การเดินทางมาประเทศที่มีจำนวนประชากรแกะมากกว่ามนุษย์ครั้งแรกของผมคนเดียว เกิดขึ้นนานๆ ๆ ๆ ย้อนกลับไปปี 2010 ช่วงกลางปี ประเทศนี้อยู่ใกล้กับประเทศออสเตรเลีย ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ คือเกาะเหนือ และเกาะใต้ ซึ่งผมได้มีโอกาสมาเรียนภาษาอังกฤษที่ kaplan international english เมือง christchurch ซึ่งอยู่เกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์
ระหว่างที่เรียนก็ได้มีเพื่อนจากหลายๆ ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เยอะจริงๆ เพราะที่นิวซีแลนด์มีค่าครองชีพที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ขอข้ามเหตุการณ์ที่ใช้เวลาที่นั่นมาหลายเดือนมาจนเหลือประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนจะกลับเมืองไทย เนื่องจากเป็นคนชอบเดินทาง เลยตัดสินใจเดินทางคนเดียว และแผนของผมคือ นั่งเครื่องบินจากเมือง christchurch ขึ้นไปลงที่เมือง Auckland ซึ่งเมือง Auckland ไม่ใช่เมืองหลวง แต่เปรียบเสมือนเมือง new york ของอเมริกา
หลังจากที่เครื่องบินแตะพื้นที่เมือง Auckland ภารกิจแรกของผมคือเติมพลังงานซิครับ แต่หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้สัมผัสอาหารไทยเลย พอเดินไปเรื่อยๆ ในเมืองเจอร้านอาหารไทย ก็ขอลองหน่อยละกัน
ข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาว ฟินๆๆ
เมื่อหนังท้องตึง ผมก็รีบเดินทางไปเช็กอินเข้าที่พัก ซึ่งที่พักที่จองไว้เป็นแบบ backpacker คือจะต้องแชร์ห้องกับคนอื่น ห้องน้ำรวม สไตล์ Hostel
นี่ครับที่พัก ACB Auckland ผมต้องพักที่นี่ 1 คืนครับ หลังจากเช็กอิน เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินตะลอน ในเมืองที่มีผู้คนมากมาย พอๆ กับกรุงเทพของเราเลย
หอคอย sky tower เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะขึ้นไป
เดินชมเมืองตอนกลางคืน อากาศค่อนข้างหนาวมากๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาว ผมไม่สามารถต้านทานความหนาวแบบนี้ได้ ประกอบกับเริ่มเหนื่อยล้ากับการเดิน เดินอย่างเดียวครับ และที่สำหรับพรุ่งนี้ผมจะต้องทำภารกิจสำคัญ ที่มาประเทศนิวซีแลนด์แล้วต้องลองสักครั้ง นั่นคือการกระโดดบันจี้จัมพ์ใต้สะพาน Auckland และเเพ็กเกจที่ผมจองไว้ ตามภาพเลยครับ
ใช่ครับ มันคือซื้อ 1 แถม 1 นั่นหมายถึงผมได้กระโดดบันจี้จัมพ์ถึง 2 ครั้ง แค่คิดก็มันแล้ว สำหรับคืนนี้ ขอตัวไปนอนก่อน เตรียมแรง เตรียมใจไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ตื่นเช้ามารู้สึกว่านอนไม่ค่อยหลับ เพราะอาการตื่นเต้นๆ แม้ว่าตอนเด็กๆ อาจจะเคยกระโดดหอสูงมาแล้ว ทั้งงานวันเด็กที่ค่ายธนะรัชต์ และตอนเรียน ร.ด.
สภาพห้องนอนแบบรวมครับ ผมนอนเตียงด้านบน ส่วน 3 เตียงเป็นนักท่องเที่ยวชาว scotland
แต่ครั้งนี้มันรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เวลาประมาณ 7 โมงเช้า ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะระยะทางจากโรงแรมถึงบริเวณใต้สะพาน Auckland ค่อนข้างไกล และผมต้องเดินด้วยเท้าทั้งสอง เมื่อผมเดินมาถึงบริเวณจุดบริการนักท่องเที่ยว ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที เหนื่อยเอาเรื่องเลยขอนั่งพักสักหน่อย เมื่อหายเหนื่อย ก็เข้าไปในออฟฟิศก็เจอกับเจ้าหน้าที่ชายร่างใหญ่ พูดด้วยสำเนียงกีวี่ ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องครับ แต่ก็พอเดาออก ผมต้องเซ็นเอกสารต่างๆ มากมาย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าการที่เราจะต้องมาทำกิจกรรมแบบนี้ เจ้าหน้าที่จะต้องให้ผู้ที่จะกระโดดเซ็นรับรองว่า เต็มใจกระโดด ไม่ได้ถูกบังคับเพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพเพราะตื่นเต้นมากๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามว่า คุณมาจากประเทศอะไร ผมบอกว่า ประเทศไทยครับ เจ้าหน้าที่ทำหน้าประหลาดใจ เพราะว่าไม่ค่อยมีคนไทยมาทำอะไรแบบนี้ เมื่อเรื่องเอกสารเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเตรียมตัวเดินขึ้นไปบริเวณใต้สะพาน Auckland ในการกระโดดครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ตัวผมคนเดียว มีชาวอเมริกัน ชาวอังกฤษ ชาวออสเตรเลีย มาร่วมทริปด้วย
สะพาน Auckland ซึ่งบริเวณใต้สะพานคือที่กระโดดบันจี้จัมพ์
หลังจากเจ้าหน้าที่ได้แนะนำขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุด กลุ่มของเราก็เริ่มเดินทางจากตีนสะพานตามทางไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งสูง ยิ่งเดินยิ่งสูง สูงเรื่อยๆ อาการของผมเริ่มออกครับ คือมือเริ่มสั่น หัวใจเต้นแรง พร้อมกับเสียงรถเคลื่อนที่ผ่านด้านบนสะพาน ดังตึงๆ แต่ก็ต้องรักษาหน้าชาวไทยไว้หน่อย ในที่สุดเมื่อเดินมาถึงจุดกระโดด เจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อทีละคนๆ คนแรกคือชาวอเมริกัน ซึ่งระหว่างเดินผมได้พูดคุย ก็ได้รู้ว่าคนอเมริกันคนนี้เป็นนักกระโดดบันจี้จัมพ์มืออาชีพ ซึ่งเขาบอกว่าเดินทางไปทั่วโลกเพื่อกระโดดบันจี้จัมพ์ และสำหรับที่ Auckland ยังไม่ใช่ที่สุดของบันจี้จัมพ์ ถ้าให้หวาดเสียวที่สุดต้องไปที่ Bungy Jumping & Canyon Swings Queenstown เมือง Queenstown อยู่ทางตอนใต้
credit:https://www.bookme.co.nz/things-to-do/queenstown/activities/adventure/bungy-jumping
นี่แค่ธรรมดานะ ทำไมผมเริ่มหวั่นๆ กลัวๆ อย่างบอกไม่ถูกครับ อาการที่ไม่สามารถบรรยายได้ ทั้งกลัว ทั้งเสียดายตังค์ เมื่อคนแรกชาวอเมริกันขึ้นไปนั่งเตรียมผูกเชือกที่ข้อเท้าทั้งสอง หัวใจผมยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีก เพราะคิวต่อไปคือผมเอง ผมมองสังเกตคนแรกอย่างไม่กระพริบตา (จำชื่อไม่ได้) ทุกขั้นตอนพยายามจำให้ได้ เมื่อชาวอเมริกันก้าวเท้าลงมาไปยังบริเวณขอบทาง หรือจุดที่เราต้องกระโดด เจ้าหน้าที่บอกว่าให้มองไปที่กล้องเพื่อถ่ายภาพเท่ๆ ก่อนจะกระโดด จากนั้นนับ 1-3 ไม่ทันถึง 3 มันกระโดดพุ่งลงไปยังกับกระโดดสระว่ายน้ำ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ทุกสายตามองตามลงไปยังข้างล่าง เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ถึงด้านล่าง จากนั้นเจ้าหน้าที่จะดึงเชือกขึ้นมา(ใช้เครื่องดึงนะ) สำหรับคนที่กระโดดลงไปให้กระตุกเชือกที่ข้อเท้าเพื่อพลิกตัวกลับมาตำแหน่งเดิม ไม่ให้ห้อยหัว จากนั้นผมก็ได้ยินเสียง "Who's next" ผมก็ยกมือแล้วก็เดินขึ้นไปบนแท่นนั่ง สำหรับผูกข้อเท้า ณ ตอนนี้ อาการต่างๆ กลับมาอีกครั้ง กลัว ตื่นเต้น อยากตะโกนออกมาเป็นภาษาไทย ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด เจ้าหน้าที่ก็บอกวิธีต่างๆ เพื่อความปลอดภัย ถึงเวลาของผมแล้ว "step forward" เจ้าหน้าที่บอกกับผม
ก่อนจะโดดขอภาพเท่ๆ ซะหน่อย และเมื่อเจ้าหน้าที่นับ 1-3 จบ ผมเกิดอาการนิ่งครับ มองลงไปข้างล่าง เจ้าหน้าที่นับอีก 1-2 and 3 เป็นครั้งที่สอง ผมก็ยังไม่ได้กระโดด จนตอนนี้ทุกคนเริ่มส่งเสียงมาที่ผม "come on bird come on bird you can do it" หลังจากคำนี้ผมตัดสินใจกระโดดลงไปทันที เมื่อปลายเท้าผมหลุดออกจากที่ยืน ความรู้สึกแรกมันคือความหวิว เสียวท้องไส้ เหมือนเวลาขับรถลงเนิน ภาพ ณ ตอนนี้มันเร็วมาก จำอะไรแทบไม่ได้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้หลับตา ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาทีตัวของผมก็ลงมาถึงปลายสุดด้านล่าง เชือกก็หดตัวลงตัวผมกระเด้งขึ้นลงๆ ความรู้สึกมันเหมือนได้ปลดปล่อยความกลัวต่างๆ ตัวของผมห้อยไปมาอยู่สักพัก ผมก็กระตุกเชือกที่ปลายเท้าเพื่อพลิกตัวกลับมาตำแหน่งเดิม
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ดึงตัวผมขึ้นไปด้านบน เพื่อรอการกระโดดครั้งที่สอง เพราะโปรโมชั่นวันนี้ ซื้อ 1 ฟรี 1 ถามว่าต้องการของฟรีไหม? ตอบได้เลยว่าไม่ต้องการ แต่เมื่อมาถึงหน้างานแบบนี้ คนไทยหรือจะปฏิเสธ เมื่อแต่ละคนในกลุ่มได้กระโดดรอบแรกกันครบ ก็มาถึงรอบที่สอง ครั้งนี้เจ้าหน้าที่บอกว่า คุณสามารถเลือกเองว่าจะกระโดดท่าทางแบบไหน ซึ่งคนแรกกระโดดด้วยท่าทางลักษณะเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนอากาศ แล้วก็ร่วงลงไปเลย มาถึงคิวของผม ซึ่งผมได้คิดไว้แล้วว่าครั้งที่สองจะกระโดดท่าหันหลัง การกระโดดครั้งที่สองหลายคนอาจจะคิดว่ามันจะง่ายขึ้น แต่ความจริงแล้วมันเหมือนเดิมครับ ตื่นเต้น กลัว สั่น เจ้าหน้าที่ถามว่า "You wanna touch water? " ผมตอบดังๆ ว่า Yes! สำหรับท่าหันหลังลง เจ้าหน้าที่จะเป็นคนปล่อยเชือกเราเอง หมายความว่าชีวิตผมขึ้นอยู่กับมือเจ้าหน้าที่ล้วนๆ เมื่อผมมายืนประจำตำแหน่งเรียบร้อย เจ้าหน้าที่บอกให้กางแขนออก แล้วถ่ายภาพก่อนกระโดด
ดูจากท่าทางแล้ว ตลกตัวเองมากๆ ณ ตอนนั้นกลัวมากๆ แต่มันต้องทำแล้ว หลังจากถ่ายภาพเสร็จ เจ้าหน้าที่นับ 1-3 เขาบอกว่าให้ปล่อยมือ แต่ผมไม่ปล่อยแล้วตอบกลับว่า wait wait! ทุกคนที่มาตะโกนให้กำลังใจอีกครั้ง ผมค่อยๆ ปล่อยมือทั้งสองให้เป็นอิสระ ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ (คนในรูปนี่แหละ) รีบปล่อยเชือกทันทีโดยไม่ต้องนับเลย ไม่ทันได้เตรียมตัว ตัวของผมค่อยๆ เลื่อนต่ำลงๆ ภาพที่เห็นตอนนี้คือทุกคนตะโกนด้วยความสะใจ ความรู้สึกตอนนี้มันล่องลอยไปในอากาศ เหมือนเพลง ลาลาลอยนั่นแหละ มันหวิวๆ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที ตัวของผมก็ได้สัมผัสกับน้ำทะเลที่เย็นมาก จมลงไปครึ่งตัว แทบไม่ได้หายใจ มันเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกกลัวอีกครั้ง
หลังจากกลับมาที่พักเรียบร้อยผมทำการเช็กเอาท์ เพื่อจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่อยังในเมือง แล้วช่วงเย็นจะต้องนั่งรถไฟไปยังเมืองหลวงคือ wellington อยู่ทางใต้ของเกาะเหนือ แล้วต่อด้วยนั่งเรือขนส่งสินค้าข้ามจากเกาะเหนือลงมาเกาะใต้ เพื่อกลับมาที่เมือง christchurch
Rotorua เมืองแห่งน้ำแร่ น้ำพุร้อน และบ่อโคลนเดือด โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ริมทะเลสาบโรโตรัว ซึ่งได้รับสมญานามว่า"เมืองแห่งซัลเฟอร์" (Sulphur City) นอกจากนี้แล้วเมืองโรโตรัวยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ำกันมากที่สุดในโลกไม่ว่าจะเป็นทัศนียภาพอันงดงามจากภูเขาไฟ ทะเลสาบ และวัฒนธรรมอันดั้งเดิม
Bird Thanapong
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.58 น.