"เขาว่ากันว่า คนที่ไปเที่ยวคนเดียวคือคนอกหักหรือหลบมาพักใจ.....แต่สำหรับเราคงไม่ใช่"

*เราแค่อยากไปในที่ที่ไม่เคยไป*


              สวัสดีค่ะ นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกของเรา ไม่สิเรียกว่าเล่าเรื่องราวการเดินทางดีกว่าเนาะ  นอกจากจะเป็นการเล่าเรื่องราวครั้งแรกแล้ว และนี่คือการไปเที่ยวต่างจังหวัด "คนเดียว" ครั้งแรกของเรา เรื่องราวมันมีที่มาที่ไป ที่ทำให้ตัดสินใจไปเที่ยวคนเดียวก็คือ อยากไปเฉยๆนี่แหละจบ.. ก็เลยเลือกไปจังหวัดกาญจบุรี ซึ่งกาญฯที่เที่ยวเยอะมากกกกกกก เราก็เลยหาข้อมูลว่าที่ไหนที่ผู้คนไปคนเดียว ปลอดภัย โอเคแน่นอนเราทุกคนห่วงชีวิตเราอยู่แล้ว เราก็เลยเลือกไปแบบชิวๆล่ะกัน "สังขละบุรี" เราขอเลือกเธอ ไปกันโลดดดด ซึ่งการเดินทางไปจังหวัดกาญจบุรีไปได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็น รถทัวร์ รถไฟ รถส่วนตัว ใครสะดวกแบบไหนก็ตามสบายเลยจ้า 

16 ม.ค. 63 : ประมาณสี่ทุ่มกว่า เรามาติดต่อซื้อตั๋ว ที่บขส. โคราช  การเดินทางในครั้งนี้เราเริ่มต้นการเดินทางที่โคราชโดยเลือกใช้บริการด้วย รถทัวร์ของบริษัท ศรีมงคลขนส่ง รถมีรอบเดียว คือ เที่ยวเวลา 00.30 น.  รถมาจากหนองคาย ปลายทางคือกาญจบุรี ซื้อตั๋วในราคา 275 บาท  แล้วก็มานั่งรอ แถวๆช่องขายตั๋วนั้นแหละ 

ระหว่างที่นั่งรอ 

17 ม.ค. 63

06.40 น. เราก็มาถึง บขส.กาญจนบุรีแล้วจ้าาาาา แล้วก็ยืนงงๆเบลอๆสักพัก หาห้องน้ำล้างหน้า ก็เดินออกมาถามพี่ร้านค้าแถวนั้นแหละ ว่ารถที่ไป สังขละบุรี จอดอยู่ตรงไหนคะ พี่เค้าถามจะไปแบบไหน รถบัสไปซื้อตั๋วบนรถเลย  ถ้ารถตู้อยู่ที่ซื้อตรงข้ามนั้น นั้นไหนว๊าาา สรุป

นี่คือรถที่เราจะไปสังขละบุรีกันจ้าาา มินิบัสกำลังดี

07.00 น. : ซื้อตั๋วกาญจนบุรี-สังขละบุรี ราคา 175 บาท บนรถก็จะมีทั้งพระสงฆ์ เด็กน้อย ชาวต่างชาติ(พม่า) เต็มรถพอดีออกเดินทางกันยาวๆเลยยย นอนยาวๆด้วย 55555 ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองกาญฯไปสังขละบุรี ประมาณ 4 ชั่วโมง ทางก็ค่อนข้างโค้งเยอะ ขึ้นเขา ใครเมารถเมาโค้งก็เตรียมตัวให้ดี

บรรยากาศระหว่างทาง 

10.40 น . : ในที่สุด เราก็มาถึงแล้ว "สังขละบุรี" พอลงรถปุ๊ป ละไปไงต่อ ไปไหนดี  ที่พักก็ไม่ได้จองมาก่อน แต่มีที่นึงที่ดูในรีวิวมา เลยไปหาพี่วินมอไซต์ ไป P guesthouse จ่ายพี่วิน 20 บาท พอมาถึงมีห้องว่างอยู่รอดแล้วเว้ยก็ Check in ห้องที่เรานอนเป็นห้องพัดลม คืนละ 400 บาท   ห้องน้ำรวมอยู่ ไม่ไกลจากห้องนอน  ดูปลอดภัย โอเคเลย เราเอาของไปไว้พักผ่อน ละออกมาเดินดูบรรยากาศรอบๆ 

 นี่คือบรรยากาศจากที่พัก มองเห็นสะพานมอญด้วย

อีกมุมของที่พัก 

ที่นี่ยังมีบริการให้เช้ามอเตอร์ไซต์ด้วย วันละ 200 บาท จัดการเช่าเลย 1 คัน เลยถามพี่เค้าว่าด่านเจดีย์สามองค์ไปไกลไหม พี่เค้าบอกไม่ไกลประมาณ 21 โล ทางไปง่ายหนูไปได้ เลยออกไปหาไรกินก่อนค่อยไปดีกว่า

12.30 : ได้ฤกษ์งามยามดี แว๊นซมอไซไปด่านเจดีย์สามองค์แล้ววว  คือแบบขับมอไซต์ฝ่าแดดร้อนๆไปเลย ทนถึกสุด5555 หรือถ้าใครไม่สะดวกขับมอเตอร์ไซต์ ก็มีรถสองประจำทางนะ จะจอดอยู่แถวๆทางแยกกับรถบัสหวานเย็น รถจะเป็นสีเขียวๆ ช้าหน่อยแต่ถึงนะ 

แล้วเราก็มาถึงแล้วจ้า "ด่านเจดีย์สามองค์"

เห้ย! เราจะมาดูเจดีย์แค่นี้ไม่ได้ ไหนๆก็มาถึงชายแดนแล้ว จากที่เราศึกษาข้อมูลมามันจะมีขายทัวร์อยู่ แถวๆด่านเจดีย์สามองค์แหละ  ก็เลยเดินหาไปแถวๆใกล้ๆเจดีย์จะมีเต็นท์ขายทัวร์นำเที่ยว ไทย-พม่า

เราก็ไปติดต่อสอบถามเลย เที่ยว 7 สถานที่ คนละ 300 บาท พร้อมบัตรประชาชน 1 ใบ พี่เค้าถามน้องมากี่คน ถ้ามาคนเดียวต้องรอ join กับกลุ่มอื่นนะ เพราะจะได้เต็มรถ นั่งรอไปได้สักพักพี่เค้ามาถามใหม่ ไปมอไซต์ไหมล่ะคนเดียวเลยไม่ต้องรอ join กับใคร ไปมอไซต์ก็ไม่มีปัญหา ไปสิจ้ะรอไร!!  

จุดแรก เจดีย์ทอง

เราไม่ค่อยได้ถามข้อมูลมาสักเท่าไหร่ มัวแต่ลุ้นตอนนั่งมอไซต์ "ทางที่ดีคือทางลาดยางจริงๆ" เพราะตั้งแต่ข้ามฝั่งมาเจอแต่ลูกรัง55555

จุดที่สอง : พระนอนตาหวาน

ด้านหลังองค์พระจะมีทางลอดเข้าไปใต้องค์พระ ข้างในมีพระ มีให้เขียนชื่อติด

จุดที่สาม : หลวงพ่อทันใจ

จุดที่สี่ : เทพทันใจ

ซึ่งเทพทันใจก็เดินไปเยื้องๆกับหลวงพ่อทันใจนั่นแหละ  เขามีทริคในการขอพร คือม้วนแบงค์สองใบ ไกด์เค้าม้วนให้ เราก็เอายัดใส่มือท่าน อธิษฐานขอพรตามที่ต้องการแล้วก็ดึงเอาแบงค์ออกมาใบนึงจากมือท่าน ไกด์ก็จะพับให้เราเก็บไว้เขาบอกเป็นขวัญถุง  

จุดที่ห้า : วัดตองไว

 วัดตองไวหรือพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ไกด์ถามขึ้นไปดูไหมแต่ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 250 ขั้นนะ  มีเหรอที่เราจะปฏิเสธมาแล้วทั้งทีเนาะ 

เดินขึ้นมาก็จะเจอแบบนี้ จริงๆวิวสวยนะ แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย555 แอบร้อนเพราะไม่ค่อยมีร่มข้างบน

จุดที่หก : วัดเสาร้อยต้น

จุดที่เจ็ด : ร้ายขายของดิวตี้ฟรี  สถานที่สุดท้ายคือร้านขายของดิวตี้ฟรี หลังจากช้อปปิ้งเสร็จแล้ว พี่ไกด์เค้าก็พาเรามาส่งที่เดิมก็ถึงเวลาที่เราต้องแว๊นซ์มอไซต์กลับที่พักแล้วว  ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาถึงที่พัก เราก็เลยพักผ่อนเอาแรงตอนเย็นๆแดดไม่ค่อยร้อนค่อยไปวัดทางฝั่งมอญ Zzz 

         ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 16.30 น. เตรียมตัวไปเที่ยวฝั่งมอญกัน เราขับมอเตอร์ไซต์ไปที่แรกกันเลย คือ เจดีย์พุทธคยา เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 ริเริ่มโดยหลวงพ่ออุตตมะ ด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อที่ต้องการจะจำลองเจดีย์พุทธคยาซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย มาไว้เป็นศูนย์กลางสำหรับชาวพุทธที่อยู่รวมกันได้โดยไม่แยกเชื้อชาติ 

แล้วก็ขับมาอีกฝั่งนึง คือวัดวังก์วิเวการาม  เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ 

เราอยู่ดูวัดไม่นานเพราะไม่ได้เข้าไปข้างใน ก็เลยไปรอดูพระอาทิตย์ตกบนสะพานมอญ

สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า สะพานมอญ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 445 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเลีย

ระหว่างเดินเล่นบนสะพานเจอน้องๆ พี่คะๆๆๆ ปะแป้งไหมคะ แก้สิวแก้ฝ้า บลาๆๆ น้องๆน่ารักมากเลย  ปะแป้งทานาคา ไฮไลต์ของที่นี่เลยล่ะ

ระหว่างดูพระอาทิตย์บนสะพาน เราก็เจอกับเพื่อนใหม่เพราะเค้าวานให้เราถ่ายรูปให้  และเค้าเห็นเรามาคนเดียวเลยชวนเราไปกินข้าวด้วยกัน เหมือนกลัวเราเหงา หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

18 ม.ค. 63

06.30 น.  ตื่นเช้า มารอขึ้นเรือข้ามไปใส่บาตรฝั่งมอญกันเลย รีสอร์ทที่นี่เขามีให้บริการ  ข้ามฝั่งมาแล้ว ก็ไปซื้อชุดกับข้าวใส่บาตร ใส่ชุดมอญถ่ายรูปที่สะพานมอญ

เราเดินชมบรรยากาศบนสะพานมอญ มันรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงาเลยนะ เพราะคนเยอะมาก555555 ไปหาไรกินกันเถอะ

ท๊าด๊าาาาาา อาหารเช้าของเราคือ "ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย"  แวบแรกในหัวเราคิดเลย เห้ย! ไม่เคยเห็นๆ ต้องลองนะๆ ก็จัดมาเลยจ้า รสชาติก็แล้วแต่คนชอบแต่สำหรับเรา โอเคนะกินได้ 5555  

หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อเช้าแล้ว เราก็ไปนั่งเรือชมวัดจมน้ำ   เรือเหมาลำไป-กลับ 500 บาท นั่งได้ 6-7 คน (มาคนเดียวเนาะจะเหมาก็เกรงใจเงินในกระเป๋า555) เราก็เลยได้ไปกับน้องๆ คุยกันไปคุยกันมากพักที่เดียวกันนั่นเอง เราหารกันตกคนละ 100 บาท Go Go Go 

นั่งเรือกินลมชมวิว สูดบรรยากาศ มาได้สักพัก ก็มาถึงโบสถ์เก่า ซึ่งตอนนี้จมอยู่ใต้น้ำ ช่วงประมาณเดือน มีนาคม-มิถุนายน น้ำจะลดระดับลงก็จะสามารถเดินเข้าไปชมภายในได้เลย 

นั่งเรือต่อมาอีกนิด เราก็จะพบกับ วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) วัดนี้สามารถเดินเข้าไปชมภายในวัดได้ ก็จะมีไกด์ตัวน้อยๆ คอยแนะนำข้อมูลให้เรา น้องไกด์ตัวน้อยบอกว่า ให้เราถ่ายรูปไว้เลย เพราะเราจะเข้าไปในโบสถ์ประตูทางเดียว ออกทางเดียว ไม่สามารถเดินย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมาคำอธิฐานจะไม่เป็นจริง 

มีพระพุทธรูปประดิษฐ์ฐานอยู่ภายในโบสถ์

นั่งเรือกลับที่พักถึงเวลาต้องแยกย้ายเราลาน้องๆแล้วก็มาเช็คเอาท์  ถึงเวลาต้องบ๊ายบาย สังขละบุรี จริงๆแล้วสิ ยังไม่อยากกลับเลยแต่ก็อยู่ต่อไม่ได้สิ กลับไปทำงานบ้างเถอะ555 เตรียมตัวกลับเข้าเมือง ไว้จะกลับมาใหม่นะ  ขากลับเราไม่ได้กลับรถประจำทาง เรากลับกับเพื่อนที่ชวนเราไปกินข้าวเมื่อวานนี้ แถมยังแวะเที่ยวในเมืองอีก จนมาส่งถึงบขส. กาญฯ  ซื้อตั๋วรอบ 19.00 มีรอบเดียว ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ จบ.

ส่งท้ายด้วยภาพนี้ละกัน "ประทับใจ"

           อย่างที่ใครบอก คนเราไม่ได้มีใครจะว่างไปกับเราได้ตลอดหรอก อย่ามัวแต่รอ จนไม่ได้ทำอะไร อยากทำอะไรก็ออกไปทำ ทำแล้วไม่ไปเดือดร้อนใครก็พอ             

กฎของการไปเที่ยวคนเดียว ของเราคือ

1. มีสติ  มีสติ และมีสติ 

***ค่าใช้จ่ายทั้งทริปประมาณ 2,500 บาท ถ้ามีคนหารจะถูกกว่านี้ 55555

"ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่ อิอิ"

JIDA

 วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.57 น.

ความคิดเห็น