จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang : The First Emperor of China and Terracotta Warriors)


ครั้งแรกในไทยที่เราจะได้สัมผัสแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้ผนึกแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่น และวางรากฐานการปกครองประเทศจวบจนปัจจุบัน การเดินทางข้ามเวลากว่า 2,000 ปี ของกองทัพทหารจิ๋นซี ที่ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองซีอาน วันนี้สามารถมายลโฉม โบราณวัตถุล้ำค่าจากสุสานทหารจิ๋นซีกว่า 133 ชิ้น ใน นิทรรศการพิเศษระดับโลก จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang : The First Emperor of China and Terracotta Warriors) ที่มาจัดแสดงกว่า 3 เดือน ตั้งแต่ 15 กันยายน – 15 ธันวาคม 2562 (ปิดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น.
ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พิกัด : https://goo.gl/maps/Hu3buKC5QfBmHhwk8
ราคาค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ห้ามพลาดแล้วจะเสียใจไปอีก 2,000 ปี

#นิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้
#จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา
#แค่อยากออกไป


ไม่มีจิ๋นซีไม่มีประเทศจีน
จิ๋นซีฮ่องเต้ประสูติในช่วงราชวงศ์โจวตะวันออก (ประมาณ 2,700 ปีที่แล้ว) ในช่วงยุคจ้านกว๋อ หรือยุคสงคราม เมื่อจีนยังไม่รวมเป็นประเทศ มีรัฐที่เข้มแข็งอยู่ทั้งหมด 7 รัฐ คือ ฉิน, หาน, จ้าว,ฉี, ฉู่, เอี้ยน, เว่ย ตัวรัฐฉินเองเดิมอยู่ทางตะวันตกที่ห่างไกลและแร้งแค้น ต้องอพยพย้ายเมืองหลายระรอกมาสู่เมืองซีอานทางตะวันออกที่อุดมสมบูรณ์บนที่ราบลุ่มแม่น้ำหวงโฮ และสามารถพัฒนาให้มีกองกำลังให้แข็งแกร่ง สามารถยึดครองรัฐต่างๆ ให้อยู่ภายใต้อำนาจของตน



นักรบผู้เกรียงไกร
ชาวฉินนั้นมีความชำนาญในการเลี้ยงม้า รัฐฉินเองอยู่พื้นที่ทางตะวันตกของจีนใกล้กับเอเชียกลางที่เป็นแหล่งม้าจึงเป็นข้อได้เปรียบ และสามารถพัฒนาให้ม้านั้นเป็นพาหนะและแรงงานสำคัญในยามมีศึกสงคราม อาวุธที่ใช้ในช่วงนี้มักผลิตด้วยสำริด เพื่อรบในลักษณะพลพื้นราบและบนรถเทียมม้า จึงจะเห็นว่ามันเป็นอาวุธที่ใช้ต้องใช้ต่อกับด้ามไม้ทั้ง เกอ หอก และดาบ หลากหลายชนิด กับกองกำลังอันแข็งแกร่งกองทัพรัฐฉินที่สามารถบุกไปยึดกองทัพของรัฐอื่นๆ เพื่อรวบรวมประเทศในเวลาต่อมา



โลกหลังความตาย
แต่ไหนแต่ไร ชาวจีนต่างก็มีความเชื่อว่าโลกหลังความตายเปรียบเสมือนโลกอีกใบ ที่มนุษย์ต้องเดินทางข้ามภพไปอยู่โลกขนานกับโลกมนุษย์ ชาวจีนเองจึงให้ความสำคัญกับธรรมเนียมการฝังศพมากเป็นพิเศษ จากการฝังศพในเนินดินค่อยๆพัฒนาเป็นสุสานที่ซับซ้อน และมีพิธีกรรมในการฝังศพ และมีความเชื่อเรื่องการฝั่งสิ่งของต่างๆ อุทิศให้กับคนตายเพื่อจะได้เอาของเหล่านี้ไปใช้ในโลกหน้า ของที่ฝั่งร่วมไปกับคนตายจึงมีความประณีตพิถีพิถันเป็นพิเศษ


สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง ดีบุก ตะกั่วและแร่อื่นๆ เมื่อหลวมรวมกันจะได้โลหะที่มีสีเหลืองสุกดั่งทองคำ (แต่นานไปจะมีสนิมสีเขียวมาเกาะ) และสามารถออกแบบลวดลายให้วิจิตรอลังการได้ตามต้องการ ในช่วงนี้สำริดก็นิยมนำมาใช้เป็นทั้งอาวุธ เครื่องใช้ประกอบพิธีกรรม และเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งถูกฝังรวมไปในสุสานอุทิศให้กับคนที่ตายเอาใช้ในโลกหน้า อย่างภาชนะรูปทรงแบบในนิทรรศการ เรายังเห็นในพิธีกรรมแบบจีนจนถึงทุกวันนี้



เงินตราในอาณาจักรโบราณ
ระบบเงินตราเริ่มปรากฏการใช้ในจีนเองมาประมาณ 2,800 ปีมาแล้ว เหรียญกลมที่มีรูตรงกลาง หรือ “สตางค์รู” กลายเป็น เงินตรามาตรฐานซึ่งมีการผลิตใช้ต่อเนื่องนานกว่า 2,000 ปี อย่างแม่พิมพ์เหรียญก็เป็นนวัตกรรมการหล่อสำริดเป็นเงินที่สามารถผลิตได้ครั้งละมากๆ แสดงว่ามีความนิยมการใช้เงินเป็นสื่อกลางการค้าขายมานานแล้ว



ดนตรีประโลมจิตใจ
ในยุคชุนชิวและจ้านกว๋อนี้ก็พบเครื่องดนตรีด้วยนะ ระฆังสำริดหย่งจงและเปียนจงเป็นเครื่องดนตรีประเภทเคาะที่ให้เสียงเหมือนระฆัง ตอนที่ขุดค้นพบพบเป็นราวและยังสามารถไล่เสียงสูงต่ำ แล้วยังเจาะบันทึกเกี่ยวกับโน้ตดนตรีที่ใช้ตีจนสามารถรู้ได้ว่าดนตรีจีนในยุคนี้เขาบรรเลงเพลงได้เพราะขนาดไหน



ทองและเงินมีราคา แต่หยกล้ำค่ากว่า
อัญมณีที่ชาวจีนยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ นำความสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย ความมีโชค และทำให้อายุยืน คนจีนจึงมีความเชื่อเรื่องหยกมานานหลายพันปี หยกมีความผูกพันกับชาวจีนมากตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ถือเป็นหินแห่งสวรรค์ พลังของหยกจะช่วยรักษาร่างกายให้เป็นอมตะ ศพไม่เน่าเปื่อย เราจึงมักพบหยกถูกสลักเป็นลายมงคลหรือสัตว์มงคล หรือแม้กระทั่งคลุมร่างกายในสุสานด้วย



ยากกว่าสงคราม คือ การครองเมือง
จักรพรรดิจิ๋นซีเสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่มีพระชนมายุ 13 พรรษา ในตำแหน่ง ฉินอ๋องเจิ้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายอำนาจ โดยมีกุนซือคู่ใจคนสำคัญอย่างเว่ยเหลียวและหลีซือที่ใช้กลยุทธ์ต่างๆ ค่อยผนวกรัฐทั้ง 6 เข้ามาเป็นของรัฐฉิน แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมจักรพรรดิองค์แรกของจีนนามว่า ฉินสื่อหวงตี้ หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่สิ่งที่ยากกว่าการยึดครองแคว้นต่างๆ ก็คือการจะปกครองประชาชนอย่งให้เป็นปึกแผ่น จิ๋นซีฮ่องเต้ จึงริเริ่มการปกครองประเทศแบบศูนย์กลาง การใช้กฎหมายที่เข้มงวดมาก และออกพระราชโองการให้ประชาชนใช้ตัวอักษร ระบบชั่งตวงวัดแบบเดียวกัน และยังพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และการส่งเสริมเศรษฐกิจให้เฟื่องฟู อย่างการตัดถนนให้เป็นเส้นตรงอย่างในจักรวรรดิโรมัน สร้างเขื่อนเพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือการสร้างกำแพงเมืองจีนสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ถูกสร้างในยุคของจิ๋นฮ่องเต้เพื่อป้องกันข้าศึกจากทางเหนือ จนได้ชื่อว่าเป็นทั้งมหาราชและทรราชในองค์เดียวกัน



แสนยานุภาพของกองทัพฉิน
หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ยึดครองรัฐต่างๆ ได้แล้ว กลยุทธ์อีกอย่างคือการยึดเอาทหารและอาวุธ เข้ามาเป็นของตนเอง พร้อมกับการพัฒนาอาวุธที่มีขีดความสามารถทำลายล้างได้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และสามารถฝึกฝนให้ใช้งานได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน มีดาบเหล็กที่คมและยาวเป็นพิเศษ มีไกหน้าไม้เครื่องยิงธนูที่สามารถทำให้ยิงธนูออกไปได้ไกลและได้เร็วจนสามารถเจาะเกราะทุกชนิดของข้าศึก กลายเป็นกองทัพที่น่าเกรงขามที่สุดของโลกยุคโบราณ มีแสนยานุภาพที่ยากจะหาใครมาต้านทานได้



จิ๋นซีฮ่องเต้ผู้ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์

แม้จิ๋นซีฮ่องเต้จะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ รวมบ้านเมืองได้เป็นปึกแผ่น สร้างเศรษฐกิจให้เฟื่องฟู มีพระราชวังอันใหญ่โตและมั่นคง แต่สิ่งที่พระองค์นั้นพยายามแสดงหาตลอดชีวิต คือ ความเป็นอมตะ ทั้งในโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ พระองค์จึงเกณฑ์ไพร่พลกว่า 7 แสนคน เพื่อที่ประทับของพระองค์ตลอดกาลนาน บริเวณเชิงเขาหลีซาน โดยใช้เวลาถึง 38 ปี ในการสร้างสุสานขึ้นมา และมีการบันทึกขั้นตอนการสร้างสุสานไว้อย่างละเอียดของซือมาเฉียงอารักษ์แห่งราชวงศ์ฮั่น หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้สวรรคตราชวงศ์ฉินก็ค่อยๆ เสื่อมอำนาจลง สุสานของพระองค์จึงกลายเป็นปริศนาที่รอวันเปิดเผย



ชีวิตหลังความตายเฉกเช่นโลกมนุษย์
ชาวจีนโบราณมีความเชื่อว่า การสร้างสุสานให้แก่ผู้อันเป็นที่รักในสถานที่เหมาะสมวิญญาณจะสงบสุข ตามธรรมเนียมจีนโบราณมาจนถึงราชวงศ์โจว มีธรรมเนียมการฝังสิ่งของลงไปพร้อมกับศพ หากผู้ตายเป็นคนสำคัญ จะต้องนำข้าทาสบริวารที่เป็นคนจริงๆ ฝังลงไปพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ให้กับผู้ตายเพื่อนำไปใช้ในโลกหน้า พอมาถึงยุคราชวงศ์ฉินการฝังคนเป็นๆ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นการปั้นหุ่นจำลองเหมือนจริงทั้งหน้าตา การแต่งกาย และขนาดแบบคนจริงๆ ของอุทิศให้กับผู้ตายแบบนี้ค่อยๆ กลายมาเป็นเครื่องกงเต๊กที่คนจีนแบบที่เราคุ้นตาในปัจจุบัน



ไขความลับมหาอาณาจักรใต้พิภ
แล้วความมหัศจรรย์ของสุสานก็ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เมื่อปี 2517 หยางจื้อฟา ชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง กำลังขุดหาบ่อน้ำแล้วไปเจอกับหุ่นทหารดินเผา การค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 บนสุสานขนาด 37,500 ไร่ เป็นเนินดินขนาดใหญ่ห่างจากเมืองซีอาน 35 กิโลเมตร ก็ได้รับการเปิดเผยสู่สายตาชาวโลกอีกครั้งและได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 2530


สุสานจำลองแผนผังพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ ตรงกลางเป็นพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ ล้อมรอบด้วยสุสานของข้าราชบริพาร นางสนม ส่วนที่เป็นข้าวของเครื่องใช้และเครื่องความสะดวกอย่างรถม้าสำริด คลังอาวุธ คอกสัตว์ แสดงให้เห็นความพยามของจิ๋นซีเต้ฮ่องเต้ที่จะคงความเป็นอมตะในโลกสวรรค์ของพระเจ้า


รถม้าในสมัยจีนโบราณถือเป็นเครื่องแสดงยศศักดิ์อย่างหนึ่ง จำนวนม้าที่ใช้เทียมรถเป็นของพระราชทานที่แสดงถึงฐานะและบรรดาศักดิ์ เครื่องประดับบนตัวม้าก็ยังสามารถบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของรถได้



กองทัพทหารจิ๋นซีในอาณาจักรใต้พิภพ
กองทัพทหารดินเผาที่เห็นอยู่นี้ ทหารแต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์เฉพาะที่เห็นได้จากการทรงผม หน้าตา และการแต่งกายแต่ละตัวจะบ่งบอกตำแหน่งในกองทัพ เช่น แม่ทัพ ทหารราบ พลยิงธนู หุ่นแต่ละตัวจะมีท่าทางเหมือนถืออาวุธประจำตัวที่สันนิษฐานว่าน่าจะอาวุธของจริงแต่ก็ได้เสื่อมสลายไปตามเวลาแล้ว


เราจะเห็นหุ่นทหารแต่ละตัวนั้นจะมีเครื่องแต่งกาย ทรงผมและหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า กองทัพอันเกรียงไกรของจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นเป็นการรวบรวมไพร่พลจากรัฐต่างๆ เข้ามารวมกันไว้ แต่ละคนก็ยังคงแสดงอัตลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ตนเองไว้อย่างชัดเจน ซึ่งต่อมาภายหลังในช่วงราชวงศ์ฮั่นตะวันออกชาวจีนมีการติดต่อกันไปมาจึงมีการผสมผสานระหว่างเผ่าพันธุ์จนทำให้คนจีนมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันแบบในปัจจุบัน


ชาวฉินดั้งเดิมเป็นกลุ่มชนเลี้ยงม้าจากทางตะวันตก จึงมีความสามารถในการนำม้าสายพันธุ์ดีจากเอเชียกลางมาเลี้ยงและมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการขี่ม้าและการบังคับม้า ดังนั้นม้าในกองทัพฉินถึงเป็นม้าคุณภาพดี รูปร่างใหญ่ สัดส่วนสวยงาม



ราชวงศ์ฮั๋น ยุคทองของอารยธรรมจีน
เป็นช่วงที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์จีน หลังจากราชวงศ์ฉินเสื่อมอำนาจ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายอีก หลิวปังสามารถปราบกบฏ รวบรวมให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้งและสถาปนาขึ้นเป็น จักรพรรดิฮั่นเกาจูแห่งราชวงศ์ฮั่น พระองค์ทรงนำระบบบริหารการปกครองที่ี่จักรพรรดิจิ๋นซีสร้างขึ้นมาใช้ฟื้นฟูและจัดระเบียบสังคม วางรากฐานด้านเกษตรกรรม และการค้ากับต่างประเทศ แต่ยกเลิกกฎหมายที่เข้มงวดทารุณโหดร้าย ลดภาษีอากรและการเกณฑ์แรงงาน ปลดปล่อยกำลังทหารและประชาชนกลับสู่บ้านเกิด ช่วงนี้มีการติดต่อกับชาวตะวันตก ด้วยการส่งทูตออกไปติดต่อกับเมืองต่างๆ เพื่อขยายเส้นทางทางการค้าที่เชื่อมไปยังตะวันออกกลางและยุโรป มีการแลกเปลี่ยนแปลงทางการค้าและวัฒนธรรม จึงเกิด “ เส้นทางสายไหม” นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของจีน


สืบสานความรุ่งโรจน์ ต่อยอดความเจริญรุ่งเรือง

สมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง มีการสร้างพระราชวังใหญ่โต สนับสนุนให้ประชาชนทำเกษตรกรรมเพื่อเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ส่งเสริมการค้าขายที่มีความมั่นคง เครื่องสำริดไม่เป็นที่นิยมต่อต่อไปแล้ว แต่เครื่องปั้นดินเผากลับมาเป็นที่นิยมมากกว่า และยังสามารถผลิตได้ทีละมากๆ สร้างนวัตกรรมการสร้างเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามมีเทคนิค ลวดลายและรูปทรงที่ซับซ้อน



เส้นทางสายไหม
เส้นทางการค้าความยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเมืองฉาง ผ่านนครรัฐและเมืองต่างๆ จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของจักรวรรดิโรมัน เครือข่ายการค้าขายเชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตกก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ผ้าไหมเนื้อดีจากจีนกลายเป็นสินค้ามีราคาแสนแพงในโลกตะวันตก เครื่องเทศเครื่องหอม เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหาร เทคโนโลยี ความรู้ นวัตกรรมใหม่ ทำให้จีนได้รู้จักอารยธรรมใหม่จากโลกตะวันตก พ่อค้า นักเดินทาง นักบวชพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาสูแผ่นดินจีน ก็เดินทางติดต่อกันไปมาบนเส้นทางนี้ การค้าขายบนเส้นทางสายไหมเป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมจีนจนกลายเป็นมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน



เวลาผ่านความเชื่อไม่มีวันดับสูญ
ความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย ทั้งการก่อสร้างสุสาน การฝังทรัพย์สมบัติ ข้ารับใช้เพื่อเอาไปใช้ในโลกหน้า ก็ยังคงสืบทอดต่อมาสู่ยุคฮั่น เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนคติการอุทิศสิ่งของให้กับผู้ตายจากการฝังร่างคนจริงที่มีมาจนถึงยุคราชวงศ์โจว เป็นหุ่นเท่ากับขนาดคนจริงในยุคราชวงศ์ฉิน คลายความเคร่งครัดลงไปเป็นการทำหุ่นจำลอง และของอุทิศอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กลงแทน


คนจีนมีความเชื่อในเรื่องความเป็นสิริมงคลอย่างแนบแน่น จึงมักจะนิยมวาดหรือสลักภาพสัญลักษณ์มงคลที่มีความหมายไปในทางให้โชคลาภและอายุยืน อย่างภาพสัตว์มงคลต่างๆ เช่น กวาง เต่า นกกระเรียน ถูกสลักลงบนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของชาวจีนแทบทั้งนั้น แต่ที่น่าทึ่งก็คือสัญลักษณ์มงคลนี้ก็ยังคงถูกใช้มาตั้งแต่โบราณ และยังคงสืบทอดต่อมาอย่างดีจวบจนกระทั่งปัจจุบัน



ก่อนสิ้นสุดการจัดแสดง จะพบกับเหล่าบรรดาเซเลปกองทัพทหารจิ๋นจากแผ่นดินใหญ่ สามารถเซลฟี่ได้แบบถึงเนื้อถึงตัว แล้วเช็คอินให้ใครๆ อิจฉา ถ้าไม่มาดูเดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องไม่รู้นา



ขณะนี้เวลา 12.20 น. ปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดในพิพิธภัณฑ์ไทย ที่คนจะมีต่อแถวยาวเหยียดขนาดนี้ แนะนำว่าควรมาช่วงเช้าก่อน 08.30 น. คนจะน้อย เดินไปซื้อตั๋ว นั่งรอที่เต้นท์ แปะสติ๊กเกอร์ แล้วเดินเข้าชมแบบเท่ห์ได้เลย


**ข้อแนะนำสำหรับการเข้าชมนิทรรศการ
- นิทรรศการจะถูกจัดแบ่งออกเป็น 4 โซน คือ พัฒนาการก่อนการรวมชาติ, จิ๋นซีฮ่องเต้จักรพรรดิองค์แรกของจีน ผู้ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์, สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มหาอาณาจักรใต้พิภพ และสืบสานความรุ่งโรจน์ยุคราชวงศ์ฮั่นใช้เวลารวมๆ อยู่ในนั้นตั้งแต่ 20 นาทีไปจนถึงชั่วโมงกว่าๆ
- ควรไปช่วงเช้า (สัก 9 โมง) คนจะน้อย เดินไปซื้อตั๋ว นั่งรอที่เต้นท์ แปะสติ๊กเกอร์ แล้วเดินเข้าชมแบบเท่ห์ได้เลย
- ไม่ควรนำกระเป๋าใบใหญ่ไป (เกิน 12 นิ้ว) เพราะต้องเอาไปฝาก ต่อคิวยาวเหยียดจะเสียเวลา
- ห้ามนำเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปในนิทรรศการ แต่เขาจะมีโต๊ะให้วางอยู่ตรงทางเข้านิทรรศการ
- ตรงหน้านิทรรศการมีที่ฝากร่ม ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะ
- เขาไม่อนุญาตให้ใช้กล้องถ่ายรูปทุกชนิด ซึ่งเป็นข้อกำหนดจากทางจีน แต่สามารถถ่ายภาพด้วยกล้องจากมือถือได้ตามสบาย แต่ห้ามเซลฟี่กับวัตถุต่างๆ อย่าทำนะไม่น่ารักเลย
- ตอนเข้าชมระวังตู้จัดแสดงให้ห้องกลาง (โซนที่ 3)เพราะเป็นกระจกนิรภัย หากไปโดนตู้จะร้องโวยวายเอาได้
- ควรเดินทางไปด้วยรถสาธารณะ เพราะที่จอดรถค่อนข้างอยู่ไกล (ต้องไปจอดท่ามหาราช ราชนาวีสโมสร วัดชนะสงครามหรือบางลำพูโน้นเลยแหละ)

ติดตามการเดินทางแบบเราได้ที่ แค่อยากออกไป

แค่อยากออกไป

 วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 02.20 น.

ความคิดเห็น