*** แวะมา Update ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ลองโทรไปถามที่พักเทพสถิตวิลล์มาไม่มีรถมอเตอร์ไซด์ให้เช่าแล้วนะคะ

ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในฤดูฝน...ต้องไม่พลาดที่นี่ "ทุ่งดอกระเจียว จ.ชัยภูมิ"
ดอกกระเจียว หรืออีกชื่อหนึ่ง "บัวสวรรค์" ดอกสีชมพูอมม่วงราชินีแห่งป่าฝน
ในปีหนึ่งดอกกระเจียวจะบานปีละประมาณ 2 เดือน
ปีนี้ที่จังหวัดชัยภูมิจัดงานชมดอกกระเจียวช่วง เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม แต่เราเพิ่งจะมีเวลาว่างช่วงต้นเดือนกันยายนไง TT โชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้างเพราะปีนี้ฝนมาช้า ดอกกระเจียวก็เลยบานช้าเช่นกัน เราโทรไปถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ พี่เขาบอกว่ายังมีอยู่แต่เริ่มเหี่ยวแล้ว 'ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์คะ?' 'ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ครับ' เราตัดสินใจไปค่ะ

เริ่มต้นการเดินทางที่สวนจตุจักร รถตู้เทพสถิตทัวร์ ท่ารถอยู่ตรงจตุจักรประตูสี่ (เดินเลย JJ Green มาหน่อยนึง)
ค่ารถคนละ 200 จากกรุงเทพฯ รถมีตั้งแต่ 07.30 - 20.00 (0899468279)
ส่วนทางชัยภูมิมีรถตั้งแต่ 06.00 - 18.00 (0806611897) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงค่ะ

บอกพี่คนขับว่าลงเทพสถิตวิลล์ คือที่พักของเราในทริปนี้ รถตู้ผ่านหน้าที่พักเลยค่ะ
เทพสถิตวิลล์ห่างจากทุ่งดอกกระเจียวค่อนข้างไกลอยู่นะ แต่สาเหตุที่เราเลือกพักที่นี่เพราะมีมอเตอร์ไซค์ให้เช่า
ถ้าใครมีข้อมูลที่พักใกล้ๆ ทุ่งดอกกระเจียวและมีมอไซค์ให้เช่าแนะนำได้นะคะ
ราคาที่พักก็โอเคมากๆ เราเลือกห้องที่ถูกที่สุดคือ 400 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้า 2 คน
ห้องพักมีหลายแบบ เป็นบ้านทรงตอไม้ก็มี ราคาอยู่ที่ 650-700 บาทต่อคืน ลองเข้าไปดูได้ในเว็บฯ นี้ http://www.thepsatitview.com
อ่อ...ที่นี่มีสวนน้ำด้วยนะคะ ผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 40 บาท แต่เราไม่ได้เข้าไปเล่นนะ เพราะไม่ใช่เป้าหมายในทริปนี้ ^^
ข้อมูลอื่นๆ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ 044855288

นี่คือหน้าตาที่พักคืนละ 400 มีเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี พร้อมอาหารเช้า

แค่นี้ก็นอนสบายล่ะความจริงอยากไปกางเต็นท์นอนแหละ แต่ก็กลัวนอนตากฝนไง (แล้วก็ตกจริงๆ ด้วย)

ข้างหน้าห้องพักจะมองเห็นเขาพนมโดม รูปทรงแปลกๆ พอจะเป็นฟูจิชัยภูมิได้ไหม? ^^

เขาพนมโดมในช่วงเวลาที่ต่างออกไป...

พอเข้าห้องพักได้ก็เปิดแอร์นอนยาวเลย...วันนี้ไม่มีแผนไปไหน ขอเก็บแรงก่อนเพราะพรุ่งนี้ลุยหนักเลย

ตื่นมาหิวมากๆ ตอนนั่งรถมาเห็นมีตลาดนัดอยู่ใกล้ๆ ที่พัก ของกินตลาดนัดเหมือนบ้านเราเนี่ยแหละ แต่ของกินน่ากินมากกกกกก ถูกด้วย ปาท่องโก๋ใส่ไส้ ไส้กรอกอีสานลูกกลมๆ ที่แถวบ้านเราขายลูกละบาท แต่นี่ที่ลูกเต่งตึงมาก อร่อยอีกด้วยซื้อ 20 บาทได้เยอะอีกต่างหาก ^^

หอบของกินกลับมาเพียบ มาสั่งข้าวกินที่ที่พัก (แล้วเมื่อกี้ไปตลาดทำไมก่อน?)

อาหารจานเดี่ยวก็มีนะ เราสั่งผัดพริกแกงทะเลไข่ดาวมา 2 จาน 140 บาท ไปเจอของถูกกลับมากินของแพง ดี๊ดี!

เมื่อคืนตั้งนาฬิกาปลุกไว้...จะตื่นมาสูดอากาศยามเช้า
อาบน้ำแต่งตัวไปนั่งรอกินอาหารเช้าตั้งแต่ 07.00 (อาหารเช้าที่นี่เริ่มตั้งแต่ 07.00-10.00)
นาฬิกาปลุกตามหน้าที่ เราลุกออกจาผ้าห่มอุ่นๆ เปิดประตูออกไป อุ๊ย! อากาศเย็นอ่ะ มีหมอกบางๆ ด้วย
ฉากต่อมาคือ เดินกลับมาแล้วล้มตัวลงนอนต่อแบบไม่รู้ตัว
สรุป! เก้าโมงกว่า ถึงออกมานั่งกินอาหารเช้า TT ไม่เป็นไรเนอะ แผนการท่องเที่ยวปรับเปลี่ยนได้เสมอ (ปลอบใจตัวเองแป๊ป!)

อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือก 2 อย่าง คือ ข้าวต้มหมู กับ ชุดอาหารเช้า
มีกาแฟ กับ ขนมปัง ให้บริการตัวเอง หน้าตาอาหารเป็นแบบนี้!

กินอาหารเช้าเรียบร้อยก็ไปรับกุญแจรถมอเตอร์ไซด์ที่ติดต่อขอเช่าจากทางที่พักไว้

พนักงานย้ำว่าวันละ 500 บาท เขาจะเติมน้ำมันมาให้เราเต็มถัง ตอนคืนรถวันพรุ่งนี้เราก็เติมกลับให้เขาเต็มถังเหมือนเดิม

เดี๋ยวรายละเอียดค่าใช้จ่ายจะสรุปให้ท้ายรีวิวอีกทีนะคะ ^^

ได้มอ'ไซค์มาเราก็ถ่ายรูปไว้ทุกซอกทุกมุมเลย ตำหนิต่างๆ เป็นหลักฐานเซฟตัวเองนะคะ

จุดหมายแรกที่เราจะไปในวันนี้คือ ทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง

ที่นี่นอกจากดอกกระเจียวสีชมพูแล้ว ยังมีสีขาวด้วยนะ!

ดูจากแผนที่ ไป-กลับ ร้อยกว่ากิโลฯ เลย ดังนั้นอย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม ทากันแดด หมวก เสื้อกันแดด เสื้อกันฝน

พร้อมแล้วก็ลุย! เราออกเดินทาง 10.20 น. นี่คือเช้าของเราแล้วใช่ไหม!

อากาศเย็นๆ แดดแอบแรงนะ สายถึกและบึกบึนแบบเราพอที่จะขี่มอเตอร์ไซด์ไกลๆ ได้อยู่แหละ

สองข้างทางเป็นเนินไร่มัน สลับกับนาข้าวเขียวๆ เราได้ยินแฟนเราสูดหายใจเต็มปอด

ลองมั่ง... เฮ้ย มันสดชื่นอ่ะ อากาศมันสดชื่นมากๆ ตลอดทริปเราสูดอากาศเต็มปอดบ่อยมากค่ะ

เราใช้ Google Map นำทาง จำไม่ได้ว่าถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติไทรทองเมื่อไหร่ แต่เมื่อยและชาตูดมาก

เสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 20 บาท แต่ในตั๋วเขียนว่า 30 บาทอ่ะ รวมแล้วเราจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ 100 บาท แวะเข้ามาประทับตราปั้มในสมุด Passport ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ และสอบถามข้อมูลในการเดินทางต่อไป พี่เจ้าหน้าที่ถามว่ามารถอะไร เราบอกว่ารถมอเตอร์ไซด์ เขาบอกว่าขี่ข้ามลำธารไปได้เลย แต่ถ้าใครมารถเก๋งเตี้ยๆ ทางอุทยานฯ จะมีบริการรถกระบะเข้าไปส่ง

ราคาอยู่ที่คนละ 80 บาท แต่ราคานี้ต้องเป็น 8 คนขึ้นไปนะคะ รถถึงจะออกและช่วงที่เราไปนักท่องเที่ยวน้อยมาก เลยถามราคาเหมา 400 กว่าบาท จำราคาเป๊ะๆ ไม่ได้ เพราะสมองไปหยุดที่คำว่า 'ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามลำธาร'

จะขี่ข้ามไปยังไง! ความสูงของน้ำครึ่งล้อรถกระบะ! ถ้าต้องรอคนครบ 8 คน คงไม่ได้ไปแน่ๆ

เอาวะ! ขี่ไปประเมินสถานการณ์ก่อนว่าสามารถขี่ข้ามได้ไหม?

แฟนบอกว่าข้ามได้ แต่! ต้องให้เราเดินนำเพื่อหาเส้นทางที่ตื้นที่สุด

และแล้วเราก็สามารถนำรถมอเตอร์ไซค์ข้ามมาได้อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ดับ หุหุ

พอถึงอีกฝั่ง สายตาก็ไปสะดุดกับสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง

เราชอบสีนี้ที่สุด ^^

ซูมสุดๆ เลย ถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง และไม่อยากรบกวนน้องผีเสื้อด้วย เลยขอไปต่อ...

เยอะมากๆ เป็นครั้งแรกที่เจอผีเสื้อเยอะขนาดนี้ ถ้ามารถกระบะคงไม่ได้มีโอกาสแวะดู

ความสุข...บางทีมันก็อยู่ระหว่างทาง ^^

มาถึงจุดเริ่มต้นในเดิน บรรยากาศเงียบมาก มีแต่เจ้าหน้าที่ กับ ร้านขายเสื้อและของที่ระลึก เราเดินไปซื้อน้ำจากเจ้าหน้าที่ สอบถามว่าดอกกระเจียวมีตรงจุดไหนบ้าง เจ้าหน้าที่บอกว่าทุ่ง 1 มีเยอะสุด เดินไกลหน่อยนะ ประมาณ 5 กิโลฯ

เฮ้ย! 5 กิโลฯ เองจิ๊บๆ ซื้อน้ำมา 2 ขวดก็ลุยกันเล้ยยยยยย!!!

จุดแรกที่เจอคือ 'ผาพ่อเมือง' มองลงไปด้านล่าง...บ้านหลังเล็กๆ เหมือนของเล่นเลย... ป.ล. น้ำขวดแรกเราหมดตรงนี้แหละ เก็บขวดเปล่าใส่กระเป๋ากลับออกมาด้วยนะ

จุดต่อมาคือ 'ผาหำหด'

ระมัดระวังในการถ่ายภาพด้วยนะคะ อย่าสนุกจนลืมความปลอดถัย ตรงนี้มีคำเตือนด้วยว่า ห้ามไปอยู่ตรงปลายหินมากกว่า 3 คน!

แต่เรามา 2 คน ไปนั่งด้วยกันได้เนอะ ><

จุดต่อไปเรามุ่งไปที่ 'ดอกกระเจียวทุ่งที่ 1' เลย ระหว่างทางทุ่ง 3 ทุ่ง 2 มีดอกกระเจียวให้เห็นน้อยมาก อากาศเริ่มร้อนล่ะ เราสองคนก็เริ่มหิวแล้วด้วย ข้าวต้ม กับ ไส้กรอก ขนมปังมันน่าจะเผาผลาญหมดไปตั้งแต่ตอนขี่รถมา

ระหว่างทางที่เดิน...ลองก้มหน้าดูที่พื้นดิน แดดส่องลงมากระทบกับทราย ระยิบระยับไปหมด

รอบตัวมีแต่เสียงแมลงร้อง เหมือนที่นี่มีแต่เราแค่สองคนเลย มันก็สนุกดีแหละมาเที่ยวแบบนี้ด้วยกันสองคน เดินแกล้งกัน ปล่อยมุกเสี่ยวใส่กัน เหมือนได้มาอยู่อีกที่หนึ่ง คนละแบบกับในชีวิตประจำวัน ใจเราจดจ่อกับการเดินและทุ่งดอกกระเจียวมากๆ มากจนเราไม่ทันคิดว่าเราลืมอะไรไป! ในที่สุดเราก็เดินมาถึงดอกกระเจียวทุ่งที่ 1 แดดแรงแล้ว เราหาที่นั่งพักที่มีร่มเงาจากต้นไม้เพื่อลดแสงแดด ขนาดมาตอนที่ดอกกระเจียวเริ่มเหี่ยวแล้วเรายังว่าสวยเลย ลักษณะทุ่งเป็นเนินลาดลงไปสามารถมองเห็นวิวข้างล่างได้ด้วย

จะมีทางให้เดิน และป้ายเตือนว่าห้ามเดินเข้าไปในทุ่ง

แต่ก็มีนักท่องเที่ยวที่อ่านหนังสือไม่ออก เดินตัดทุ่งเลย -_-

ปีหน้าไปก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ อย่าห่วงที่จะถ่ายรูป จนลืมกฎกติกา!

เมื่อเป้าหมายที่ตั้งใจไว้สำเร็จ... ก็เริ่มคิดถึงเรื่องอื่นล่ะ เรื่องอื่นที่ว่าคือ หิว!

เราได้ยินเสียงคนคุยกันข้างล่างเลยเดินลงไป เป็นลานกางเต็นท์เผื่อจะมีอะไรให้เรากินบ้าง

ปรากฎว่ามีครอบครัวๆ หนึ่งมาปิกนิกนั่งกินข้าวกัน หิวหนักกว่าเดิมอีก -_-"

เดินลงมาแล้วเราเลยตัดสินใจกลับอีกทางหนึ่ง ไม่ได้ดูเลยว่ามันไกลกว่าเดิมไหม รู้ว่าแค่มีทางก็เดิน อยากออกไปกินข้าว TT

ระหว่างทางเราก็ได้เจอ 'ดอกกระเจียวสีขาว' ลักษณะดอกจะเล็กกว่าสีชมพู

เคยหิวจนมือสั่นป่ะ? ที่บอกว่าเราลืมอะไรไปหลายอย่างอ่ะ

เราลืมว่า...เมื่อเช้าเรากินข้าวกันมานิดเดียว

เราลืมว่า...แฟนเราเป็นคนดื่มน้ำเก่ง

เราลืมไปว่า...มาเดินป่าตอนเที่ยง มัน ร้อน มาก!

ครั้งนึงที่แฟนเราหยุดเดิน...เขาบอกว่าขาสั่น น้ำก็หมดแล้วด้วย

เรารู้สึกไม่ต่างกันเลย คือหิวข้าวมาก! แต่ไม่กล้าพูด หลายครั้งแล้ว...ที่พาเขามาเที่ยวแล้วเจออะไรแบบนี้

ออกมาได้ยังขำเลย แต่ตอนนั้นมันขำไม่ออกอ่ะ มันหิวข้าวจริงๆ นะ ๕๕๕๕

เป็นเพราะเลี้ยวผิดทางเลยมาเจอร้านส้มตำร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน แต่รสชาติไม่ธรรมดาเลย

จัดเลย ส้มตำ 2 ครก ไก่ 5 ไม้ ข้าวเหนี่ยว 1 จาน

พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มดีมาก

ทำตาวิ๊งขอกระดูกไก่ซะด้วย อิอิ

'อีหล่า ส้มตำเอาเผ็ดบ่?'

'อีหล่า มาหยั๋ง?'

เราชอบนะ ที่ได้คุยกับคนท้องถิ่นสนุกดี ชอบภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละที่ที่ได้ไป

มื้อนี้ค่าเสียหายอยู่ที่ 110 บาท ถูกมากเลย

เรายังใช้ Google Map นำทางกลับเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแบตจะหมดแล้วววววว!!

เป็นเพราะว่าเลี้ยวผิดตั้งแต่แรก มันก็เลยนำไปทางอื่น แรกๆ ก็ขี่ไปตามมันเนี่ยแหละ

สักพักเจอทางที่เป็นทางลูกรัง ไร่มันสำปะหลัง มันไม่ใช่แล้วอ่ะ

ทางอยู่ที่ปาก คำนี้ใช้ได้เสมอ! เราหลงมาไกลเลย แบตก็หมดต้องหาทางกลับแข่งกับเวลา ถ้ามืดจะลำบากกว่านี้อีก

อาศัยอ่านป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ก็เจอทางกลับ

อยากจะบอกไว้ตรงนี้ว่า...เราต้องสังเกตสิ่งรอบข้างไว้บ้าง จะมัวแต่พึ่งเทคโนโลยีคงไม่ได้เสมอไป

ตอนกลางคืนฝนตกหนัก...มีลุ้นมากๆ พรุ่งนี้คงได้เจอหมอกไหมนะ หมอกยอกดอกกระเจียว ^^

วันนี้ตื่นตามเวลาที่ตั้งใจไว้ เราจะไปเก็บหมอกกันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม

ระยะทางก็ไม่ใกล้เลยนะ เหมือนจะออกสายไปด้วยซ้ำ...แดดเริ่มไล่หมอกไปแล้ว ระหว่างทางวันนี้อากาศเย็นมากๆ มีหมอกจางๆ ตลอดทาง

ที่อช.ป่าหินงาม คนละความรู้สึกกับอช.ไทรทองเลย

ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า คึกคักมากกว่า ทั้งร้านค้า รถที่ให้บริการ และนักท่องเที่ยว

แม่ค้าบอกว่านี่คือดอกกระเจียว เราเดินไปถามว่าทำไมไม่เห็นเหมือนที่เราไปดูมาเลย

แม่ค้า... อ่อ นี้มัน 'กระเจียวใหญ่'

เรา... ห๊ะ! อะไรนะคะ

แม่ค้า... กระเจียวใหญ่ไง ที่เราไปดูอ่ะ มันคือ กระเจียวเล็ก!

เห้ย! เราว่าชื่อมันไม่ค่อยน่ารักเลยอ่ะ !

เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่าอำนวยความสะดวก 30 บาท ค่ารถที่จะพาเราไปส่งตามจุดต่างๆ อีก คนละ 30 บาท

จ่ายเงินเรียบร้อยก็ไปขึ้นรถได้เลยค่ะ ที่นี่มี 3 จุดที่เราควรไป คือ ผาสุดแผ่นดิน ทุ่งดอกกระเจียว และลานหินงาม

จุดแรกที่มาส่งคือ 'ผาสุดแผ่นดิน' เป็นเขตพื้นที่รอยต่อ 3 ภาค คือ อีสาน กลาง เหนือ

อ่อ...ตอนกลับขึ้นคันไหนกลับก็ได้ค่ะ

ในที่สุดสิ่งที่ลุ้นเมื่อคืนก็มา วันนี้อาจจะมาไม่ทันเก็บหมอกยอกดอกกระเจียว

แต่ของแถมที่ได้เกินคาดมากๆ ^^

จากผาสุดแผ่นดิน เดินไปทางซ้ายจะเป็นทุ่งดอกกระเจียว ที่ป่าหินงามจะทำทางเดินไว้ให้ เดินสบายมากๆ

ถ้าจะพาเด็ก ผู้สูงอายุ มาดูดอกกระเจียวกันแบบครอบครัว เราว่าที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามเหมาะกว่า

ระยะทางไม่ไกล ดอกกระเจียวก็มีพอให้ได้เห็นบ้าง ถ้ามาตอนบาน 100% ต้องสวยมากแน่ๆ ^^

ไหนหมอกหยอกดอกกระเจียว มีแต่แดด ๕๕๕

พอเดินชมดอกกระเจียวเสร็จ ก็เดินออกไปตรงจุดรอรถ เพื่อที่จะไป 'ลานหินงาม'

ที่ลานหินงามจะมีหินรูปทรงแปลกๆ แต่ละอันมีชื่อตามรูปร่างลักษณะของหิน

อย่าลืมอุปกรณ์กันแดดเด็ดขาด เพราะที่นี่มีแต่ต้นไม้พุ่มเตี้ย แทบจะไม่มีที่หลบแดดเลย ร้อนมากกกกกก!

หินก้อนแรกที่เจอคือ 'หินปราสาท' เป็นที่หลบแดดได้นิดหน่อย

'หินแม่ไก่ยักษ์'

'ปุงลิงค์ หรือ มอหำตั้ง' ๕๕๕ เหมือนไหม?


'หินฟีฟ่าเวิล์ดคัพ'

ยังมีหิน ช้างเอราวัณ หินจานเรด้า หินถ้ำมอกอีกนะ แต่หาไม่เจอ อากาศก็ร้อนมากๆ ด้วย เดินชมหินรูปร่างต่างๆ เสร็จก็ไปรอรถเพื่อกลับที่ทำการอุทยาน เรากลับกันเลยแวะกินส้มตำข้างทาง (ส้มตำอีกแล้ว) ไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนต่อ เพราะถึงเวลาที่ต้องคืนรถมอเตอร์ไซด์แล้ว ที่เที่ยวใกล้ๆ ก็มีอีกนะ อย่างฟาร์มแกะร็อคกี้แลนด์ ไว้โอกาสหน้าจะมาแก้มือ ทั้งที่เที่ยวที่ยังไปไม่หมด และถ่ายรูปหมอกกับดอกกระเจียวด้วย

Check out จากโรงแรมไปรับเงินค่ามัดจำกุญแจเรียบร้อย เดินไปทาง Lotus Express เกือบๆ กิโล ฝั่งตรงข้ามจะเป็นท่ารถตู้กลับกรุงเทพฯ เลยธนาคารสีเขียวไปนิดนึงค่ะ รถตู้หมด 18.00 น. นะคะ

การที่ได้มาเที่ยวที่นี่ในช่วงนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
คนไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องหงุดหงิดหัวใจ
แต่อาจจะไม่สวยงามเท่ากับในช่วงที่หลายๆ คนมาเที่ยวกัน
ที่แต่ละที่ คนแต่ละคน มีช่วงเวลาที่สวยงามต่างกัน
อยู่ที่ว่าเราจะไปเจอเข้าตอนไหน และเราจะเลือกจำอะไรมา
ต้องมีรอบแก้มือกับที่นี่แน่ๆ เพราะยังมีหลายที่เที่ยวในชัยภูมิที่เราอยากไป 'เช่น กางเต็นท์นอนดูดาวที่มอหินขาว' ^^

ค่าใช้จ่ายทริปนี้

ค่าที่พัก 2 คืน 800 บาท

ค่ารถ ไป-กลับ 800 บาท

ค่าอาหารตลอดทริป 905 บาท (แพงหน่อยเพราะมื้อเย็นคืนที่สองกินที่ที่พัก)

ซื้อของใช้ส่วนตัวและขนมในร้านสะดวกซื้อ 430 บาท

ซื้อของกินที่ตลาด 85 บาท

ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ 500 บาท

ค่าน้ำมัน 98 บาท

ค่าเข้า อช.ไทรทอง 100 บาท

ซื้อ Postcard และ น้ำดื่ม 90 บาท

ค่าเข้า อช.ป่าหินงาม 110 บาท

ค่ารถนำเที่ยว 60 บาท

ของฝาก 100 บาท

รวม 4,078 บาท หาร 2 คนละ 2,039 บาทค่ะ ^^

ความคิดเห็น