ใครว่าอีสานมีแต่ป่าเขา…ไม่จริงหรอกค๊า

การเดินทางมักให้เราพบเจอกับสิ่งที่ คาดไม่ถึง อยู่เสมอ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราไปเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์

ซึ่งเส้นทางที่เป็นทางออกสู่ภาคตะวันออก

หาข้อมูลโน่น นี่ นั่น ว่าบุรีรัมย์มีอะไรให้เที่ยวบ้างหนอ ?

ไปทั้งทีจะไปดูแต่ฟุตบอลได้ไง

แต่เราไปสะดุดอยู่ตรงที่ ทะเลบุรีรัมย์

เฮ้ย!! บุรีรัมย์มีทะเลเหรอ

เฮ้ย!! อีสานมีทะเลเหรอ

ทะเลหมอก …..หรือเปล่า ?

แต่พอดูข้อมูล ทะเลที่ว่านี้คือเขื่อนค่ะ เขื่อนลำนางรองที่อำเภอโน่นดินแดง

เราก็จับยัดเข้าทะเลบุรีรัมย์ เข้าในแพลนการเดินทางของเราทั้งที

….แล้วมีใครอยากรู้เหมือนเราบ้างว่า เขื่อนมันจะเป็นทะเลได้ยังไง…..

แล้วมัวรออะไรอยู่……ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเล่นน้ำเที่ยว "ทะเลอีสาน" กันเถอะ

การเดินทาง

ทะเลอีสาน ทะเลบุรีรัมย์ หรือชื่ออย่าเป็นทางการคือ เขื่อนลำนางรอง ตั้งอยู่ที่ตำบล่นางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์

การเดินทางไปได้หลายทาง

  1. เครื่องบิน เราสามารถนั่งเครื่องไปลงที่สนามบินบุรีรัมย์ แล้วขับรถต่อมายัง เขื่อนลำนางรอง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิด
  2. รถยนต์ส่วนตัว ขับเส้นปราจีนบุรี สระแก้ว ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
  3. รถโดยสาร จะมีรถตู้จากอนุเสาวรีย์ไปยังอำเภอโนนดินแดง ทุกๆ ชั่วโมง ลงหน้าตลาด แล้วต่อรถแท็กซี่ได้เลย

***สำหรับเราถ้าไม่ได้ตั้งใจเข้าไปเที่ยวในเมือง ขับรถยนต์ส่วนตัวสะดวกสุด****

***แต่ถ้าหากเข้าเที่ยวในเมืองด้วย นั่งเครื่องลงในเมือง

แล้วเช่ารถขับเองประหยัดเวลา และตามใจตัวเองได้มากกว่า***

แต่สำหรับทริปนี้ เราตั้งใจเที่ยวในตัวเมืองด้วย เราเลยเลือกนั่งเครื่องลงในเมือง และขับรถออกมาชิลนอกเมือง

โดยเรามีเวลาให้เขื่อนลำนางรอง 2 วัน 1 คืน และเที่ยวสถานที่ใกล้เคียง

ไปดูกันว่า 2 วัน 1 คืน เราจะสนุก จะฟิน ขนาดไหน

และแพลนการเที่ยวของเรามีตามนี้

เริ่มออกเดินทาง

เราถึงสนามบินตอนประมาณ บ่ายโมงครึ่ง จัดการเรื่องเช่ารถ หาอะไรรองท้องนิดหน่อยก่อนมุ่งหน้าสู่โนนดินแดง

หลังจากนั่นขับตรงดิ่ง แต่กว่าจะถึงก็เกือบเย็นเลยทีเดียว

ครั้ง เรามีแพลนจะไปที่เขื่อนลำนางรองจริง แต่เราไม่มีแพลนอย่างอื่นเลย กินอะไร นอนที่ไหน

เราตั้งใจว่าจะไปแบบโนแพลน ดูสิ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อยากไปหาทุกอย่างเอาข้างหน้า … มันอาจจะทำให้เราตื่นเต้นและสนุกมากขึ้น

ขับรถจนมาถึงทางเข้า มีป้ายใหญ่พอสมควรค่ะ อยู่ตรงกันข้ามกับป้อมตำรวจ หลังจากขับผ่านตลาดโนนดินแดงมานิดหน่อย

และมันก็ตื่นเต้นจริงๆ แล้วหล่ะ มาถึงซะเย็นเลยเรา มัวแต่วุ่นกับเรื่องรถเช่า (ไม่เตรียมการมาเหมือนเดิม walk in เลยจ้า)

เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่เราควรจะทำคือหาที่พัก เราคาดหวังจะได้เจอที่พักริมเขื่อนแบบวิวสวยๆ

เหมือนแถวทางใต้ๆ แต่ปรากฎไม่มีเลย จะมีก็แต่บ้านพักสวัสดิของเขื่อน และ

ส่วนใหญ่จะอยู่รอบนอก เราเลยใช้วิธีการถาม คนพื้นที่ว่ามีที่พักที่ไหน น่าพัก และราคาไม่สูงบ้าง ได้คำตอบมาหลากหลายพอควร

ทั้งบริเวณใกล้ๆ เขื่อน บริเวณตลาด แต่เราไปสะดุดที่นึง ซึ่งห่างออกไปประมาณ 8 กิโลเมตร

ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ และเป็นธรรมชาติมาก เราเข้าไปติดต่อที่พักเพื่อให้แน่ใจก่อนว่าคืนนี้มีที่พักชัวร์

แล้วรีบออกมาเที่ยวที่เขื่อนอีกรอบ เพราะรอบแรก เราแทบจะไม่ได้ก้าวขาลงจากรถเลย

เขื่อนลำนางรองยามเย็น

กลับมาถึงอีกรอบ ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกเต็มที

แสงสีส้มเริ่มส่องเข้ามายังสันเขื่อน

เราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ก็ยังได้แต่มองว่า ที่นี้ก็คือเขื่อนนะ จะเป็นทะเลได้ยังไง

เดินเล่นมองวิถีชีวิตยามเย็น ไปเรื่อย ๆ

บ้างก็มานั่งเล่น นั่งคุย

บ้างก็มาเป็นครอบครัว พาลูกมาปั่นจักรยานมาออกกำลังกาย


ทุกชีวิตยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่ดูทุกคนมีความสุขจัง

รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มีมากมาย

และสิ่งหนึ่งที่เราได้เสมอจากการเดินทางคือเพื่อนใหม่

อาจจะเป็นเราเป็นคนพูดมากละมั่ง

ทำให้เราได้มิตรและมักได้ข้อมูลดีๆ จากคนพื้นที่

และได้รู้ว่า อีกฝั่งของเขื่อนมีร้านอาหารอร่อยและราคาถูก

แต่ก่อนจะไปเอร็ดอร่อย ขอชิลตรงนี้นานๆ หน่อย นั่งเล่น เดินเล่น สร้างภาพไว้ดูเล่น

ยามคิดถึงที่นี้ ….. สถานที่บางที่ เรื่องบางเรื่อง อาจจะไม่ต้องพิเศษมาก ไม่่ต้องสวยมาก ไม่ต้องหรูหรามาก

แต่มันกลับทำให้เราจดจำ และลึกซึ้งได้มากกว่า

ร้านอาหาร

หลังจากดวงตะวันลับไปแล้ว

นุ้ยลองขับรถไปตามเส้นทางที่เพื่อนใหม่ของเราได้บอกเล่าถึงร้านอาหารอร่อย ราคาถูก

ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งของเขื่อน บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบกว่า ผู้คนน้อยกว่า

ซึ่งฝั่งนี้จะเป็นบริเวณการดูแลของหน่วยบริหารจัดการประมง

ทางเข้าเป็นถนนดินแดง เข้าไปไม่ลึกมาก ก็จะเจอร้านอาหารอยู่หลายร้านเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้จากฝั่งนี้คือ ทะเล เฮ้ยที่นี้มันคือทะเล มันเหมือนทะเล

ความตื่นเต้นเริ่มมีมากขึ้น….. เพราะมันเจ๋งมาก วิวสวย ลมพัดเย็นสบาย

เราเลี้ยวหัวรถเข้าไปร้านที่เรามองจากริมถนน ว่าบรรยากาศดี อารมณ์ทะเลสุดๆ

แต่ปรากฎร้านปิดแล้ว …… หน้าเศร้าหน่อยๆ เจ้าของร้านบอกด้วยรอยยิ้มมาใหม่พรุ่งนี้น๊าา

แต่ความพยายามของเรายังไม่หมด ร้านนี้ปิดลองไปดูอีกร้าน เผื่อยังพอมี

ผ่านมาอีกนิดเจอร้านคุณญา โภชนา เราเห็นแสงไฟ และรถจอดอยู่

คิดในใจ …ได้กินแล้วโว๊ย …..

กินบรรยากาศกันก่อนอีกสักรูป

บรรยากาศคล้ายๆ กับร้านแรกค่ะ รั้วติดกัน

มีน้องมารับออร์เดอร์

พร้อมคำทักทาย….วันนี้พี่โชคดีได้ทาน ปกติปิดแล้ว

อ้าว…ปกติปิดกี่โมงเหรอค่ะ เรารีบถาม

ปิดทุ่มนึง แต่วันนี้มีกลุ่มจัดเลี้ยงพนักงานเลยยังอยู่กัน แต่พี่พลาดนะ ….

เราทำหน้างง….พร้อมทำหน้าสงสัย

ก็พี่พลาดตรงที่มาไม่ทันอาทิตย์ตก ตรงนี้มันสวยมาก

(เราคิดในใจ ไม่ต้องย้ำได้มั๊ย พี่รู้ตัวตั้งแต่มาถึงแล้ว..ว่าพลาดมาก)

และเราขอบอกต่อเลยนะว่าที่นี้ ฝั่งนี้ นั่งตอนตอนอาทิตย์ตก ชิลมาก โรแมนติคมาก

มาดูเมนูกันสักหน่อย

ดูจากเมนูราคาไม่แพง (สำหรับเรานะ เราว่าราคานี้ไม่แพง)

อาหารของเราออกแนวกินเล่นซะมากกว่ากินเอาจริง ประมาณว่าบรรยากาศแบบนี้

พี่ขอเป็นกับแกล้มนะน้อง

จานแรกทอดมันปลากลาย อร่อยเนื้อเด้งหนึบ ไม่ผสมแป้ง ราคา 100 บาท จานใหญ่มาก

ยำวุ้นเส้น มาแบบเยอะ ขนาดจานเปลกลาง ตอนแรกเราคิดว่าจะเป็นจานเล็กๆ เหมือนบ้านเรา

รสแซ่บ ราคา 80 บาท

กุ้งแซ่บปลา ที่แซ่บซี๊ดเว่อ

ราคา 80 บาท

ข้าวผัดกุ้งจานละ 30 บาท

ข้าวผัดรสอร่อย แต่กุ้งมาแค่สองตัวบนค่ะ

ส้มตำจานละ 30 บาท แต่จานนี้เราไม่ค่อยโอ เพราะตอนกินได้กลิ่นเหม็นเขียวพริก

(จะมีใครเข้าใจคำว่าเหม็นเขียวพริกมั๊ย 55)

สำหรับมื้อนี้ อาหารทั้งหมด 5 อย่าง น้ำเปล่า เบียร์ น้ำแข็ง เราหมดไป 400 บาท กับบรรยากาศแบบนี้ ได้ใจเลยค่ะ

ทานอิ่มนั่งเพลิน วันนี้ต้องขอขอบคุณคณะจัดเลี้ยงของที่ไหนก็ไม่รู้ ที่มาจัดกันที่นี้

ทำให้นุ้ยได้มานั่งชิล ที่ร้านนี้ ไม่เช่นนั้นคงปิดกันหมดทุกร้านแน่ๆ

บรรยากาศแบบเรียบง่าย แต่รู้สึกดีจัง นั่งริมทะเลดูดาว กินอาหารอร่อย กลับไปนอนให้หลับฝันดี

ที่พัก

หลังจากค่ำคืนสุดฟินผ่านไป นุ้ยมาถึงที่พักซะดึก

แต่ยังมีอารมณ์ตื่นเช้ามาทักทายตะวันนะเออ

เขาว่าการตื่นเช้าคือกำไรของชีวิต ยิ่งตอนเดินทางแบบนี้ ยามเช้ามักทำให้เราเจอสิ่งดีๆ เสมอ

วิวนี้จากที่พักเลยนะเธอ เดินมาด้านในนิดนึงก็จะเจอ

คนอื่นไม่รู้เป็นเหมือนกันมั๊ยนะ …. อยู่บ้านไม่เคยหรอกจะตื่นเช้า

แต่เที่ยวที่ไรตื่นก่อนไก่โห่ทุกที

มาแนะนำที่พักกันสักหน่อย เผื่อเพื่อนๆ สนใจ

ที่นี้ชื่อ สวนภูผากรีนวิว ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ เส้นละหานทราย-ตาพะยา

ถ้าออกจากเขื่อนมาก็เลี้ยวซ้าย ขับต่อประมาณ 6 กิโลเมตร ที่พักจะมีหลักกิโลใหญ่ ๆ อยู่ซ้ายมือ

ที่นี้ไม่ได้หรูหรามากแต่ได้บรรยากาศแบบนี้

สำหรับราคา อยู่ที่ 450 บาทต่อคืน มีแอร์เครื่องทำน้ำอุ่นพร้อม แต่ไม่มีอาหารเช้านะ

สามารถขับรถเข้ามาจอดไว้ใกล้ๆ ที่พักได้เลย

ดูในห้องกันบ้าง เตียงน่าจะขนาด 5 ฟุต ขนาดห้อง ถือว่ากว้างค่ะ ที่สำคัญสะอาดด้วย

อากาศตอนเช้าๆ นี่ฟินเลยหล่ะ แต่นุ้ยใช้วเลาอยู่ที่พักไม่นานนัก เพราะเวลาของทริปนี้มีไม่เยอะนัก

หลังจากเช็คเอ้านุ้ยกลับไปที่เขื่อนอีกรอบไปดูทะเลตอนกลางวัน กันบ้างว่าเป็นยังไง

เขื่อนลำนางรองกลางวัน

วู้ วู้ มันคือทะเลจริง ๆ ซะด้วย น้ำอาจไม่ใสเท่าตาชัยนะคุณ

แต่มันทำให้คนที่นี้เขาสดชื่น และเริงร่ามากๆ

มีหาดทรายซะด้วย … เรานี่อึ้งเลยทำได้ไงหวา

และความพูดมากของเรา ก็ต้องถามสิค่ะ

ได้ความว่า …. เป็นทรายที่มาถมทำหาดเทียม เพื่อให้ชาวบุรีรัมย์ได้มาเล่นน้ำ

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง ที่ทำให้คนบุรีรัมย์ได้สัมผัสทะเล และเป็นทะเลน้ำจืดที่เจ๋งมากๆ

ความสุขของเด็ก ๆ เลยละ แต่วัยรุ่นก็เยอะอยู่เหมือนกัน

มาเป็นครอบครัวก็มากมาย คือเราเข้าใจอารมณ์เลย

ว่าตอนเด็กๆ อยากเล่นน้ำ แล้วแม่ยอมให้กระโดดลงคลอง มันสนุกขนาดไหน

เราถามน้องว่า น้องๆ จะกระโดดช่ายมั๊ย พี่ขอถ่ายรูปหน่อย

น้องตอบว่า ไม่ ผมดำน้ำ

แล้วน้องก็กระโดดลงไป ….

คือ ..ความเอ่อเริ่มมี สงสัยมันคือสิ่งเดียวกัน ฮา ฮา


สิ่งที่เป็นสีสันของหาดนี้คงหนี้ไม่พ้นพวกหวงยางแฟนซีเหล่านี้

สีสันสดใส ลวดลายเพียบ

ยังมีเสื้อชูชีพด้วยนะ ราคาเช่าไม่แพงเลย

หวงยางแฟนซี 20 บาท หวงยางใหญ่สีดำ 30 บาท เล่นไปเลยทั้งวัน

แต่เสื้อชูชีพเราจำไม่ได้ว่า 20 หรือ 40 บาท

แล้วเราจะพลาดเอามาทำพร็อพได้ไง กระจายรายได้

อันที่จริงก็มีห่วงยางเป็นของตัวเองนะ แต่เอามาโชว์ไม่ได้

เอาซี้ ถึงแม้เราจะเป็นลูกทะเล อยู่กับทะเลมาตั้งแต่เกิด

มาเจอแบบนี้ก็ยังอดสนุกไม่ได้ สนุกเข้าไว้ หัวเราะเข้าไว้ หน้าจะได้เด็กลง กลมกลืนกับน้องๆ ที่มาเล่นน้ำ

ยิ้มร่ายังกับที่บ้านไม่มีทะเลเลยเรา สนุกกว่าเด็กๆ ซะอีก

อากาศร้อนๆ เจอแบบนี้รีบวิ่งเข้าไปเลยค๊าา จะมัวรออะไรล๊าา

ไอติกะทิในขนมปังไส้สัปรด 20 บาท ราคาดีงามดับร้อนได้เยอะ

เจอของกินนางหน้าตาเริ่งรากว่าเจอน้ำทะเลอีก

เดินสำรวจกันต่อ มีมร้านค้าเยอะมาก ทั้งร้านอาหารนั่งกิน และร้านรถเข็น

แต่สำหรับมาเป็นครอบครัวแล้วอยากประหยัด นำอาหารมาทานกันเองก็เจ๋งนะ

มีศาลาให้นั่งอยู่หลายจุดเลย ไม่ต้องกลัวร้อน

บ้านนุ้ยทำบ่อยมากเวลาไปกันเยอะ ๆ มันเซฟ และสนุก ที่สำคัญอร่อยชัวร์

เดินเก็บภาพบรรยากาศร้านอาหารต่างๆ มาให้ดูกัน

อ้อ เราลืมบอกว่าฝั่งนี้เป็นอีกฝั่งที่เราพาไปเมื่อคืนนะค่ะ โซนนี้จะเป็นโซนร้านค้าสวัสดิการ คึกคัก

ผู้คนส่วนใหญ่จะมาสนุกกันโซนนี้ อาจจะเป็นเพราะหน่วยสวัสดิการอยู่ที่นี้ และร้านอาหารส่วนใหญ่ อยู่ที่นี้คะ

แอบเสียดายที่เราไม่ได้ลองชิมร้านอาหารโซนนี้เลย เพราะเก็บท้องไว้กินขาหมู

แต่ก็ไม่วายยังไปเดินชิมร้านรถเข็นมา 2 3 วัน ขนมโตเกียวก็อร่อย ชิ้นใหญ่ 5 บาท ดีงาม

ปิดทริปเที่ยวทะเลอีกสานด้วยไอติมหวานเย็น กับอากาศร้อนๆ เข้ากันที่สุดแล้ว

แม้ที่นี้ไม่ใช่ทะเลจริงๆ แต่ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างกันเลย ความสุข ความสนุกที่ได้ มันพอกัน

4 รูปด่านล่างเราแวะไปถ่ายทางเข้า รานอาหารอีกฝั่งของเขื่อนมาให้ดูค่ะ เผื่อเพื่อนๆ สนใจจะไปทานเหมือนกัน

มีอยู่ 3 ร้าน ติดกัน ร้านคุณปาน ร้านลุงหลอง-ป้าน้อย และร้านคุณญา

ปราสาทหนองหงส์

เส้นที่ที่เราจะขับไปยังอีกฝั่งของเขื่อน เราจะขับรถผ่านปราสาทหนองหงส์

ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของสันเขื่อน ห่างจากเขื่อนเพียง 500 เมตรเท่านั้น

ปราสาทหนองหงส์โบราณสถานขนาดเล็ก ประกอบด้วย ปรางค์ 3 องค์

ซึ่งก่อด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงต่อเนื่องเป็นฐานเดียว

หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูเข้า – ออกด้านหน้า

ส่วนประตูอีก 3 ด้าน เป็นประตูหลอก

ปรางค์ทั้งสาม มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง

ปรางค์องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าสององค์

แต่เดิมมีทับหลังประดับจำหลักลายสวยงาม

กล่าวคือ ทับหลังที่ปรางค์องค์ทิศเหนือสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหนือหน้ากาล

มือยึดท่อนพวงมาลัย แวดล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา

ทับหลังปรางค์องค์กลางสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

ทับหลังปรางค์องค์ทิศใต้เป็นรูปพระอิศวรทรงโค

ด้านหน้าปรางค์องค์กลาง มีทางเดินยาวยื่นออกมา มีบันไดทางด้านหน้า และด้านข้างทั้งสอง

ลักษณะการก่อสร้างและศิลปกรรมที่พบ ตรงกับศิลปะเขมรแบบ บาปวน มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16

นอกจากนี้ยังมีวิหารหรือบรรณาลัยอีก 1 หลัง ก่อด้วยศิลาแลงหันหน้าเข้าหาปรางค์องค์ทิศใต้ อาคารทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง มีซุ้มประตูด้านหน้าและด้านหลัง มีคูน้ำรูปตัวยู (U) ล้อมรอบอีกทีหนึ่ง

หากผ่านไปแถวนั้นแล้วอย่าพลาดที่จะแวะไปชมความงามของปราสาทหนองหงส์นะค่ะ

เราว่า…แม้ภาพในอดีตอาจจะดูเลือนลางไป แต่ความงดงามยังคงอยู่

จากอดีตสู่ปัจจบัน บรรพชนรุ่นก่อนยังคงรักษาไว้ให้ลูกหลาน ได้ดูได้ศึกษาเรียนรู้

อนุสาวรีย์เราสู้

ก่อนกลับเข้าตัวเมือง เราไม่พลาดที่จะแวะสักการะ อนุสาวรีย์เราสู้

อนุสาวรีย์เราอยู่ตั้งอยู่ที่ริมถนนหลักสายละหานทราย – ตาพระยา บริเวณทางเข้าเขื่อนลำนางรองนั่นเอง

อนุสาวรรีย์เป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงให้เห็นถึงบรรบุรุษของเราทั้งชาติหญิงที่ได้เสียสละเลือดเนื้อ

เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินเราไว้ อนุสาวรีย์เราสู้ก็เช่นกันที่สร้างขึ้นมา

เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของประชาชน ตำรวจ ทหาร ที่ยอมเสียสละชีวิต

จากการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่ขัดขวาง

การสร้างทางสายละหานทราย – ตาพระยา ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์จนสามารถสร้างได้สำเร็จ

เหตุที่ต้องก่อสร้างเส้นทางสายนี้เพราะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์

ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศด้านชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยต้องตัดผ่านเขตอิทธิพลของ ผกค.ทำให้ฝ่าย ผกค.ต่อต้านขัดขวางการก่อสร้างสายนี้ทุกวิถีทาง

ด้วยการวางทุ่นระเบิดอย่างหนาแน่น ดักซุ่มยิง ซุ่มโจมตีที่ตั้งกำลังทหารที่คุ้มกันการก่อสร้าง

เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียทั้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.)

และ ไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) ทำให้ราษฎรในพื้นที่พากันรวบรวมกำลังพลต่อสู้กับ ผกค.

อย่างห้าวหาญเส้นทางสายนี้จึงสำเร็จลงได้

"เราสู้" เป็นชื่อที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช

ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อเพลงพระราชนิพนธ์ "ราสู้" มาใช้

"อนุสาวรีย์เราสู้" คือ ความภาคภูมิใจในสายเลือดผู้กล้าของลูกหลานชาวบุรีรัมย์

และต่างให้คำมั่นสัญญาที่จะสืบสานปณิธานเพื่อรักษาแผ่นดินไทยให้คงอยู่คู่นิรันดร์

ใกล้ๆ อนุสาวรีย์ยังมีศาลาให้ได้นั่งพักนั่งผ่อนกันด้วย

ใครขับรถผ่านเส้นนี้ เมื่อยล้า หรือง่วงนอน นอกจากจะแวะสักการะอนุสาวรีย์เราสู้กันแล้ว

ยังมานั่งพักสายตา พักรถกันได้อีกด้วย

อีกฝั่งของถนนจะมีศาลเจ้าพ่อหนองหงส์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวโนนดินแดงเช่นกัน

ศาลแห่งนี้จะมีการจัดงานประจำปีขึ้นในเดือนธันวาคมของทุกปี

ลักษณะของศาลแม้จะดูแปลกตา แต่งดงาม ยังไงก็มาถึงบ้านถึงเมือง

ต้องแวะกราบสักการะ เอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย

เสร็จจากศาลเจ้าพ่อหนองหงส์ เราขับรถกลับเข้าในเมือง

เพื่อไปเที่ยวต่อ มาถึงบุรีรัมย์ทั้งที จะเที่ยวแค่นี้ได้ไงเนอะ

ร้านขาหมูจิ้งนำ

เส้นทางจากอำเภอโนนดินแดงเข้าสู่เมืองบุรีรัมย์ แน่นอนว่า ต้องผ่านอำเภอนางรอง

ที่อำเภอนางรอง มีเสียงล่ำลือกันว่ามีร้านขาหมูอร่อย

แค่ขับรถผ่านหน้าร้านก็ได้กลิ่นแล้ว อันที่จริงจะมีสองร้านนะค่ะ คือร้านลักขณา และร้านจิ้งนำ

แต่วันนี้เราแวะทานที่ร้านจิ้งนำ เพราะคนในพื้นที่ส่วนใหญ่แนะนำร้านนี้

ป้ายจะเห็นเด่นชัด ร้านตั้งอยู่ริมถนนโชคชัย – เดชอุดม

ที่นั่งภายในร้าน วันนี้คนแน่นร้านเลย

เมนูหลักๆ ก็เป็นขาหมู และยังมีอาหารตามสั่งอื่นๆ ด้วย

แต่สำหรับเราวันนี้มากันสองคน จะสั่งทั้งขา กลัวกินไม่หมด

เอาแค่นี้ก็พอ ขาหมูสับ + คากิ จานนี้ 120 บาท ข้าวเปล่าอีก 2 จาน หมั่นโถ่อีก 2 ใบ

แค่นี้ก็อิ่มแทบคลานกันเลยทีเดียว

ถ้าให้พูดถึงรสชาติ ต้องบอกว่าอร่อยมาก กล่มกลม ไม่เลี่ยน ผักกาดดองโปะมาให้เยอะมาก

เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่เราชอบส่วนของคากิมากกว่าขาหมูสับ

หมั่นโถร้อนๆ นุ่ม ๆ กินกับขาหมูเข้ากันๆ

ปิดทริปนี้แบบจริงจังด้วยความอร่อยค่ะ

เราว่าทุกสถานที่ ที่เราได้มีโอกาสได้เยือนมันคือความทรงจำที่ดี

คือประสบการณ์ที่เราไม่มีทางหาจากที่ไหนได้เลย นอกจากไปเจอด้วยตัวเอง

อยากให้เพื่อนๆ รักการเดินทางเหมือนกัน ออกมาเปิดโลกของตัวเอง เปิดมุมมองใหม่

ลองเที่ยวในแบบที่ไม่เคยเที่ยว ลองกินในแบบที่ไม่เคยกิน

ลองไปในที่ ที่คิดว่ามันไม่ไม่อะไร เพราะจริงๆ ที่แห่งนั้น อาจมีเรื่องราวดีๆ ให้เราจดจำไปตลอด


-----------------------------------------------------

มาเป็นเพื่อนกับเรา และพูดคุยกันเพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels/

https://www.instagram.com/mylifemytravel/

แฟนพาเที่ยว

 วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.38 น.

ความคิดเห็น