือบหงายหลังเหมือนเราได้

หลังจากไปทำเนียนช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวจนเหงื่อไหลย้อยจนเกือบถึงแก้มก้นได้สักพัก จึงขับรถกลับออกมาออกเก็บของที่โรงเรียน แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังน้ำตก

น้ำตกที่เคยเต็มไปด้วยน้ำในช่วงเดือนตุลาคมได้หายไปเกือบหมดจนสามารถลงไปนอนเล่นได้

นอนเล่นอยู่ที่หน้าผาสักพัก ฝนก็ทำท่าเหมือนว่าจะตกเลยรีบกลับกันออกมา แล้วเดินทางต่อไปยังทะเลสาบดอยเต่า โดยใช้อีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางสายเดิมที่ใช้สัญจรเมื่อครั้งที่ยังมีน้ำในทะเลสาบมากกว่านี้

ระหว่างทางจะมีวัดตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ โดยมีองค์เจดีย์สีขาวตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นจากระยะไกล

วัดกั้นรั้วทางเข้าเอาไว้พวกเราเลยไม่ได้เข้าไปข้างใน จึงยืนดูวิวถ่ายรูปเล่นอยู่แค่หน้าวัด จากนั้นก็ขับกลับลงมาเพื่อไปต่อยังท่าเรือที่อยู่ใกล้ๆกัน แต่เป็นคนละที่กับขามาและราคาแพงกว่า 10 บาท

ระหว่างทางขับผ่านฝูงน้องวัวเจ้าถิ่น ที่พากันหันหน้ามามองพวกเราด้วยความแปลกใจ

เมื่อกลับออกมาจากทะเลสาบดอยเต่าเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปแวะกินข้าวซอยที่ตัวอำเภอดอยเต่าตรงข้ามกับโรงพยาบาล หลังจากจอดรถปรากฎว่ามีพี่คนหนึ่งกระเป๋าหายไป นึกไปนึกมาจึงนึกได้ว่าลืมกระเป๋าเอาไว้ที่ท่าเรือ เนื่องจากขึ้นจากเรือเป็นคนแรกจึงเอากระเป๋าไปวางไว้ท้ายรถกระบะที่จอดอยู่บนฝั่งแล้วมาช่วยเข็นมอเตอร์ไซด์ขึ้นจากเรือ

หลังจากขับกลับไปเอากระเป๋าที่ท่าเรือมาได้เรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงออกเดินทางต่อไปยังตัวเมืองลำพูน โดยใช้คนละเส้นทางกับขามา เป็นเส้นทางที่จะไปตัดกับถนนหลวงหมายเลข 106 อ.ลี้ จ.ลำพูน เส้นทางนี้รถค่อนข้างน้อยและถนนดีมากจึงขับได้อย่างสบายๆ และสุดท้ายก็กลับมาถึงตัวเมืองลำพูนได้อย่างปลอดภัย

แผนที่การเดินทาง

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของดอยเต่าที่เรารู้จักและอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก หากใครอยากเห็นทะเลสาบดอยเต่าเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวแบบนี้ แนะนำให้ไปช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นกำลังดี แต่ถ้าหากอยากเห็นทะเลสาบมีน้ำมากกว่านี้อาจจะต้องไปช่วงหลังฤดูฝน และถ้าอยากมาพักกางเต้นท์ใกล้ๆกับทะเลสาบดอยเต่าก็สามารถมาติตต่อขอพักได้บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าดอยเต่า ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติแม่ปิง แต่ที่นี่จะไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาในการอำนวยความสะดวก อีกทางเลือกหนึ่งก็คือหาที่พักบริเวณตัวอำเภอดอยเต่า

ส่วนบ้านแม่ป๊อกบน หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่อยู่บนดอยแก้ว หากใครอยากขึ้นไปเที่ยวแนะนำให้ขึ้นไปช่วงฤดูหนาว เพราะเส้นทางจะปลอดภัยที่สุด แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่ขับรถไม่แข็ง เพราะเส้นทางบางช่วงค่อนข้างชัน และไม่ควรนำรถโฟร์วิวขนาดใหญ่ขึ้นไปเพราะอาจจะทำให้ถนนพังได้ สำหรับใครที่ต้องการช่วยเหลือหรือแบ่งบันทางด้านต่างๆก็สามารถติดต่อหลังไมล์เข้ามาพูดคุยกันได้เราจะช่วยแนะนำให้

สุดท้ายก็ขอฝากสำหรับทุกคนที่จะเดินทางมาเที่ยวที่ดอยเต่า ไม่ว่าจะส่วนไหนของดอยเต่าก็ตาม อยากให้ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและเคารพต่อสถานที่นั้นๆ เพื่อให้ที่นี่ยังคงเป็นเหมือนที่เคยเป็น ยังคงความสงบและความเป็นธรรมชาติแบบนี้เอาไว้ตลอดไป "เพราะดอยเต่าไม่ใช่ทางผ่าน"

LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...


สรุปค่าใช้จ่าย :

1. ค่าเดินทาง

- รถทัวร์ไปกลับกทม.-เชียงใหม่ : 1,138฿

- ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์ 2 วัน : 350฿

- ค่าน้ำมัน : 200฿

2. ค่าที่พัก : ฟรี

3. ค่าอาหาร : ตามอัธยาศัย

รวมทั้งสิ้น 1,688 บาท


แวะเข้ามาทักทายกันได้ที่ :

Facebook : LIFE IS A JOURNEY

IG : https://www.instagram.com/lifeisajourneythailand/

Pantip : http://pantip.com/profile/1420383

LOVE & LIFE IS A JOURNEY

 วันพฤหัสที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.45 น.

ความคิดเห็น