เรามาถึงในช่วงสุดท้ายของการเดินทางแล้วครับ โดยในพาร์ทนี้ผมจะเดินทางโดยเรือเฟอรี่ออกจากคาบสมุทรบอลติกเข้าสู่เขตเเดนยุโรปตอนเหนือที่เรียกว่า Nordic Countries นั่นเองครับ
ใครหลงเข้ามายังไม่ได้อ่านตอนก่อนๆ กดไปอ่านจากลิ้งด้านล่างได้เลยครับ
Part 1: ภาพรวม และ Day 1-4 ประเทศลิทัวเนีย🇱🇹
Part 2: Day 5-9 ประเทศลัตเวีย🇱🇻 และเอสโตเนีย🇪🇪
ในพาร์ทนี้จะเล่าถึง 4 วันสุดท้ายของการเดินทางดังนี้ครับ
Day 10: 🇫🇮 Helsinki (Old Town)
Day 11: 🇸🇪 Stockholm (Old Town)
Day 12: 🇸🇪 Stockholm (Vasa Museum & Skanken)
Day 13: 🇸🇪 Stockholm - UK
เชิญพบกับการท่องเที่ยวในสองประเทศ ที่ประเทศนึง 🇸🇪 ในอดีตเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ยึดครองอาณาจักรอื่นมากว่าร้อยปี และอีกประเทศ 🇫🇮 ที่โดนอาณาจักรอื่นยึดครองสลับผัดเปลี่ยนกันไปเป็นเวลาหลายร้อยปีเช่นกันครับ
Nordic VS Scandinavia
ก่อนอื่นขอแทรกเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับคำว่า Nordic และ Scandinavia ซึ่งมักจะถูกสับสนว่าเหมือนกัน บางทีหลายๆคนเรียกเหมาประเทศทางยุโรปเหนือว่า Scandinavia ทั้งครับ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ถูกต้องซะทีเดียว
จริงๆคำว่า Scandinavia Countries หมายถึงอาณาเขตของประเทศที่ติดกับคาบสมุทร Scandinavia ซึ่งจะมีแค่ นอเวย์ สวีเดิน และเดนมาร์กครับ ขณะที่ Nordic Countries จะรวมประเทศอื่นๆในยุโรปเหนือด้วยเช่น ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ ดังนั้นทริปนี้ผมผ่านฟินแลนด์กับสวีเดนจึงต้องบอกว่าไปเที่ยว Nordic Countries จะถูกต้องที่สุดครับ
ในทางกลับกันกลุ่มประชากรที่มีพื้นเพเป็นชาว Scandinavian นั้นกระจายอยู่ใน Nordic Countries ทั้งหมดครับ แต่หลักๆคือคนที่มีเชื่อสายของชาวนอเวย์ สวีเดิน และเดนมาร์ก ดังนั้นกลุ่มประเทศนี้จะตัวเองว่า Scandinavian ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะมีชื่อเรียกพื้นเพของตัวเองเช่น Finn (ฟินแลนด์) และ Icelander (ไอซ์แลนด์) เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับชาว Finn อย่าไปเผลอเหมารวมพวกเค้าเป็น Scandinavian นะ เพราะในประเทศเค้าวัฒนธรรม และภาษาแตกต่างจากกลุ่ม Scandinavian ครับ
แถมสุดท้าย ประเทศกรีนแลนด์ไม่นับว่าเป็นทั้ง Nordic และ Scandinavia เพราะตามภูมิศาสตร์แล้วประเทศนี้อยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกามากกว่า แต่วัฒนธรรมของกรีนแลนด์ได้รับอิทธิพลมาจากทั้ง Baltic และ Nordic ค่อนข้างมากครับ
Credit: TripSavvy
Day 10: Helsinki 🇫🇮
เข้าสู่ทริปของเราในวันที่ 10 นะครับ วันนี้ผมออกจากที่พักในตอนเช้ามืด เดินทะลุ Old Town ไปยังเฟอรี่ เทอมินอลของ Viking Line เพื่อขึ้นเรือข้ามไปยังเฮลซิงกิครับ
เนื่องจากผมไม่สามารถหาตั๋วกลับอังกฤษถูกๆจากเฮลซิงกิได้ ผมจึงต้องกลับจากสต๊อคโฮล์มแทนทำให้ผมต้องแบ่งเวลา 3 วันที่เหลือเที่ยวทั้งสองเมืองนี้ ซึ่งผมเลือกที่จะอยู่เฮลซิงกิแค่วันเดียว และเที่ยวสต๊อคโฮล์ม 2 วัน เพราะที่หาข้อมูลมาในตัวเมืองเฮลซิงกิที่เที่ยวไม่เยอะ สามารถเดินเก็บวันเดียวแบบเร็วๆได้ และในอนาคตผมคงจะมาอีกรอบ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ขอใช้เป็นทางผ่านไปก่อนครับ
โดยค่าเรือข้ามจากทาลินน์ไปเฮลซิงกิอยู่ที่ 20 ยูโรกว่าๆเท่านั้นครับ โดยผมซื้อออนไลน์ไปก่อนขึ้นจะต้องไป Check-in ที่ตู้โดยการสแกน QR Code ที่มากับตั๋วครับ แล้วเราจะได้เป็นตั๋วแข็งๆมา การขึ้นเรือเราไม่ต้องตรวจกระเป๋าแบบสนามบิน มีแต่ตรวจพาสปอตเท่านั้นซึ่งใช้เวลาแป๊ปเดียวครับ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือบนเรือที่นั่งจะไม่เยอะ เราต้องนั่งตามร้านอาหาร ซึ่งถ้าขึ้นช้าที่นั่งใกล้ๆก็จะเต็ม เราต้องเดินหาไกล และจะไม่เห็นวิวครับ
พอถึงเฮลซิงกิผมก็ฝากกระเป๋าแบคแพคไว้ในล๊อคเกอร์ที่เทอมินอลก่อน ขากลับเราจะนั่งเรือข้ามไปสต๊อคโฮล์มด้วยเทอมินอลเดียวกับขามา ค่าฝาก 3 ยูโรสำหรับล๊อคเกอร์ขนาดกลางครับ
ฝนตกหนักมากครับ หนักจนคนออกันอยู่ในเทอมินอล แต่โชคดีผมเตรียมชุดกันน้ำมาครบ เลยเดินตากฝนไปขึ้นรถรางได้ การขึ้นรถรางในเฮลซิงกิเราจะต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้น โดยจะมีตู้ขายตั๋วอยู่หน้าเทอมินอลครับ ส่วนอื่นๆของเมืองตู้ขายตั๋วที่อยู่คู่กับป้ายรถรางใหญ่ๆ และตามลานจอดรถ โดยแต่ละตู้ก็จะไฮเทคต่างกันบางตู้จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ บางตู้ก็ต้องจ่ายเงินสดครับ แต่ส่วนใหญ่กจะรับบัตรหมด และเราจะใช้รถรางไม่บ่อยเท่าไหร่เพราะที่นี่เดินเที่ยวไหวอยู่ครับ
Kamppi Chapel
ที่แรกที่ผมไปคือ Kamppi Chapel เป็นโบสถ์สไตล์มินิมอลประจำเมืองครับ คอนเซปของโบสถ์นี้คือความเงียบครับ ซึ่งผมไม่ได้เข้าไปและไม่แน่ใจว่าเข้าได้มั้ยนะครับ
การเดินทางไปผมนั่งรถรางจากตัวเฟอรี่เทอมินอลครับ พาไปลงป้ายใกล้ๆตัวโบสถ์แล้วเดินเท้าต่อไป
ตอนผมไปลานข้างๆโบสถ์จัดเทศกาลอาหารอยูู่ครับ มีอาหารไทยด้วย ก็ได้อาหารเที่ยงที่นี่แหละครับ
แผนถัดไปผมตั้งใจจะไปโบสถ์หิน Temppeliaukion Church (Rock Church) ซึ่งอยู่ถัดๆไป พอเดินไปใกล้จะถึงใน Google Map ก็เตือนว่าวันนี้มันเปิดตอนบ่ายครับ (วันอาทิตย์ตอนเช้ามีงาน) เลยฟาวล์ไป
ผมจึงเปลี่ยนแผนมาเดินเล่นในเมืองแทนโดยตรงกลับไปที่ Market Square เผื่อจะมี Free Walking Tour ให้จอยฆ่าเวลารอโบสถ์เปิดครับ
ระหว่างทางกลับก็แวะเดินทะลุสวน Espa (Esplanadi) ด้วยครับ
Havis Amanda
เดินทะลุสวนมาเจอน้ำพุและรูปปั้นผู้หญิงเปลือย Havis Amanda ซึ่งเป็นงานศิลปะที่โด่งดังของเมือง รูปปั้นสร้างในกรุงปารัสและยกมาตั้งที่นี่ ซึ่งในตอนแรกชาวเมืองไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เพราะแถบนี้ไม่นิยมรูปปั้นเปลือย ชาวฟินน์ค่อนข้าง Conservative มากๆในอดีต แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ก็เริ่มยอมรับ และสุดท้าย Havis Amanda ก็กลายเป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองที่ผู้คนมักจะมารวมกันที่นี่เวลามีงานฌแลิมฉลองต่างๆ
และจุดนี้ก็เป็นจุดนัดพบของ Free Walking Tour ครับ ผมมาทันเวลาเริ่มพอดี
Helsinki Cathedral & Senate Square
จุดแรกที่ไกด์พามาคือ Senate Square ซึ่งเป็นจตุรัสประจำเมืองเฮลซิงกิ ซึ่งตรงกลางจตุรัสมีรูปปั้นของพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์ที่ 2 ของจักรวรรดิรัสเซียครับ ทั้งรูปปั้นนี้ จตุรัส และ Helsinki Cathedral ทางรัสเซียสร้างไว้ในยุคที่ยึดครองฟินแลนด์ครับ แต่ประเทศนี้ไม่ได้ถูกยึดครองแบบเสร็จสรรพ เพราะรัสเซียเหลืออำนาจบางส่วนให้ชาวฟินน์ปกครองตัวเอง รวมถึงสามารถใช้ภาษาฟินแลนด์ และยังคงเก็บรักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้อยู่ครับ
ส่วน Helsinki Cathedral เองนั้นก็สร้างเลียนแบบ Saint Isaac's Cathedral and Kazan Cathedral แห่งกรุง St. Petersburg ที่น่าสนใจคือทั้งสองโบสถ์นี้เป็นโบสถ์ของศาสนาคริสนิกายออโธด๊อกซึ่งจะโดดเด่นจากรูปทรงหัวหอมภายนอกโบสถ์ แต่ Helsinki Cathedral ถูกใช้เป็นโบสถ์ของนิกายลูเธอรันครับ ซึ่งโบสถ์ของนิกายนี้มักจะเป็นทรงเหลี่ยมแหลมแบบ Vik Church ที่ไอซ์แลนครับ
อีกเรื่องที่ตลกมากของโบสถ์นี้คือหอระฆังทั้งสี่ด้านนั้นไม่สามารถเอาระฆังใส่เข้าไปได้ครับ จึงต้องสร้างอีกตึกเล็กๆด้านซ้านของโบสถ์เพื่อใส่ระฆังแยกไว้ต่างหาก เวลาระฆังตีมันก็จะก้องอยู่ข้างนอกด้านเดียว
ตอนผมไปด้านในยังเข้าไม่ได้เช่นกันครับเพราะเป็นวันอาทิตย์ ได้แต่ชะโงกจากด้านนอกครับ
Central library & The Parliament House
ตอนนี้โบสถ์หินเปิดแล้ว ผมจึงแยกทางกับทัวร์และเดินย้อนกลับไปครับ
โดยระหว่างทางผ่านจุดที่สวยๆสองจุดคือ Central library และ The Parliament House ซึ่งจุดที่สามารถมองเห็นสองที่นี้ได้จะเป็นจุดนี้ http://bit.ly/36QUzeg โดยสองที่นี้จะอยู่คนละฝั่งถนนกันครับ
Temppeliaukion Church (Rock Church)
โบสถ์หินอันโด่งดังของ Helsinki ตัวโบสถ์สื่อถึงถึงความกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งก็สื่อออกมาได้อย่างชัดเจนและสวยงามครับ
ข้อเสียเดียวของโบสถ์แห่งนี้คือคนเยอะมากครับ ทัวร์นานาชาติต่างพากันมาลงที่โบสถ์แห่งนี้ ทำให้ความเงียบสงบหายไปหมดครับ ขนาดผมนั่งอยู่นานมากๆ กะว่ารอคนออกไปจะได้มีบรรยากาศเงียบๆบ้างก็ไม่เจอจังหวะเงียบเลยครับ จนท.ต้องมาคอยพูดออกไมค์ให้นักท่องเที่ยวเงียบด้วยซ้ำ
ตัวไบสถ์เสียค่าเข้า 3 ยุโรครับ ถ้าจะมาแนะนำให้เลี่ยงวันอาทิตย์เพราะช่วงเวลาเข้าได้จำกัดครับ มาวันธรรมดาตอนโบสถ์เปิดน่าจะได้บรรยากาศดีกว่า
ตอนนี้ผมเก็บที่ๆอยากไปหมดแล้ว และเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก็ที่จะต้องขึ้นเรือ ผมจึงกลับไปยัง Senate Square ไปเก็บ mission เล็กๆที่ผมอยากทำมานาน
ตอนเด็กผมเคยเล่นแลกเปลี่ยนโปสการ์ดกับคนต่างประเทศครับ และหนึ่งในบรรดาโปสการ์ดที่มีคือรูปของเมืองเฮลซิงกิ ผมรู้จักเมืองนี้จากโปสการ์ดนี่แหละ เลยอยากตามหามุมในโปสการ์ดนั้น ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ Senate Square นั่นเอง
(ผมลืมเล่าไปใน Part แรกว่าผมไปเก็บรูปในโปสการ์ดที่ลิทัวเนียเช่นกันครับ)
จากนั้นผมก็เดินเล่นรอบๆแถบนั้นต่อครับ หลักๆคือตรง Central Market ที่อยู่ตรงริมน้ำ ซึ่งจะมีอาหารขายเยอะมาก แนะนำให้มาทานเป็นข้าวเที่ยงครับ และสำหรับคนที่จะข้ามไปสต๊อคโฮล์มแนะนำให้ตุนอาหารไปกินบนเรือด้วยครับ เพราะอาหารบนนั้นแอบแพงนิดนึง
พอใกล้ถึงเวลาฝนก็เริ่มโปรยลงมา ผมจึงรีบเดินกลับไปยังเฟอรี่เทอมินอลครับ ระยะทางจาก Central Market ไม่ไกลมาก เดินได้สบายๆ และจะผ่าน Uspenski Cathedral ระหว่างทางด้วยครับ
มาถึงเทอมินอลผมก็ไปเอากระเป๋าในล๊อคเกอร์ Check-in และมารอขึ้นเรือครับ ชั้น 3 ของตึกจะมีร้านอาหารให้ไปนั่งรอได้ครับ เรือลำนี้เป็นคนละลำกับเมื่อตอนเช้าครับ แต่จอดที่ท่าเดียวกัน
พอขึ้นเรือผมก็ไปเก็บข้องที่ห้องพักก่อนครับ ซึ่งตั๋วที่ปริ้นออกมาจะมีเบอร์ห้อง และใช้เป็นคีย์การ์ดเข้าห้องไปในตัว ทางเข้าเรือจะมีแผนที่บอกว่าแต่ละห้องอยู่ชั้นไหน บรรดาร้านอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่ไหนบ้าง
ผมเลือกจองห้องที่มีหน้าต่างเพราะอยากเห็นวิวครับ และคิดว่าบนเรือโคลงๆมีหน้าต่างน่าจะช่วยให้ไม่มึนหัวมาก แต่ราคาก็ต้องบวกเพิ่มจากห้องแบบถูกสุดไปประมาณนึง แต่ถ้ามีคนแชร์แนะนำให้เลือกครับเพราะส่วนต่างจะยิ่งน้อยลงไปอีก
ในห้องจะมี 4 เตียง + 1 ห้องน้ำเล็กๆครับ ตอนปกติเตียงจะถูกพับขึ้นเป็นโซฟาให้นั่ง พอจะนอนเราก็ดึงลงมานอนได้ เตียงนุ่มสบายมากครับ (อาจจะเพราะผมนอน Hostel มาหลายวันเลยรู้สึกสบาย) แต่ความที่เรือมันโคลงไปมาตลอด คนที่มึนหัวง่ายอาจจะไม่สบายตัวสักเท่าไหร่ โดยเฉาะช่วงที่ลมแรกมันจะโคลงแบบของร่วงจากโต๊ะได้ แต่เกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นครับ
มาในส่วนของ Facilities ต่างๆกันบ้างครับ สำหรับอาหารในเรือจะมีทั้ง Cafe, Fine Dining และ Buffe ให้เลือกครับ มีบริการทั้งเช้าและเย็น แต่ราคาสูงมากๆสำหรับ Fine Dining และ Buffe ครับ เราสามารซื้อชุดอาหารล่วงหน้าไปพร้อมกับตั๋วเรือได้ซึ่งจะช่วยประหยัดได้หน่อยนึง แต่ผมอยากคุมงบประมาณเลยถือพวกนมและขนมขึ้นเรือไป และทานอาหารใน Cafe เป็นหลักครับ (ตอนแรกคิดว่าต้องสแกนกระเป๋า เลยไม่ได้เอาอาหารจริงจังไปเพราะเค้าห้าม)
Facilities อื่นๆก็จะเป็นพวก Lounge ให้นั่ง คาสิโน ร้านขายของต่างๆ ยิมให้เด็กเล่น ห้องประชุม และซาวน่าครับ ทั้งฟินแลนด์และสวีเดนโด่งดังในเรื่องซาวน่ามากๆครับ
และจุดที่ผมชอบที่สุดคือบริเวณดาดฟ้าเรือครับ วิวสวยมากกก โดยเฉพาะช่วงเรือเพิ่งเริ่มเคลื่อนออกจากท่า เราจะเห็นวิวเมืองเฮลซิงกิจากมุมสูง โดยมี Helsinki Cathedral สูงเด่นอยู่กลางเมืองครับ
และช่วงเรือลัดเลาะบรรดาเกาะแก่งต่างๆ วิวก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สวยงามมากครับ เพราะฉะนั้นช่วงชม.แรกที่เรือออกควรจะมาชมวิวด้านนอกมากๆครับ แต่ต้องเตรียมเสื้อหนาวหรือเสื้อกันลมมาด้วยนะครับ เพราะลมแรงมากกก
Day 11: Stockholm Old Town 🇸🇪
เช้าวันต่อมาผมก็ออกไปดูวิวบนดาดฟ้าเรืออีกรอบครับ และก็แวะทานเข้าเช้าที่ Cafe ของเรือ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเลฟ้าสวยมาก เสียดายที่ช่วงที่ผมไปพระอาทิตย์ขึ้นเร็ว เรือจึงยังอยู่กลางทะเลอยู่ไม่มีวิวอะไรเท่าไหร่นอกจากพื้นน้ำ
วิวบนเรือจะสวยช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนเรือถึงฝั่งสต๊อคโฮล์มครับ ซึ่งเราจะเข้าสู่แถบเกาะเล็กเกาะน้อยของสวีเดน ช่วงนี้เราจะมองเห็นเรือลำอื่นไล่ตามหลังเรามด้วย
ในช่วงนี้ลูกเรือจะมาชักธงลง เปลี่ยนจากธงฟินแลนด์เป็นสวีเดนครับ
ช่วงก่อนเรือจะจอดเป็นช่วงที่ดีที่สุดครับ เราจะได้เห็นวิวเมืองสต๊อคโฮล์มจากบนเรือทั้งส่วนที่เป็น Old Town และสวนสนุกครับ สังเกตรูปร่างจะมีเครนรูปยีราฟด้วย
พอลงเรือผมก็จะเดินทางไปเก็บของที่ๆที่พักใน Old Town ซึ่งเราสามารถนั่งรถบัสจากป้ายรถใกล้ๆท่าเรือไปได้ครับ แต่อากาศดีมาก และวันนี้แพลนไม่เยอะ ผมเลยเลือกเดินเท้าไปดูวิวข้างทางไปครับ
การเดินทางในสต๊อคโฮล์มจะมีทั้งรถบัส รถราง รถไฟ รถไฟใต้ดิน และเรือครับ ทุกอันเชื่อมถึงกันและใช้ตั๋วประเภทเดียวกันนั่นคือ SL tickets ครับ ยกเว้นรถไฟไปสนามบิน (Arlanda Express) ซึ่งจะต้องเสียตังซื้อเพิ่มครับ
SL tickets นั้นมีสองแบบที่เราซื้อได้นั่นคือ
1. Single Journey - ราคา SEK 45 (ประมาณ 4 ยูโร) ใช้เดินทางไปไหนก็ได้ ด้วยวิธีไหนก็ได้ ขึ้นลงกี่รอบก็ได้ ภายในเวลา 75 นาที
2. Travelcard - จะขยายเวลาการใช้งาน โดยมีให้เลือกเวลา 24 ช.ม. (SEK 130) และ 72 hours (SEK 260)
ตั๋วทั้งสองประเภทสามารถซื้อได้จากเครื่องขายตั๋วตามสถานี หรือผ่าน App "SL Journeyplanner and tickets" ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะใช้ app เพราะสะดวกกว่า และมีเวลาบอกว่าใช้งานได้อีกกี่นาทีครับ
นอกจากนั้นผมมีประสบการ์ณตั๋วไม่ออกจากเครื่องรอบนึงด้วยครับ และไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย เสียตังฟรีไป
ที่พักผมคืนนี้ชื่อว่า Castanea Old Town Hostel อยู่กลางย่าน Old Town ของสต็คโฮล์ม ซึ่งจะกระจุกรวมกันบนเกาะชื่อว่า Gamla stan ครับ
โรงแรมต่างๆในสต๊อคโฮล์มราคาจะสูงกว่าประเทศอื่นๆในทริปมากครับ และประเทศแถบนี้จะไม่รวมผ้าปูที่นอนให้ ถ้าไม่เอามาเองก็ต้องเสียค่าผ้าปูเพิ่มครับทำให้ราคาขึ้นไปอีก โดยที่พักผมที่ตั้งอยู่บนชั้นสามของร้านอาหารชื่อเดียวกัน มีลิฟท์แบบคลาสสิค ตัวห้องพักผมจองเป็นเตียงในห้องรวม 16 เตียง ที่พักจัดเลย์เอ้าดีมาก ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ มีห้องน้ำแชร์อยู่ประมาณ 6 ห้อง ซึ่งดูน้อยไปนิด แต่ไม่เคยต้องรอนะครับมันว่างตลอด มีพื้นที่ส่วนกลางและครัวที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่ ราคาอยู่ที่ประมาณคืนละ 20 ยูโรและค่าผ้าปูที่นอนอีก 5 ยูโรครับ (ราคาถูกเกือบที่สุดใน Old Town แล้ว)
ผมลืมถ่ายรูปที่พักมานะครับ มีแค่รูปจากบนเตียงรูปเดียว
พอเก็บของเสร็จผมก็ออกไปเที่ยวในสต๊อคโฮล์ม โดยแผนในวันนี้คือการเดินเล่นเก็บแลนด์มาร์คใน Gamla stan ครับ และไปถ่ายรูปสถานีรถใต้ดินชื่อดังของสต๊อคโฮล์มครับ
การใช้จ่ายในสต๊อคโฮล์มนั้นต้องใช้เงิน SEK ซึ่งผมใช้ KTB Travel Card ที่ไม่รองรับค่าเงินนี้ครับ และผมไม่อยากกดเงินยูโรมาแลก SEK ที่นี่ จึงใช้บัตรเครดิตไทยรูดไปตรงๆเลย เพราะอยู่ที่นี่ไม่นาน ค่าใช้จ่ายที่แพงจะเป็นค่าโรงแรมและรถไฟไปสนามบินซึ่งผมจ่ายล่วงหน้าไปแล้วด้วยค่าเงินยูโรครับ ที่เหลือจึงมีแค่ค่าอาหารกับของฝาก ซึ่งขอยืนยันว่าเราสามารถใช้ชีวิตแบบ Cashless ที่สต๊อคโฮล์มได้ ผมอยู่สามวันโดยไม่ได้เเลกเงินสัก SEK ครับ (จริงๆแถบบอลติกก็ได้เหมือนกัน)
Gamla stan
การเที่ยวใน Gamla stan ของผมจะเน้นไปที่การเดินเท้าชมเมืองไปเรื่อยๆครับ โดยจะข้ามฝั่งไปแถวๆ Sergels torg (Sergel's Square) และจบเส้นทางที่สถานีรถไฟใต้ดิน T-Centralen ครับ
Saint George and the Dragon
จุดแรกที่ผมผ่านคือรูปปั้น Saint George and the Dragon ซึ่งอยู่ติดๆกับที่พักครับ ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากในอดีต (ปัจจุบันก็ยังนับว่ารวยอยู่) รอบๆเมืองจึงเต็มไปด้วยรูปปั้นต่างๆแทบทุกหัวโค้งของถนนเลยครับ
แต่บรรดาตึกใน Old Town ที่นี่จะหน้าตาคล้ายๆกันและมีโทนสีเดียว เดินๆไปก็จะเริ่มชินกับสถาปัตยกรรมและโทนสีแบบนี้ จะไม่ว้าวเหมือนแถบบอลติกที่มีตึกหลายแบบผสมผสานกันครับ
Stockholm Palace
เดินต่อมาจะเจอกับลานกว้างข้างๆ Stockholm Palace ตัวพระราชวังมีส่วนที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมครับ แต่ส่วนอื่นยังเป็นที่ประทับของราชวงศ์แบร์นาด็อตครับ จึงจะมียามเฝ้ารอบๆพระราชวังอยู่ และจะคอยห้ามไม่ให้เราเดินใกล้รั้ววังมากเกินไปครับ
เนื่องจากวังอยู่บนเนินบริเวณรอบๆวังจึงเป็นจุดชมวิวเมืองและก็เช่นเดิม เต็มไปด้วยรูปปั้นครับ
Västerlånggatan (the Western Long Street)
เดินวนไปอีกด้านของวังเราจะเจอกับถนน Västerlånggatan เป็นถนนที่ยาวตลอดทางตะวันตกของเกาะ Gamla stan ชมสมชื่อถนนครับ โดยเส้นนี้จะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ และร้านอาหารต่างๆครับ มีตั้งแต่ร้าน Fast Food ไปยัน Fine Dining ยาวไปจนสุดถนนซึ่งจะเป็นลานกว้างเต็มไปด้วย Out Door Seating ครับ
ร้านขายของส่วนใหญ่จะราคาไม่ต่างกันครับ ยกเว้นเราจะเข้าร้านที่เจ้าของเป็น Middle east จะได้ของราคาถูกกว่าร้านอื่น แต่บางร้านจะรับบัตรเครดิตได้บ้างไม่ได้บ้างครับ
ร้านกาแฟประจำเมืองชื่อว่า Espresso House ครับ เป็น Chain ร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดใน Nordic และเป็นสาเหตุที่ทำให้ Starbuck บุกประเทศแถบนี้ไม่สำเร็จครับ ผมอาศัยร้านนี้เป็นที่ทานอาหารเช้า เพราะจะมีขายทั้งกาแฟ และเบเกอรี่ครบครันครับ
Mårten Trotzigs gränd
ตรงปลายสุดของถนน Västerlånggatan จะมีตรอกเล็กๆชื่อว่า Mårten Trotzigs gränd เป็นตรอกแคบที่มีความกว้างเพียงแค่ 90 เซนติเมตรเท่านั้น ที่นี่จึงได้ชื่อว่าเป็นตรอกที่เล็กที่สุดในสต๊อคโฮล์มครับ
Parliament House
พอเดินมาสุดถนนผมก็เดินย้อนกลับทางเดิมครับ เดินยาวผ่านพระราชวัง และข้ามสะพานกลับไปฝั่งเมืองซึ่งจะผ่านซุ้มประตูของ Parliament House ที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆระหว่างตัวเมืองกับ Gamla stan ครับ
Drottninggatan (Queen Street) & Sergels torg (Sergel's Square)
ข้ามมาจาก Parliament House เราก็จะเจอกับ Drottninggatan เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านขายของครับ เป็นถนนชอปปิ้งสำคัญเส้นนึงของเมือง และจะผ่านห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน Åhléns City และ Sergels torg จตุรัสของเมืองสต๊อคโฮล์มครับ
Stockholm Metro
ใต้ห้าง Åhléns City จะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟใต้ดินหลักของสต๊อคโฮล์มนั่นคือ T-Centralen
สถานีรถไฟใต้ดินของเมืองสต๊อคโฮล์มขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามไม่แพ้ที่มอสโควประเทศรัสเซียครับ แต่ไม่ได้ทุกสถานีจะสวยหมด เพราะฉะนั้นผมไปแค่สถานีที่รู้สึกว่าสวยมากๆ และเส้นทางรถเป็นเส้นตรงไม่ต้องเปลี่ยนสายบ่อย
และเนื่องจากผมเดินเท้าเที่ยวเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ได้ซื้อตั๋วแบบเหมาวัน การเที่ยวใน Metro จึงใช้ Single journey tickets เป็นหลัก โดย 1 ใบจะใช้งานได้ 75 นาที ผมใช้เวลาเที่ยวชมสถานีรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ จึงต้องแวะออกมาซื้อตั๋วระหว่างทางรอบนึงครับ
เส้นทางที่ผมไปเริ่มจากสถานี T-Centralen และจบที่สถานี Kungsträdgårde ซึ่งอยู่ใกล้กับอีกฝั่งของ Gamla stan ครับ เส้นทางเป็นดังนี้ครับ
1. สายสีแดง
เริ่มจาก T-Centralen นั่งยาวไปลง Universitetet T-bana (ท่อเหล็ก) แล้วนั่งย้อนกลับมา แวะลงสถานี
Tekniska Högskolan T-bana (ลูกหกเหลี่ยม) และ Stadion T-Bana (สายรุ้ง) กลับมาจบที่ T-Centralen
สถานี T-Centralen จะเห็นมุมในรูปต้องไปที่ชานชาลาสายสีน้ำเงินนะครับ แต่ละสถานี ทางขึ้นแต่ละด้านจะหน้าตาไม่เหมือนกัน บางสถานีจะสวยแค่ด้านเดียวต้องเดินวนดูเอาครับ
T-Centralen
Universitetet T-bana
Tekniska Högskolan T-bana
Stadion T-Bana
2. สายสีน้ำเงิน
เริ่มจาก T-Centralen นั่งยาวไปลง Solna centrum T-bana (สีแดง) แล้วนั่งย้อนกลับมา แวะลงสถานี Rådhuset T-bana (สีน้ำตาล) และนั่งผ่าน T-Centralen มาจบที่ Kungsträdgården T-bana (สีเขียว)
ส่วนตัวผมให้ Solna centrum T-bana กับ Kungsträdgården เป็นสองสถานีที่ชอบที่สุดครับ โดยทั้งสองสถานีนี้จะสวยแค่ด้านเดียวต้องเดินไปให้ถูกด้านครับ Kungsträdgården T-bana จะมีจุดสวยๆหลายจุดมาก ส่วน Rådhuset T-bana ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ความสวยแพ้ Solna centrum T-bana ที่หน้าตาคล้ายๆกันจริงๆข้ามไปก็ได้ครับ
Solna centrum T-bana
Rådhuset T-bana
Kungsträdgården T-bana
Stortorget Square
จากนั้นผมขึ้นจากสถานี Kungsträdgården T-bana และเดินกลับไปยัง Gamla stan เพื่อทานอาหารเย็นครับ โดยมื้อนี้ผมไปหา Traditional Dish ที่ราคาไม่แพงตามที่ Hostel แนะนำ ซึ่งจะเป็น Food Stall ชื่อว่า Strömmingsvagnen แต่ค่อนข้างไกลจากสถานี ผมจึงต้องเดินตัดย่าน Old Town อีกด้านครับ
ระหว่างทางผมแวะเดินผ่าน Stortorget Square ซึ่งเป็นจตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ซึ่งตอนนี่เต็มไปด้วยร้านอาหารครับ Noble Museum ก็อยู่ข้างๆจตุรัสแห่งนี้เช่นกัน
Strömmingsvagnen จะขายอาหารพื้นเมืองซึ่งเป็นเมนูปลาแฮริ่ง (อีกแล้ว) เป็นหลักครับ ราคาก็จะถูกมากเทียบกับทานในร้าน โดยร้านจะตั้งอยู่กลางลานเล็กๆติดถนนใหญ่ริมขอบของ Old Town เลย เป็นทางที่ผมผ่านตอนแรกที่เดินจากท่าเรือเฟอรี่ครับ รอบๆลานแห่งนี้ก็จะมีร้านอาหารเล็กๆเต็มไปหมดเพราะมันขนานกับถนน Västerlånggatan ครับ
โดยมื้อนี้ราคา SEK 80 (ประมาณ 8 ยูโร) เป็นปลาแฮริ่งทอดกับมันบด ซึ่งเป็นเมนูหลักของร้านนี้ครับ บอกแล้วว่าแถบนี้ปลาแฮริ่งเยอะมาก และผมยังหาร้านที่ขายสวีเดนมีตบอลไม่เจอด้วยครับ
Kungsgatan (King's Street)
จากนั้นผมก็ไปเดินเล่นในเมืองย่อยอาหาร หลักๆคืออยากไปดูร้าน Fjällräven ของที่นี่ครับ ซึ่งอยู่ในฝั่งเมืองต้องเดินข้ามสะพานไปอีกรอบ
ร้านจะอยู่บนถนน Kungsgatan (King's Street) ซึ่งตัดกับช่วงปลายของ Drottninggatan (Queen Street) ซึ่งจะมีร้านค้าต่างๆเช่นกัน แต่จุดเด่นของถนนเส้นนี้คือจะมีหอคอยคู่อยู่ครับ
Sergel Fountain
ที่สุดท้ายที่ผมแวะในวันนี้คือ Sergel Fountain ซึ่งอยู่อีกด้านนึงของจตุรัส Sergel Torg เป็นทางผ่านกลับไปยังที่พักครับ
Day 12: Djurgården 🇸🇪
วันนี้ผมจะไปเที่ยวบนเกาะ Djurgården ซึ่งเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยตึกเก่าๆมากมาย ซึ่งถูกรีโนเวตมาเป็นพิพิธภัณฑ์ และสถานที่สาธารณะต่างๆเช่น Concert Hall สวนสนุก
โดยที่หลักๆที่ผมจะไปในวันนี้คือ Vasa Museum และ Skansen Openair Museum ครับ
การจะเดินทางไปเกาะ Djurgården จาก Gamla stan มีสองทางคือใช้รถบัส และเรือครับ ซึ่งเช้าวันนี้อากาศดีผมจึงเลือกจะไปทางเรือเพื่อชมวิวไปด้วย ซึ่งวิวระหว่างไปท่าเรือตอนเช้าก็ดีมากๆแล้ว ตอนเช้าจะเห็นคนสวีเดนขี่จักรยานไปทำงานกันเต็มไปหมด แต่ขับกันเร็วมากกก น้องๆวินมอเตอร์ไซบ้านเราเลยครีบ
ผมไปขึ้นเรื่อสาย 82 ที่ท่า Slussen ครับ ซึ่งจะอยู่ตะวันตกของ Gamla stan การจะขึ้นเรือเราตัองใช้ SL ticketsครับ ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วออนไลน์จาก App หรือจะซื้อที่เครื่องหน้าท่าเรือก็ได้ แต่ตอนผมซื้อจากเครื่องแล้วตั๋วมันไม่ออกมา เลยต้องซื้อผ่าน App อีกทีนึงเพื่อขึ้นเรือครับ เรือจะออกทุก 15 นาที ใช้เวลาเดินทาง 15 นาทีเช่นกันครับ
เราจะต้องลงเรือที่ท่า Allmänna gränd ครับ ซึ่งใกล้ๆกับสวนสนุก Gröna Lund สังเกตง่ายๆจากบรรดารถไฟเหาะข้างๆท่าเรือ จากนั้นเราก็ต้องเดินเท้าต่อไปยัง Vasa Museum ซึ่งผมจะใช้เวลาครึ่งวันเช้าที่นี่ครับ
Vasa Museum
Vasa Museum คือพิพิธภัณฑ์ของเรือ Vasa ซึ่งอับปางลงช่วงศตวรรษที่ 17 หลังจากจมอยู่ใต้ทะเลกว่า 300 ปีทางสวีเดนก็ตัดสินใจกู้เรือลำนี้ขึ้นมา นำมาตั้งไว้ที่เกาะแห่งนี้ และสร้างตึกครอบเรือไว้เพื่อให้มันสามารถคงสภาพอยู่ได้โดยไม่บุบสลาย ที่นี่จึงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเรือลำนี้โดยเฉพาะครับ
ภายในพิพิธภัณฑ์จะถูกแบ่งเป็นชั้นๆ เพื่อจัดแสดงเรื่องราวของเรือตั้งแต่การสร้าง สัญลักษณ์และรูปปั้น ห้องจำลองภายในเรือ อาวุธยุทธปกรณ์ต่างๆ สาเหตุที่เรือจม ไปจนถึงขั้นตอนการกู้ซากเรือลำนี้ขึ้นมา ซึ่งละเอียด และสนุกมากๆครับ ยิ่งเราเดินชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆเราก็จะอินกับเรื่องราวของเรือ บวกกับเรือของจริงก็อยู่ข้างๆเราตลอด แต่ละชั้นเราจะมองเห็นตัวเรือในมุมมองที่แตกต่างไป ชั้นบนสุดเราจะเห็นดาดฟ้าเรือทั้งหมด และทางสวีเดนก็เก็บรักษาชิ้นส่วนเรือไว้ดีมาก แม้กระทั่งใบเรือที่ขาดรุ่ยก็ยังเคลือบเรซิ่นไว้อย่างดีครับ
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ SEK 150 นะครับ เราจะได้รับแผนที่พร้อมกับ QR Code สำหรับเปิด Web ฟัง Audio guide ตามจุดต่างๆ อากาศข้างในค่อนข้างเย็น (เพราะคุมทั้งอุณหภูมิและความชื้นไม่ให้เรือพัง) แม้ว่าจะมาในหน้าร้อนก็ควรพกแจ๊คเก็ตมาด้วยครับ
สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังไว้เวลาเที่ยวบนเกาะ Djurgården คือห้องน้ำและร้านอาหารน้อยครับ ควรเข้ามาให้เรียบร้อยตั้งแต่ออกจากที่พัก หรืออาศัยห้องน้ำพิพิธภัณฑ์ ส่วนอาหารที่นี่จะเป็น Food Stand มีอยู่ไม่กี่ที่ครับ ผมอาศัยทานตรงร้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เป็นพวกฮ๊อตดอกครับ
Skansen Open Air Museum
ทานข้าวเสร็จผมก็ไปเที่ยว Skansen Open Air Museum ซึ่งเคลมว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่เก่าแก่ที่สุดในโลกครับ โดยที่นี่จะมีทั้งบ้าน และสิ่งก่อสร้างโบราณที่ยกมาตั้งไว้จากทั่วประมาณ หมู่บานที่จำลองวิธีชีวิตของชาวสวีเดนในสมัยก่อน เช่น โรงเป่าแก้ว และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ถ้ามาในวันเสาร์อาทิตย์จะมีการแสดง และกิจกรรมต่างๆมากมาย
ที่นี่จะเสียค่าเข้า SEK 140 นะครับ เป็นนักเรียนจะลดเหลือ SEK 120 แต่ผมนัดเจอเพื่อนที่อยู่สวีเดนที่นี่พอดี เค้าเอาบัตรปีมาเผื่อให้ครับ เลยได้เข้าฟรีไป
นอกจากนั้นที่นี่ยังมีสวนสัตว์อยู่ข้างในด้วย เป็นสวนสัตว์ที่ให้ที่อยู่อาศัยสัตว์ต่างๆเยอะที่สุดที่ผมเคยเห็น และไม่เคยเห็นที่ไหนที่บรรดาสัตว์แอคทีฟ และมีชีวิตชีวาเท่าที่นี่มาก่อน แค่กรงหมีที่นี่กรงนึง มีขนาด 3-4 เท่าของกรงหมีที่ซาฟารีเวิร์ดครับ น้องหมีสามารถมุดรอดใต้ทางเดินชมไปยังอีกกรงได้ทำให้เวลาถูกสัตว์ที่นี่เราจะต้องเดินวนไปวนมาตามหาว่ามันอยู่กรงไหนครับ
โดยที่ผมประทับใจมากๆคือ น้องหมีที่วิ่งเล่นมุดไปมุดมา ตัวลิ้ง(Lynx) ที่ไม่ว่าไปสวนสัตว์ไหนจะเจอแต่มันนอน แต่ที่นี่คือเดินเล่นอยู่กับลูกๆครับ และฝูงหมาป่าที่กรงใหญ่จนมันสามารถวิ่งเล่นเป็นฝูงได้แบบในธรรมชาติ เทียบกับที่อื่นๆสวนสัตว์นี้อาจจะมีสัตว์ไม่เยอะ แต่ดูสัตว์มีความสุขสุดๆครับ เพื่อนผมบอกว่าบรรดาสัตว์กินอยู่สบายกว่าคนสวีเดนด้วยซ้ำ
จุดน่าสนใจอันสุดท้ายของ Skansen คือทางเดินชมวิวครับ เนื่องจากที่นี่อยู่สูง หลังจากผ่านประตูเข้ามาเราก็ต้องขึ้นบันไดเลื่อนยาวๆต่ออีก ทำให้ที่นี่จะมองเห็นวิวเมืองชัดเจนครับ ซึ่งระหว่างเดินชมบ้าน เก่าและสวนสัตว์ ทางเดินก็จะพาเราวกไปชมวิวเป็นระยะๆครับ
จากนั้นผมก็ออกจาก Skansen เดินเท้ากลับไปยัง Gamla stan ซึ่งค่อนข้างไกล แต่ใช้วิธีเดินช้าๆคุยกับเพื่อนไปตลอดทางครับ (ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี และผมเที่ยวคนเที่ยวมาสิบกว่าวันแล้ว) หลักๆก็คือเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ถามความเป็นอยู่ของคนที่นี่ครับ
เย็นวันนี้ผมไม่ทำอะไรมากครับเพราะเป็นคืนสุดท้ายของทริปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในคืนนี้คือต้องบีบของในกระเป๋า 36L ของผมที่พองจนเหมือนจะระเบิดได้ ให้กลับมาขนาดและน้ำหนักที่ Carry-On ได้ก่อนครับ เพื่อที่จะบินอังกฤษได้อย่างสบายใจ
Day 13: Monteliusvägen 🇸🇪 (End)
วันสุดท้ายของทริป Baltic & Nordic ครับ โดยผมจองไฟลท์บ่ายไว้ ทำให้ครึ่งเช้ายังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย ตอนแรกกะว่าจะเดินเล่นสบายๆในเมือง แต่อากาศดีอีกแล้ว (ตั้งแต่มาแถบ Nordic เจอแดดเต็มๆวันแค่เมื่อว่าครั้งเดียว) จึงขอเก็บจุดสุดท้ายก่อนกลับนั่นคือ Monteliusvägen Walking Path ครับ
Monteliusvägen Walking Path
Monteliusvägen จะอยู่ทางตะวันตก นอกเขต Gamla stan ครับ มันคือถนนเส้นเดียวกับที่เราออกมาจากท่าเรือเฟอรี่ เดินตรงออกจากท่า แทนที่เราจะเลี้ยวขวาข้ามแม่น้ำไป Gamla stan ให้เราเดินตรงต่อ จะเจอทางขึ้นเนินชันๆซึ่งพาเราไปยัง Monteliusvägen นี่แหละครับ ระยะทางก็จะประมาณกิโลครึ่งครับ
ถ้ามาจาก Gamla stan เราจะเดินข้ามสะพานตัดทางรถไฟมาได้ จะเห็นรถไฟวิ่งเข้าออกเมืองลอดใต้ทางที่เราเดินไปครับ
ข้ามฝั่งมาสิ่งที่ผมเจอคือเนินครับ เนิน เนิน และเนิน ที่เราต้องค่อยๆไต่ขึ้นไปเพื่อวิวเมืองอันงดงามจากมุมสูง ถึงเนินจะชันแต่ระยะทางไม่ยาวครับ เดินช้าๆดูวิวตึกไปเรื่อยๆแป๊ปเดียวก็ถึง
และแล้วเราก็มาถึง ที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ ขอจากลาสต๊อคโฮล์มไปด้วยวิวเมือง 180 องศาจากจุดชมวิว Monteliusvägen ครับ ภาพสุดท้ายของทริปคุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ ไว้ผมจะกลับมาเก็บภาพแสงเช้าแสงเย็นอีกครั้งในอนาคตนะครับ
Stockholm Arlanda Airport
เรื่องสุดท้ายก่อนจากกันครับ สนามบินหลักของกรุงสต๊อคโฮล์คือ Stockholm Aralnda Airport (ARN) ซึ่งการเดินทางไปสนามบินเราสามารถนั่งรถไฟปกติหรือรถบัสไปได้ แต่จะใช้เวลานานเพราะมันจอดตลอดทางครับ
อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ Arlanda Express ซึ่งก็คือรถด่วนตรงไปยังสนามบินซึ่งจะใช้เวลา 20 นาทีเท่านั้น และจะออกรถทุก 10-15 นาที ซึ่งราคาตั๋วจะอยู่ที่ SEK 299 แต่ถ้าจองออนไลน์ล่วงหน้าราคาจะลดลงเป็น SEK 199 ครับ
ซึ่งผมก็เลือกใช้ Arlanda Express ในการเดินทางกลับเพราะว่าไม่อยากวุ่นวายนั่งรถปกติครับ เลยจองตั้งแต่ก่อนทริปจะเริ่ม ซึ่งเราต้องไปขึ้นรถที่ Stockholm C ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง พอไปถึงให้เดินตามป้ายบอกทางไป Airport เลยครับ ตัวชานชาลาจะอยู่ตึกข้างๆกัน รายละเอียดดูจากเว็บได้เลยครับ https://www.arlandaexpress.com/stockholmcentral.aspx
ทริปแบคแพคเที่ยว Baltic & Nordic ของผมก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ครับ หวังว่าเพื่อนๆจะได้ประโยชน์จากรีวิวนี้นะครับ ผมอยากจะช่วยให้คนที่จะไปเที่ยวหลังจากผมไปได้สะดวกขึ้นครับ พาร์ทนี้ขอยอมรับว่าเป็นพาร์ทที่ข้อมูลน้อยที่สุดเพราะทั้งฟินแลนด์และสวีเดนเป็นสองประเทศสุดท้ายซึ่งผมหาข้อมูลที่เที่ยวไม่ทันครับ (ก่อนเริ่มทริปต้องปั่นเล่มจบส่งมหาลัยก่อน) ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมากทริปนึงของผมเลย ได้ทำอะไรใหม่มากกว่าที่เคยก็เยอะครับ โดยเฉพาะทริปนี้เป็นทริปแรกที่ผมเดินทางคนเดียวเป็นเวลานานขนาดนี้ และเป็นทริปที่แบกของไปน้อยที่สุดคือเป้ 36 ลิตร 1 ใบกับกระเป๋ากล้อง 1 ใบ ซึ่งทำให้ตัวเองได้รู้ว่าตัวเรายังสามารถขยายขีดจำกัดของตัวเองไปได้อีกครับ
สุดท้ายขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงพาร์ทนี้นะครับ ไว้ถ้าได้ไปเที่ยวที่น่าสนใจๆจะกลับมารีวิวใหม่นะครับ สวัสดีครับ
The End
Mountain Seal
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 23.34 น.