สวัสดีทุกๆท่านค่ะ นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของพวกเราค่ะ ผิดพลาดยังไงต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะคะ



วันนี้เราจะมารีวิวการไปเที่ยวอัมพวาของพวกเรา โดยการไปอัมพวาครั้งนี้เกิดจาก อาจารย์ที่รักของพวกเราสั่งมา ให้ประชาสัมพันธ์อัมพวายังไงก็ได้แต่!!!!!!!!! เงินออกเอง เวลาหาไปเอง กิจกรรมคิดเอง ที่ได้มาคือ 5 คะแนนกับความสุขใจเท่านั้น แท่นแท๊นนน



มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ (ทุกรูปใช้แค่กล้องกากๆกับกล้องโทรศัพท์และใจล้วนๆ)



ในครั้งนี้เรามีคอนเซ็ปคือ “ยิ้มให้อัมพวา" และนี่คือที่มาของชื่อกระทู้…



“ยิ้มให้อัมพวา" วันนี้เราจะไปแจกรอยยิ้มที่อัมพวากัน และจะรับรอยยิ้มจากอัมพวามาเพื่อแจกจ่ายให้คนอื่นต่อๆไป เพื่อให้เห็นว่าคนในอัมพวายิ้มกันทุกคนทั้งชาวอัมพวาเองและทั้งนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน แสดงให้เห็นความอัมพวาก็เป็นแหล่งความสุขเล็กๆให้ใครหลายๆคนได้



ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำสมาชิกทีมที่ร่วมตากแดดเปียกน้ำไปด้วยกันก่อนนะคะ

พวกเราเป็นนักศึกษา มทร. จักรพงษภูวนารถ สาขาการตลาดปี 3



ในวันนี้มายและออมจะเป็นคนถ่ายรูปทั้งหมดให้เพื่อนๆ เมและตี๋จะเป็นคนอำนวยความสะดวกให้เพื่อนๆ ด้วยการตกน้ำแทน พายเรือให้ ตึ่งโป๊ะ!!!


ส่วนกายติดภารกิจรอทำรายงานอยู่บ้านใสๆ พวกเราไม่โกรธไม่เคืองแต่เอาตังมา!!!!!!!



เริ่มด้วยเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17/4/59) พวกเรามาเริ่มต้นกันที่อนุสาวรีย์ชัย ด้วยท้องที่อิ่มกันมาจากบ้าน

เวลาที่เราเริ่มเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัย(ตรงซอยข้างเซ็นจูรี่)ตั้งแต่ประมาณ 11.00 ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ (แวะปั๊มประมาณ10นาที) ด้วยราคาคนละ 80 บาท



ยิ้มกันตั้งแต่วินรถตู้ที่กรุงเทพเลยทีเดียว



ด้วยคอนเซ็ปการประชาสัมพันธ์ของเราคือ ให้แตงกวาเป็นแม่นางแต่งชุดไทยไปชูป้าย “ยิ้มให้อัมพวา" และแจกพวงมาลัยดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวแม่ค้าพ่อค้า


ในตอนนั้นทั้งคันมีแค่พวกเราที่เป็นคนไทย สงสัยเพิ่งผ่านสงกรานต์มาต่างชาติเลยเยอะต่อเนื่อง โดยรถตู้ที่เราไปจะแวะส่งผู้โดยสารที่ตลาดร่มหุบด้วยนะคะ ใครใคร่จะลงตรงนี้ก็ลงได้เลยค่ะ



และตรงนี้คือที่รถตู้จอด เดินตรงไปแค่ 200 เมตรก็ถึงตลาดแล้วค่ะ แต่พอลงรถปุ๊ป เราก็รีบขอถ่ายรูปเพื่อโปรโมทและอธิบายกับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นรถมาคันเดียวกัน เพราะพวกเขาดูหน้าตาสงสัยมาตลอดทาง ว่าเราแต่งชุดอะไรกัน!!



พอถึงตลาดปุ๊ป เราก็ประเดิมด้วยร้านแรกน่ารักๆ ตรงทางเข้า คุณป้าน่ารักมากมายดูตื่นเต้นกับแม่นางของเรามากๆ ร้านนี้จะขายของหลายๆอย่าง ทั้งผลิตภัณฑ์จากฟักข้าว น้ำดื่ม และของฝาก คุณป้าก็ประเดิมพวงมาลัยพวงแรกของพวกเราไป



แม่นางยิ้มม ป้าก็ยิ้มมมม แชะ!



เดินเข้ามาด้านในอีกนิด เราเจอกับร้านเกศมณีค่ะ เป็นบ้านขนมไทยแท้ๆ มีขนมไทยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และขนมไทยหาทานยากมาทานกันได้ที่ร้านนี้ รสชาติไม่ธรรมดานะคะขอบอก ที่สำคัญพ่อค้าใจดีมาก ทำไปอธิบายไป และยังให้แม่นางของเราได้ลองทำด้วย ที่สำคัญคือราคาขายก็ไม่แพง อยู่ที่ประมาณ 30 บาท/กล่อง



ร้านต่อมาเลยค่ะ ร้านนี้สร้างความตื่นเต้นให้พวกเรามาก เป็นมาชเมลโล่และเยลลี่เสียบไม้แล้วจุ่มฟองดู มีน้ำพุฟองดู 3 รสชาติ ที่เราได้ชิมจะมีมีบลูเบอร์รี่ ช็อคโกแลต อีกรสชาติหนึ่งน่าจะเป็นสตอเบอรี่(แต่หมดซะแล้ว) ราคาก็มีแท่งละ 10 บาทกับ 20บาท ซื้อ 5แถม 1 เราเลยรีบจัดกันมาเลย เรียกว่ากินกันตั้งแต่หน้าตลาด



ระหว่างทางก็มีของน่าสนใจมากมาย ตกแต่งกันไปตามสไตล์ บางร้านขายของฝาก บางร้านตกแต่งสไตล์ไทย บางร้านขายขนมโบราณที่หากินได้ยาก เสน่ห์ในความเป็นตลาดน้ำแบบไทยๆ



เดินตรงมาเรื่อยๆเริ่มเหนื่อยกันแล้วเพราะอากาศค่อนข้างจะร้อน ประมาณบ่ายโมง เลยตัดสินใจซื้อตั๋วขึ้นเรือในราคาคนละ 50 บาท แวะ 5 วัด โดยในตลาดจะมีเรือพาเที่ยวหลากหลายเจ้านะคะ แต่ละเจ้าราคาก็ไม่ต่างกันมาก อันนี้แล้วแต่ใครจะเลือกเจ้าไหนค่ะ แต่พวกเราโชคดีเจอพี่คนขับเรือน่ารักมาก สุภาพเรียบร้อย พูดจาดีมาก ได้ใจพวกเราทั้งกลุ่มไปเต็มๆเลยค่ะ โดยพี่เค้าจะคอยเรียกลูกค้าเสียงดังๆพูดเพราะแทบไม่หยุดหายใจเลยค่ะ



ผ่านไปแล้วเกือบ 20 นาที เรือก็ยังไม่ออกเพราะยังไม่มีลูกค้ามาเพิ่ม พี่คนขับเรือแสนน่ารักเห็นพวกเราเริ่มบ่นเริ่มร้อน ก็รีบมาบอกพวกเราทันที ว่าขอโทษที่ช้าและจะลดราคาให้จาก 5*50 =250 เหลือแค่ 200 แต่พวกเราก็สวยๆมีน้ำใจงามๆ หยวนๆกันไปป มิเป็นไรค่าาาา (ก็พี่น่ารักตั้งใจเรียกลูกค้าขนาดนี้ ยอมใจค่ะ)



ต่อมาก็มีแวะรับคนเพิ่มระหว่างทางค่ะ ข้ามเรือต่อเรือกันแบบนี้เลย



ระหว่างทางก่อนออกจากคลองอัมพวา ก็จะยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ดูใกล้ๆตื้นๆ ที่สำคัญน้ำที่นี้สะอาดใสนะคะ


ขอแนะนำสำหรับคนที่จะมานะคะ ช่วงนี้อากาศร้อน พกน้ำพกยาดมขึ้นมาบนเรือกันด้วยนะคะ ส่วนร่มกันแดดพี่คนขับเรือบอกว่าไม่แนะนำนะคะ เพราะตอนเรือวิ่งในแม่น้ำใหญ่ ลมค่อนข้างจะแรง กางร่มต้านลมกลัวจะอันตรายค่ะ แนะนำเป็นเสื้อคลุมหรือผ้าคลุมดีกว่าสวยๆใสๆประมาณนี้ค่ะ



บรรยากาศสองฝั่งคลองค่ะ



ระหว่างที่เรือกำลังออกพวกเราก็เม้าท์กันว่าเดี๋ยวจะมากินร้านนั้นร้านนี้กันดีกว่า เห็นร้านอาหารน่ากินสองข้างทางเต็มไปหมดเลยค่ะ ยังไม่ทันได้เที่ยวก็เล็งจะกินข้าวกันซะแล้ว



พออกจากคลองเล็กๆ มาเป็นแม่น้ำใหญ่ ลมก็เย็นสบายยยย แต่แดดค่อนข้างจะร้อน แถมน้ำยังกระเด็นด้วยคะ สไบแม่นางเปียกทั้งแถบ แต่แค่นี้ไม่กลัวค่ะ มาถึงอัมพวาขึ้นเรือแล้วไม่โดนน้ำกระเด็นใส่ ถือว่ามาไม่ถึง (อันนี้พี่คนขับเขาบอกมา)



พี่คนขับบอกว่ามีเวลาให้ประมาณ15-20 นาทีต่อวัด เราต้องตรงเวลาค่ะเพราะเรือจะต้องจอดรอคิวกันทีละลำ ขึ้นพร้อมกัน ลงพร้อมกัน รับทราบ ปฏิบัติ!



มาถึงวัดแรก คือวัดทองคุ้ง วัดนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะเพราะเรารีบ กลัวตกเรือ ไหว้พระ ปิดทองเสร็จก็รีบมารอเรือที่ท่าเลย



แชะภาพแม่นางยิ้มงามๆกับป้ายชื่อวัด



มาถึงวัดที่ 2 ใกล้กันนิดเดียวค่ะ คือวัดบางแคใหญ่ วัดนี้มีให้ทำบุญปล่อยปลาต่างๆ เริ่มต้นที่ 10 บาท ทุกวัดจะมีร้านน้ำ ร้านขนมขายนะคะ ไม่ต้องกลัวหิวระหว่างทาง พวกเราซื้อน้ำกันทุกวัดเลยค่ะ อากาศร้อนมากจริงๆ



และระหว่างทางไปวัดที่สามอากาศก็ยังคงร้อนอยู่สลับกับน้ำเย็นๆกระเด็นจากคลอง เริ่มจะชินและสนุกแล้วคะ ระหว่างทางพวกเราก็ถ่ายรูปบ้านเรือนริมน้ำมาเยอะเลย มีบ้านหลังนึงเหมือนบ้านของพี่ติ๊กในละครเจ้าบ้านเจ้าเรือนด้วย อินละครไปอี๊กกกกกกก



และนี่วัดที่ 3 คือวัด บางแคกลาง วัดนี้ร่มเย็นหน่อยค่ะ เพราะค่อนข้างกว้าง อากาศสบาย ต้นไม้เยอะมีชิงช้าให้นั่งเล่น มีศาลเจ้าแม่ด้วยค่ะ แต่ที่เด็ดคือ เมี่ยงลำยอง อร่อยมากแม่นางคอนเฟริมเอง เพราะนางคนเดียวกินไปหลายไม้ ราคาแค่ 4 คำ 10 บาท คุณป้าทำสดๆตรงนั้นเลย



ระหว่างทางไปวัดที่ 4 อากาศเริ่มดีขึ้นนิดหน่อย เด็กๆออกมาเล่นน้ำกันใหญ่ ไม่กลัวจมกันเลย ขนาดพวกเรานั่งบนเรือยังกลัว ใส่ชูชีพกันอย่างแน่นหนา นี่แหละคะวิถีชีวิตริมคลอง ร้อนๆก็โดดลงคลองกันตู้มๆ เด็กที่นี่คงว่ายน้ำแข็งกันทุกคน



วัดที่4 เกษมสรณาราม วัดนี้มีทำบุญโลงศพด้วยค่ะ อันนี้พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านในนะคะ เพราะเริ่มเหนื่อยหาที่ลมพัดเย็นๆนั่งพักกันอยู่ เลยไม่มีรูปด้านใน เสร็จแล้วก็ไปรอเรือที่ท่าเหมือนเดิม



วัดที่ 5 วัดบางเกาะเทพศักดิ์ค่ะ วัดนี้ร่มเย็น ห้องน้ำสะอาดเข้าได้อย่างสบายใจ และมีวัวตัวใหญ่ๆ อยู่หน้าวัดสองตัวให้พวกเราได้ทำบุญให้อาหาร วัดนี้มีเทพทันใจกับเจ้าแม่กระซิบด้วยนะคะ ผู้หญิงกระซิบซ้าย ผู้ชายกระซิบขวาค่ะ



ต่อมาคือวัดบางคุ้งค่ะ เป็นวัดที่พี่คนขับเรือเค้าแถมให้ โดยการใช้โหวตของลูกเรือ คือถ้าอยากไปก็จะพาไป สุดท้ายก็ได้มากัน ถึงแดดจะร้อนแต่ลมเย็นและแรงสุดๆ แถมมีแพะ มีอูฐ กระจง และม้า เยอะแยะให้เราได้ให้อาหารกัน มีเครื่องบินในวัดถ่ายรูปเล่นกันด้วย



.



นี่น่าจะเป็นลูกพี่ใหญ่ของกรงนี้



วัดนี้มีอูฐด้วยค่ะ (ร้อนแค่ไหนถามอูฐดู) ตัวใหญ่มากกกก แค่ขาอูฐก็สูงกว่าตัวเราแล้วค่ะ แต่น่าสงสาร เพราะอยู่ในกรงที่ไม่ใหญ่มาก เดินวนไปวนมาได้แค่นิดหน่อย



จริงๆวัดนี้มีโบสถ์โบสถ์ปรกโพธิ์ด้วยนะคะ เพื่อนที่เคยมาบอกว่าสมัยก่อนพม่าเข้ายึดวัดนี้ค่ะ แต่มองไม่เห็นโบสถ์หลังนั้นเพราะมีต้นโพธิ์ปกคลุมอยู่ แต่ด้วยความที่เรามีเวลาน้อย จากท่าเรือเดินไปโบสถ์ค่อนข้างไกล เลยอดไปดูเลยค่ะ ได้แต่เดินให้อาหารสัตว์ ท่าเรือวัดนี้มีปลาด้วยนะคะ ตัวใหญ่พอดูเลยค่ะเพราะน้ำใสสะอาดมากไม่มีขยะเลย



เที่ยวครบทั้งหกวัด (5วัด + 1วัดที่พี่คนขับแถมให้) ก็ถึงเวลาขึ้นเรือกลับแล้วค่ะ ค่อนข้างจะคุ้มนะคะที่ตัดสินใจลงเรือ เพราะราคาต่อหัวแค่ 50 บาท แต่ได้เที่ยวถึง 5 วัด ใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที (เดาว่าที่พี่คนขับสามารถแถมให้ได้และใช้เวลาไปไม่มากไม่เกินเวลาเท่าไหร่ เพราะพวกเรามีระเบียบกันมากค่ะ เรือมาปุ๊ปพากันลงเรือปั๊ปไม่มีใครต้องรอใครเลย โชคดีสุดๆ)



ที่เหลือขออนุญาติต่อด้านล่างนะคะพี่คนขับเรือใจดีที่พาเราไปเที่ยว ทั้งอธิบายสถานที่ แถมยังพาไปแวะวัดสุดท้ายอีกด้วย ราคาหลักสิบแต่การบริการและอัธยาศัยเต็มร้อยนะคะ คนอัมพวาใจดีจริงๆ แม่นางขอเราเลยขอแชะภาพด้วยสักนิดค่า 1 2 3 ยิ้มมมมมมม



หลังจากขึ้นจากเรือและถ่ายรูปกับพีคนขับเรือพอเป็นพิธีแล้ว ก็ถึงแวะเติมพลัง พวกเราเลือกแวะที่ร้าน ภวัต ไก่ย่างคะ มีเครื่องหมายการันตีความอร่อยเต็มไปหมด แม่นางของเราเลยขอการรันตีบ้าง ว่าแต่อันไหนไก่อันไหนแม่นางคะ อิ_อิ



วัตถุดิบมาเป็นกระบุง



ราคาย่อมเยาถูกใจชาวแก๊งค์ จัดมาคะ อะไรเด็ด จัดมา เราหิว !



ราคามื้อนี้อยู่ที่ 703 บาทซึ่งถือว่าไม่แพงเลยนะคะ มื้อนี้พวกเราสั่งเป็น ตำไข่เค็ม ยำหมูย่าง ข้าวผัดกุ้ง ปลาหมึกนึ่งมะนาว แล้วก็ตำปลาร้าคะ ข้าว 1 โถ น้ำอัดลมขวด1ใหญ่ 1ขวดเล็ก น้ำแข็ง2ขันใหญ่ และน้ำเปล่า 2 ขวด อร่อยเด็ด กวาดกันเกลี้ยงจนร้านเขาแทบไม่ต้องล้างจาน



กองทัพเดินด้วยท้องค่ะ เติมพลังท้องอิ่มแล้วก็เดินเที่ยวกันต่อเลยคะ ได้เห็นวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนริมน้ำ อันนี้แอบถ่ายหนุ่มน้อยอาบน้ำมาด้วยแหละคะ น่ารักกก



ร้านนี้น่านั่งมากค่ะ น่าจะเป็นร้านกาแฟ ตกแต่งน่ารักมากเลย แต่พวกเราเพิ่งอิ่มมากมาจากร้านส้มตำ เลยไม่ได้แวะเข้าไป ได้แต่แชะรูปมาฝากเพื่อนๆค่ะ



เสื้ออัมพวามีขายแทบจะทั้งตลาด หลากหลายดีไซน์แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนค่ะ กระเป๋าที่ระลึกราคาไม่แพง ของเล่นโบราณที่ไม่เคยเห็นในกรุงเทพอย่างลูกยางค่ะ อันนี้ตอนแรกก็สงสัยว่าเอาไว้เล่นยังไงหว่า เพื่อนอธิบายให้ฟังว่าโยนขึ้นไปแล้วมันจะหมุนๆ สนุกสนานได้ตามประสาเด็กๆ



เดินมาเจอร้านนี้ค่ะ พวกเราหยุดกันอยู่นาน ปลื้มมากกกก พี่เขาขายเสื้อหิ่งห้อยกับตุ๊กตาหิ่งห้อยที่เราสามารถเลือกสีปีกได้ ดูหน้าตาเจ้าหิ่งห้อยสิคะน่ารักฟรุ้งฟริ้งแถมเวลาอยู่ในที่มืดจะมีส่วนนึงที่เรืองแสงค่ะ(จำไม่ได้ว่าตรงไหน) ส่วนปีกหิ่งห้อยสามารถนำมาเป็นผ้าปิดตาได้ด้วยนะคะ เก๋ไปอี้กกกกกก คนไทยคิดคนไทยทำค่าาา มีโปสการ์ดด้วยค่ะ ใบละแค่15บาท สมาชิกแก๊งค์เลยสอยกันคนละใบสองใบ มีตราปั้มน่ารักๆให้ด้วย ประทับตราไว้ว่าได้มาแล้วน้า อัมพวา



แดด(เริ่มจะ)ร่ม ลมตกแล้ว ขึ้นสะพานไปดูวิวซะหน่อย อัมพวาตอนนี้คนค่อนข้างจะเยอะกว่าตอนกลางวันที่เรามาถึงคะ คงเพราะว่าอากาศไม่ร้อนมากเท่าตอนกลางวัน คนส่วนมากเลยเลือกที่จะมาเดินเล่นกันตอนเย็นมากกว่า



ออกกำลังกายบริหารกำลังขาค่ะ ขึ้นๆลงๆบันไดข้ามฟากกันบ่อยมาก



ท้องฟ้ายามเย็น สีชมพู มองไปไม่มีตึกสูงๆบังเลย เปลี่ยนบรรยากาศจากวิวตึกคอนกรีตกับรางรถไฟฟ้าในเมืองมาเป็นคลองเล็กๆกับเรือเยอะๆที่อัมพวา



เดินไปเดินมาเจอชาวต่างชาติกลุ่มนี้ค่ะ เขามองแม่นางเราจนเหลียวหลัง คงสงสัยว่าใส่ชุดไรหว่า เราเลยได้โอกาส ทำการขออนุญาติถ่ายภาพร่วมกับเขาซะเลย โดยแจ้งเขาว่าเรากำลังมาทำโปรเจ็คของมหาวิทยาลัยอยู่นะยู เขาก็โอเคค่ะ คล้องพวงมาลัยให้คนละพวงเป็นที่ระลึก สอบถามได้ความว่ามาจากอิตาลีกันทั้งสามคนเลยค่ะ



Amphawa Smile ไอสมายยย ยูสมายยยยย เอ้า วัน ทรู ทรี แชะ!



เดินจนเหนื่อย ขาแข็ง หมดแรงแล้ว ก็ตัดสินใจกันว่ากลับบ้านเรากันเถอะเพื่อนๆ เลยเดินออกมาทางเดียวกับทางที่เราเข้าไปตอนแรก



เจอร้านกาแฟโบราณร้านลุงคิ้ว ทุกเมนูราคาแค่แก้วละ 10 บาทททททททท ลุงคิ้ว คุณลุงCuteสมชื่อมากค่ะ ชงไปยิ้มไป ทักคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย วิธีชงของคุณลุงคือใส่กระป๋องนมแบบโบราณแล้วจึงมาเทใส่แก้วน้ำแข็งค่ะ รสชาติเข้มข้มสะใจหายเหนื่อย



ระหว่างจะกลับไปขึ้นรถตู้ เจอตลาดริมแม่น้ำ ลมเย็นสบายมากค่ะตรงนี้ เลยพากันเบนเข็มมาเดินตรงนี้กันอีกนิดนึง ดูเหมือนจะเป็นตลาดสำหรับชาวบ้านท้องถิ่นค่ะ แต่ก็มีของกินของฝากนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน



ของขายของฝากเต็มเลย ปลาทูมั้ยจ้ะ ขนมก็มี น้ำตาลมะพร้าวก็มา วาดรูปเหมือนก็มีนะเออ คือมีทุกอย่างเลยก็ว่าได้



ตอนเย็นริมน้ำเย็นมากกกก ลมพัดหน้าม้าแตกกันเลยทีเดียว 5555555555555555

เดินกันตั้งแต่หน้าตลาดจนท้ายตลาด ตรงแถวๆท้ายตลาดมีคนแจกลูกหมาด้วยค่ะ พี่เขาไปช่วยมาจากวัด บางตัวที่มีแผลเขาก็รักษาแล้วถึงเอามาแจกค่ะ ใครมั่นใจว่าดูแลได้ เลือกไปเลี้ยงได้เลยคะ ให้หนึ่งชีวิตได้มีบ้านใหม่ มีชีวิตใหม่ ถ้าใครที่อยากได้แต่เอากลับไปไม่ได้ พี่เขาบอกว่าเขายินดีจะไปส่งให้ด้วยนะคะ ใจดีมากๆ คนไทยน่ารักก^^



พระอาทิตย์ตกดินพอดี ถึงเวลากลับบ้านจริงๆแล้วสินะ เดินกลับไปซื้อตั๋วตรงที่ที่เราลงรถตู้กันตอนแรกค่ะ



ตารางเวลารถตู่ตามนี้นะคะ ค่ารถตู้ไปจนถึงเซ็นจูรี่อนุสาวรีย์ คนละ 80 บาทเท่ากับขามาค่ะ ได้ตั๋วแล้วก็รอรถสักครู่เดียวค่ะ ตรงที่รอรถมีห้องน้ำให้เข้าด้วยนะ คนละ 5 บาท จะได้ไม่ไปปวดบนรถเนอะ ขึ้นรถได้เราก็คอพับเลยค่ะ หลับยาว เงียบกันหม๊ดดดดด



ถึงจะเป็นทริปสั้นๆแค่วันเดียวไม่กี่ชั่วโมง แต่พวกเราก็ได้ความประทับใจ ได้ประสบการณ์มามากมายค่ะ ความสุขอันที่จริงไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลย เรามีเพื่อน มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ใกล้ๆ มีบรรยากาศดีๆให้เราได้สัมผัส ถึงจะเหนื่อยหน่อย ร้อนหน่อย แต่การไปเที่ยวครั้งนี้ของเราทำให้เราได้แจกความสุขของเราไปยังคนอื่นๆด้วยค่ะ แจกรอยยิ้มให้ผู้คนที่อัมพวา ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน มันยิ่งสุขทวีคูณขึ้นไปอีก(คำพูดสวยไปอี้กกกกกก)



ใครที่พอมีเวลาสักวัน (หรือจริงๆครึ่งวันก็ได้นะคะ) อัมพวาเป็นที่ๆที่เราอยากแนะนำให้มานะคะ อยู่ใกล้กรุงเทพแค่นี้เอง เปลี่ยนบรรยากาศจากแอร์ในห้าง จากจอมือถือ จอแท็ปเลตในห้องนอน มาเป็นคลองเล็กๆ แม่น้ำกว้างๆ มาเห็นวิถีชีวิตผู้คน ที่สำคัญคือไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะเลยค่ะ

ตารางค่าใช้จ่ายประมาณนี้ค่ะ



ขอหมายเหตุว่า*** การเที่ยววัดที่นี่ดีมากๆนะคะ ส่วนใหญ่ไม่มีการบังคับทำบุญ ราคาธูปเทียนปกติ ส่วนใหญ่เป็นตามศรัทธาค่ะ



สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณเพื่อนๆร่วมทริปร่วมกลุ่มทุกคน ที่หลบแดดหลบน้ำกระเด็นด้วยกัน เช็ดเหงื่อเช็ดหน้าให้กัน ขอบคุณผู้คนน่ารักๆใจดีๆที่อัมพวาทุกคนที่เราได้เจอ ขอบคุณนักท่องเที่ยวทุกคนที่สนใจในการทำรายงานเล็กๆของเรา ขอบคุณอาจารย์ประจำวิชาที่ทำให้ได้เราได้มาเจอประสบการณ์ใหม่ๆด้วยตัวเราเอง (5คะแนนค่ะ5คะแนนขอหนูนะคะ) และขอบคุณชาวพันทิปทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ ผิดพลาดตรงไหนเราต้องขออภัยไปด้วย โอกาสหน้าไปเที่ยวกันใหม่นะคะ



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามายิ้มไปกับพวกเรานะคะ

Sutiwas Boonchoksuwan

 วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.47 น.

ความคิดเห็น