ขอเล่าก่อนเลยว่าก่อนไปเราอ่านรีวิวนู่นนี่มาพอตัว เตรียมทุกอย่างอย่างดี ซึ่งเราจะบอกเพื่อนๆในสิ่งที่ต้องเตรียมไปก่อนจะเดินทาง หากใครกำลังจะไปหวังว่ามันช่วยคุณได้ 
    สิ่งที่ต้องรู้  
1. อุทยานแห่งชาติภูกระดึงไม่ได้เปิดให้เที่ยวตลอดนะ! มีช่วงเวลาเปิด-ปิด (เปิด1ต.ค.-31พ.ค และปิด1มิ.ย.-30ก.ย. ของทุกปี)
2. อนุญาตให้เดินขึ้นภูตั้งแต่ 07.00น.-14.00น. ใครมาก่อนหรือมาหลังก็ไม่อนุญาตให้ขึ้นทั้งสิ้นจ้า
3. ค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่40บาท เด็ก20บาท
4. มีเต้นท์ที่พักให้บริการ เครื่องนอนก็มีให้เช่าพร้อมซึ่งจะจองผ่านเว็บอุทยานhttp://nps.dnp.go.th/หรือไปจองที่อุทยานเลยก็ได้ ถ้าไปในช่วงที่เขาไปกันเยอะๆ(พ.ย.-ม.ค.)แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนนะคะ 
5. มีลูกหาบ ลูกหาบคือ คนที่เราจ้างเขาแบกกระเป๋า สัมภาระขึ้นไปให้ คิดกิโลกรัมละ30บาท (แนะนำให้จ้างค่ะ เพราะมันจะสะดวกเราในตอนขึ้น ประหยัดพลังกายไปได้อีกนิด)
     สิ่งที่ต้องนำไป (สำคัญพอๆกับสิ่งที่ต้องรู้เลยละค่ะ)
1. ยาประจำตัว ยาพารา ยาแก้ปวด ยานวด ยาคลายกล้ามเนื้อ(สำคัญ) มันจะช่วยเรามากๆหากใครไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายบ่อยนัก
2. เสื้อผ้าหนาๆ เสื้อหนาว ถุงเท้า เพราะข้างบนหนาวมาก ทั้งนี้อย่าลืมเชคสภาพอากาศก่อนไปด้วยนะคะ
3. ไฟฉาย ลืมไม่ได้แต่ใครสะดวกจะใช้โทรศัพท์ก็ได้ค่ะ เนื่องจากหลัง4ทุ่มทางอุทยานจะปิดไฟ ไว้ไปเข้าห้องน้ำและไว้ส่องทางตอนเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก
4. รองเท้าแตะ แบบกะโหลกกะลาก็ได้ค่ะ เพราะเราใส่ผ้าใบหรือรองเท้าหุ้มข้อมาทั้งวันแล้วคงไม่อยากใส่ต่อ ไว้ใส่ไปกินข้าว เข้าห้องน้ำ ใครขี้เกียจแบกระหว่างทางขึ้นแต่ละซำก็มีขายคู่ละ50บาทเท่านั้น
5. เงินค่ะ ใช่ค่ะเงิน เพราะข้างบนค่าอาหารค่อนข้างสูงตามความสูง ไม่มีตู้กดเงินใดๆ เพราะฉะนั้นเตรียมไว้ให้พร้อม เพราะต่อมความอยากอาหารของเราจะทำงานดีเป็นพิเศษ
6. ข้อสุดท้ายที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด คือสภาพร่างกายและจิตใจค่ะ Mind set ระหว่างทางสำคัญค่ะ 

  

    ทริปนี้ของเรามาเกือบๆสิ้นเดือนมกราคม 63 อากาศยังหนาวอยู่พอตัวค่ะสำหรับภูกระดึงในช่วงเวลานี้ ซึ่งเรานั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ (หมอชิต2)ของภูกระดึงทัวร์ รอบ3ทุ่ม45 แต่รถออกจริงๆประมาณ5ทุ่ม มาถึงจังหวัดเลยประมาณตี4กว่าๆ(เช้าวันที่28) แจ้งรถทัวร์จอดให้ลงตรง ผานกเค้า  อ่อๆ ซื้อตั๋วไปแล้วอย่าลืมซื้อตั๋วกลับซะเลยนะคะ เผื่อขากลับเต็ม

เราลงรถที่ผานกเค้า ข้ามถนนไปร้านเจ้กิม เพื่อทานข้าวและเตรียมขึ้นรถสองแถวพาเราไปต่อที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค่ะ ราคารถสองแถวต่อเที่ยวอยู่ที่300บาท ต่อ 10คน คนละ30บาท ถ้าไม่เต็มก็หารๆกันไปให้ลง300บาทนั่นแหละค่ะ เตรียมเงินค่าธรรมเนียมคนละ40บาท ซึ่งจะจ่ายตรงทางเข้าอุทยาน

15นาทีก็ถึงอุทยานแล้ว เป็นเวลาประมาณตี5เกือบๆหกโมง จุดลงทะเบียนยังไม่เปิดเลยไปอาบน้ำก่อน เพิ่มความสดชื่นก่อนขึ้นภู จากนั้นประมาณ7โมงกว่าไปติดต่อเรื่องการจองที่พักกับเจ้าหน้าที่ ตามหมายเลขจุด1-4 

นี่คือหน้าตาของตั๋วและใบประกัน(10บ.) จุดที่1และ2จะเป็นจุดที่อยู่ในอาคาร ติดต่อลงทะเบียนกับจองเต้นท์

จุดที่ 3 ต้องเดินลงมาค่ะ เราสามารถนำพาสปอตอุทยานมาปั้มที่นี่ได้ (ข้างบนมีขายนะคะ 150 บาท อุทยานแห่งชาติภูกระดึงอยู่หน้าที่ 49 ปล.ซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ค่ะ เป็นความชอบส่วนตัว) ตอนนี้รัฐบาลมีโครงการท่องเที่ยวไทยหัวใจสีเขียวแจกสมุดสะสมตราปั้มอุทยาน10ปั้มจะได้เข้าอุทยานฟรี โดยเราจะต้องไม่สร้างขยะ ไม่นำกล่องโฟม และไม่นำขยะกลับออกมา ตามแต้มคะแนนที่เข้าวางไว้ ซึ่งเราว่าดีมากๆ 

จุดที่4 จุดจ้างลูกหาบ ชั่งสัมภาระค่ะ รอบนี้กระเป๋าเรา6 กิโลกรัม *30 ก็เป็น 180บาท ซื้อบัตรติดสัมภาระ(บัตรไว้เขียนชื่อ ช่องทางการติดต่อ) ใบละ5 บาท *เงินค่ากระเป๋าจ่ายข้างบนนะคะ ตอนรับกระเป๋า 

ก่อนขึ้นภูเราก็ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำภูกระดึง ศาลเจ้าปู่ภูกระดึงและพระพุทธรูปก่อนขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ 

 จุดถ่ายรูปกับป้ายแบบนี้จะมี3จุดค่ะ มีก่อนขึ้นภู หลังแป และทางเข้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางหรือจุดกางเต้นท์(ข้อความแต่ละป้ายไม่เหมือนกันนะคะ)

ทางขึ้นภูจะมีให้เขียนชื่อและวันเวลาขึ้นภู เราเริ่มขึ้นภู07.34น.

พร้อมแล้วลุย!  ระยะทาง9,050 เมตร ถึงลานกางเต็นท์ 

ก่อนขึ้นอย่าลืมหยิบไม้ไว้ช่วยเดินด้วยนะ มันช่วยได้มากจริงๆ คนละ1 ก็พอ ไว้เผื่อคนข้างหลังด้วยถือขึ้นไปแล้วอย่าลืมก็ถือกลับมาคืนด้วยนะคะ

ระหว่างทางขึ้นต้นไผ่เป็นสีเหลืองสวยมากๆ อดหยุดถ่ายรูปไม่ได้เลย

เราเดินมา 1 กิโล ก็ถึงซำแฮก แฮกจริงๆ เหนื่อยแบบหอบแฮ่กๆไปเลย

 มาแล้วต้องกินแตงโมงเย็นๆฉ่ำๆ ซีกละ10บาท ชื่นใจจริงๆค่ะ

หลังจากนั้นก็เดินกันต่อจ้า ผ่านไปสองซำก็แวะทานน้ำแข็งไส ไข่ปิ้ง และเฉาก๋วยนมสดสักแปป

บางซำไม่มีห้องน้ำและร้านอาหารนะคะ เช่น ซำกกไผ่ ซำบอน แนะนำให้ซื้อแผ่นที่แผ่นละ10บาทที่จุดลงทะเบียน ไว้เดินทางและบอกพิกัดร้านอาหาร ที่เที่ยวต่างๆ

เดินไปพักไปเรื่อยๆค่ะ ระหว่างทางเป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ ผู้คนแปลกหน้าผ่านไปผ่านมาทักทาย ให้กำลังใจกัน เกิดเรื่องราวดีๆระหว่างทาง บางท่านอายุ60 70แล้วก็มาขึ้นกับเรา สุดยอดไปเลยค่ะ 

แวะพักแวะกินไปเรื่อยๆ 

ทางขึ้นก่อนจะถึงหลังแปจะมีทั้งหมด8ป้ายค่ะ มีชันมีที่ราบปนๆกันไป (ส่วนใหญ่จะชัน) แต่หลังจากหลังแปก็จะเป็นที่ราบเดินชิลๆกันแล้วค่ะ เดินกันต่อจ้า

*ถ้าเริ่มมีบันไดเหล็กที่ชันเกือบจะเป็นเส้นตั้งตรงแล้วก็แปลว่าใกล้จะถึงหลังแปแล้ว
ไม่นานเราก็มาถึงหลังแปจุดถ่ายรูปมหาชนกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง"

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินกันต่ออีก3 กิโลกว่าๆ ซึ่ง3กิโลที่เหลือจะเป็นทางราบ หากผ่านมาถึงหลังแปได้ที่เหลือคือสบายๆไปเลย 

ก่อนถึงจุดกางเต้นท์ระหว่างทางเราจะพบสนต้นเดียวที่ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยว ซึ่งทำให้เราได้หยุดพักนิดหน่อยด้วยการถ่ายรูปกับต้นสนต้นนี้

..เวลาบ่ายโมงสี่สิบกว่าๆ เราก็ถึงศูนย์บริการนักเที่ยววังกวางแล้วใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 5-6 ชั่วโมง!...  

จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปติดต่อขอรับเต็นท์ ที่นอน เครื่องนอนต่าง ๆ เต็นท์ที่จองผ่านเว็บมาจะเป็นลายพรางทหาร วางติดกันเป็นหลัง ๆ 

เมื่อได้หมายเลขเต็นท์ รับเครื่องนอนต่างๆเรียบร้อยแล้ว ไม่รอช้าวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำ แล้วเก็บชั่วโมงบินคนละงีบสองงีบ

                   แพลนวันนี้ของเราจบตรงที่ศึกษาข้อมูล ทานข้าวและทำความรู้จักบริเวณรอบๆนี้  

คืนแรกดาวที่ภูกระดึงสวยมาก เต็มท้องฟ้าและชัดทุกดวง โชคดีที่พระจันทร์ไม่สว่างมาก พอจะแอบๆถ่ายดาวมาได้บ้าง 

*ก่อนนอนอย่าลืมทานยาคลายกล้ามเนื้อด้วยนะคะ

                                                      ....วันที่สอง....

วันนี้เราตื่นตี4กว่าๆ เพราะตี5เป็นเวลานัดของคนที่กำลังจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นกัน และเราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย มันเช้าไปมากๆ คว้าสิ่งสำคัญต่อการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นมาได้สามสี่อย่าง โทรศัพท์ กล้อง เงิน เสื้อกันหนาว และไฟฉาย 

   หลังจากที่เดินตามเจ้าหน้าที่ไป2กิโลกว่าๆ ก็ถึง ถ้าคุณกำลังงงว่าเช้าขนาดนี้เราถือเงินมาทำไม คำตอบคือ เพื่อโอวันตินและกาแฟ ที่เจ้าหน้าที่บริการระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นนั้นเอง มันอร่อยขึ้นกว่าทำเองที่บ้านเป็นสิบเท่า 

วันนี้หมอกลงจัดมากทำให้ไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์เท่าไหร่ แต่พอได้เห็นแสงรำไรๆ ได้รูปสวยๆมาสองสามใบ ก็ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ

อยากบอกว่าตอนเช้าหนาวมากๆ อากาศอยู่ที่ 9-12องศา  

ดูพระอาทิตย์ขึ้นได้สักพัก ดูแผนที่ที่ถ่ายเก็บไว้ในมือถือ พบว่า 'ลานวัดพระแก้ว' อยู่ห่างจากผานกแอ่นแค่ 350 ม. เราเลยตัดสินใจไปไหว้พระก่อนเดินเที่ยวกันวันนี้

หลังจากเดินกลับจากลานวัดพระแก้วกลับที่พัก เพื่อทานอาหารเช้า และเตรียมตัวออกเดินทางเที่ยวกัน

  จากที่เราได้ลิ้มลองขนมปังปิ้งมาเมื่อวาน ก็ซ้ำอีกหนึ่งรอบ *ทุกร้านค้าบริการชาจแบตฟรีนะคะ                 

   11 โมงกว่าๆ กางแผนที่พร้อมเดินเที่ยว แพลนหลักวันนี้คือการดูพระอาทิตย์ตกที่'ผาหล่มสัก'  ตอนแรกเรากะว่าจะไปน้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่กัน แต่หลายคนที่ไปมาแล้วบอกว่าช่วงนี้แล้ง ไม่มีน้ำหรอก เราเลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปผาหล่มสักเลย เราเก็บเส้นทางจากฝั่งน้ำตกผ่านสระอโนดาดแล้วหยุดที่ผาหล่มสักกลับที่พักทางผาหมากดูก เพื่อไม่ให้เส้นทางมันซ้ำกัน ระยะทาง9กิโลกว่าๆถึงผาหล่มสักและกลับอีก9กิโลกว่าๆถึงที่พัก ใช่ค่ะเราเดิน!!!  แต่เขามีบริการจักรยานให้ปั่น ใครสะดวกแบบไหนก็ไปแบบนั้น เราสะดวกเดินค่ะ 

เราเดินมา 634ม. (ตามแผนที่) จะเจอ'องค์พระพุทธรูป' หรือ พระพุทธเมตตา แวะสักการะและขอพรสำหรับการเดินเที่ยววันนี้นิดหน่อยค่ะ

เดินมาเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปกับต้นสนระหว่างทางสวย ๆ เดินบ้าง พักบ้าง ร้องเพลงบ้าง 

เดินมาเกือบ 2 กิโลกว่า ๆ จะเจอสระอโนดาด ได้พักถ่ายรูปยาวๆ 

บรรยากาศระหว่างทางเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาว โชคดีมากๆ อีกประมาณ3ถึง4กิโลจะถึงผาหล่มสัก เราจะผ่านน้ำตกถ้ำสอเหนือก่อน เนื่องจากช่วงนี้ไม่มีน้ำเลยถ่ายแค่ป้ายมา5555

ก่อนถึงผาหล่มสัก จะเป็นดินทราย ค่อนข้างเดินยาก ทำเราเหนื่อยเอาเรื่องอยู่ 

.......บ่ายสามกว่าเราก็ถึงผาหล่มสักเป้าหมายหลักของวันนี้แล้ว..........

ตรงนี้มีร้านค้า 4-5 ร้าน มีบริการขายอาหาร ห้องน้ำ และที่ชาจแบตเช่นเคย เจ้าของร้านที่นี้ใจดีทุกคนเลยให้ยืมเสื่อไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกได้

กล้องพร้อม จับจองที่เรียบร้อย พระอาทิตย์ตกสวยมากๆ คุ้มค่ากับ9กิโลที่เดินมาจริงๆค่ะ

พอได้รูปพระอาทิตย์ตกอสมควรเราเดินทางกลับที่พักกันค่ะ เราใช้เส้นทางผาหมากดูกเดินกลับมา เรามากันสองคนซึ่งมืดแล้ว โชคดีของเราที่มีแกงค์พี่ๆอีก4คน เดินทางกลับพร้อมเราด้วย ด้วยความมืดมึดกับระยะทางอีก9กิโล เราเลยไม่หยุดพักขากันเลย  ถึงจุดกางเต้นท์ประมาณ 2ทุ่มกว่า ๆ  แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเลยจริงๆว่าเดินมาได้ยังไง 5555 เราไปทานข้าว อาบน้ำ นอนเตรียมตัวกลับพรุ่งนี้ 

                              เช้าวันที่สาม.... 

ก่อนกลับเราต้องนำแผ่นรองนอน ถุงนอน ผ้าห่มไปคืนเจ้าหน้าที่และเก็บสัมภาระไปชั่งเพื่อให้ลูกหาบแบกลงไป ขั้นตอนทำเหมือนขาขึ้นเลยค่ะ  ใครมากับรถประจำทางกะเวลาเดินลงภูให้ดีนะคะ 

จบแล้วกับทริปนี้ คิดถึงภูกระดึง .... 

     16 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้เกิดไฟป่าที่ภูกระดึง เราหวังว่าธรรมชาติสวยๆเหล่านี้จะกลับคืนมาได้โดยเร็วนะคะ รักษ์ป่าให้สมกับที่ป่าให้เรามา #saveภูกระดึง #คิดถึงภูกระดึง

Travelwithkjrp

 วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 04.29 น.

ความคิดเห็น