ICELAND : The Land of Fire and Ice

สวัสดีครับ เนื่องจากเป็นบทความแรกของผมบน Readme.me หากมีข้อผิดพลาดประการใดเรื่องการกำหนดหมวดหมู่/ศัพท์ที่ใช้ หรือ กฎกติกาที่ใช้ ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ ... จริง ๆ แล้ว ผมเริ่มเขียนกระทู้นี้ครั้งแรกทาง Pantip แล้วโดนชวนให้มาเขียนที่นี่ครับ ยังไงก็ขอฝากผลงานด้วยครับผม :)


ก่อนอื่นเลยผมขอเท้าความถึงสาเหตุที่ต้องตั้งกระทู้นี้ใน Readme.me ..


เนื่องจากผมเป็นคนชอบเที่ยว ชอบออกไปเปิดโลก ไปต่างประเทศและนำภาพบรรยากาศ หรือ ประสบการณ์มาบอกเล่าต่อ ๆ กัน เพื่อให้คนรู้จักหรือคนรอบ ๆ ตัวได้มีโอกาสออกไปผจญภัย และได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ รอบ ๆ โลก ผมจึงตั้งเพจเล็ก ๆ ไว้เขียนเกี่ยวกับแผนการเที่ยวของตัวผมเองทาง FB โดยใช้ชื่อว่า "นอกกรอบ รอบโลก" ครับ ออกแนวประมาณ ไปเที่ยวไหน หรือ วางแผนยังไงก็จะเขียนลงไปแล้วนำมาแบ่งปันมากกว่าครับ;



เรื่องมีอยู่ว่า ...


ตอนผมเริ่มคบกับแฟนใหม่ ๆ ผมเคยบอกกับเค้าว่า "อยากไปดูดาวในที่ ๆ ไกล ๆ เมือง ด้วยกัน" ... ตามประสาผู้ชายจีบผู้หญิงใหม่ ๆ 555+


พอคบมาเรื่อย ๆ ผมจึงบอกเค้าอีกว่า "อยากพาไปดูแสงเหนือซักวันหนึ่งก่อนตายจากโลกนี้ไป" ... ตามประสาผู้ชายเอาใจแฟนครับ



และก่อนที่ตัดสินใจไปกัน ผมได้บอกไว้ว่า "อยากไปถ่ายรูป Pre-Wedding ใต้แสงเหนือจัง" ... ตามประสาผู้ชายที่พร้อมแต่งงานกับผู้หญิงคนนึง



ตลอดช่วงเวลาที่ผมทำงานหลังเรียนจบ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวมาหลายที่มาก ก่อนอายุ 25 ปี เนื่องจากผมทำงานเป็นแบบ Rotation ที่ต่างประเทศมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีการกลับมาพักร้อน ก็เลยอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการผจญภัยไปตามที่ต่าง ๆ จนกระทั่งวันนึงได้ไปเจอกระทู้หนึ่งที่แชร์บนหน้า Facebook ของผม ซึ่งก็คือ "กระทู้ Iceland ของ หมอ ๆ ตะลุยโลก" นั่นเองครับ ... และนั่นจุดเริ่มต้นของ ความประทับใจของ "นักเดินทางสู่นักเดินทาง" ที่เกิดขึ้นกับผมก่อนการตัดสินใจไปเที่ยวครั้งนี้ ...



หลังจากที่ผมเจอและได้อ่านกระทู้นี้ ผมก็เริ่มเขียนแผนการเดินทางของตัวเอง โดยทำการรวบรวมข้อมูลจาก กระทู้คุณหมอ กระทู้รีวิว Rental ต่าง ๆ และ ข้อมูลต่าง ๆ จาก Arctic Friendly Tour บน FB โดยทุก ๆ เนื้อหาล้วนแต่เป็นความรู้ดี ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้เสียสละเวลา และ ความตั้งใจเพื่อให้ทุก ๆ คน ได้อ่าน ได้ฟัง ... ผมจึงตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อแบ่งปันทุก ๆ คน ในแบบที่ผมได้รับการแบ่งปันมาเช่นกัน :)



ต้องขอขอบคุณ "หมอ ๆ ตะลุยโลก" และ "Arctic Friendly Tour" สำหรับคำแนะนำทั้งทางตรงและทางอ้อมครับผม



กระทู้ Iceland ของ หมอ ๆ ตะลุยโลก : http://pantip.com/topic/32164247

FB ของ Arctic Friendly Tour : https://www.facebook.com/Arctic-Friendly-Tour-1413875662163641/



มาเริ่มกันเลย ....



ผมขอแนะนำตัวคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ผมชื่อ “Bo" เป็นวิศวกรปิโตรเลียมปัจจุบันทำงานอยู่ประเทศ Iran ให้บริษัทสีน้ำเงิน ก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมทำงานอยู่ที่ประเทศ Kuwait และได้เจอกับ “Joe" หนึ่งในสมาชิกที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนี้ ปัจจุบัน Joe ทำงานอยู่ที่ประเทศ Kuwait สายขุดเจาะครับ นอกจากนี้ก็ยังมี “Yousef" ซึ่งเป็นลูกครึ่ง Oman/American ซึ่งเคยทำงานที่เดียวกัน ผมเจอ Yousef ครั้งแรก ที่งาน Farewell ของผมก่อนจะลาจาก Kuwait ไปทำงานที่ Iran และสุดท้าย Yousef ก็ตัดสินใจเดินทางไปเจอเราที่ Reykjavik ในนาทีสุดท้าย ...



ส่วนสาว ๆ ในทริปนี้ก็มี “Rose" ซึ่งเป็นแฟนผมเอง และ “Grace" ซึ่งเป็นน้องสาวของผมเอง ... ตัวโรสเองก็ทำงานเป็นสาว Offshore ที่ประเทศไทยเรานี่เองครับ ปัจจุบันอยู่ Office แล้ว ส่วนเกรซเพิ่งกำลังจะเริ่มทำงานเป็น Cabin Crew กับสายการบินสีแดงในตะวันออกกลางปีนี้ ...



สมาชิกที่อดมาทริปนี้ก็มีครับ เนื่องจากเหตุผลนานาประการ ... แต่เราไม่ทำให้เราเค้ารู้สึกว่าไม่ได้มาด้วยกัน แน่นอน เดี่ยวมาติดตามกันต่อว่า เพราะอะไร ...



Trip ของเราครั้งนี้เริ่มเดินทางที่วันที่ 1 และจบลงที่ วันที่ 14 มีนาคม (เดินทางถึงไทยวันที่ 15 มีนาคม) ผมขอนำเสนอเฉพาะส่วนที่คุณหมอไม่ได้พูดถึงนะครับ เนื่องจากผมมองว่า กระทู้คุณหมอนั้นทำได้แบบสมบูรณ์แบบมาก และเป็นที่นิยมมาก ผมจึงขอเขียนเฉพาะส่วนที่คุณหมอไม่ได้นำเสนอละกัน เผื่อทุก ๆ คน จะได้มีมุมมองเกี่ยวกับประเทศนี้ที่ต่างออกไปในแบบของตัวเอง (ได้รับความเห็นทั้งในแบบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และ ในแบบกรรมกรแรงงานวิศวกรต่างด้าว 555+)



การเดินทางของเรานั้น ทำการวนรอบ Ring Road และมีเพิ่มเติมคือได้ไปฝั่ง Western Fjords ซึ่งเป็นที่ ๆ คนไทยไม่ค่อยไปเที่ยวกัน ... ระหว่างเดินทางตัวผมเองได้มีโอกาสเจอกับคนไทยด้วยกันอีกประมาณ 4 กลุ่ม ซึ่งขับไปเส้นทางเดียวกันแต่ไม่ได้แวะที่ Western Fjords ครับ อากาศโดยรวมช่วงที่ไปค่อนข้างแปรปรวน ฟ้าจึงแทบจะปิดตลอดเวลา กว่าฟ้าจะเปิดพระอาทิตย์ก็ขึ้นซะแล้ว



แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ... เพราะ ถึงแม้จะเป็น Winter แต่ Drone ของเรา ก็ทำหน้าที่เป็นพระเอกประจำทริปนี้ตลอดเวลา เรียกได้ว่า ไม่ผิดหวังเลยที่ ตัดสินใจแบกมันมาด้วยอย่างยากลำบาก 555+ ผมขอเริ่มต้นด้วย Video จากพระเอกของเราในครั้งนี้เพื่อเป็น Summary ของบรรยากาศและกิจกรรมที่เราได้เผชิญกันในครั้งนี้ครับ





Timeline Video;

02:10 Seljalandsfoss Waterfall
02:14 Bruarfoss Waterfall
02:18 Skogafoss Waterfall
02:25 Thingvellir Park
02:29 Skaftafell Roads
02:33 Geysir
02:41 Western Fjords
02:44 Svinafell Glacier
02:48 Godafoss Trail
03:10 Hallgrimskirkja
03:22 Aurora in Akureyri
03:35 Godafoss Waterfall
03:39 Seljalandsfoss Waterfall
03:42 Reykjavik at Night
03:53 Blue Lagoon
03:54 Secret Lagoon
03:58 Snowboarding in Hlidarfjall

ติดตามพวกเราได้ที่ เพจ "นอกกรอบ รอบโลก" ทาง FB ครับ :)

https://www.facebook.com/worldwalkthrough/ประสบการณ์ 14 วัน Winter in Iceland ;



มาต่อกันที่แผนการเที่ยวของผมตามข้างล่างนี่ได้เลยฮะ


วันที่ 1 และ 2 : Bangkok -> Reykjavik

เดินทางมาวันแรก วางแผนผิดพลาดไปนิดนึงเพราะ ตอนแรก เราได้ที่เช่ารถ Motorhome ใน Reykjavik ซึ่งห่างออกไปจาก Airport ประมาณ 50 km เลยตัดสินใจจองโรงแรม แบบ No-Refund ไว้ที่ Reykjavik แต่พอใกล้ ๆ วันเดินทาง Motorhome ที่นั่นกลับเต็ม เราจึงได้ที่จอง Motorhome แห่งใหม่แถว ๆ Keflavik ... แต่เราไม่สามารถ Cancel Booking โรงแรม ได้ โดยไม่เสียตัง เลยตัดสินใจ เช่ารถขับไปนอนใน Reykjavik คืนนึง แล้ว ขับกลับมา Keflavik เพื่อ เอา Motorhome ในวันรุ่งขึ้น .... ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ เราเดินทางมาถึง Keflavik ปาก็เข้าไป 5 PM แล้ว บริษัทเช่ารถส่วนใหญ่ก็ได้ปิดไปแล้วครับ เราจึงมีความจำเป็นต้องเช่ารถ Motorhome ในวันรุ่งขึ้น ...



NOTE: แนะนำว่า ถ้ามาเกิน 3 คน การเช่ารถขับ + ค่าน้ำมัน ผ่าน Rentalcars.com จะคุ้มกว่าการนั่งรถบัสเข้าเมืองนะครับ เพราะ ราคาพอกัน แต่ต่างกันที่ความอิสระ และเวลาเดินทางครับ


วันที่ 3 : Reykjavik -> Thingvellir -> Geysir

ก่อนจะเอารถไปคืนที่สนามบิน พวกผมก็จัดการเอากระเป๋าและสัมภาระทั้งหลาย ไปลงที่เช่า Motorhome ซึ่งก็คือบริษัท CamperIceland.is นั่นเองครับ สาเหตุที่เลือกที่นี่ ก็ง่าย ๆ เลยครับ “เพราะ มัน ถูก" และเป็นบริษัทเดียวที่ยังเหลืออยู่ในการเช่า Motorhome ช่วง หน้าหนาว ส่วนสาเหตุที่พวกผมเช่า Motorhome แทน Campervan นั้น เนื่องจาก แฟนผมฉี่ค่อนข้างบ่อย จะจอดแล้วฉี่ข้างทาง ก็เกรงใจคนในท้องที่ครับ ... มาบ้านเค้าก็ต้องให้ความเคารพ ต่อธรรมชาติบ้านเค้าครับ :)



พอขับรถเข้าอุทยาน Thingvellir ก็ลงไปยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยครับ แล้วก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป ...


เนื่องจากวันนี้ หิมะตกค่อนข้างเยอะ ถนนจึงค่อนข้างจะลื่น ผมพยายามจะขับเข้าไปจอดเพื่อเข้าไปที่ Bruarfoss ตั้งแต่วันแรก .. แต่ถนนลื่นเกิน Motorhome ไม่สามารถเข้าไปได้ครับ :( ทั้งแก๊งเลยตัดสินใจกันแวะจอดนอนที่ Geysir Cafe ชมน้ำพุร้อน แล้วก็ทำกับข้าวกินครับ ซักพักนึง Yousef ก็ขับรถ Campervan 2 ที่นั่งตามมาสมทบกัน เนื่องจากลงเครื่องคนละเวลาครับ

ตอนนี้ทั้งกลุ่มก็ครบพร้อมหน้ากันแล้ว ระหว่างทางเจอพี่คนไทยกลุ่มนึงเมื่อคืนที่ Geysir เค้าตัดสินใจขับตรงไปที่ Seljalandsfoss ตอนกลางคืน แล้วเจอกับ แสงเหนือครับ แอบเสียดายนิด ๆ แต่ไม่เป็นไรครับคิดว่า ที่ต่อ ๆ ไปที่พักก็คงได้มีโอกาสเห็นบ้าง ...



วันที่ 4 : Bruarfoss -> Fludir (Secret Lagoon) -> Gullfoss -> Seljalandsfoss

ขับรถย้อนกลับไป 40 km เพื่อไปสู่ Bruarfoss ที่เมื่อวานไม่สามารถเข้าได้เนื่องจาก ล้อรถลื่นเมื่อสัมผัสกับน้ำแข็งที่เกาะถนน วันนี้ดวงดี เข้าไปจอดได้ เลยลงเดินต่ออีก 2 km เพื่อเข้าสู่ Bruarfoss ... บอกเลยว่าคุ้มมากครับ พอเสร็จจาก Bruarfoss ก็ขับต่อไปที่ Fludir ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ฟินมากครับ (อาบน้ำครั้งที่ 2 ตั้งแต่ออกเดินทาง) ต่อกันที่ Gullfoss ซึ่งกลายเป็นพายุหิมะไปแล้ว ณ ตอนนั้น ... มองแทบไม่เห็นอะไรเลยครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องลงแวะครับ ไม่ให้เสียเที่ยว 555+ ตกเย็นไปก็ตัดสินใจขับต่อไปที่ Seljalandsfoss แล้วก็แวะนอนครับผม ...


Special : ภาพ Portrait นิด ๆ หน่อย ๆ ที่ Fludir ฮะ

NOTE: คือ ตอนกลางคืนที่นี่ ฟ้าเปิดนะครับ Kp Index ประมาณ 3-4 แต่เนื่องจากผมไม่เคยเห็นแสงเหนือมาก่อน เลยไม่แน่ใจว่าต้องดูยังไงด้วยตาเปล่าครับ ... เห็นเป็นสีขาว ๆ บนท้องฟ้าก็ไม่แน่ใจว่าใช่มั้ย เลยผลอยหลับไปจนเช้า .. อีกกลุ่มนึงเอาภาพมาให้ดูตอนเช้าบอกเมื่อคืนแสงเหนือเต็มฟ้าเลย .... (โถ !! ไม่มีดวงกะเค้าเล้ยยย)



วันที่ 5 : Skogafoss -> Vik -> Skaftafell

วันนี้ตื่นเช้ามาก็ขับตรงไปที่ Skogafoss เลยครับ .. คนตรึมมม เลย หาจุดถ่ายรูปยากมาก เป็นน้ำตกที่เรียกได้ว่า อลังการงานสร้างมากฮะ .. ไม่มีคำบรรยายใด ๆ มาพูดให้เห็นภาพได้เลย นอกจากต้องไปเหยียบที่นั่นเอง ... ใครโชคดีมาตอนพระอาทิตย์ขึ้นตอนไม่มีคน น่าจะฟินนะครับ หลังจากนั้นตกบ่ายก็ขับต่อไปยัง Vik แวะเติมน้ำมันเปลี่ยนแก๊สถัง 9 ลิตรใน Motorhome (อ้อ ลืมบอกครับ ... ตลอดเวลาที่ขับ ๆ กัน คือมีรถสองคันนะครับ คันนึงเป็น Motorhome 4 คน ใช้สำหรับทำกับข้าว เข้าห้องน้ำ และ นอนกันได้ 3-4 คน ส่วนรถที่ Yousef เช่าตามหลังมาเป็น Campervan จาก KuKu Camper ครับ นอนได้ 2 คน) ขณะที่กำลังเปลี่ยนหัวแก๊ส อย่างยากลำบาก เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เกลียวหัวแก๊ส มันกลับด้านทั่วโลกครับ (ต้องหมุนตามเข็มถึงจะเป็นการเปิดคลาย) โง่มาตั้งนาน ... สุดท้ายก็เป็นไข้กัน เพราะ ระหว่างเปลี่ยนนี่ หิมะกำลังถล่มมาเต็มฟ้าเลยฮะ พอขับถึงจุด Information ที่ Skaftafell ก็ทำ BBQ กินกันด้วยเตาแบบ Temporary ครับ ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (ถือว่าใช้ได้ดีเลยทีเดียว) เป็นอันว่าจบวันครับ



วันที่ 6 : Svartifoss -> Vatnajokull Ice Cave -> Jokusarlon

มาวันที่ 6 เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัดและพวกเรายังเหลือระยะทางที่ต้องเดินทางอีกมากมาย เราจึงต้องตัดสินใจว่าจะแวะชมที่ไหน ระหว่าง Svinafell Glacier หรือ Svartifoss เนื่องจากจอง Ice Cave Tour ไว้ที่จุดพักรถของ Jokusarlon ครับ ยังไงก็ต้อง ออกจาก Skaftafell ก่อน บ่ายโมง เพื่อขับอีก 80 km ให้ถึง Jokusarlon ก่อน 3 PM เราจึงตัดสินใจไป Svartifoss กัน เพราะ สามารถเดินด้วยรองเท้าบู๊ทเข้าไปได้โดยที่ไม่ต้องใส่ Crampons หรือ รองเท้าหนามนั่นเองครับ (ช่วง Winter มีสถานที่หลายแห่งที่ไม่สามารถเดินด้วยเท้าได้ เนื่องจากถนนลื่นและมีน้ำแข็งเกาะ เจ้า Crampons เลยเป็นอุปกรณ์ช่วยสำหรับนักเดินเข้าช่วงหน้าหนาวครับ)


ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ครับ Svartifoss เป็นน้ำตกที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ ครับ หินผาที่ยื่นออกเป็นชั้น ๆ และรูปร่างประหลาดตา ทำให้มันเป็นดั่งน้ำตกที่หลุดออกมาจาก CG Final Fantasy อะไรประมาณนั้นเลยครับ 555+ เอาเป็นว่า ในเมื่อผมไม่สามารถไป 2 ที่ได้ในเวลาเดียวกัน ผมจึงตัดสินใจ เอาเจ้า Drone ของผม ขึ้นแล้วบินไปชม Svinafell กันแบบพอหอมปากหอมคอ .. (ไหน ๆ ก็มาแล้ว ต้องเอาให้คุ้ม) เมื่อเดินทางกลับออกมาจาก Svartifoss ก็มุ่งหน้าไปยัง Jokusarlon Cafe ซึ่งอยู่ติดกับสะพาน และทะเลน้ำแข็งครับ


พอมาถึงก็นั่งรถ 4x4 ของทาง localguide.is เข้าไปยัง Vatnajokull Ice Cave กันเลยครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ เกือบ ๆ ชั่วโมงนึง และ ไม่สามารถขับรถไปได้เองแน่นอน .. สภาพตอนถึงถ้ำนั้น รู้สึกเหมือนอยู่กลางขั้วโลกเหนือที่มองไม่เห็นอะไรเลยรอบ ๆ แต่พอได้ลงไปยังถ้ำก็เหมือนอยู่อีกโลกนึงเลยครับ เป็นอะไรที่ควรไปอย่างยิ่งครับ 6000 บาทนี่เรียกได้ว่าคุ้มทุกเม็ด ทางฝั่งไกด์ก็อธิบายถึงการเกิด และความเป็นมาของ Glacier แห่ง Iceland ว่าเป็นมายังไง และ Global Warming ส่งผลกระทบยังไงต่อธรรมชาติบ้าง



NOTE: พอดีวันนั้นที่ไป เป็นวันที่ ฝนตกหลังจากพายุหิมะ ฟ้าจึงปิดสนิทเลยครับ ไม่มีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ ทะเลน้ำแข็ง หรือแม้กระทั่งดวงอาทิตย์เลยครับ ... แอบเสียดายเหมือนกันฮะ



Special !! : เนื่องจากหนุ่ม Joe ของเรามีผิดแผนนิดหน่อย เพราะ แฟนสาว Kratae ไม่อาจมาร่วมทริปได้ เพราะวันหยุดไม่ถูก Approve ทำให้หนุ่มโจ้ของเราทำอะไรน่ารัก ๆ เพื่อที่สาว Kratae ของเราจะได้รู้สึกว่าได้ไปด้วยกัน ... (ได้ข่าวว่าเจ้าตัวมาเห็นรูปแล้วถึงกับน้ำตา แตกเลยทีเดียวฮะ 55+)



วันที่ 7 : Egilsstadir -> In the middle of no where ??

วันนี้เรียกว่าเป็นวันแห่งการขับรถละกันครับ เพราะระหว่างทางก็มีทิวทัศน์มากมาย จนกระทั่งตกดึกก็ได้ไปถึง Egilsstadir ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งฝั่งตะวันออก ตอนกลางคืนก็แวะกินข้าวกันฮะ คืนนี้กะว่าจะลองกินอาหารประจำชาติของ Iceland เป็นครั้งแรก ตอนนั้นปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้วหิวกันมากละ เดินเข้าไปใน Egilsstadir Cafe ก็เจอเลยครับ ....


เจอพิซซ่า กับ แฮมเบอร์เกอร์ ครับ (แม่มมมม ... ไม่น่าเล้ยยย)

แต่ตอนนี้ก็หิวแบบ กินอะไรก็ได้ละครับ ... เลยจัดไปเลยฮะ คนละหน่วย 555+

ตอนนี้ทุกคนต่างกดมือถือ หาที่ ๆ ฟ้าเปิดกัน ... เพราะ อยู่มา 5-6 วันแล้ว ยังไม่มีแสงเหนือมาเต้นระบำให้ดูเป็นบุญตาเลย ไปเจอที่นึงครับ อยู่ระหว่างทางไป Akureyri พอดี ซึ่งเป็นจุดหมายของวันพรุ่งนี้ครับ เราก็เลยตัดสินใจหอบข้าวของกัน ขับตอนกลางคืนท่ามกลางความเปลี่ยวนี่แหละครับ ... ขับไปได้ซัก 140-150 km ก็เจอเข้ากับพายุหิมะที่หนักที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาในชีวิตฮะ ลมพัดแรงประมาณ 15-20 m/s (ใช่ละครับ ผมเขียนไม่ผิดหรอกครับ “เมตร ต่อ วินาที") ตีเป็นความเร็วคร่าว ๆ ก็ 50-70 km/hr ครับ รถ Motorhome ของผมก็เจอเข้ากับดงหิมะที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้บนถนนครับ

จุดนี้ถ้ายังอ่านกันอยู่ ก็คิดถูกละครับ ..... ติดดิ ครับ ติด !!

เมื่อรถขนาดรถ 6 ล้อบ้านเรา แล่นผ่านกองทรายหรือหิมะ ก็ไม่รอดหรอกครับ รถของ Yousef ขับตาม ๆ กันมาก็พยายามมาช่วยกัน เพื่อให้รอดจากวินาทีนี้ไปได้ครับ แต่เนื่องจากพายุหิมะแรงมาก จนหิมะก่อตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงทำได้แค่ อยู่เฉย ๆ .. ทันใดนั้นเอง ก็มีรถของหน่วยกู้ภัยท้องถนน เข้ามาช่วยใช้ตะขอนำรถของเราออกไปจากวิกฤติตรงนี้ได้ครับ

ตอนแรก นึกว่าเป็นชาวไวกิ้งผู้มีน้ำใจ หารู้ไม่ครับ ... โดนไปดิครับ 10000 ISK หรือ ประมาณ 3000 บาท นี่แหละครับ แต่ก็ถือว่า รอดจากตรงนั้นไปได้ เลยต้องหาที่จอดหลบข้างทางแล้วก็นอนกันท่ามกลางพายุหิมะข้างนอก รอให้รถกวาดถนนมาเคลียร์หิมะออกในตอนเช้า .. เป็นอันจบวันที่แสนยาวนาน



วันที่ 8 : Godafoss -> Akureyri

ตื่นเช้ามารอเวลาให้รถกวาดถนนมาจัดการเรื่องหิมะที่กองอยู่บนทาง ระหว่างทางเราก็ได้ทำการแวะ Detifoss แต่เผอิญว่าทางมันปิดช่วงฤดูหนาวครับ เลยไม่สามารถเข้าไปได้ นอกเสียจากว่าจะเช่ารถ 4x4 ขับกันมา ใครที่คิดจะมา Detifoss ช่วงนี้ ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ฮ่า ๆ สิ่งนึงที่ผมเรียนรู้ คือ หลังจากพายุหิมะเมื่อคืนนี้ ก็คิดในใจว่า จะเจออะไรหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะระคายทีมเราได้อีกแล้วครับ แต่ความคิดนั้นก็ต้องจบลงเมื่อ Joe เดินมาบอกผมว่า ...


Joe : “เฮ้ย ๆ ... บังโคลนหายไปข้างนึงหว่ะ สงสัยหายไปตอนที่ลากรถออกจากกองหิมะเมื่อคืน"

Bo : …………….. (ค่าปรับคงบานแน่นอน เพราะไม่ได้ซื้อประกันไว้ฮะ)


ป่านนี้รถกวาดถนนก็คงจัดการไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ แต่เราก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้าถึงแม้จะซึมไปบ้าง พอขับรถไปวันนี้อีก 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง Godafoss สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ไกล ๆ เลยฮะ ... เดินเข้าไปท่ามกลางทางที่ปกคลุมด้วยหิมะ ปีนเขา ข้ามสะพาน และเราก็ได้มาถึงน้ำตกสวรรค์แห่งนี้ครับ ไม่รอช้า ชักโดรนขึ้นมา แล้วก็จัดการเก็บภาพไปเลย ต้องบอกเลยว่า ธรรมชาติสร้างมาได้งามจริง ๆ ครับ แต่ละน้ำตก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง


หลังจากขับรถออกมาจาก Godafoss เราก็มุ่งหน้าสู่ Akureyri และตัดสินใจเล่น Ski/Snowboard กันที่นี่ หิมะที่นี่นุ่มมากครับ ล้มไปก็ไม่เจ็บครับ เหมาะสำหรับ Rose, Joe และ Yousef มากครับ เนื่องจากทั้งสามคนไม่เคยอยู่บนกระดานไม้กันมาก่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆ ... หลังจากเล่นเสร็จก็แง้มดูมือถือ และพบว่า คืนนี้ฟ้าจะเปิดครับ เราเลยตัดสินใจหาข้าวกินแล้ว กลับมา Standby รอฟ้าเปิดข้างบน Hlidarfjall นี่แหละครับ


และแล้วห้วงเวลาที่ผมรอคอยมาทั้งชีวิตก็ได้มาถึงเมื่อได้มองเห็นลำแสงสีขาว ๆ จาง แล่นผ่านทั่วฟากฟ้า เราผู้อยู่ใต้ฟ้าก็ทำได้แค่มองว่า “เอ๊ะ .... นั่นใช่รึเปล่า" แล้วซักพักมันก็ปลดปล่อยแสงสีเขียวปนม่วงออกมาราวกับมีพลังบางอย่างอยู่บนชั้นบรรยากาศ บอกได้เลยว่าใครเห็นครั้งแรก จะต้องตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นแน่นอนครับ ไม่รอช้า .... ปลุกทุกคนแล้วก็ตั้งขากล้องเก็บบรรยากาศตรงนี้ไว้เลยครับ




วันที่ 9 : Western Fjords -> Holmavik -> Budardular

ตื่นเช้ามาวันนี้ ก็จัดการส่ง Grace ที่ สถานีขนส่งประจำ Akureyri เพื่อให้เดินทางกลับไป Reykjavik เนื่องจาก Grace แยกตัวกลับไปเที่ยวกับแฟนต่อที่ Copenhagen ส่วนพวกเราทั้งสี่ ก็ได้วางแผนมุ่งหน้าไปที่ Western Fjords เพื่อชมทิวทัศน์นานาประเทศครับ แต่ก็ต้องเจอเข้ากับพายุที่หนักพอ ๆ กับ วันที่ผ่านมา (ช่วง 4-5 วันสุดท้ายนี้ พวกเราไม่มีโอกาส ได้เห็นฟ้าที่เปิดอีกเลยเนื่องจากเป็นพายุที่พัดเข้าฝั่ง South-West ติดกันเลยครับ) ระหว่างขับรถไป Holmavik ก็แวะเล่นม้าข้างทางครับ (เสี้ยนยา 555+) ม้าที่นี่เป็นกันเองมาก ระหว่างเล่น พ่อครัว Joe ก็ทำอาหารไป หลังจากออกเดินทางต่อก็ได้เจอกับอากาศทุกรูปแบบครับ ตั้งแต่ หิมะตก -> ฝนตก -> แดดออก -> ฟ้ามืด -> ลูกเห็บตก ภายในเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงนี่เอง เรียกได้ว่าเที่ยว Iceland คุ้มจริง ๆ พอขับถึง Holmavik เนื่องจากอากาศไม่ดี เราจึงตัดสินใจไปยังจุดหมายที่สุดท้ายของเราก่อนกลับไปยังเมืองหลวงซึ่งนั่นก็คือ Kirkjufell นั่นเองครับ แต่เราก็ต้องแวะพักกันที่ Budardular ก่อนฮะ เนื่องจากทางนั้นไกลและลมนั้นแรงซะเหลือเกิน




วันที่ 10 : Kirkjufell -> Grindavik

วันนี้เราไม่รอช้าครับ กินข้าวเสร็จก็เบิ่งไปยัง Kirkjufell เลย ระหว่างทางไปก็เจอกับ พายุอันหนักหน่วงครับ พอไปถึง Kirkjufell ก็รอซักพักนึง แล้วตัดสินใจออกไปถ่ายรูปท่ามกลางพายุกันเลย (มาทั้งที ไม่อยากให้เสียเที่ยว ฮ่า ๆ) แผนต่อไปของเราคือ การกลับไปยัง Reykjavik แต่ในเมื่อเราเดินทางเร็วไป 1 วัน พวกเราเลยตัดสินใจจะลงไปแช่ Blue Lagoon แล้วต้องมาพบว่า Booking มันเต็ม (ไม่ได้เช็คมาก่อนว่ามันต้อง Book) ก็เลยตัดสินใจจะกลับมายังที่นี่ในวันต่อ ๆ ไป


สำหรับการ Book ก็เพียงเข้าหน้าเวป แล้วจัดการซื้อ package ที่ต้องการได้เลย แต่เนื่องจากมันค่อนข้างมืดแล้ว เราเลยได้เจอกับเมืองเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กลับ Blue Lagoon ซึ่งนั่นก็คือ Grindavik นั่นเองครับ

ไม่รอช้า เปิดมือถือแล้ว Search หาร้านอาหารใกล้ ๆ แล้วก็ได้เจอกับ Fisherman Bar ซึ่งมีชื่อว่า "Bryggjan" ซึ่งเป็นสถานที่สังสรรค์ของชาวประมงแห่งเมืองนี้นั่นเองครับ ลักษณะร้านเป็นแนวกันเองและอบอุ่นมาก ๆ วันนั้นเป็นแมทช์ยูโรป้า ระหว่าง Man United Vs. Liverpool เลยมีคนค่อนข้างแน่นร้าน ต้องบอกเลยว่า Lobster Soup ที่นี่เด็ดมากครับ เนื้อเน้น ๆ (ตามภาพเลยครับ) ตอนกลางคืนได้มีโอกาสลองเบียร์ Draft ของประเทศแถบนี้กันเยอะทีเดียว เจ้าของร้านของเราชื่อ Heydr ครับ ซึ่งทำทุกอย่างคนเดียวตั้งแต่ เสิร์ฟเบียร์ ทำอาหาร และเก็บโต๊ะ


หลังจากดื่มกันซักพัก ผมเหลือบไปเห็นเปียโนเก่า ๆ ตัวนึงซึ่งตั้งอยู่ในร้าน;


Bo : เปียโนอันนี้ยังใช้ได้อยู่มั้ยครับ ?

Heydr : ใช้ได้นะ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้ามาเล่นนัก

Bo : ผมขอลองเล่นหลังจากร้านปิดได้มั้ย ?

Heydr : ไม่ต้องรอร้านปิดหรอก เล่นตอนนี้เลยก็ได้ ... แต่มีกฎอยู่ข้อนึงว่า ต้องเล่นให้เค้าประทับใจ ถ้าประทับใจก็เอาเบียร์ไปเลยป๋องนึงจากทางร้าน

Bo : โอ้ววววว ได้เลยฮะ (เบียร์ฟรี ใคร ๆ ก็อยากได้ครับจุดนี้ 55+)



NOTE : แรก ๆ ก็กะจะเล่น When I was you man แต่พอดีผมเมาแล้วจำไม่ได้ว่าเล่นยังไง เลยออกมาเป็นแบบที่เห็นนี่แหละฮะ ... เล่นเสร็จก็มีคนอยากฟัง Canon จาก Johan Pachabel ผมเลยจัดให้แบบ เวอร์ชั่นเมา ๆ เหมือนเดิมฮะ (อย่าเอาไรมากเลยฮะ 555+)


เรียกได้ว่าคืนนี้เป็นการปิดฉากการเดินทางรอบเกาะของเราได้อย่าง Happy Ending เลยครับ ไม่เสียใจเลยที่มาประเทศนี้ ผู้คนในประเทศน่ารักมาก ๆ เลยครับ มีความเป็น Viking Heart ซึ่งหาได้ยากนักจากผู้คนแถบยุโรป หลังจากออกจากร้านก็จำไม่ได้แล้วครับว่าตัวเองกลับจากร้านยังไง ? Rose บอกผมว่า ผมเป็นคนขับกลับมาเอง ... พอได้สติซักพัก ก็เอาเบียร์ในรถมากินให้หมดครับ ส่วนวีรกรรมที่เกรียน ๆ ที่เกิดขึ้นคืนนี้นั้น ก็จบลงด้วยการที่ผมขโมยกุญแจรถ Campervan ซึ่งเป็นของ Yousef มา Drift รอบ ๆ Motorhome ของผมเป็น Donut นั่นเองฮะ 555+ (พอดีหิมะมันลื่น เลยอยากลอง) ซักพักนึง Yousef กับ Rose ก็ออกมาพากลับเข้าไปนอนละ จบ !!!



วันที่ 11 : Keflavik -> Reykjavik

วันนี้เป็นวันที่เราต้องนำรถ Motorhome มาคืนที่ Keflavik แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นระหว่างทาง เมื่อ Clutch ของรถดันพังซะเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้เลยฮะ เลยต้องเรียกให้ทาง Camper Iceland มาลากไป ตอนนี้พอจะทราบแล้วฮะ ว่ามีค่าปรับแน่นอน ... แล้วก็เป็นแบบที่คิดจริง ๆ ครับ เมื่อคิดเงินออกมาปรากฎว่า ต้องโดนปรับทั้งหมด 800 Euro (หน้าซี้ดกันเลยทีเดียว) เราก็ได้เพียงแต่รับผิดชอบไปครับ เพราะ เอารถเค้าไปยังไง ก็ควรจะคืนในสภาพเดิมครับ วันนี้ไม่ได้มีโอกาสทำอะไรมากครับ นอกจากไปแวะชมโบสถ์ Hallgrimskirkja ซึ่งเป็น Landmark ประจำเมือง ไม่รอช้า ... เอาพระเอกของเราไปถ่ายกลางคืนนี่แหละครับ ได้ผลดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยฮะ ส่วนภาพ Wedding ก็ตามน้ำครับ อากาศหนาวมากครับ บอกตรง ๆ ว่า ไม่เป็นดั่งใจคิดเลยจริง ๆ ครับ เมื่อมีลมกรรโชกตีเข้าตลอดเวลา บวกกับอากาศอันเย็นยะเยือก จุดนี้ต้องทำได้เท่าที่ทำครับ 55+ กลับมาทำกับข้าวกินกันสบายพุง แล้วก็เข้านอนตามระเบียบครับ




วันที่ 12 : Laugavegur Walking Street -> Blue Lagoon

วันนี้ตอนกลางวันตามแผนเดิม เราตัดสินใจว่าจะไป Ski/Snowboard กันที่ Blafjoll หรือ Skalafell ครับ แต่พายุดันเข้าช่วง 4-5 วันสุดท้ายครับ เลยอดไปเลย ต้องเปลี่ยนแผนไปเดินที่ Laugavegur ซึ่งเป็น Walking Street ของที่นี่นั่นเองครับ บอกเลยว่านอกจากร้านขายของฝาก 1-3 ร้าน ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าเข้าเท่าไหร่ แต่ได้บรรยากาศตอนเดินกลับมาก เพราะ เจอกับพายุหิมะชั่วคราวแบบเต็ม ๆ ฮะ พอตกเย็นก็ขับรถไป Blue Lagoon กัน แช่น้ำกันสบายใจเฉิบท่ามกลางพายุหิมะ ต้องบอกเลยว่าฟินมาก ๆ ครับ แต่ผมว่ายังสู้บรรยากาศที่ Secret Lagoon ไม่ได้ เพราะที่นี่คนค่อนข้างแน่นครับ กลับมาจาก Blue Lagoon ก็หาข้าวกินที่ร้าน Fish and Chips ใน Downtown ครับ ก็จะมีอาหารที่ชื่อว่า Plokkari ครับ ซึ่งเป็น Icelandic Stew รสชาติถือว่าไม่เลวครับ (แต่ Fish and Chip จืดและ อมน้ำมัน มาก ๆ)


NOTE : บรรยากาศ Blue Lagoon สามารถชมได้จากวีดีโอ ข้างต้นนะครับ :)



วันที่ 13 : Downtown Reykjavik

วันนี้ต้องเรียกสั้น ๆ ว่า “วัน Dag" เพราะวันนี้ พวกเราตัดสินใจจะลองกินอาหารพื้นเมืองของที่นี่แบบจิง ๆ จัง ๆ หลังจากที่ผิดหวังกับที่ Egilsstadir มาด้วย Pizza กับ Hamburger หลังจากนั้นก็กลับมาจัดของเตรียมบอกลากับประเทศอันงดงามบน Artic Circle นี้ครับ

NOTE : ติดตาม Review Food และ Beer เต็ม ๆ ได้เร็ว ๆ นี้ครับ




วันที่ 14 : Keflavik -> Bangkok

ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพ เป็นอันว่าปิดฉากการเดินทางอันแสนสนุกของเรา และทำการกลับสู่โลกแห่งการขุดเจาะน้ำมันต่อไปครับ

จบแล้วครับผม ... เดี๋ยวจะมี Tip และ Review อื่น ๆ ที่น่าสนใจมาลงเพิ่มนะครับ :D

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาถึงตรงนี้ครับ 555+

Cost Control ...

ช่วง Winter นี้ ที่เช่า Campervan หรือ Motorhome ส่วนใหญ่จะเป็น Rate แบบ Low Season ครับ ทำให้เราสามารถไปไหนมาไหนได้ในราคาถูก กรณีของเราแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายนั้นสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้ครับ ...


ค่าเดินทาง

ค่าเช่า Motorhome 10 วัน 2100 Euro = 84000 Baht หาร 4 Person = 21000 Baht / Person (Camper Iceland)

หรือ ค่าเช่า Campervan 10 วัน 1500 Euro = 60000 Baht หาร 4 Person = 15000 Baht / Person (KuKu Camper)

ค่าน้ำมัน = 12000 Baht หาร 4 Person = 3000 Baht / Person

ค่าเช่ารถและน้ำมัน = 2500 Baht + Gas 1000 Baht หาร 4 Person = 875 Baht / Person (2nd March - Toyota Yaris)

ค่าเช่ารถและน้ำมัน = 5000 Baht + Gas 2000 Baht หาร 4 Person = 1750 Baht / Person (11-14th March - Skoda Octavia)

ค่าตั๋วเครื่องบิน = 25000 - 30000 Baht / Person (Finnair, Lufthansa, Norwegian Air)


ค่าที่พัก

ที่พัก 2nd March = 3600 Baht หาร 4 Person = 900 Baht / Person (Booking.com)

ที่พัก 11-14th March = 12000 Baht หาร 4 Person = 3000 Baht / Person (AirBnB)


ค่ากิน

ค่าอาหารตลอดทริป = 15000 Baht หาร 4 Person = 3750 Baht / Person

ค่าเบ็ดเตล็ด

ค่า Visa = 3500 Baht / Person (Danish Embassy)

ค่า Ice Cave = 6000 Baht / Person (Vatnajokull Glacier)

ค่า Snowboard = 2700 Baht / Person (Hlidarfjall, Akureyri)

รวมแล้วก็ประมาณ 76000 บาทครับ (อันนี้คำนวนจาก Motorhome และ ตั๋วเครื่องบินที่ผมไปกันจริง ๆ ครับ)


ถ้าหากตัดสินใจไป Campervan แล้วได้ตั๋วเครื่องบินราคาช่วงโปรโมชั่น ก็จะถูกลงไปอีก 10000 กว่าบาทครับ ทำให้สามารถเที่ยวได้ชิว ๆ ในราคา 6x,xxx บาทโดยไม่มีการตัดกิจกรรมสนุก ๆ ที่ควรทำช่วง Winter ใน Iceland ออกไปซักอย่างครับ


- BoBoNoi

Bobo Possawat Pittrapan

 วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.38 น.

ความคิดเห็น