หนีฮ่าวววว!

    การมาเยือนไต้หวันครั้งที่ 2 ของเรา แพลนมาด้วยความอยากดูพลุที่ตึก Teipei101 ล้วนๆ กดจองตั๋วแบบไม่ชวนใคร... ใช่ คุณฟังถูกแล้วแหละ ไม่ชวนจริงๆ กะไว้ว่าจะไปเองคนเดียว ดูพลุ ไปเที่ยวป่า เที่ยวเขาคนเดียว คิดไปคิดมามันฟังดูจะเหง๊าาาา เหงาเกินไป ดูพลุแบบโสดๆ ว่าเหงาแล้ว ยังต้องดูคนเดียวอีกเหรอ?

...ลากพวกมาเพิ่มได้อีก 2 คน 

คนแรกอยากไปดูพลุ ชอบดูพลุ เป้าหมายเดียวกัน ลงล๊อคพอดี ดีล!

ส่วนอักหนึ่งดันอยากไป "ตลาดปลา" ที่ไม่ใช่ในไทเป จะเอาตลาดปลาแบบตลาดสึคิจิที่ญี่ปุ่น ซึ่งมันคือตลาดแบบ ตล๊าด ตลาด ไม่ต้องมีประมูลปลาก็ได้ แต่อยากได้ตลาดสด แฉะๆ ชื้นๆ ที่ขายปลาเป็นๆ เยอะๆ

ค่ะ! หามาแล้วกัน!! (((  -_-)

    ครั้งนี้เราพักกันที่ Formosa101 Hostel ราคาช่วงปีใหม่มหาโหดมาก 3 คน 3 คืน (30 Dec'19 - 2 Jan'20) ได้มาในราคา 12,132 บาท ถูกที่สุดเท่าที่ตอนนั้นจะหาได้แล้วค่ะ แต่ก็ถือว่าโชคดี และตรงวัตถุประสงค์ของเราเลย คือเราสามารถเดินจากตึก Teipei101 กลับมาที่พักได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความแออัดของรถไฟฟ้าตอนจบงาน และยังสามารถมองเห็นตึก Teipei101 ได้จากที่พักเลย!!!

จริงๆ จะชมพลุจากตรงนี้ก็ได้ แต่มาถึงที่แล้ว จะไม่ลุยเข้าไปใกล้ๆ ได้ยังไงล๊าาา

    หลังจากที่คืน 30 เรามาไทเปพร้อมกับฝนที่ตกอย่างน่ารำคาญ เลยไม่ได้ไปไหนมากนัก เลยตัดสินใจไปบาร์ลับ Hanko60 ที่ย่าน Ximending อย่างเดียว พร้อมเครื่องดื่มสุดประหลาดที่มีส่วนผสมของ โดริโทส และกิมจิที่โคตรเผ็ด!

Hanko60 บาร์ลับสไตล์ Speakeasy ที่ด้านหน้าเป็นโปสเตอร์หนัง และเราจะต้องหาทางเข้าเอง พร้อมเมนูเครื่องดื่มแปลกๆ ทั้งบาร์นอฟฟี่ เมล่อนช็อคโกแลต แอสพารากัส ที่ผสมมาในรูปแบบของค๊อกเทลที่โคตรแรง!

เช้าวันที่ 31 ธันวาคม 2019

    แผนของเราคือไปตลาดปลาก่อน ต่อด้วยอุทยานหยางหมิงซาน จบทริปด้วยพลุปีใหม่ที่ตึก Teipei101 แต่ก็นั่นแหละ เราจำเป็นต้องตัดหยางหมิงซานออก เนื่องด้วยสภาพอากาศที่โคตรจะไม่เป็นใจ และการแต่งกายที่โคตรจะไม่พร้อม!

    ตอนเช้าไทเปต้อนรับเราด้วยอากาศ 18องศา สบายๆ แต่จะสบายกว่านี้ถ้าฝนไม่ตก! จุดหมายเช้านี้ของเราอยู่ที่ "Fuji Fishing Harbor" ไม่ไกลจากสถานี Tumsui มากนัก 

การเดินทาง: MRT สายสีแดงสุดสายมาลงที่ Tumsui Station จากนั้นข้ามถนนมารอรถเมล์ฝั่งตรงข้ามสถานีต่อสาย 862, 863 เพื่อมาลงป้าย Fuji Harbor เดินต่ออีกนิดหน่อย

ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามสถานี จุดรอรถเมล์สาย 862, 863

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงสถานี Tumsui

ตอนออกมาจากสถานี อากาศหนาวตีเข้าหน้าดังปึ้งงงงงงง!!!! พร้อมเม็ดฝนเม็ดเล็กๆ ละอองฝอยๆ ป้ายขึ้นที่ตึกตรงข้ามอุณหภูมิ 14องศาถ้วน แต่ feel like 10degrees ไปเลยค่ะ ลมแรง ร่มที่พกมาแทบจะไม่มีประโยชน์ เสื้อที่ใส่มาของทุกคน มีเราคนเดียวที่พอจะอุ่นที่สุดแล้ว ถ้าไปต่อหยางหมิงซานสภาพนี้ไม่ไหวแน่ๆ ตัดมันออกตั้งแต่ตอนนี้ และหาหม้อไฟร้อนๆ ทานเอาดาบหน้าน่าจะโอเคสำหรับเราทุกคนมากกว่า

งี้แหละ ทริปคนดวงซวย2019

ป้ายรถเมล์ไต้หวันทำเราอุ่นใจกว่าที่ไทยเยอะมาก มีบอกเวลารถที่กำลังจะมาว่าเหลือกี่นาที ทำให้เราแทบจะไม่ต้องรอแบบไร้จุดหมายเลยค่ะ แต่คนไต้หวันขับรถค่อนข้างหวาดเสียว และเร็วมาก รถเมล์อาจจะมาถึงก่อนป้ายบอกเวลาก็ได้

รถเมล์ 863 ที่เราขึ้นมา Google map บอกว่าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าเพื่อถึงจุดหมาย ป้าย Fuji Harbor แต่จริงๆแล้วเราใช้เวลากันไม่ถึง 1 ชั่วโมงงงงง!!!! ขับเร็วเหลือเกินพ่อเอ๊ย! ระหว่างทางมา ใจเราและผู้ร่วมทริปเริ่มฝ่อ เพราะว่าฝนตกหนักมาก ลมแรงมากๆ จะได้เห็นอะไรมั้ยนะ?

Fuji Harbor

ลมแรงมากกกกก คลื่นสูงมากกกก สูงจนน่ากลัว แถมฝนก็ตกอีก เราเดินตากฝนกันไปจนถึงสุดโค้งของชายฝั่ง ไม่ไกลมาก แต่เดินต้านลมเหนื่อยเหลือเกิน สภาพเพื่อนของเราอีก 2 คนแทบจะไม่ไหวแล้ว เพราะเสื้อบาง ร่มก็ใช้ไม่ได้ ทั้งหนาว ทั้งเปียก ก็อดทนกันไป แต่สนุกมากๆเลยนะ ทุกคนพยายามหาอะไรทำเพื่อคลายหนาวอ่ะ ตลก

ถ้ามาตอนฟ้าใส ฝนไม่ตก น่าจะสวยมากๆเลยแหละ :)

ถึงแล้ว!

ถ้าเดินมาจนเห็นอาคารทรงแปลกๆ ที่เราเรียกว่าทรงหม้อไฟ (หรือตอนนั้นหนาว และหิวจัดจนคิดว่ามันเหมือนหม้อไฟ?) นี่คือที่ตั้งของตลาดปลา ด้วยอาคารแบบนี้ทำให้เราคิดว่ามันต้องมีหม้อไฟ ชาบู กระทะร้อน บุฟเฟ่ทะเลเผา ซาซิมิแน่ มันต้องมีแน่ๆ เลยอดใจรอและเข้าไปสำรวจตลาดปลากันก่อน

น้ำหนักการขายของไต้หวันจะเป็นหน่วยจิน โดย 1จิน จะเท่ากับ 600กรัม

    สดๆ เลยจ้า เราสามารถซื้อวัตถุดิบจากในตลาดปลา เพื่อนำไปให้ร้านอาหารในตลาดทำได้ ไม่ว่าจะเป็นซาซิมิ หรือหุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่ง (แล้วหม้อไฟอ่ะ?) สัตว์ทะเลที่นี่จะมีความคล้ายที่ญี่ปุ่นอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งก็ไม่รู้หรอกมีอะไรบ้าง แปลกตาทั้งนั้น แม่ค้าก็พยายามเข้ามาขายมาก ด้วยความที่พูดจีนก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษแม่ค้าก็พูดไม่ได้ ทำได้แต่ยิ้มแห้งกลับไป แหะๆ

    แม่ค้าพยายามขายจนจะจับเจ้าปูนี่ ปูอลาสก้า? ปูทาราบะ? สักอย่างนั่นละ จะหยิบจากในตู้ ให้เราถือ เพื่อถ่ายรูป คือออ ไม่ค่ะ ไม่ ไม่ ไม่เอ๊าาาาา กลั๊วววววว T_T

เวลาล่วงเลยไปจนเกินเที่ยง หิวมาก อยากกินหม้อไฟ ซุปร้อนๆ ซึ่งร้านอาหารแถวนั้น ส่วนใหญ่จะขายเป็นอาหารตามสั่ง เอาวัตถุดิบในตลาดมาทำ หรือบางร้านจะมีขายแบบสดๆ เป็นๆ อยู่หน้าร้าน หาของทานไม่ยากค่ะ แต่ที่ยากคือภาษา สิ่งที่เราทำได้คือเดินสำรวจมันทุกร้าน ร้านที่ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ เราตัดออกทันที เพราะหิวมาก ส่วนร้านที่มีรูปภาพ เราลังเล เนื่องจากถึงจะหิวขนาดไหน แต่ก็อยากทานของอร่อยอ่ะ!

(หม้อไฟ กระทะร้อนฉันอยู่ไหนนนนนน)

    เราเดินทุกร้านจนเกือบถอดใจ (แต่ก็ยังเดินมาถึงร้านสุดท้ายที่อยู่ไกลสุด) ขณะที่เรากำลังจะเดินเข้าไปสำรวจ แม่ค้าที่ร้านได้ยินสำเนียงที่เราคุยกัน เลยเข้ามาทักทาย "สวัสดีค่าาาาาาาาา!!" เราตกใจเลยสวัสดีกลับทันที จากนั้นแม่ค้าคนนั้นวิ่งเข้าไปในร้าน โบกไม้ โบกมือ พร้อมตะโกนสวัสดีค่าาาาา สักพักมีพี่ผู้หญิงคนนึงวิ่งออกมา ยิ้มแป้นมาทางเราแล้วทักทาย สวัสดีค่าาาาา เราอีกรอบพร้อมสำเนียงที่คุ้นเคย

คนไทย!

เหมือนสวรรค์โปรด!

    พี่นก พี่คนไทยเจ้าของร้านวิ่งเข้ามาต้อนรับเราอย่างดี ชวนเราเข้ามาคุยในร้านเพราะข้างนอกหนาวมาก และฝนยังตกอยู่ พร้อมแนะนำอาหารให้เราอย่างละเอียด โดยเราแจ้งพี่นกว่าอยากทานซุปร้อนๆ แก้หนาว แซลม่อน และข้าวนิดหน่อยก็พอ แต่พี่นกจัดหนักมาให้เราโดยนำเมนูกุ้งต้ม โดยพี่นกแยกเป็น 2 จาน (แต่คิดราคาแค่ 1 เมนู) เป็นกุ้งต้ม และซุปมิโซะใส่กุ้ง ข้าวผัดหมู ไส้ปลาผัดซอส ซาซิมิแซลม่อน และพี่นกยังใจดีแถมผัดผักกะหล่ำ กับชาร้อนมาให้เราด้วย (ซึ้งงงงง) พี่นกลงมือปรุงอาหารด้วยตนเอง โดยบอกเราว่า 

"เดี๋ยวพี่ผัดซอสเป็นสไตล์คนไทยให้นะ จะได้ทานกันง่ายๆ กุ้งต้มพี่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดให้ รสชาติคล้ายๆแหละ พี่หาวัตถุดิบได้เท่านี้ นั่งพักกันก่อนให้หายหนาว เดี๋ยวพี่มานั่งคุยด้วย"

ลายแทงร้านพี่นก https://goo.gl/maps/DWD8A4QUdF...

    พี่นก หญิงไทยสกลนคร อาศัยอยู่ไต้หวันมาเกือบ 20ปี อดีตลูกเรือสำราญ ที่เมาเรือจนทนไม่ไหว ขอตัวขึ้นฝั่งที่ไต้หวัน และตั้งรกรากอยู่ที่นี่เลยดีกว่า พี่นกพูดพร้อมกับผายมือไปอีกทางแล้วพูดว่า 

"นี่ไง พี่พาพ่อหลวงมาอยู่ด้วย เวลามีคนไทยมา พี่ดูแลเองหมดแหละ นานๆที แต่ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะ ไม่ค่อยมีเวลามานั่งคุยเท่าไหร่ แต่วันนี้คนไม่มี พี่มีเวลาดูแลพวกเราเต็มที่แหละ" 

พี่นกปล่อยเราทานข้าวต่อ หายไปรับลูกค้าอีกพักหนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมสิ่งที่ทำให้เราน้ำตาคลอเบ้า สิ่งนั้นคือ เสื้อแจ๊คเกตกันลม 1 ตัว (สีดำ) สำหรับเพื่อนเราที่ Outfit วันนี้โคตรจะบาง, ผ้าปิดปาก เพื่อกันแสบจมูกเพราะอากาศหนาวอีก 3 อัน, ผ้าบัฟอย่างดี หนา และนุ่มอีก 3 ผืน โดยที่พี่นกไม่คิดเงินพวกเราเลยสักบาท จ่ายแค่ค่าอาหาร 1080NT โดยลดค่าอาหารให้เราเหลือแค่ 1000NT อีก!!! โดยสิ่งที่พี่นกขอพวกเราคือ ให้เราเที่ยวให้สนุก เอาอุปกรณ์มาให้ จะได้ไม่ป่วยในวันต่อๆ ไป และสุดท้ายคือกดดาวในกูเกิ้ลร้านพี่นก และบอกต่อสักนิดนึงก็พอ

ฮือออ น้ำตาคลอเบ้าไปเลยค่ะ กอดพี่นก 1 ที ชักภาพอีก 1 ภาพ

ใครสนใจ พอดีผ่านไปแถวนั้น แวะทักทายพี่นกกันได้นะคะ จะอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งกาย และใจกลับไปแน่ๆ

<3

    หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว พวกเราเลยกลับมาหามุมถ่ายรูป และเดินตลาดอีกครั้งอย่างละเอียด (เมื่อกี้รีบ เพราะหิว!) อากาศหนาว และฝนยังคงอยู่กับเราเรื่อยๆ แต่ได้อุปกรณ์จากพี่นกมา ช่วยเราได้เยอะมากๆ

ท่าเรื่อฟูจีเป็นท่าที่ไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ (มั้ง) ช่วงนี้มรสุมเยอะ เรือเลยจอดกันอยู่ค่อนข้างมาก เรือประมงของที่นี่จะค่อนข้างแตกต่างกับที่ไทยเยอะ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นเกาะ และอยู่ในส่วนที่เป็นทะเลเปิด คลื่น ลม จะแรงเป็นพิเศษ ทำให้เรือประมงของที่นี่มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ เพื่อสู้กับแรงคลื่นที่จะเข้ามาปะทะ

อยู่ๆ ก็มีสาระ

เธอมา(ห)ลอบ ให้ฉันร๊ากกกกก แล้วเธอก็ไปปปป

(มุกฝืดๆ จากสมาชิก)

    เนื่องจากเราตัดหยางหมิงซานออกจากทริปแล้ว จัดการเปิด Google map เพื่อดูสถานที่ใกล้ๆตลาดปลา ว่ามีที่ไหนให้เราเที่ยวบ้าง ประกอบกับที่นั่งคุยกับพี่นก ก็ได้ใจความว่ามีประภาคารตั้งอยู่ไม่ไกลมาก และจุดๆ นั้นยังเป็นจุดเหนือสุดของประเทศไต้หวันอีก! จริงๆ ก็เซอร์ไพร์เราในระดับนึงนะ เพราะตอนที่มา ไม่ได้หาข้อมูลจุดนี้เท่าไหร่ (ให้เพื่อนมันหาซะ อยากมานัก!!) แต่ก็ยังมีจุดให้เดินเที่ยวได้อีก พวกเราเลยเดินฝ่าลมกันไปต่ออีกประมาณ 550m

ระหว่างทางไปประภาคาร

    ทางเดินไปค่อนข้างสะดวก ทำเป็นทางให้เดินง่าย ถ้าอากาศดีๆ คิดว่าอาจจะสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อยู่ เหมือนเป็นสถานที่พักผ่อน หย่อนใจสำหรับคนแถวนี้ ที่ประภาคารมีห้องน้ำให้เข้า มีตู้กดน้ำเก่าๆ ตั้งอยู่ เผื่อใครหิวน้ำ สะดวกมากๆ

และมีน้องแมวอยู่ 1 ตัวถ้วน

    ลมที่พัดมาตอนนั้นสามารถพัดเราปลิวได้แน่ๆ ดีนะมวลน้ำหนักค่อนข้างเยอะ แหะะะ ที่ตั้งของประภาคารคือจุดเหนือสุดของประเทศไต้หวันค่ะ สามารถมาชมวิว และถ่ายรูปกันตรงนี้ได้ ข้างๆประภาคารมีเก้าอี้ และศาลาไว้สำหรับนั่งพัก แต่เราไม่สามารถเข้าไปในตัวประภาคารได้นะ ไม่รู้ว่าที่นี่ยังใช้งานกันอยู่มั้ย หรือเพราะมรสุมเข้า คลื่นลมแรง ช่วงนี้เลยไม่ทำงาน

    ด้านบนประภาคารจะมีหลุมเล็กๆ อยู่ เราสามารถมุดลงไปแล้วจะเห็นช่องเล็กๆ ไว้สำหรับส่องไปในอ่าว เหมือนเค้าเอาไว้สำหรับช่องส่องเล็งปืนเลยหล่ะ แต่ไม่รู้ใช่มั้ยนะ มีป้ายเขียนไว้อยู่ แต่อ่านไม่ออกจ้า

จากประภาคาร เราเดินไปต่อกันที่ Laomei maze (เห็นจากใน Google map นั่นแหละ!) ระยะทางประมาณ 1.2km ทางเดินง่ายๆ เลยทำให้เรารู้อีกว่ามันมีที่ๆ เราอยากจะมาที่ไต้หวัน มันอยู่ตรงนี้! แต่ไม่สามารถเห็นได้ตอนนี้ เพราะต้องดูตอนช่วงเวลาน้ำลง และจะสามารถเห็นได้เฉพาะช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคมเท่านั้น ซึ่งก็คือ Laomei green reef นั่นเองงง

Laomei green reef รูปภาพจาก http://www.thaiticketmajor.com...

เป็นที่ที่เราอยากมามากๆ แต่ช่วงเวลา และโอกาสไม่ตรงกันสักที แถมต้องดูช่วงเวลาน้ำขึ้น น้ำลงอีก เลยพับเอาไว้ก่อน ไว้มีโอกาสจะมาเยือนที่นี่แบบไม่เฟล และกลับมาเยี่ยมพี่นกด้วย! 

เราเดินผ่านจุดนี้กันไปต่อที่เป้าหมายของเรา แต่ระหว่างทางเราเจอสวน อุโมงค์ต้นไม้แปลกตาอยู่ เลยแวะเข้าไปกันก่อน

    สวนนี้เกิดจากลมทะเลที่แรงมากๆ พัดเข้ามาฝั่งนี้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้นไม้ที่เติบโตบริเวณนี้ลู่ไปตามทิศทางของลมที่พัดมาเป็นแนวเดียวกันทั้งหมด มันดูลึกลับ แปลกๆ อย่างอธิบายไม่ถูก สวนนี้จะไม่มีใน Google map นะคะ เดี๋ยวกะเอา และปักหมุดไว้ให้ตามนี้ (Wind cut tree park)

โชว์เสื้อพี่นกสักหน่อย

    ตรงข้ามกับ Wind cut tree park เดินเข้าไปก็จะเจอกับ Laomei maze เลย แต่ไม่มีป้ายบอกทางนะคะ เดินตาม Google map ได้เลย ทางจะงงๆ อยู่เล็กน้อย เพราะเราก็เกือบจะหาไม่เจออยู่เหมือนกันค่ะ ป่าบัง 5555 สถานที่เป็นเขาวงกตเล็กๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช้สำหรับทำอะไร หรือเป็นฐานอาคารเก่าของอะไรสักอย่างรึเปล่า วิ่งเล่นหาทางออกก่อนสักรอบ แล้วเดินออกถนนใหญ่อีกนิดเดียวก็จะเจอกับป้ายรถเมล์แล้ว ขึ้นสายเดิม ฝั่งตรงข้ามกับที่เราลงครั้งแรกนะ มีป้ายบอกเวลารถมา กลับไปสถานี Tumsui เหมือนเดิม

    เราเดินทางไปหาข้าวเย็นทานกันอีกรอบที่ Shilin night market แต่ลืมถ่ายทุกสิ่งที่ได้ซื้อทาน 555555555 รู้ตัวอีกทีคืออิ่มแล้ว ลืมถ่าย แงง ไม่เป็นไร แล้วเดินเข้าเซเว่น เผาหัวด้วยเบียร์กันก่อนสัก 2 กระป๋อง แล้วเข้าไทเปเพื่อไปจับจองที่นั่งมุมสวยๆ สำหรับพลุคืนนี้กัน

    เรามาถึงตึกไทเปกันตอนเกือบ 3 ทุ่มได้ อากาศเริ่มเป็นใจ หมอกไม่บังตึก Teipei101 แล้ว ฝนหยุดตกมาได้สักพัก คนยังไม่เยอะมากเท่าไหร่ ตำรวจอำนวยความสะดวกโดยการปิดถนน มีอาสาเดินเก็บขยะตลอดทาง (อาสาหล่อมาก!) ร้านขายส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะขายดีเป็นพิเศษ และเราก็ไม่พลาดที่จะเดินเข้าแน่ๆ

แล้วก็ถึงเวลาที่พวกเรารอคอย

5

4

3

2

1

HAPPY NEW YEARRRRRRRRR!!!!!

ตู้มมมมม ตึกระเบิด!

5555555

อาจจะนั่งผิดฝั่งเล็กน้อย ลมมาทางเราพอดี เลยมีแต่ควันเต็มไปหม๊ดดด แต่ทางลมเดาทิศทางค่อนข้างยากอยู่แล้ว ช๊อตสวยๆก็มีน่าาาา

ยัง! ยังอีกกก

ยังไม่เอารูปดีๆมาอีก!

   ตรึ่งงงง! สวยที่สุดเท่าที่กล้องมือถือจะถ่ายได้แล้ว

เราหยุดถ่ายรูป ใช้สายตา จดจำภาพตรงหน้าทั้งหมดตอนนั้น พลุนานเกือบ 5 นาที สวยมากๆ ยืนดูอยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหล ความรู้สึกคือโคตรคอมพลีทมาก ปกติดูในทีวีตลอดเวลาแต่ละประเทศมีจุดพลุปีใหม่ โคตรอยากไปยืนดูอยู่ตรงนั้น วันนี้เราทำได้แล้ว โคตรดีใจเลยที่พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้

กอดคอร้องไห้กับเพื่อน เราขอบคุณกันและกัน และอวยพรกันให้ปีใหม่นี้ ได้เริ่มต้นใหม่ และพบเจอแต่สิ่งที่ดี

เดินกลับโฮสเทล ซื้อเบียร์, มาม่า เมา เข้านอน

เป็นทริปที่โคตรคอมพลีท ถึงแม้จะเจอฝนก็เถอะ

Happy new year 2020

新年快樂

รัก


Mermaid on Earth

 วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.56 น.

ความคิดเห็น