ถูกชวนไปร่วมกิจกรรม '2 คืน 3 วัน อัศจรรย์เมืองกาญจน์' จาก Pantip ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากก็ตอบตกลงไปอย่างคนใจง่าย ถ้าเอาเรื่องเที่ยวมาหลอกจับเราไปขายคงประสบความสำเร็จ (แต่น่าจะขายไม่ออก) มารู้รายละเอียดเพิ่มเติมทีหลังว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกันจัดกิจกรรมนี้ โดยเลือกให้เราไปชมมหัศจรรย์ธรรมชาติถ้ำ-น้ำตก เลือกให้ถูกใจสายถึกแบบเรามากๆ ชอบเที่ยวอุทยานแห่งชาติ แถมบางสถานที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ ไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้คงได้เห็นกาญจนบุรีในมุมใหม่ๆ
**เป็นการเข้าไปในพื้นที่วันที่ 16-18 กรกฎาคม 2559 และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเอง
***รูปภาพในกระทู้นี้ถ่ายโดย iPhone 6 & SE และ Sony a5000 + 35f1.8 ใช้ Application, LR ในแต่งรูปเล็กน้อยค่ะ
สามารถเข้าไปชมภาพกิจกรรมนี้ได้ตาม Hashtag ดังนี้
#TATPantip #เที่ยวทั่วไทยเก๋ไก๋ไปกับพันทิป #ท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร
ในส่วนของวันแรกจะเป็นการแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี และ Workshop เกี่ยวกับการถ่ายภาพและการเขียนรีวิว เราชอบกิจกรรมนี้มากจะนำสิ่งที่ได้กลับมาพัฒนาในการเขียนรีวิวให้ดียิ่งขึ้น ^^
มื้อเย็นเป็น buffet จัดไลน์อาหารไว้ริมแม่น้ำแควใหญ่บรรยากาศดีค่ะ มีดนตรีเพราะๆ ให้ฟัง มีของรางวัลแจกเยอะมาก สิ่งที่ประทับใจคืออาหารมื้อนี้ทำให้คนที่เรารู้จักในโลกโซเชี่ยล คนที่เราติดตามผลงาน ได้มารู้จักกันบนโลกแห่งความเป็นจริง ถึงเป็นเวลาเพียงน้อยนิดสำหรับคนที่ชอบอะไรเหมือนกันได้มีโอกาสมาพูดคุยกันสั้นๆ มันคือ ช่วงเวลาที่พิเศษค่ะ ค่ำคืนนี้จบลงด้วยความประทับใจ
เรานอนที่โรงแรม Felix River Kwai Resort ห้องสวยและกว้างมากค่ะ
ปกตินอนแต่เต็นท์ โฮมสเตย์ โฮลเทล มานอนห้องสวยๆ แบบนี้มีความนอนไม่หลับ
สิ่งอำนวยความสะดวก
ด้านหลังห้อง
เช้าวันที่สองของการเดินทางต้องแยกกันไปตามเส้นทางของตัวเอง พี่ไกด์จากหนุ่มสาวทัวร์ทักทายพวกเราตอนไปกินอาหารเช้า พอรู้ว่าเราไปเส้นทางที่ 3 บอกให้เรากินเยอะๆ เดี๋ยวจะหมดพลังงานก่อนถึงจุดหมายปลายทาง หืมมมมม... นี่เรากำลังจะไปดินแดนสนธยาหรือเปล่า???
อ่อ... ลืมบอกไปว่านอกจากเรามากับทีมงานพันทิปและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแล้วยังมีพี่ไกด์น่ารักจากหนุ่มสาวทัวร์มาด้วย เที่ยวกาญจนบุรีมีสาระก็เพราะพี่ไกด์แถมอำนวยความสะดวกให้เราตลอดทริป
มื้อเช้าจัดหนักตามคำแนะนำของพี่ไกด์กลัวไม่อยู่ท้องจัดข้าวไปอีกคนละจาน จะเดินไม่ถึงจุดหมายเพราะจุกมากกว่า
สถานที่แรกคือถ้ำธารลอด อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์
การเดินทาง
จากบขส.กาญจนบุรี นั่งรถสายบ่อพลอย-หนองปรือ เบอร์รถ 325
รถออกจากบขส. ตั้งแต่ 06.15-15.30 น. ช่วงเช้าจะออกทุก 1 ชม. หลังเที่ยงไปแล้วจะออกทุก 30 นาที
โดยจุดที่รถจะวิ่งไปใกล้ถ้ำธารลอดที่สุด คือ ไปจอดที่แยกท่าลำไย มีวันละ 3 เที่ยว 08.15 น. 12.00 น. และ 14.00 น. รถสามเที่ยวนี้จะไปจอดรอผู้โดยสารที่หนองปรืออีกประมาณ 1 ชม. ก่อนจะไปแยกท่าลำไย เมื่อลงรถที่แยกท่าลำไยแล้วต้องเดินเท้าต่อไปอีก 2 กม. จึงจะถึงถ้ำธารลอด (ไม่มีรถรับจ้าง)
หากไม่อยากรออีก 1 ชม. จากตลาดหนองปรือสามารถให้รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งที่ถ้ำธารลอดได้ (ระยะทางประมาณ 18 กม.)
***ขอขอบคุณข้อมูลการเดินทางจาก ททท.สำนักงานกาญจนบุรีค่ะ***
เส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติมีระยะทาง 2.5 กิโลเมตร (ไปกลับประมาณ 5 กิโลเมตร) เส้นทางนี้จะได้ชมความสวยงามของถ้ำธารลอดน้อย น้ำตกไตรตรึงษ์ และถ้ำธารลอดใหญ่ ข้อแนะนำสำหรับการเดินคือ ควรนำน้ำดื่มติดไปด้วย สวมใส่องเท้าที่รัดกุม เดินในเส้นทางที่จัดไว้ให้เท่านั้น และไม่ควรทิ้งขยะ ขีดเขียน หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการทำลายและรบกวนธรรมชาติ แต่การเดินเท้าศึกษาธรรมชาติครั้งนี้เราจะเดินไปที่วัดป่าธารลอดใหญ่ (เลยถ้ำธารลอดใหญ่ไปหน่อย) เพราะมีรถของทางทีมงานจอดรออยู่ที่วัดทำให้เราไม่ต้องเดินกลับค่ะ สบายไป
ออกจากจุดเริ่มเดินไม่นานก็ถึงถ้ำธารลอดน้อยทางเดินสบายมาก มีไฟให้ความสว่างตลอดทางค่ะ อากาศในถ้ำเย็น มีลำธารไหลผ่านภายในถ้ำเราจึงได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดเวลาที่อยู่ภายในถ้ำ ถ่ายรูปมาได้ไม่มากนักเพราะแสงน้อย รูปเบลอเกือบหมดเพราะเดินไปถ่ายไป
ตว์ที่พบภายในถ้ำมีค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์
จงโคร่ง หรือ หมาน้ำ มีหลายชื่อมีลักษณะคล้ายคางคกเวลาร้องจะคล้ายเสียงหมาเห่า
จงโคร่ง เป็นสัญลักษณ์อยู่บนตราของทางอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์
ตระการตาด้วยหินงอกหินย้อย ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้สวยงาม
บางจุดเรามองเห็นหินย้อยที่มีความระยิบระยับ
ถ้ำธารลอดน้อยมีระยะทาง 300 เมตรค่ะ เดินไม่นานก็จะทะลุมาอีกด้านของถ้ำ จากจุดนี้ไปอีก 2.5 กิโลเมตรจะถึงถ้ำธารลอดใหญ่
เดินมาพอได้เหงื่อ เจอหมุดบอกระยะ หืม...เพิ่งผ่านมาได้ 200 เมตรเอง
ถ่ายติดคนใส่หมวกสีม่วงผูกโบว์เยอะหน่อยนะ น้องสาวเราเองค่ะเพิ่งเคยเดินป่าครั้งแรกเลยให้อยู่ข้างหน้าตลอด
การเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าลูกจากกับลูกชิดไม่ใช่ต้นเดียวกัน ในภาพคือต้นลูกชิดค่ะ
ที่นี่มีเห็ดแชมเปญด้วยค่ะ ถ้าป่ามีความชื้นจะพบได้มากกว่านี้
เดินมาถึงน้ำตกเล็กๆ เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าทางต่อจากนี้ไปจะไม่ใช่ทางเรียบแล้ว ทางขึ้นเขาที่ทางอุทยานฯ ทำไว้ให้เป็นทางที่เดินสะดวก แต่! ไม่สบายเลยค่ะ! ด้วยความชันและความต่อเนื่องของขั้นบันได บวกกับความร้อนในช่วงเที่ยงวัน อย่างที่บอกไปตอนแรก 'น้ำ' จำเป็นมาก
ชันแค่ไหนดูเอาเอง!!!
ความเหนื่อยออกมาทางสีหน้าและแววตา เราบอกให้น้องค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ มันบอก 'เอ็งไปก่อนเลย'
เราพักเหนื่อยกันที่น้ำตกไตรตรึงษ์ ความจริงก็พักมาเรื่อยๆ น้ำยังมีไม่มาก
อย่าคิดว่าความเหนื่อยมันจะจบลงแค่นี้! ยังมาทางชันอีกค่ะ
จนกว่าจะมาถึงจุดชมวิว พักเหนื่อยกันเป็นรอบสุดท้ายก่อนถึงถ้ำธารลอดใหญ่
จากนี้ก็เป็นทางลงบวกกับทางราบแล้วค่ะ ไม่ต้องใช้แรงเยอะ แต่ต้องปรับสภาพร่างกายนิดนึงเดินทางชันมาเยอะ เดินทางราบมีความขาสั่น
ก่อนถึงถ้ำธารลอดใหญ่ได้เจอกับครอบครัวหนึ่งเดินสวนมา มีคุณลุงคุณป้าและน้องๆ รวมกันประมาณสี่คน เราเดินสวนกันคุณลุงคุณป้าก็พูดว่า
'หนู...อย่าเดินไปเลยมันเหนื่อย'
ชะงักไป 3 วินาที เลยตอบไปว่า 'หนูเดินกลับก็เหนื่อยเหมือนกันค่ะ'
ขำๆ กันทั้งสองฝ่าย คุณลุงให้กำลังใจเรามีอีกประโยค 'เดินไปเถอะข้างหน้าสวยมาก'
เราแอบได้ยินเขาท้าทายกันในครอบครัวว่า 'ใครเดินถึงเป็นคนสุดท้ายได้เลี้ยงข้าว' เป็นเรื่องน่ารักๆ ระหว่างทางค่ะ
ถ้ำธารลอดใหญ่ ใหญ่สมชื่อค่ะ ลักษณ์เป็นห้องโถงกว้างๆ ตรงกลางถ้ำมีปล่องขนาดใหญ่ ระยะเลนส์ที่หยิบไปไม่สามารถเก็บได้หมด ใช้มือถือถ่ายก็ไม่สวยเท่าตาเห็น ธรรมชาติคงสร้างสรรค์ไว้เพื่อให้มาดูด้วยตาตัวเอง
ถายในถ้ำมีพระพุทธรูป บางองค์แกะสลักจากไม้ ตามคำบอกเล่าของพี่สมควร
ที่นี่จะมีพระธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยอยู่บ้าง หินที่เรียงเป็นทางยาวๆ พี่สมควรบอกว่าเป็นทางเดินจงกรมค่ะ
ภายในถ้ำธารลอดใหญ่เคยพบหลุมฝังศพและโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นเศษเครื่องมือเครื่องใช้อยู่ในบริเวณถ้ำ
ออกจากถ้ำธารลอดใหญ่เดินทางเรียบไปไม่ไกล พบกับวัดป่าธารลอดใหญ่ พวกเราทานมื้อเที่ยงกันที่นี่เป็นข้าวห่อเมนูง่ายๆ
พี่จาก ททท. เลี้ยงไอติมพวกเราด้วย เดินมาเหนื่อยๆ ได้กินแล้วมันชื่นใจ แถวบ้านเรียกว่า "ไอติมตัด" ชวนให้คิดถึงอดีต
สถานที่ต่อมาคือชุมชนชาวกระเหรี่ยงบ้านเขาเหล็ก ที่นี่มีโฮมสเตย์หลักร้อยไว้บริการ
ถ้ามาถูกช่วงในหมู่บ้านจะมีพิธีของชาวกระเหรี่ยงให้ได้เรียนรู้
ในหมู่บ้านแต่งแต้มไปด้วยสีสันของดอกไม้
เป็นความรู้ใหม่อีกอย่าง ว่าที่กาญจนบุรีมีบริการแพขนานยนต์ด้วย ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้น ถ้าบอกว่าเรือ Ferry ที่สามารถพารถยนต์ข้ามฟากได้ พอนึกภาพออกใช่ไหม มีอีกชื่อสั้นๆ ว่า 'แทงค์' ซึงการนำรถยนต์ลงแพขนานยนต์สามารถย่นระยะทางไปจุดหมายปลายทางได้เกือบ 30 กิโลเมตร แถมได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามของเขื่อนศรีนครินทร์อีกด้วย
ทานมื้อเย็นที่ร้านแควใหญ่ ช่วงเวลานี้นอกจากจะเพลิดเพลินกับอาหารแล้ว ยังสนุกสนานต่อการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทริป เป็นช่วงเวลาที่เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น อาหารรสชาติอร่อยทุกอย่าง ต้มยำปลาคังเนื้อเด้งและรสจัดมาก เมนูที่ปลื้มที่สุดชื่อผัดผักกูด
คืนนี้เราพักเหนื่อยกันที่ จันทรา รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทเล็กๆ เรียบง่ายอยู่ใกล้แม่น้ำแควใหญ่และน้ำตกเอราวัณ เจ้าของและพนักงานบริการดีมากค่ะ แต่แอร์ในห้องเย็นช้ามาก มาหนาวช่วงดึกๆ ห่มผ้ามีสั่นค่ะ
เมื่อคืนหลับเป็นตายแถมอาการปวดขาเล็กน้อย เพราะห่างหายจากการออกกำลังกายมามากพอสมควร โปรแกรมวันนี้เราจะไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นหนึ่งในน้ำตกที่เราต้องมาให้ได้ เห็นรูปจากใน Internet สวยงามมากๆ โดยเฉพาะชั้นที่ 4 มีทั้งหมด 7 ชั้น
ลานจอดรถ ลานกางเต็นท์และร้านอาหารอยู่ที่น้ำตกชั้น 4 เรามีเวลาไม่พอที่จะเดินทั้ง 7 ชั้น ต้องเลือกว่าจะเดินขึ้นหรือเดินลง แน่นอนว่าเราเลือกเดินขึ้นค่ะ
ก่อนอื่นไปดูน้ำตกชั้นที่เราใฝ่ฝันก่อนดีกว่า
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นชั้น 4 ฉัตรแก้ว
เราอกหักรุนแรงมาก เพราะช่วงนี้น้ำน้อย มีน้ำเฉพาะบางชั้นเท่านั้น เที่ยวเมืองไทยเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครจริงๆ แต่เราเชื่อตลอดว่า ธรรมชาติยังสวยงามเสมอ และชีวิตก็ต้องก้าวต่อไปเหมือนตอนนี้ค่ะ ต้องก้าวไปชั้นที่ 5
ก่อนเข้าไปยังน้ำตกชั้นที่ 5 งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปนะคะ
ทางเดินสะดวกสบายมากจนแอบกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ไม่ลืมเผื่อใจเอาไว้
ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง ไม่รู้หลงไปไหนหมด ToT ชั้นนี้มีความพิเศษตรงที่ว่าน้ำจะไหลลงโพรง เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "หลุมยุบ"
ความสวยงามระหว่างทาง สีสันเล็กๆ ในผืนป่า
เห็ดในรูปนี้คือเห็ดร่างแห มีตาข่ายคล้ายสุ่มกระโปรง ซึ่งจะเปลี่ยนรูปร่างไปทุกสองสามชั่วโมง สีขาวทานได้ถึงแม้กลิ่นมันจะไม่น่าพิศมัย มีอีกชื่อว่าเห็ดเยื่อไผ่ แต่! เห็ดร่างแหไม่ใช่ว่าจะกินได้ทุกอันนะคะ สีส้ม สีเหลืองกินไม่ได้นะ
ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ ชั้นนี้น้ำเยอะ ขาตั้งกล้องที่แบกมาได้ใช้เสียที
ไปต่อที่ชั้นสุดท้าย ระหว่างทางมีบันไดเล็กๆ ให้พอตื่นเต้น ตั้งแต่เมื่อวานเจอบันไดที่ไหนแล้วรู้สึกหวีด
ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า ชั้นนี้มีน้ำมากกว่าทุกๆ ชั้นที่ผ่านมา น้ำจะออกเป็นสีเขียวอมฟ้า
ถ้าเทียบกันระหว่างน้ำตกเอราวัณกับน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ชั้น 4-7) ว่าที่ไหนเดินเหนื่อยกว่า ขอตอบว่าน้ำตกเอราวัณค่ะ อ่านกระทู้เก่าๆ ที่เราเคยรีวิวไว้ได้นะ
v
v
v
One day trip พิชิตน้ำตกเอราวัณ (คนเดียวก็เที่ยวได้ ไม่มีรถส่วนตัวก็ไปได้)
เรารีบเดินกลับมาเผื่อจะพอมีเวลาเดินลงไปเก็บชั้น 1-3 แต่ก็ไม่ทัน มีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์หลายจุด ลานกางเต็นท์บริเวณจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นวิวสวยมากค่ะ
ร้านอาหารสวัสดิการต้องแลกคูปองก่อน อาหารตามสั่งเมนูราดข้าวราคา ณ วันที่ไปอยู่ที่ 35-40 บาท ร้านค้ามีเยอะ ของทอด น้ำปั่น น้ำอัดลม ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ มีครบ
อ่อ...ตั้งแต่การเดินทางสัญญาณโทรศัพท์มีเป็นช่วงๆ แต่พอเดินขึ้นน้ำตกสัญญาณหายเลยค่ะ เราใช้เครือข่ายที่เป็นตัวเลขสีเขียว น้องสาวใช้เครือข่ายสีแดงก็ไม่มีค่ะ ถ้าไม่เกาะกลุ่มกันไว้อาจจะติดต่อกันลำบากหน่อย
ที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมีความผิดหวังเล็กๆ สำหรับเราธรรมชาติยังไงก็สวยงามเสมอ จะมากหรือน้อยก็ต้องมาให้ถูกที่ถูกเวลา
ปิดทริปด้วยการมาเติมพลังที่ร้านอาหารเรือนธารา
เส้นทางที่ 3 ชมมหัศจรรย์ถ้ำ-น้ำตก เราเก็บมาได้อีก 2 อุทยานแห่งชาติ ^^
เราเคยไปกาญจนบุรีหลายครั้งแล้ว เที่ยวไม่ซ้ำกันสักครั้งและครั้งนี้ก็เช่นกันเราได้เห็นกาญจนบุรีในมุมใหม่ ถ้าใครชอบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติสั้นๆ ลุยๆ หน่อย อีกทั้งยังได้สัมผัสความงามที่ธรรมชาติใช้เวลาสร้างสรรค์มายาวนาน มีน้ำตกเย็นๆ ให้เล่น นักท่องเที่ยวไม่มากสามารถหาความเงียบสงบได้จากถ้ำธารลอดน้อยและถ้ำธารลอดใหญ่ หรืออยากเดินเบาๆ กางเต็นท์สบายๆ สัมผัสความสวยงามของน้ำตกใกล้ๆ แม่ห้วยขมิ้นก็ตอบโจทย์ค่ะ กาญจนบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายรอให้ไปสัมผัส มาเที่ยวสิบครั้งก็คงไม่ซ้ำกัน
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ขึ้นมา มีความสุขมากตลอด 2 คืน 3 วัน ทั้งได้รับความรู้และเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการท่องเที่ยว มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมทริป ประสบการณ์ในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวและการเขียนรีวิวต่อไปค่ะ
แป้งเจอนี่เจอนั่น
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 07.53 น.