BACK TO THE EARTH

ติกติ๊ก ติกติ๊ก เสียงแจ้งเตือนจาก LINE

"เบียร์ไปญี่ปุ่นวันไหน"
"เดือนหน้าพี่อยากไปสุราษ 9 - 12 สนใจไหม"

ใช้เวลาคิดประมาณ 3 วินาทีเศษ

"สนใจจจจ"
"แต่ 6-10 ได้ไหม"
..

"แปบ 7-10 ดิ"
"7 8 9 10" (จะนับทำไม...)
..

"ได้พี่ โกๆๆๆๆๆๆ"

จากนั้นก็ทำการหาวิธีเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน และ ที่พัก จุดหมายปลายทางที่ผมจะไปคือ "เกาะพะลวย" หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้ บางคนกับต้องถามว่า "ที่ไหนว่ะ?" พร้อมกับทำหน้า งง ราวกับว่าผมจะไปต่างประเทศอีกแล้ว แต่ไม่ใช่ครับ เกาะพะลวย คือหนึ่งในเกาะของหมู่เกาะอ่างทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของเกาะสมุย ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจาก เกาะวัวตาหลับ ซึ่งเกาะนี้จะเป็นเกาะที่จะใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด ไฟฟ้า จะใช้กังหันลม และ แผงโซล่าเซลล์ น้ำจะต้องสูบจากบ่อพักน้ำประจำอ่าวมาไว้ที่บ้าน หรือ รีสอร์ทของตัวเอง ซึ่งยังไม่มีระบบน้ำปะปา ตอนนี้ทางการกำลังดำเนินการอยู่ครับ

แน่นอนครับ เกาะที่คนไม่ค่อยรู้จักแบบนี้ มันต้องมีอะไรดีๆสิ ในใจคิดแบบนี้

"เบียร์... เราพักที่ อ่างทองบีชรีสอร์ท น่ะ"

"โอเคครับ"

สบายจริงๆ ที่พักก็ไม่ต้องหา มีคนหามาให้จากนั้นผมก็ทำการค้นหาข้อมูลใน google ... "อ่างทองบีชรีสอร์ท" เจอ Facebook ของทาง รีสอร์ท เข้าไปดู โอเค บรรยากาศดี ไหนๆ ขอดู เว็บไซต์ หน่อย เปิดไป เปิดมา ไปสะดุดกับ Facility 4 ข้อนี้ ...

  • Electricity available from 19:00 to 6:00
  • Not allow to use hair dryer and any high power electrics
  • No hot water
  • No airconditioner

ความคิดแรก ... เด็กเมือง อย่างเราจะอยู่ยังไง ถ้าร้อนแล้วไม่มี แอร์ ต้องตายแน่ๆ แต่เอาว่ะ ตอนเรียน รด. ยังอยู่ที่ เขาชนไก่ ได้เลย ที่นี่ก็ไม่น่าจะเท่าไหร่ แถมติดหาดด้วย มันต้องเย็นแน่ๆ (ปลอบใจตัวเอง) และนี่คือเหตุผลที่ตั้งชื่อว่า Back to the earth

DAY 1


4.30 น. เสียงเพลง Riding a Bicycle ของ Sungha Jung ดังขึ้น ทันใดนั้น สมองก็สั่งการให้มืออันอ่อนแรงเลือนไปที่ iPhone 6 สีขาว แล้วทำการ กด Snooze ทันที (ขออีก 10 นาทีน่ะ) หลังจากเวลาผ่านไป 5 นาที ก็คิดขึ้นมาได้ว่า อ่าว วันนี้ต้องไปเที่ยวนี่หว่า ไฟลท์ 8.30 ... ลุกก็ได้ วันนี้โชคดี น้องชายบอกว่าจะไปส่ง สบายอีกแล้ว ไม่งั้นชีวิตผมจะลำบากมาก

เก็บกระเป๋าขึ้นรถ ออกเดินทางสู่ท่าอากาศยาน ดอนแมือง
ทำการ Check-in, โหลดกระเป๋าใบน้อยเข้าสู่ใต้ท้องเครื่อง จากนั้นก็เดินผ่านจุดตรวจ ของสนามบิน เมื่อเข้าไปถึง เราก็จะเจอกับโซน อาหาร ซึ่งแน่นอนไม่มีทางที่ผมจะพลาดแน่ๆ เรา 3 4 คนก็เดินหาร้านอาหาร และ ไม่ลืมที่จะดื่มกาแฟดำ จากร้านเจ้าโปรดของผม

เราเลือกนั่งเครื่องบินฝั่งขวา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอแดด ใช้เวลาบินไม่นาน อ่านหนังสือ ได้ไม่ถึง 3 บทดี ก็ถึงสนามบินนานาชาติ สุราษฎ์ธานี ทีนี้ชีวิตแบบ Adventure ก็เริ่มขึ้น

ต้องขอบคุณสารการบิน ไทยสไมล์ ที่ไม่ได้พาผมมา

การเดินทางไปท่าเรือ เกาะพะลวยนั้นไปได้ 2 ทาง

  1. ทางสบาย
    ให้ทางรีสอร์ท จองรถแบบเหมาคันจาก สนามบินไปยังท่าเรือ ประมาณ 1,700 บาท
  2. ทางลำบาก
    นั่งรถบัสจากสนามบินเข้าเมือง แล้วไปต่อรถตู้เล็กไปยังท่าเรือ

มาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราเลือกเดินทางแบบ ... "สบาย"

เมื่อมาถึงท่าเรือ คำถามที่ผมได้ยินคือ วันนี้วันคู่หรือวันคี่

"วันนี้วันที่ 7 วันคี่ครับ"
"วันคี่เราต้องขึ้นท่าเรือตรงนี้น่ะ"

ในใจผมคิดว่า นี่มันเหมือนการจอดรถริมทางเท้าที่มีกำหนดวันคู่ และ วันคี่ ถ้าจอดผิดก็จะโดนล็อคล้อ

เนื่องจากที่นี่เป็นท่าเรือที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ชาวบ้านมาใช้บริการ เมื่อก่อนเลยไม่มีเรือออกบริการทุกวัน จะมีเฉพาะวันคู่ แต่ปัจจุบันมีทุกวันแล้วครับ แต่จะต้องแยกกันขึ้นคนละท่า แต่ห่างกันไม่มากครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 3 - 5 นาทีระหว่าง ท่าวันคู่ และ ท่าวันคี่

เวลาบ่ายโมงตรง ไม่มีดีเลย์ เรือค่อยๆแล่นออกจากท่าเรือดอนสัก มุ่งหน้าเกาะพะลวย ภายในเรือ บรรยากศค่อนข้างบ้านๆครับ เรือมี 2 ชั้น แต่ก่อนขึ้นเรือคนเรือบอกว่านั่งข้างบนๆ ข้างล่างจะเมาน่ะครับ เราเลยขึ้นมานั่งข้างบน แต่มันไม่มีเก้าอี้นั่งเหมือนข้างล่าง เราต้องนั่งบนพื้นใต้หลังคาเรือ แต่ถ้าอยากนั่งเก้าอี้ต้องเดินออกมานอกชายคา และ นั่งเก้าอี้ม้านั่งที่มีใช้อยู่ข้างเรือ

เรานั่งไปสักพักก็เริ่มเลื้อยๆ และนอนในที่สุด เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงผมลืมขึ้นมาแล้วต้องพบว่า นี่มันพึ่งผ่านไป 30 นาทีเอง แล้วไง นี่อยู่ไหน อีก 1 ชั่วโมงกว่าจะถึง หยิบ iPhone ขึ้นมา แล้วเปิดดูแผนที่ อ่าวนี่มันไม่ได้ไกลเลยน่ะทำไมนานจัง เลยเดินไปท้ายเรือ แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า เรือลำนี้เป็นเรือที่อนุรักษ์ธรรมชาติมากครับ น้ำนี่ไม่ได้กระเพื่อมเหมือนเรานั่ง Speed Boat แต่กลับนิ่งเหมือนเรือไม่ได้เคลื่อนที่ แต่ที่จริงแล้วเรือลำนี้กำลังแล่นไปอย่างเชื่อช้า ซึ่งตรงข้ามกับความคิดผมแบบสุดๆ สักพักมีได้ยินเสียงแว่วๆ ต้องจอดรับ-ส่ง ผู้โดยสาร อีก 2 เกาะทีนี้ถึงกับโอดครวญ แต่ก็ช่างเถอะนั่งๆไปเดี๋ยวก็ถึง Slow Life ของจริงเลยทีนี้

มือซ้ายเปิดกระเป๋า มือขวาหยิบกล้อง เดินออกไปนอกชายคา และเริ่มเก็บภาพทะเลแบบ มินิมอล กันสักหน่อย (มันจะไม่มินิมอลได้ไง ข้างหน้ามีแต่ท้องฟ้ากับทะเล) ไม่นานเรือก็มีเรือที่เรานั่งอยู่ก็ค่อยๆชะลอ สักพักก็มีเรือหางยาวลำเล็กๆ มาเทียบจอดข้างๆ คนบนเรือก็แบกลังของสด กับ กล่องใบเล็กใบน้อย และ ซองจดหมาย ส่งให้กับคนบนเรือ เพื่อเอาไปให้ชาวบ้านบนเกาะ ผมมาทราบทีหลังว่านั่นคือ "เกาะส้ม"

และอีกไม่ไกล ก็คือเกาะพะลวย จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้

เวลาผ่านไปอีก 20 นาที เรือของเราได้เข้ามาเทียบท่าจอดที่เกาะพะลวยเรียบร้อย เราเตรียมแบกกระเป๋าที่อยู่ที่ชั่นล่างของเรือขึ้นฝั่ง แต่ทันใดนั้นคนเรือก็มาแบกให้ แล้วนำไปส่งที่รถของรีสอร์ท ซึ่งทางรีสอร์ทมีรถรับส่ง ท่าเรือ - ที่พัก ในระหว่างที่เราเดินไปที่รถ ผมห็นปลากระพงตัวใหญ่ 2 ตัวถูกลำเลียงขึ้นไปบนรถ ด้วยความหิวจึงคิดว่า ปลานี่ต้องเป็นอาหารเย็นของเราแน่เลย ... แต่ ... ไม่ใช่ครับ เป็นของแขกอีกกลุ่มนึง พี่แพท บอกกับเราอย่างนั้น พี่แพทเป็นพนักงานของรีสอร์ท ที่ขับรถ Limousine มารับเราที่ท่าเรือ

ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีจากท่าเรือเราก็มาถึงจุดชมนกเงือก ... ไม่ผิดครับ นกเงือก ตัวเป็นๆ บินไป บินมา หาอาหารอยู่แถวนั้น พี่แพท จอดรถให้เราชมสักพักนึง แล้วบอกว่า เดี๋ยวเดินออกมาดูเองก็ได้ครับ เพราะรีสอร์ทอยู่ฝั่งขวามือแล้ว อะไรจะดีขนาดนี้ เกิดมาพึ่งได้เห็นนกเงือกครั้งแรก แถมใกล้มากๆด้วย ผมถึงกับดีใจสุดๆ คนใต้จะเรียกว่า นกแก๊ก

หลังจากนั้นเราก็หยิบกระเป๋าลงจากรถ และแล้วก็ถึงเวลาที่ระทึกที่สุดในทริป คือการเดินเข้าไปยังห้องพัก ที่ไม่มีแอร์ และ ไฟ พอเข้าไปก็แอบเซอร์ไพรส์นิดๆครับ มันไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด แต่ก็ยังร้อนอยู่ เนื่องจากห้องที่ผมพักนั้นอยู่ส่วนหน้าสุดของรีสอร์ท หน้าห้องเป็นทะเล ลมโกรกทั้งวัน ซึ่งถือว่าโอเคเลย ภายในห้องก็ตกแต่งแบบบังกะโลทั่วไป แต่จะเน้นเป็นไม้ห้องพักโดยรวมแล้วถือว่า โอเคเลยครับ สำหรับเกาะแบบนี้ แต่เมื่อเดินสำรวจทั่วๆห้องพบว่า มีไม้กวาด ซึ่งถือว่าดีเลยครับ ห้องพักที่ติดหาดแน่นอน เราต้องไปวิ่งเล่นที่ชายหาดแล้วพอจะเดินเข้าห้องทรายก็จะติดตามเท้าเราเข้าไปด้วย ทำให้ห้องเราเดินแล้วสากๆไม่สบาย กว่าพนักงานจะมาทำความสะอาดให้ก็วันรุ่งขึ้น มีไม้กวาดแบบนี้เราก็สามารถกวาดเองได้เลยห้องจะได้สะอาดๆ

หลังจากเก็บของเรียบร้อยพี่แพทก็อาสาขับรถพาเราชมรอบเกาะ ซึ่งจุดที่พีคที่สุดสำหรับผมคือ จุดชมวิว ผอ. พี่แพทบอกเช่นนี้ แต่ทำไมเรียกอย่างนี้ ผมก็ไม่แน่ใจน่ะครับ น่าจะ ผอ. เป็นเจ้าของที่ เอาเถอะจะเป็นของใครก็ช่าง แต่เมื่อขึ้นไปต้องพบกับวิวที่สวยงาม ตอนที่ผมไปยังสร้างไม่ค่อยเสร็จดีครับ เห็นพี่แพทบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะเก็บค่าเข้า 50 บาท ซึ่งผมบอกเลยว่าคุ้มมาก ราคาวิวนี้ผมว่าเกิน 50 บาทแน่นอน

หลังจากลับมาจากจุดชมวิว พวกเราก็กลับเข้ารีสอร์ทครับ เนื่องจากค่อนข้างเย็นแล้ว ว่าจะไปเก็บแสงช่วงพระอาทิตย์ตกที่หน้าหาดสะหน่อย

พอตกเย็นแล้วทุกๆอย่างก็เงียบลง เหลือแต่เสียงคลื่นกระทบฟัง ผมนั่งฟัง ยืนฟัง พร้อมกับกด ชัตเตอร์ไปพลางๆ หลังจากนั้นก็ได้เวลา อาบน้ำ ทานข้าว อาหารก็เป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ มีวัตถุดิบอะไรในวันนั้นแม่ครัวก็ทำให้ รสชาติแบบใต้ ถือว่าดีงาม

หลังจากอิ่มจนพุงกางก็ได้เวลา ... นอน ... แต่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่า ช่วงนี้ฟ้ามืด อย่างพึ่งรีบนอน น่าจะได้เห็นทางช้างเผือก เอาสิครับ เกิดมาไม่เคยถ่ายดาว เอาร่ำเรียนภาคทฤษฎี กับอาจารย์บน Google วันนี้เป็นไงเป็นกัน มันต้องได้บ้างแหละ ว่าแล้ว 4 ทุ่มก็เดินกลับไปที่ห้อง หยิบขาตั้งกล้องอันน้อยออกมา กว่าจะลอง กว่าจะเล็ง ก็หมดไปประมาณ 30 นาที ถ้าเป็นกล้อง DSLR คงจะเร็วกว่านี้ เก็บมาได้ 2 รูป ความจริงอยากจะอยู่นานกว่านั้น แต่ด้วยความเพลีย จากการเดินทางทำให้หนังตาบน และ หนังตาล่างของผมรักกันขึ้นมาทันที

"เบียร์กินเบียร์ป่าว เดี๋ยวพี่หยิบมาเผื่อ" พี่แดงชวนขนาดนี้ ผมหันกลับไปบอกทันทีว่า "ได้ครับพี่" พี่แดงคือคนที่จะขับเรือพาเราไปเที่ยววันพรุ่งนี้ หลังจากจิบเบียร์ไปพลางๆ คุยกับพี่แดงสักพักก็ได้เวลาเข้านอน

พรุ่งนี้เราจะนั่งเรือไปเที่ยว หมู่เกาะอ่างทอง กัน

DAY 2


6.00 น. เสียงเพลง Riding a Bicycle ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่อิดออดเลย ลุกขึ้นมาเดินไปหยิบ iPhone เครื่องเดิม แล้วกด Snooze อีกครั้ง ขออีก 10 นาทีน่ะ ความรู้สึกตอนตื่นไม่ได้รู้สึกว่าเหนียวตัวเลย ช่วงเช้าประมาณตี 4 - 5 อากาศจะเย็นมากจนต้องห่มผ้ากันเลยทีเดียว 10 นาทีผ่านไป ผมใช้นิ้วชี้รูดปิดเสียงนาฬิกาปลุก พร้อมกับเอานิ้วเดิมไปเขี่ยขี้ตาทั้ง 2 ข้าง และใช้พลังทั้งหมดที่มีไปอาบน้ำ แปรงฟัน วันนี้ใส่กางเกงผ้าร่มสีน้ำเงิน เสื้อสีฟ้า ให้เข้ากับบรรยากาศทะเล ผมเปิดประตูห้องช้าๆ พร้อมกับสูดอากาศบนเกาะพะลวยเข้าไปเต็มปอด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากห้องอาหาร บอกว่า เขารอแกอยู่คนเดียวอ่ะ ... ผมไม่รอช้า เดินไปที่ห้องอาหารเพื่อหาอะไรกินทันที อาหารเช้าวันนี้ค่อนข้างเรียบง่าย สไตล์อเมริกัน

บนเกาะมีขนาดนี้ถือว่า ฟินสุดๆแล้ว

จากนั้นพี่แดงคนเดิม เดินมาที่ห้องอาหาร หยิบถุงข้าวกล่อง ขึ้นไปบนเรือ พร้อมกับบอกว่า "วันนี้ตอนกลางวันกินข้าวผัด กุ้ง-ปู น่ะ จะกินที่ เกาะสามเศร้า ก็ได้ หรือไป เกาะส่วน ตัวก็ได้" ผมมาจับใจความได้ทีหลัง เพราะคนใต้พูดเร็วเหลือเกิน ... หรือสมองผมยังไม่สั่งการ

ที่แรกที่เราจะไปคือ ถ้ำคอม้า ความจริงก็ไม่เชิงถ้ำหรอก มันเป็นช่องเหมือนเขาทะลุ แต่เล็กมาก ทางเข้าประมาณเท่ากับความกว้างของเรือหางยาวที่เรานั่งเท่านั้นเอง แต่เข้าไปแล้วและมองข้างบน จะเป็นช่องที่แสงสามารถลอดผ่านมาได้ พูดเหมือนเข้าไป ความจริงแล้วเราไม่ได้เข้าไป เพราะว่าคลื่นค่อนข้างแรง แล้วข้างในเป็นน้ำวน ค่อนข้างอันตราย พี่แดงบอกว่า เคยมีคนเข้าไปแล้วเรือไปชนกับโขดหินได้รับความเสียหาย และ กว่าจะออกมาได้ก็ใช้เวลาอยู่ พี่แดงบอกให้เราใช้จินตนาการเอาละกัน

ขับมาอีกนิดเราก็ผ่าน อ่าวสองพี่น้อง ลักษณะคือเป็น 2 อ่าวติดกัน มีหินก้อนใหญ่กั้นระหว่าง 2 อ่าวนี้ แต่เราไม่ได้เข้าไป แค่ถ่ายรูปอยู่บนเรือเท่านั้น

ถัดจาก ถ้ำคอม้า คือ เขา ตาปู ... ตะปู แต่ไม่ใช่ที่พังงาน่ะครับ ที่หมู่เกาะอ่างทองก็มีเหมือนกัน แต่มันจะเหมือนแค่ด้านเดียว ถ้ามองจากมุมนี้จะเหมือน นกแพนกวิน ว่าไหม?

คือถ้าจะให้เหมือน เขาตาปู ที่อ่าวพังงาต้องมองจากฝั่งตรงข้ามกับที่ผมถ่าย ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายมา

หลังจากนั้นพี่แดงก็ขับเลาะริมเกาะไปเรื่อยๆ จนมาถึง ทะเลแหวก ไม่ต้องไปถึงกระบี่ เกาะพะลวยก็มีทะเลแหวก เช่นกัน เดินลงไปถ่ายรูปสะหน่อย แต่น้ำลงค่อนข้างเยอะ เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถ้าจังหวะดีๆ น้ำปริ่มๆสันทรายจะสวยมาก

ทรายบริเวณนี้ค่อนข้างหยาบ บางจุดถึงกับบาดขาเลย เวลาเดินก็ระวังๆกันนิดนึงน่ะครับ


ชมวิวบริเวณทะเลแหวกสัก 10 นาที พี่แดงก็เรียกเราขึ้นเรือ หลังจากนี้จะใช้เวลา 30 - 45 นาที เดินทางจากเกาะพะลวย ไปยัง ทะเลใน ผมก็นั่งชมวิวสักพักก็เริ่มรู้สึกง่วง เลยนอนราบลงกับพื้นเรือ หลับไปสักพักนึงก็ถึง ทะเลในจากจุดนี้เราเสียค่าเข้าอุทยานหมู่เกาะอ่างทอง 40 บาท แต่เสียแค่ครั้งเดียวสามารถไปได้ถุกเกาะในเขตอุทยาน เพียงแค่เก็บบัตรผ่านไว้เท่านั้น ทะเลใน เป็นพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเขาเป็นวงกลม และน้ำทะเลก็แทรกเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้น แต่การจะเข้าดูนั่นจะต้องปีนข้ามสันเขา ใช้เวลาปีนประมาณ 10 นาทีก็เห็น ทะเลใน ในที่สุด บันไดที่ทางอุทยานทำให้ค่อนข้างชันมาก ถ้ามองตรงระดับสายไปทางบันได จะเห็นบันไดขั้นที่ 4 ไม่ก็ 5 ตามความสูง ห่างไปออกไปไม่ถึง 50 เซนติเมตร นับมาชันเอาเรื่องเลยทีเดียว ความกว้างของแต่ละขั้น เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เพราะฉนั้นต้องระวังกันหน่อย แต่ไม่ได้อันตรายมากนัก

ผมหันกลับมาถ่ายรูปทางที่เดินขึ้นมา สวยเอาเรื่องเลย

และอีกฝั่งคือ ทะเลใน

จากนั้นจะมีทางเดินไปสัมผัสทะเลในแบบใกล้ชิด ใช่ครับ ขึ้นมาเท่าไหร่ ลงไปเท่านั้น

จากจุดที่ผมยื่นอยู่ ถ้ามองลงไปที่พื้นทะเลใน จะเห็นปลามากมาย และที่เซอร์ไพรส์ คือผมเห็น ปลาสาก หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้า Barracuda คงต้องร้องอ่อ.. กันแน่ๆเลย และแล้วก็หมดเวลา ลงมาเท่าไหนก็กลับขึ้นไปเท่านั้น ...

ลงมาเจอพี่แดง พร้อมกับคำถาม แกมเยอะเย้ยว่า "เหนื่อยไหม ฮ่าๆๆ" ผมก็พยักหน้า แล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ก่อนจะออกเดินทางต่อ พี่แดงถามอีกครั้งว่าจะไปเกาะส่วนตัว หรือ เกาะสามเศร้า พวกเราเลือก เกาะสามเศร้า เพราะพอมีร่มไม้ และม้านั่งให้เรานั่งกินข้าวได้ คำว่าเกาะส่วนตัวของพี่แดงคือ เกาะที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยว นักท่องเที่ยวส่วยใหญ่ที่มาหมู่เกาะอ่างทอง จะมาจากทางเกาะสมุย ซึ่งถ้าใครพักสมุยก็สามารถหาซื้อ แพคเกจทัวร์มาได้

ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงเกาะสามเศร้า ที่เรียกชื่อนี้เพราะว่า ภูเขาข้างหน้าเกาะมีลักษณะเหมือนหน้าคน 3 คนอยู่ในอาการเศร้าสร้อย ใครจินตนาการเก่งก็ลองดูน่ะครับ

เรากินข้าวที่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะ จากนั้นก็ขยับไปที่หน้าหาดซึ่งมีชิงช้า ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปนั่งบนทรายข้างๆชิงช้าทันที และดื่มด่ำกับบรรยากาศสักพัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนทรายนุ่มๆเกาะนี้บริการ เรือคายัก ให้นักท่องเที่ยวสามารถเช่าไปพายเล่นได้ในบริเวณอ่าว

หน้าหาดสามารถดำผิวน้ำ (Snorkel) ดูปะการัง และ หอยมือเสือได้
ปล. ผมฟังเขาเล่ามาอีกที

หาดค่อนข้างเงียบครับ เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่พึ่งกลับออกไป

เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็ออกเดินทางต่อไปยัง เกาะวัวตาหลับใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพราะพี่แดงขับพาชมวิวรอบๆ หมู่เกาะอย่างทอง เกาะวัวตาหลับอย่างที่บอกไป เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมุ่เกาะอ่างทอง ที่เป็นไฮไลท์ของเกาะนี้คือ จุดชมวิวผาจันทร์จรัส ที่เมื่อมองไปแล้วจะเห็นหมู่เกาะอ่างทองแบบ 360 องศา แต่ด้วยความไม่พร้อมของผม ที่ไม่เปลี่ยนสายคล้องกล้องจาก แบบสายคล้องมือ เป็นสายคล้องคอ ทำให้ให้กล้าขึ้นไปจนถึงบนสุด กลัวกล้องจะกระแทกกับหิน เพราะทางขึ้นลงมี แค่เชือก 1 เส้นเท่านั้น

ระยะทางประมาณ 500 เมตรซึ่งก็ไม่ได้ไกลมาก แต่ค่อนข้างชัน ผมเดินไปถึงแค่จุด 200 เมตร แล้วไม่กล้างเสี่ยงไปต่อ

วิวจากจุด 100 เมตร

วิวจากจุด 200 เมตรก็นับว่าคุ้มที่พยายามเดินขึ้นมาแล้วครับ ใจอยากไปให้ถึง 500 เมตร แต่ไม่กล้างจริงๆ คงต้องกลับมาใหม่อีกครับ

หลังจากกลับลงมา ผมก็แอบไปเดิน ชายหาดของเกาะวัวตาหลับ นิดหน่อย ทรายนุ่มมากครับ ถ้าใครเคยไป เกาะตาชัย แล้ว ทรายที่นี่จะหยาบกว่านิดเดียวครับ

เรือที่เห็นอยู่นี่คล้ายๆกับเรือของพี่แดงครับ แต่พี่แดงแกไปทำหลังค่ให้ ก็จะไม่โดนแดด ตอนเที่ยง เท่านั้น!

เกาะนี้เป็นเกาะสุดท้ายในทริปหมู่เกาะอ่างทองครับ พวกเราเดินทางกลับไปยังที่พักซึ่งใช้เวลาอยู่เหมือนกันประมาณ 1.45 ชม. ตอนแรกผมก็คิดว่าจะหลับเหมือนขามาแต่ ... คื่นลมแรงมากครับถึงขั้นกลัวนิดๆเลย แต่เราก็มาถึงที่พักอย่างปลอดภัย

เมื่อมาถึงที่พัก ... ประมาณ 5 โมงเย็น (แต่ไม่ได้พัก) เราเช่าเรือคายัก ของทางรีสอร์ท ออกไปพาย ทีแรกว่าจะไปเกาะกล้วย ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ แต่คลืนลมแรงมากครับ เลยพายได้แค่หน้าที่พัก พายเท่าไหร่ก็ไม่ไปไหนเลย คลื่นพัดเรากลับเข้าฝั่ง ก็เลยหยุดแต่เพียงเท่านี้ หลังจากนั้นก็อาบน้ำทานข้าว แล้วเข้านอน วันนี้เราเข้านอนกันเร็วครับ เพราะเหนื่อยจากการไปเที่ยวเกาะมา

6.00 น. เสียงเพลงเดิมดังขึ้นครั้งนี้ผมรีบไปอาบนำ้เลยครับ เพราะรถของทางรีสอร์ทจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือเวลา 6.45 น. ซึ่งเรือจะออก 7.00 น. ก่อนกลับผมก็ไม่ลืมที่จะไปเก็บภาพนกเงือก หรือ นกแก๊ก ที่บินลงมากินลูกยอ แถวรีสอร์ท

ผมแบกกระเป๋าขึ้นหลังรถ Limousine แต่ครั้งนี่นั้ง ตอนท้ายแบบ Open-air ครับ สูดอากาศบริสุทธิ์ครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นเรือ

บางคนคงคิดว่าผมคงไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ไม่ครับ ผมจะกลับมาอีก ถ้ามีโอกาส เรือถึงฝั่งประมาณ 9 โมงกว่าๆ พวกเรามีโปรแกรมไปชิวๆ ที่สมุยต่อ แต่ผมคงไม่ขอเล่าละกันครับ จบที่ความนิ่งเงียบของทะเลอ่าวไทยยามเช้าดีกว่า ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังใหม่น่ะครับ

ถ้าต้องการไปสัมผัสธรรมชาติ เกาะพะลวย เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าไปครับ การเดินทางอาจจะลำบาคนิดหน่อย แต่ความสุข เยอะกว่าแน่นอนครับ

My journey

 วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.17 น.

ความคิดเห็น