ก่อนไปบริสเบน เรารู้จักเมืองนี้แค่จากกระทู้ Pantip แค่ไม่กี่อัน ซึ่งให้ข้อมูลน้อยมากๆ จนเรานึกว่านี่ก็คงเป็นเมืองประดิษฐ์หรือ manmade อีกแห่งที่ไม่ค่อยมี culture อะไรมากเท่าไร อาจจะเหมาะแค่กับนักเรียนไทยไปเรียนภาษาช่วงไฮสคูลอะไรแบบนั้น

รูปถ่ายจากหน้าต่างเครื่องบิน Thai Air Asia X ขณะใกล้แลนดิ้งที่บริสเบน

แต่เมื่อ Thai Air Asia X เปิดเส้นทางใหม่ บินตรงดอนเมือง-บริสเบน เมื่อปลายเดือนมิ.ย. 2562 ในราคาที่น่าสนใจมากๆ เราก็เลยอยากจะลองไปสัมผัสโคอาล่ากับจิงโจ้ตัวเป็นๆ ซะหน่อย

บนเครื่องบิน Airbus A330-300 เครื่องลำใหญ่ เบาะที่นั่งเขาแบ่งเป็น 3-3-3 โดยช่วงท้ายเครื่องจะมีที่นั่งริมหน้าต่างซึ่งมีแค่ 2 เบาะ ทำให้มีที่ว่างตรงทางเดินมากขึ้นนิดนึง เราโชคดีได้นั่งตรงนั้น แถมข้างๆ ก็ไม่มีผู้โดยสาร โอ้โห หลับยาวไปตื่นที่บริสเบนตอนเช้าเลยจ้า

มีคนถามมาว่าบินนานขนาด 9 ชั่วโมงนี่มีอะไรให้ทานไหม เราแนะนำว่าตอนจองตั๋วเครื่องบิน ให้เลือกซื้อแพ็กเกจสุดคุ้มไปเลยจะประหยัดกว่า รวมอาหาร+น้ำหนักกระเป๋าขาละ 20 กิโล+ประกันเดินทางให้ด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.airasia.com/th/th เขาจะเสิร์ฟอาหารสองรอบ ตอนออกจากกรุงเทพฯ แล้วก็ตอนใกล้ๆ เครื่องจะลงที่บริสเบนอีกนิดหน่อย

บริสเบนเป็นเมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของออสเตรเลีย แต่ขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรนั้นทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างเมลเบิร์นค่อนข้างมาก ส่วนอันดับ 1 ก็คือซิดนีย์ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี

สะพานข้ามแม่น้ำบริสเบน The Story Bridge

แม้คนไทยจะยังไม่คุ้นกับบริสเบนมากนัก แต่สำหรับชาวออสเตรเลียเอง เขามองว่าที่นี่เป็นเมืองที่น่าอยู่มากๆ เลย ด้วยอากาศซึ่งมีแสงอาทิตย์สาดส่องตลอดทั้งปี ติดชายทะเล จึงไม่หนาวจัด ไม่ร้อนจัด จนได้รับสมญานามว่า The Sunshine State มีแม่น้ำบริสเบนไหลผ่านกลางเมือง แล้วก็ยังอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวอย่าง Gold Coast และแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลกอย่าง Great Barrier Reef (ระบบนิเวศน์ปะการังที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในโลก กว้างใหญ่มากถึงขั้นว่ามองเห็นได้จากดวงจันทร์เลยทีเดียว)

มุมสูงจากสะพาน The Story Bridge ถ่ายลงมามองเห็นหน้าผาและย่าน Howard Smith Wharves
สถานีรถไฟใจกลางเมืองบริสเบน

นอกจากนี้การจัดการภายในเมืองบริสเบนยังมีความเป็นระบบมาก เราจะไม่เจอรถติดที่นี่ แถมการเดินทางจากสนามบินบริสเบนเข้าเมืองก็แค่ 20 นาที นอกจากแท็กซี่แล้วก็ยังมีรถไฟที่ออกทุกๆ 15 นาที

เรามาบริสเบนในปลายเดือนสิงหาคมค่ะ อากาศประมาณ 20 องศาต้นๆ ถือว่าเย็นสบายกำลังดีเลย สิ่งแรกที่ประทับใจคือบรรยากาศของวีคเอนด์ที่นี่ดูสดใส คึกคัก แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หนุ่มสาวแต่งตัวดีมารวมตัวกินข้าวกินกาแฟกันอยู่บริเวณริมน้ำแถวๆ ย่าน Howard Smith Wharves ใต้สะพาน Story Bridge ซึ่งเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่มีร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ อันแสนเก๋ไก๋จำนวนมาก

การเดินทางในเมืองนี้ ถ้าให้สะดวก เราจะต้องซื้อบัตร Go Card ใช้สำหรับขนส่งสาธารณะทุกชนิดในเมือง ตั้งแต่รถไฟ รถบัส เรือ บัตรนี้จะมีส่วนลดทำให้เราใช้จ่ายถูกกว่าการซื้อตั๋วโดยสารรายเที่ยวถึง 30% เลยทีเดียว แถมไม่ต้องมานั่งควานหาเงินสดในแต่ละครั้งที่เดินทางด้วย แค่เติมเงินเข้าไป

บรรยากาศบนเรือ City Hopper

ถ้าเริ่มจากเบสิคๆ ก็อยากให้ทุกคนลองนั่งเรือเลาะเลียบไปตามแม่น้ำ แวะลงตามท่าต่างๆ ที่เป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญ ซึ่งเรือนี้ก็จะมีเรือฟรีด้วย เรียกว่า CityHopper สังเกตที่เรือจะเป็นสีแดง ขึ้นลงตรงไหนก็ได้ไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเป็นเรือสีฟ้าที่เรียกว่า CityCat ก็เพียงแค่แตะบัตร Go Card ทั้งตอนขึ้นและลง มันก็จะหักค่าโดยสารไป

ท่าเรือข้ามฟาก
Kangaroo Point Cliff

เส้นทางเรือนี้มีจุดแวะที่น่าสนใจอย่าง Kangaroo Point Cliffs ตรงนี้ไม่มีจิงโจ้นะคะ เป็นหน้าผาซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวย เหมาะจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกก็ได้ หรือใครอยากจะทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์อย่างการปีนหน้าผา หรือเพียงแค่พายเรือคายัคเล่นในแม่น้ำ เขาก็จะมีทัวร์อยู่บริเวณนั้น มีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมเทรนเนอร์คอยดูแล สิ่งที่เราชอบก็คือแถวๆ นี้จะมีทางเดินเลียบแม่น้ำที่เขาแบ่งเลนให้สำหรับคนเดินเท้าและเลนจักรยานแยกกัน ทำให้เป็นพื้นที่ที่น่าเดินมากเลย มีคนมาวิ่งออกกำลังกายกันเต็มเลย

ทางการของเขาใส่ใจกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในเมืองมากเลย เพราะอีกจุดที่เรียกว่า South Bank Parklands ก็ยังทำทะเลเทียมเอาไว้กลางเมืองเลย เป็นที่สาธารณะให้คนได้มาเล่นน้ำฟรีๆ มีหาดทรายเหมือนอยู่ทะเลจริงๆ เลย แค่ไม่มีคลื่น

ตอนแรกเรานึกว่ามันจะเหมือนสวนสยาม แต่ไม่เลยค่ะ มันดูชิลล์มาก มีผู้คนมานั่งพักผ่อน หรือนอนอาบแดดกันเต็มไปหมด ศุกร์เสาร์อาทิตย์มีตลาด South Bank Market ด้วยนะ อ้อ! และถ้ามาแถวนี้แล้วก็อย่าลืมแวะไปที่ชิงช้าสวรรค์หรือ The Wheel of Brisbane กันหน่อยนะฮะ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวมุมสูงของบริสเบน ค่าขึ้น 22 AUD

ย่าน South Bank นี่เราชอบมากเลยค่ะ เพราะมันมีทั้งความชิลล์และความอาร์ตอยู่ในที่เดียวกัน มาโดยเรือก็ลงท่า South Bank Parklands แต่ถ้ามาทางรถไฟก็ลงสถานี South Brisbane ถ้าชมบรรยากาศริมน้ำจนจุใจแล้ว เราขอให้เดินไปแวะมิวเซียมกันหน่อย ย่านนี้มีทั้ง Queensland Performing Arts Centre, Queensland Museum and Science Centre และ Gallery of Modern Art สามที่นี้จะอยู่ใกล้ๆ กันหมดเลย

ในวันที่เราไป Queensland Art Gallery l Gallery of Modern Art (QAGOMA) มีนิทรรศการของ Ben Quilty กับ Margart Olley ซึ่งเขาเปิดให้เข้าชมฟรี มีภาพเพนต์ติ้งร่วมสมัยให้ชมแบบจุใจ เดินกันจนเมื่อย สายอาร์ตจะรู้สึกฟินมากเลยค่ะ

หลังทานข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว เราแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเดินข้ามสะพานเพื่อกลับไปยังฝั่งเซ็นทรัลใจกลางเมืองดูค่ะ โดยใช้ถนน Roma Street เราจะผ่านย่าน CBD ซึ่งเป็นย่านธุรกิจ มีตึกออฟฟิศมากมาย ตั้งอยู่สลับกับสถาปัตยกรรมเก่าๆ อย่างโบสถ์ Albert Street Uniting Church หรือสถานีรถไฟสุดคลาสสิก Central Station ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กันหมดเลยตรงบริเวณจัตุรัสกลางเมือง King George Square

ที่แนะนำให้มาเดินย่านนี้ก็เพราะว่านอกจากมีตึกสวยๆ ให้ถ่ายรูปแล้ว ยังมีแหล่งช็อปปิ้งอย่าง Queen Street Mall และร้านกาแฟดีๆ เยอะมาก เพราะแน่นอนว่าตรงไหนมีชาวออฟฟิศ ตรงนั้นก็จะต้องมีร้านกาแฟ และกาแฟที่ออสเตรเลียคือมันอร่อยกว่าที่อื่น เคยกินคาปูชิโนที่อร่อยที่สุดแค่ไหน เราการันตีว่ามาที่ออสฯ คุณจะได้ลิ้มลองคาปูชิโนที่มันล้ำกว่านั้น

บรรยากาศร้านกาแฟในย่านออฟฟิศ
ภายในตึกออฟฟิศประดับด้วยงานศิลปะขนาดมหึมาตรงบันไดเลื่อน
นกที่เดินปะปนอยู่กับชาวเมืองบริสเบน

และความน่ารักก็คือ มีนกพวกนี้เดินไปมาบนถนนกลางเมือง เดินเข้าออกร้านกาแฟ แบบเหมือนเป็นเรื่องปกติเลย เราชอบมากเลยที่ความเป็นธรรมชาติกับความเป็นเมืองของบริสเบนมันอยู่ร่วมกันได้แบบกลมกลืนและไม่ทำลายกัน

ในช่วงเย็น เรานั่งเรือ CityHopper ออกไปยังชานเมืองนิดนึงค่ะ ลงท่าที่ชื่อว่า New Farm Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะอันกว้างใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับ Brisbane Powerhouse และเราก็รู้สึกอะเมซซิ่งกับสถานที่แห่งนี้มากๆ

Brisbane Powerhouse คือศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรม ตั้งอยู่ในสถานีพลังงานเก่าซึ่งรีโนเวทใหม่เมื่อปี 2000 ให้กลายเป็นครีเอทีฟสเปซสำหรับจัดแสดงกิจกรรมทางศิลปะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการภาพวาด ภาพถ่าย ละครเวที คอเมดี้ หมุนเวียนกันมา รวมไปถึงการจัดฉายภาพยนตร์และการแสดงดนตรีด้วย ดูโปรแกรมได้ที่ https://brisbanepowerhouse.org

ปิดท้ายกันที่จิงโจ้กับโคอาล่ากันหน่อยค่ะ จะถือว่าเป็น mission สำคัญที่สุดสำหรับการมาออสเตรเลียครั้งนี้ของเราก็ว่าได้ Lone Pine Koala Sanctuary คือสวนสัตว์ที่มีโคอาลาจำนวนเยอะที่สุดเลยค่ะ (หลายคนบอกว่าโคอาล่าที่นี่เยอะกว่าสวนสัตว์ที่ซิดนีย์ซะอีก) เดินทางจากตัวเมืองบริสเบนไกลนิดนึงใช้เวลาประมาณ 40 นาที สามารถนั่งรถบัสสาย 430 จาก Queen Street Bus Station มาลงที่สถานี Lone Pine ได้เลย ค่าเข้าชม 38 AUD

สวนสัตว์แห่งนี้เปิดให้เราได้ใกล้ชิดกับสัตว์พอสมควรเลย ดังนั้นเราต้องอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนไปสัมผัสหรือถ่ายรูปกับพวกเขา อย่าลืมซื้ออาหารไปแบ่งให้พวกเขาด้วยนะคะ จะได้ถ่ายรูปกันได้ง่ายๆ หน่อย ครั้งแรกที่เราได้เข้าไปนั่งอยู่ในฝูงจิงโจ้ตัวเป็นๆ มันตื่นเต้นมากๆ แรกๆ ก็กลัวแต่พออยู่ไปสักพัก ก็กล้าเล่น กล้าจับมากขึ้น พวกมันเชื่องมาก แต่อย่าไปกวนมันมากๆ ระวังมันหงุดหงิดเดี๋ยวจะโดนจิงโจ้ต่อยเอา

สำหรับโคอาล่าเขาก็จะเปิดรอบให้คนเข้าไปอุ้มโคอาล่าถ่ายรูปได้ ตัวมันค่อนข้างหนักเลยค่ะ และเหม็นด้วยล่ะ แต่ก็น่ารักมากเลยนะ

-------------------------------------------------------------------------------------

Travel Tips in Brisbane

  • เมืองที่อากาศดีตลอดทั้งปี แต่งตัวเหมือนอยู่เมืองไทยได้เลย แค่ติดแจ๊กเก็ตหรือเสื้อคลุมมาสักหน่อยในช่วงเช้าหรือค่ำที่อากาศเย็นๆ
  • ใครๆ ก็คิดว่ามาเที่ยวออสฯต้องแพง แต่บอกเลยว่าในบริสเบนนั้นมีกิจกรรมฟรีเยอะมาก เริ่มตั้งแต่เรือฟรีที่ลัดเลาะไปได้เกือบครบทุกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ, มีระบบจักรยานที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่ ปั่นเลียบแม่น้ำหรือตามเส้นทางอื่นๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย, เล่นน้ำฟรีที่ทะเลเทียมตรง South Bank Parklands ไปจนถึงกิจกรรมดูหนังฟังเพลงหรือการแสดงสดต่างๆ ที่มีให้ชมฟรีที่ Brisbane Powerhouse หรือสวนสาธารณะต่างๆ
  • วันไหนเบื่อๆ อยากไปหาธรรมชาติ จากบริสเบนสามารถไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้าไปเที่ยวเกาะมอร์ตัน (Moreton Island) ได้ใกล้ๆ หรือจะนั่งรถไฟด่วนประมาณชั่วโมงนึงก็ไปถึงเมืองชายทะเลสุดชิลอย่าง Gold Coast นอกจากนี้ยังสามารถนั่งรถไฟ Tilt Train ไปเมือง Cairn ที่มี Great Barrier Reef ระยะทาง 1000 กิโลเมตรได้ด้วย

La Vie en Road

 วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.53 น.

ความคิดเห็น