นี่คือ "ขิม" พระเอกของเรื่องเล่าในครั้งนี้ แต่เรื่องนี้คงไม่มีใครอยากเป็นพระเอก เพราะเป็นเรื่องของคนอกหัก ส่วนคนข้าง ๆ นั้นคือ "อัย" และผม "ฝัน" ซึ่งเป็นคนถ่ายภาพเหล่านี้ เราทั้งหมดเป็นเพื่อนกัน

เรื่องมีอยู่ว่า ขิมอกหัก ขิมนอนไม่หลับ ขิมกินไม่ได้ ขิมคิดไม่ตก ขิมกำลังจะแย่แล้ววววววว ขิมไม่รู้จะทำอย่างไงดี แต่ในสิ่งที่ขิมไม่รู้จะทำอย่างไงดีนั้น มีพวกเราสองคนแว๊บเข้ามาในหัวของขิมพอดี พวกเราจึงถูกขิมลากพาไปซับน้ำตา ที่ไหนก็ได้ซักที่ ไม่ได้วางแผน

ซึ่งก่อนจะขับรถเลยเถิดทะลุประเทศไทยไป เราตกลงว่าปลายทางของเราจะเป็น ดอยอินทนนท์ - เชียงใหม่พอ มันเป็นที่ ๆ ขิมไม่เคยมา และอัยเคยเยือนเพียงครั้งเดียว ส่วนผมนั้นมาบ่อย แต่ไปไม่ทั่ว มักไปแต่ที่ซ้ำเดิม ๆ พูดง่าย ๆ ว่า มั่วกันมา พากันไป

มุมหนึ่ง ณ #บ้านแม่กลางหลวง #ดอยอินทนนท์ #เชียงใหม่ ตั้งกล้องถ่ายกันไป เพราะหาผู้ใดมาถ่ายให้ได้ไม่ วันนี้เป็นวันธรรมดา พี่ ๆ ทั้ง 2 ของขิมต้องลางานกันมา เพื่อซับน้ำตาน้องที่จิตใจตะเลิดเปิดเปิง

แผนเราไม่ได้วางกันมาว่าจะไปเที่ยวไหน มันเร่งด่วนให้ทันใจที่ตะเลิดไปของขิม เราจึงวางแผนว่าจะเอารถไปจอดทิ้งไว้ที่พักที่เราหาไว้ที่ตีนดอยอินทนนท์ (Touch Start Resort) แล้วติดต่อพี่รถแดงนำเที่ยว ให้พี่เขาพาเราไปที่โน้นที่นี่ตามใจเรา ตามใจเขา เพราะเราขับรถมาเหนื่อยแล้ว การขอให้พี่รถแดงพาเที่ยว น่าจะเหมาะกับเงื่อนไขเราที่สุดละ

ซึ่งพี่รถแดงก็เป็นพี่ที่ผมเคยเจอมาก่อน ชื่อ "พี่บาส" แกขับรถแดงพาเที่ยวในเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้ ๆ แล้วแต่ลูกค้าจะตกลง ใครสนใจก็โทรติดต่อแกได้ที่เบอร์ 090-186-9741 หรือเพจของแกได้ครับ


เอาฤกษ์เอาชัย ไหว้พระกันก่อน "พระมหาธาตุนภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ

พี่บาสรถแดง ได้รู้เรื่องเล็กน้อยว่า ขิมนั้นจิตใจตะเลิด ถ้าไม่หยุดที่เชียงใหม่ อาจจะขับรถไปไกลข้ามประเทศไปแล้ว จึงหวังเรียกขวัญกำลังใจกลับมาด้วยการ พาไปไหว้พระกันก่อนที่ด้านบนเกือบสุดของดอยอินทนนท์ นั้นคือพระมหาธาตุคู่ พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ

ก่อนถึงพระธาตุ เราจะต้องผ่านด่านตรวจทั้ง 2 ด่านของดอยอินทนนท์ ซึ่งจะมีการเช็คบัตรผ่านของอุทยานแห่งชาติด้วย

ตอนเราไปถึงพระธาตุก็มีหมอกลงจัดมาก จนมองไม่เห็นยอดพระธาตุด้วยซ้ำ ฝนก็ตกลงมาอีก ตอนแรกว่าจะให้เดินจากบันไดขึ้นแรกจนถึงด้านบนสุด ซึ่งจริง ๆ บันไดก็ไม่ได้เยอะมากหรอก ถ้าแข็งแรงหน่อยก็เดินขึ้นได้สบาย ๆ แต่อย่างไรก็ดี ก็มีบันไดเลื่อนให้บริการในบางช่วงด้วยนะ

บันไดเลื่อนในบางจุดเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับคนที่เดินบันไดปกติด้านนอกไม่ไหว แต่อยากจะบอกว่าวันนั้นที่เราไป บันไดเลื่อนไม่ทำงาน เล่นเอาซะเจ้าขิม ขวัญที่หายไปกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวทันทีเลย
ใครไม่อยากใช้บันไดเลื่อน ก็เดินขึ้นเอาเองด้วยบันไดธรรมดาก็ได้เช่นกัน จะว่าไปก็ไม่ได้เยอะขั้นเกินไปหรอก เดินง่าย ๆ เรื่อย ๆ อากาศเย็น ๆ เหงื่อไม่ออกหรอก

ตอนเข้าไปไหว้พระนี่ อากาศเย็นมาก ด้านในอาคารที่มีพระพุทธรูปประดิษฐสถานอยู่นั้น จะมีเสื่อ หรือพรมปูให้เรานั่งบนนั้นได้ เพราะถ้าเราไปเดินบนพื้นจะรู้สึกเย็นจนตกใจเลย (เราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไป) คือมันเย็นจนสะดุ้งเลยอ่ะ

ภายในพื้นที่รอบ ๆ พระธาตุมีการจัดสวนสวยงามมาก มีจุดชมวิวมองไปได้ไกล แต่วันนั้นมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่หมอก ทั้งที่จริงก่อนหน้านี้ผมเคยมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่นี่ด้วย สวยงามมาก จังหวะดี ๆ อาจจะได้เห็นทะเลหมอกด้วยซ้ำไป (แต่ยากเหมือนกันนะที่จะเกิดทะเลหมอก ต้องจังหวะดีจริง ๆ)

เห็นผมเปียก ๆ นั้นไม่ใช่เหงื่อของขิม แต่เป็นละอองหมอกที่ลงหนักสลับกับฝนพร่ำ ๆ
สวนที่รอบ ๆ พระธาตุสวยมากกกกกกก เดินเล่นเพลิน ๆ เลย แนะนำให้มาตั้งแต่ตอนช่วง 4 โมงเย็นเป็นต้นไป แล้วนั่งดูพระอาทิตย์ตกได้อีก

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นด้านบนสุดของยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มสาย ๆ ได้แล้วมั้ง แต่อุณหภูมิอยู่ที่ 14 องศา เย็นกำลังให้รู้ว่าหนาวแต่ทนไหวเลยทีเดียว

ด้านบนยอดดอย มีป้ายสูงสุดแดนสยามให้เราถ่ายภาพเช็คอินกันด้วย แล้วก็มีรูปปั้นของเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์เก่าแก่ให้เราได้สักการะบูชา

หน้าทางเข้าพื้นที่ของทหารอากาศ จะมีป้ายบอกอุณหภูมิแบบ realtime ด้วย

ห้องน้ำก็มีให้บริการนะ นอกจากนี้ก็จะมีป้ายบอกอุณหภูมิหน้าทางเข้าพื้นที่ของทหารอากาศ ซึ่งช่วงเทศกาล ผมจำไม่ได้ละว่าใช่ปีใหม่หรือเปล่า ทางทหารอากาศจะเปิดให้เราเดินเข้าไปด้านในได้ จะมีบริการห้องน้ำ รวมถึงทางทหารอากาศจะทำอาหารกินง่าย ๆ มาตั้งโต๊ะขายแบบอาหารร้อน ๆ ให้เราฟิน ๆ กับความหนาวด้านบนด้วยนะ

ป้ายเช็คอิน ใครตัวเตี้ย ๆ อย่างอัย การมายืนอยู่ตรงป้าย ก็ถือว่าตอนนั้นสูงกว่าคนเกือบทั้งประเทศแล้วละ
ขิมเริ่มเดินไม่ปกติ สงสัยอาการขวัญหนีเพราะโดนแฟนทิ้งจะเริ่มกลับมา อุตส่าห์ไปไหว้พระเรียกขวัญมาแล้วแท้ ๆ
ต้นไม้ในพื้นที่อ่างกาจะมีมอส เฟิร์นขึ้นเต็มไปหมด เพราะที่นี่เป็นเหมือนป่าเมฆ มีความชื้นสูงมาก หน้าฝนจะขึ้นมอสเขียวแน่นหนาแบบนี้เลย แต่ถ้าหน้าแล้งก็จะแห้งเป็นสีส้ม

อ่างกามีมุมถ่ายรูปเยอะนะ ในนั้นจะครึ้ม ๆ ก็จะทำให้เวลาเราไปยืนถ่ายตรงที่แสงส่องถึงแล้วจะดูเด่นมากเลย ยิ่งถ้าเข้าใจเรื่องสี เลือกสีชุดมาให้เด่น ๆ ละก็ ได้ภาพสวยแน่นอน

เริ่มหิว แวะกินข้าวบนยอดดอย

เสร็จจากเดินเล่นถ่ายภาพในอ่างกาแล้ว ท้องเริ่มหิว เดินทางทั้งคืน ทั้งง่วง ทั้งหิว เลยขอพี่บาสรถแดงให้พาไปหาของกินที่ใกล้สุด ซึ่งพี่บาสบอกว่า ขับรถอีกแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว

ร้านอาหารรวมกันอยู่ใต้อาคารชั้นเดียวแบบไม่มีผนัง รอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาด้านบนสุดของยอดดอยแล้วเกิดอาการหิวข้าวแบบพวกเรา

ที่นี่มีที่จอดรถที่รองรับรถได้ 30 - 40 คัน เอาจริง ๆ ก็เหมือนยอดดอยเลย มีที่จอดรถพอกัน แต่ช่วงเทศกาลก็ไม่พอหรอก รถวิ่งขึ้นมาบนยอดดอยจนรถติดด้วยซ้ำไป แต่วันที่เราไปนั้นเป็นวันธรรมดา ลานจอดรถแทบจะเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว

นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดรวมตัวของไกด์ท้องถิ่น และเป็นทางขึ้นของการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานด้วย

ป้ายบอกระดับความสูงใกล้หน้าทางเข้าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน
ภายใต้หลังคานี้ประกอบไปด้วยร้านค้า 3 - 4 ร้านได้ แต่วันที่เราไป มีเปิดแค่ 2 ร้านเท่านั้นเอง

กินไปหนาวไป ทั้งหิว ทั้งสั้น 555

เดินเที่ยวนาที่หมู่บ้านแม่กลางหลวง

ไปเดินดูนาเล่นที่บ้านแม่กลางหลวง ซึ่งหมู่บ้านนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทั้งคนไทย และต่างชาติจะแวะมาได้ด้วยหลายสาเหตุ

ทั้งมาซื้อกาแฟ มานั่งกินกาแฟฟรีที่บ้านพี่สมศักดิ์ หรือเรียกว่า "กาแฟโถ่บิเบ" ซึ่งที่ซุ้มกาแฟของพี่สมศักดิ์นี่ยังเป็นแหล่งรวมตัวของไกด์ท้องถิ่นนำเที่ยวเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอยเสี้ยวด้วย

ที่หมู่บ้านนี้มีร้านกาแฟหลายร้าน มีรีสอร์ทหลายเจ้าอยู่นะ แล้วก็มีนาขั้นบันไดด้วยครับ ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงเข้ามาที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงกันเยอะ เพราะว่าทุกอย่างค่อนข้างพร้อมนั้นเอง เดินเล่นภายในหมู่บ้านได้เลย พัก กิน อยู่ที่เดียวกันหมด

จัดไปหลายดอก ภาพชุดใหญ่ ตั้งกล้องได้แล้วถ่ายรัว ๆ ไม่ต้องย้ายที่ เพราะเริ่มเหนื่อยกัน 555
เพื่อน 4 ขาเห็นเราทำอะไรกันอยู่กลางที่โล่ง ๆ ซึ่งตรงนี้เขาก็กำลังจะเตรียมทำนากันละ เจ้าพวกนี้เลยแวะมาเยี่ยมตามภาษาเจ้าบ้านที่ดี มาต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนอย่างเรา

แต่รอบนี้ เราแค่แวะพาขิมมาเดินเล่นในท้องนานิด ๆ หน่อย ๆ คงเดินไกลไปน้ำตกผาดอกเสี้ยวไม่ไหว เพราะเอาจริง ๆ พวกเราไม่ได้นอนกันเลย ขับรถจากกรุงเทพตรงมาเชียงใหม่ นี่ถ้าไม่ได้ใช้บริการพี่บาสรถแดง ก็บอกตรง ๆ คงนอนหงอยอยู่ในรีสอร์ท Touch Start นั้นแหละ เพราะเหนื่อย

การใช้บริการรถนำเที่ยวที่มีคนขับแบบนี้ ก็ดีตรงที่เราเที่ยวให้เต็มที่ ขึ้นรถก็นอนอืดได้เลย เพราะพี่คนขับเขาชินทาง รู้จักสถานที่เที่ยว ที่กิน ขับรถให้เราอีก ก็เหมาะกับการมาแบบเรามาก


กลับที่พัก Touch Start Resort นอนเอาแรง แล้วตื่นมากิน

เนื่องจากเริ่มหมดแรง เราเลยคุยกับพี่บาสรถแดงว่า ให้พาเราลงนอนเอาแรงก่อน เพราะตอนเย็นเราจะไปไหว้พระที่พระธาตุจอมทองต่อ

ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่า Touch Start Resort ค่อนข้างกว้างแล้วนะ แต่เนื่องผมตื่นเร็ว (นอนอยู่บนรถยนต์ระหว่างที่ขิมขับมากรุงเทพอยู่นาน เลยไม่ค่อยง่วง) ก็เลยเดินเล่นในรีสอร์ท พบว่า มีห้องหลายโซน หลายแบบ หลายลักษณะให้เลือกเช่า ห้องใหญ่ ห้องเล็ก เยอะมากกกกกก แล้วยังมีจุดจัดกิจกรรม สัมมนา หรือจัดประชุมได้อีก

พื้นที่ในรีสอร์ทจะมีต้นไม้ที่ออกผลหลายอย่าง ทั้งขนุน ชมพู มะม่วง อะไรอีกไม่รู้ ทางรีสอร์ทก็บอกว่าเก็บกินได้นะถ้าต้องการ 555 ครบจริง ๆ

นอกจากห้องพัก บ้านพักแล้ว ก็มีส่วนที่เป็นสวน เป็นพื้นที่ทานอาหาร เรือนนั่งเล่น 2 ชั้น ให้เรานั่งชิว ๆ ได้พักผ่อนสบาย ๆ เอนหลังเคลิ้ม ๆ ได้อีก คือต้องบอกว่าครบเลยสำหรับที่นี่ แล้วยังอยู่ตีนดอยอินทนนท์อีก อากาศจึงไม่ร้อน ไม่หนาว ถือว่าใครที่ไม่อยากนอนหนาว ๆ ก็มาพักที่นี่ได้นะ

เรือนเคียงดาว เป็นห้องพักที่เราใช้เป็นที่หลับนอนคืนนี้


เรือนเคียงดาว มีตึกแฝดอยู่ข้าง ๆ ชื่อเรือนอะไรจำไม่ได้ละ ชื่อคล้องกันนั้นแหละ ลักษณะตึกก็เหมือนกัน มีห้องพักที่ด้านในออกแบบเป็นห้องคู่ คือมีประตูเชื่อมถึงกันได้ เหมาะกับเรามาก เพราะอัยนอนห้องนึง ผมกับขิมนอนอีกห้อง แต่ก็มีประตูเชื่อมถึงกันได้ถ้าอยากจะทำกิจกรรมร่วมกัน




มีที่นั่งเล่นด้านหน้า สำหรับไว้ให้ขิมมานั่งทอดอารมณ์ให้กับรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป
นอกจากห้องพักแบนเรือนเคียงดาวแล้ว ก็มีบ้านพักอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ต่ำกว่า 4 - 5 แบบเลยนะ ซึ่งภาพด้านบนนี้เป็นบ้านพักที่อยู่ติดริมน้ำ ดูสไตล์แบบบ้าน ๆ หน่อย เป็นสัดเป็นส่วน ทางเดินแยกออกจากเส้นทางเดินอื่นด้วยนะ ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัว และสงบ

อันนี้ก็เป็นกลุ่มบ้านอีกโซน บ้านแต่ละหลังอยู่ไม่ห่างกันนัก คือถ้าใครมาเป็นกลุ่มทัวร์ใหญ่ ๆ นี่ เหมาะเลยนะ เพราะบ้านด้านในมีอีกเป็น 10 หลัง แต่คล้ายกัน ไม่ไกลกัน เหมาะกับการมาเป็นกลุ่มทัวร์ใหญ่ ๆ มาก และนอกจากนี้ก็ยังมีบ้านแบบหลังอื่น ๆ อีกนะ เป็นบ้านหลังใหญ่ ๆ และห้องประชุมก็มี

มุมนั่งเล่นหลายแบบ หลายสไตล์ มีทั่วรีสอร์ท ยังมีเรือนรับรอง 2 ชั้น นั่งเอนหลังชมวิว หย่อนใจไปด้วยได้อีกต่างหาก อะไรจะขนาดนั้น

ทางเดิน มีหลายทางเลยนะ ร่มรื่น เขียวสบายตา

ภาพชุดด้านบนนี้คืออาหารเช้าฟรีนะครับ แล้วก็น้ำที่นี่เป็น้ำแร่ด้วยนะ รวมถึงน้ำที่อาบก็เป็นน้ำแร่จากธรรมชาติด้วย

ภาพด้านบนนี้เป็นอาหารเย็นที่เรานั่งกินตอนหัวค่ำกันครับ แต่อันนี้เราสั่งมากินกันเอง ไม่ได้มีแถมนะครับ



ไหว้พระที่พระธาตุศรีจอมทอง

ไหว้พระแค่ที่เดียว น่าจะไม่พอสำหรับขิมในครั้งนี้ พี่บาสยังอยู่กับเรานะ แกพาเราไปที่พระธาตุศรีจอมทอง ซึ่งบังเอิญอีก ช่วงนั้นเป็นช่วงวันสำคัญของพระธาตุศรีจอมทองพอดี เขาก็จะมีการรำ มีตลาดรอบ ๆ วัดด้วย เราก็ไม่ได้อะไรมาก กะจะแค่มาไหว้พระเท่านั้นแหละ ไม่เคยเข้าไปเลย

เอาจริง ๆ ตอนแรกกะจะไปไหว้พระแบบสงบ ๆ นะ แต่พอมีงานก็คือ ไม่ได้สงบละ 555 เพราะว่ามีการประกาศผ่านไมค์อยู่เรื่อย ๆ แถมยังมีการรำฟ้อนอยู่ด้านหน้า ทำให้มีการเปิดเพลงฟ้อนรำดังตลอดเวลา

แต่จะว่าไป ตอนเข้าไปในตัวโบสถ์ก็รู้สึกสงบนะ เป็นสีทอง สวยดีครับ

พระธาตุศรีจอมทองนี่ เป็นฉากหนึ่งในละครบางเรื่องด้วยนะ

อันนี้พอเราไหว้พระเสร็จ เราก็กลับไปกินข้าวที่รีสอร์ทนะ แล้วก็นัดกับพี่บาส พี่เขาจะพาเราไปเดินเล่น หาของกินเล่นที่ตลาดหลัง ม.ช. โดยเราจะขับรถกันไปเอง แล้วไปเจอกัพี่บาสที่นั้น


เดินเล่นหาของกินข้างทางตอนกลางคืนในตัวเมืองเชียงใหม่

นัดกับพี่บาสไว้ หลัง ม.ช. เดินซื้อขนมกินกันไม่หยุดปาก ที่ถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นหม่าล่าจอร์ส ร้านอยู่ตรงด้านหน้า 7-11 ซึ่งลงความเห็นกันทั้ง 3 คนว่า อร่อยมาก ผมนี่ไปเชียงใหม่หลังจากครั้งนี้ก็ต้องแวะมากินหม่าล่าร้านจอร์สตลอดถ้ามีโอกาส แต่เขาเปิดขายช่วงเย็น ๆ หัวค่ำนะ ซึ่งตอนซื้อกินก็มั่วแต่อร่อย ไม่ได้ถ่ายรูปอีก 555

พี่บาสพาไปกินอาหารถิ่นเด็กหอชาว ม.ช. นั้นคือ ข้าวไข่เจียวดาว หรือเจียวดาวนั้นเอง มันเป็นอาหารที่มีหน้าตาเป็นไข่เจียว และไข่ดาวไปด้วย ที่สำคัญราคาไม่แพง ทำให้เป็นอาหารประจำถิ่นเด็กหอที่นี่ได้ไม่ยากเลย

ตลาดหลัง ม.ช. นี่ คือสวรรค์นักเดินกินเลยนะ ทั้ง 2 ฝากถนนเต็มไปด้วยของเดินกินได้ตลอดเส้นทางซึ่งยาวมากเป็นกิโล ๆ เลย กินกันให้อ๊วกไปเลย

อยากจะบอกว่า ข้าวก็กินแล้ว ขนมก็กินแล้ว ของกินเล่นก็กินแล้ว ยังจะกินเจียวดาวกันอีก นี่จิตใจทำด้วยอะไรกัน

เราไม่ได้จบกันแค่นี้ ดึก ๆ เราแวะไปร้านตามคำบอกเล่าของพี่บาส พี่บาสบอกว่าเป็นร้านหม่าล่าสุดโปรดของพี่เขา ชื่อร้าน หมาล่าเนื้อ ซึ่งเจ้าของร้านจะไม่เปิดร้านในวันฝนตก ต้องโทรเช็ค หาวิธีเช็คกัน

ราคาต่อไม้ก็ 5 บาท ลูกค้าที่นี่นิยมมากันเป็นกลุ่ม นั่งกินแกล้มเบียร์ ซื้อทีเข้าคิวรอ เพราะแต่ละคิวมักจะซื้อกันหลัก 100 ไม้+

ซึ่งจากที่ได้กินร้านหมาล่าเนื้อ ก็พบว่าอร่อยมาก เป็นหม่าล่าที่แห้ง ๆ กว่าร้านจอร์ส รสชาติต่างกัน และรู้สึกได้เลยว่า ร้านหมาล่าเนื้อนั้น เหมาะจะเป็นกับแกล้มเบียร์อย่างมาก แต่ถ้ากินเปล่า ๆ ผมยกให้ร้านจอร์สนะ

จะเห็นว่ามีลูกค้าเยอะมาก มีเตาเดียวแต่เป็นเตายาว คนปิ้ง 2 - 3 คนช่วยกันทำ ซึ่งก็ทำไม่ทันหรอก การรอคิวรอบนี้ของผม กินเวลานานกว่าชั่วโมงเลยนะ กว่าโต๊ะจะว่างอีก เพราะโต๊ะก็มีให้บริการไม่เยอะ แต่ถ้าอากาศเย็น ๆ บอกเลยบรรยากาศแบบนี้ นั่งกินเบียร์ แกล้มหมาล่า ในวงสนทนาแบบเพื่อน ๆ นะ ฟินเวอร์

เรื่องราวนั้นก็จบลงด้วยประการฉะนี้ พวกเรามาเที่ยวดอยอินทนนท์ครั้งนี้ แม้จะดูวุ่นวาย แต่เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ทำให้ที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เราไปนั้นคนไม่เยอะ แต่ก็ยังดวงดี ไปช่วงวันสำคัญ ๆ ของวันพระธาตุศรีจอมทองอีกนะ

การได้นั่งรถแดงพาเที่ยว แล้วพี่เขาพาไปหาอะไรกินตอนกลางคืนแบบนี้ รู้สึกสบายใจดี เช้า ๆ นั่งรถไปชมหมอก ไหว้พระ กินข้าว ตกหลางคืนไปเดินหาอะไรกินเล่น ถือว่ารอบนี้ ขิมอกหักไม่เสียเที่ยวแล้วละ 555

เดินทางตามฝัน

 วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.48 น.

ความคิดเห็น