ถ้าพูดถึงเกาะสวยๆ ที่น่าไปของจังหวัดตรัง หลายคนคงจะนึกถึงเกาะกระดาน เกาะรอก เกาะมุก เกาะไหง แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักเกาะเหลาเหลียง แม้แต่คนตรังเองยังถามเลยว่า มันอยู่ตรงไหน

และนี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนอยากจะไปรู้จักเกาะเหลาเหลียงให้มากขึ้น ด้วยการจอง Package ของ Laoliang Beach & เกาะเหลาเหลียง ในราคาโปรโมชั่น " วันธรรมดาเที่ยวสบาย " Package B เต็นท์ Sea View Camping 3 วัน 2 คืน ราคา 5,500 บาท /คน

แล้วลากเพื่อนอีก 2 คน ไปติดเกาะด้วย (ชวนเพื่อนไปลำบาก 555)

แค่รู้ว่าต้องนอนเต็นท์ ก็รู้สึกสนุกแล้ว งั้นเราเดินทางกันเลยดีกว่า

ปล. ทริปนี้ผู้เขียนใช้กล้อง iphone 5sในการถ่ายรูปจ้า


Day 1 29 Mar 2016

หลังจากเจ้าหน้าที่มารับเพื่อน 1 คนที่สนามบินจังหวัดตรังในช่วงเวลา 9 โมงเช้า ก็มารับเราสองคนที่ปากทางเข้าสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดตรัง ด้วยรถโตโยต้า อินโนวา สีขาว นั่งสบายเลย มีแค่ 3 คน คนที่ขับรถมารับเราสามคนชื่อพี่สมพงษ์ค่ะ อัธยาศัยดีมาก พวกเราได้ถามถึงหมูย่างว่าเจ้าไหนอร่อย เพราะอยากจะซื้อตอนขากลับ พี่สมพงษ์จึงพาไปชิมหมูย่างที่ร้านบัวบก เลยซื้อมากินในรถ 3 ขีด ราคา 120 บาท ให้เค้าสับหมูเป็นชิ้นๆ หยิบกินง่าย อร่อยดี รสชาติออกหวานนิดๆ มีกลิ่นของเครื่องเทศ เราคุยกันว่าจะโทรสั่งแล้วไปรับตอนกลับ จึงขอนามบัตรร้านไว้

พอเห็นหมูย่างก็นึกขึ้นได้ว่า ทางที่พักเค้าห้ามนำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิดขึ้นไปบนเกาะ เลยถามพี่สมพงษ์ว่าเป็นเพราะอะไรพี่เขาเล่าให้ฟังว่า ใครที่นำเนื้อหมูขึ้นไปบนเกาะ จะเกิดเรื่องไม่ดีกับคนนั้นทุกคน ท่านเจ้าที่บนเกาะเป็นอิสลาม ท่านไม่อนุญาต พวกเราสามคนกำลังเคี้ยวหมูตุ้ยๆ พลอยเคี้ยวไม่ลงเลยทีเดียว แต่ก็ยังถามติดตลก หมูอยู่ในกระเพาะจะเป็นไรไหมคะ 555

จากตัวเมืองตรังเรามุ่งหน้าไปยังท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ อ.หาดสำราญ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ถ้ามาเองบอกเลยว่า มาไม่ถูกค่ะ ทางซับซ้อนมาก ป้ายบอกทางไม่ค่อยมีด้วย เมื่อไปถึงท่าเรือ เรายังมีเวลาพักเข้าห้องน้ำ นั่งเล่น รอเวลาเรือออกประมาณ 11.30 น.



เรือที่ใช้เดินทางเป็นเรือหางยาวที่สามารถบรรจุผู้โดยสารสูงสุดประมาณ 15 คน นอกจากนี้เขายังขนของ เช่น ถังน้ำดื่ม วัตถุดิบ ของใช้ต่างๆ บริเวณที่นั่งมีที่บังแดดทั้งส่วนหลังคาและด้านข้าง ไม่ต้องกลัวแดดเผาระหว่างนั่งเรือ


อากาศวันนี้แดดดีมาก มองไปเบื้องหน้าของเรือแทบจะลืมตาไม่ขึ้น คลื่นลมทะเลแรงมาก เรือแล่นปะทะคลื่นลูกใหญ่จนตัวเรือโคลงเคลงไปมาตลอดทาง ทำเอาเวียนหัวมิใช่น้อย ต้องอาศัยหลับตาตลอดทางเช่นกัน ถ้าใครเมาเรือง่าย แนะนำกินยาดักไว้ก็ดีค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงเกาะ


มีเจ้าหน้าที่ถือถาดน้ำมะม่วงแก้วเล็กมาต้อนรับพวกเรา ดื่มแล้วอร่อยมากกก สดชื่นจริงๆ แก้เวียนหัวได้ดีทีเดียว (ตอนหลังรู้ยี่ห้อแล้วเป็นน้ำมะม่วงของ UFC กล่องสีดำนะจ๊ะ) เราเอากระเป๋าไปเก็บที่เต็นท์ แล้วเดินไปทานข้าวกลางวันที่สวัสดิการ ถือเป็นมื้อที่ 1 ที่รวมในแพ็คเกจโดยเริ่มตั้งอาหารกลางวันตั้งแต่เวลา 11.30 – 14.00 น. กว่าเราจะได้ทานก็บ่ายโมงแล้วค่ะ นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆทานกันหมดแล้ว เมนูมื้อนี้มีกุ้ง+ปลาหมึกผัดพริกหยวก กับ แกงจืดฟัก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย อาหารเหลือเฉพาะเราสามคน


เกาะที่เราพักอาศัยอยู่นั้นเรียกว่า "เกาะเหลาเหลียงน้อย" ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่ใหญ่มีชายหาดเพียงหาดเดียว แต่ก็กว้างพอสมควร เราสามารถเดินไปทานข้าว นั่งเล่นที่บาร์ เข้าห้องน้ำ นอนเต็นท์ ปืนหน้าผา เล่นน้ำหน้าหาด ด้วยเท้าเปล่าได้สบายๆ


ด้วยที่แห่งนี้จะมีไฟฟ้าเฉพาะกลางคืนและยามเช้าเท่านั้น ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อย ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าแทบไม่เห็น มีเพียงพัดลมเท่านั้น ชีวิตการพักผ่อนจึงอยู่นอกเต็นท์ซะส่วนใหญ่ ใช้ชีวิตแบบคนติดเกาะของแท้เลย


กิจกรรมของคนติดเกาะ มีไม่กี่อย่าง คุณสามารถพายเรือคายัค (คิดชั่วโมงละ 200 บาท) ดำน้ำตื้นดูปะการัง ปลานีโม่ ที่หาดหน้าเต็นท์ (ยืมอุปกรณ์สน็อคเกิ้ลฟรี) แนะนำให้ลงน้ำช่วงสายๆ ช่วงแดดแรงๆน้ำจะใสมาก เห็นชัด ถ้าสี่โมงเย็นไปแล้วแดดเริ่มหุบ จะไม่ค่อยเห็นค่ะ ที่ด้านหน้าหาดเราสามารถยืมเสื่อปูนอน อ่านหนังสือได้นะคะ หรือที่หน้าสวัสดิการจะมีที่นอนเล่นพักผ่อน แล้วไปจิบน้ำอัดลมเย็นๆที่บาร์ก็ได้เช่นกันค่ะ เราสามคนชอบปาร์ตี้โค้กทุกวันที่อยู่ที่นั่นเลย (ล่อไปคนละ 4 กระป๋อง ใน 3 วัน แล้วก็มาบ่นว่าอ้วน 555) น้ำอัดลมกระป๋องละ 30 บาท (กระป๋องเล็ก) โดยเราจะจดรายการซื้อไว้ที่สมุด แล้วค่อยมาจ่ายทีเดียววันกลับ รวมกับค่าที่พักส่วนที่เหลือจากมัดจำ


ที่นี่มีการจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกิน 50 คน ต่อวัน (ถ้าเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาว รับเต็มที่ประมาณ 100 คน) มีเต็นท์ทั้งแบบนอน 2 คน และ 3 คน รวมประมาณ 25 เต็นท์ ภายในเต็นท์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือมีที่นอนกับที่นั่งเล่น ซึ่งมีโต๊ะ โคมไฟ พัดลม น้ำดื่ม ไม่แออัดค่ะ ถ้ามองภายนอกเต็นท์อาจจะดูสกปรก แต่ข้างในสะอาดนะ เค้ามีผ้าเช็ดตัวให้คนละผืน ของใช้ส่วนตัว เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน ให้นำมาเองนะจ๊ะ ส่วนปลั๊กไฟมีแค่ 2 รูเสียบเท่านั้น (แบบ 2 ขา) ต้องบริหารแบตมือถือให้ดีๆ เพราะอย่าลืมว่ากลางคืนเราต้องเสียบพัดลมด้วย ช่วงกลางวันบอกเลยว่า ร้อนมากกกก อยู่ในเต็นท์ไม่ได้ ออกข้างนอกกันเถอะจ่ะ


ห้องน้ำเป็นแบบรวม แยกชาย-หญิง ทำด้วยไม้หลังคามุงจาก มีแยกห้องอาบน้ำและห้องส้วม แถมยังแยกส่วนอ่างล้างหน้า-กระจกด้วยค่ะ ภายในห้องน้ำแต่ละห้องจะมืดหน่อยนะคะ เพราะไม่มีไฟฟ้าในช่วงกลางวันแต่สะอาด ถ้าไม่สบายใจใส่รองเท้าแตะอาบได้เลย ด้วยที่เกาะแห่งนี้ไม่มีแหล่งน้ำจืด จึงต้องขนน้ำจากบนฝั่งขึ้นมาที่เกาะ ฉะนั้นควรช่วยกันประหยัดน้ำ ถ้าใครเกรงว่าใบหน้าจะแพ้น้ำ ก็นำน้ำดื่มมาเองได้ เพื่อความสบายใจของใบหน้าเราเนอะ


โปรแกรมของวันแรก หลังจากทานข้าวกลางวันแล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัยเลยค่ะ พวกเราก็เลยถ่ายรูป นอนเล่นที่เปล ปาร์ตี้โค้ก เม้าส์มอยกันไปเรื่อยเปื่อย จนสี่โมงเย็นพวกเราจึงไปเล่นน้ำกัน



ในช่วงสี่โมงเย็นนี่เองจะมีกิจกรรมปีนหน้าผา ซึ่งถ้าใครซื้อแพคเกจ B สามารถปีนได้ฟรี หรือซื้อเพิ่ม 300 บาท (รวมอุปกรณ์แล้ว) ส่วนใหญ่จะเห็นฝรั่งปีนเป็นคู่ๆ ลอยตัวอยู่ในทะเลแล้วมองดูเขาปีนผาก็เพลินดีนะ (ไม่ได้ถ่ายมาให้ดู มัวแต่มองเพลินนี่แหละ อิอิ)


สักห้าโมงกว่า เราก็ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว เพราะไม่อยากอาบตอนมืด ความจริงแล้วไม่ควรเล่นจนเย็นเพราะอาจจะโดนปลากระเบนพันธุ์เล็กตำขาเราได้ ถ้าโดนแล้วจะเจ็บปวดมากค่ะ ถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว การอาบน้ำที่นี่ต้องใจเย็นๆนะคะ เพราะน้ำจากฝักบัวไหลเอื่อยมาก (ตอนถูสบู่ ถูไปเหอะกว่าจะหมด 555) คิดซะว่ามาสโลว์ไลฟ์เนอะ

อาหารมื้อเย็นเริ่มตั้งเวลา 19.00 น. เมนูมีแกงเขียวหวาน ปลาทอดผัดผักกาดดอง ผัดผักรวม แล้วอีกอย่างหนึ่งจำไม่ได้ ^^" ส่วนของหวาน มีแตงโม สับปะรด และ ฟักทองเชื่อม ก่อนที่พวกเราขึ้นเรือ พี่สมพงษ์แนะนำให้สั่งปูม้า พี่เขาการันตีว่าของสด อร่อยมาก พวกเราก็สนใจคิดว่าจะลองสั่ง 1 กิโลฯ ราคา 400 บาท แต่พี่สมพงษ์สั่งไป 2 กิโลฯ แล้วไปรับปูที่นึ่งเสร็จแล้วที่ท่าเรือ ขนเดินทางมาด้วยกัน จ่ายค่าปูกับพี่สมพงษ์ได้เลยค่ะ ( 2 กิโลฯ 800 บาท) พวกเราตั้งใจเก็บไว้กินมื้อเย็น ตอนแรกก็เกรงว่าจะกินไม่หมด ที่ไหนได้เกลี้ยงค่ะ 555+ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่ทางที่พักทำไว้ให้ฟรี ฟินมากกก เนื้อปูสดหวาน อร่อยตายไปเลย อร่อยจนลืมถ่ายรูป อิอิ ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องกลัวว่าปูจะชืดนะจ๊ะ แม่ครัวจะอุ่นให้ก่อนมาเสิร์ฟส่วนกับข้าวต่างๆเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อร่อยทุกอย่างเลย แม้แต่ฟักทองเชื่อม เจริญอาหารสุดๆ

ช่วงสองทุ่มครึ่ง จะมีกิจกรรมไปดูปูแม่ไก่ ซึ่งเป็นปูที่หาดูได้ยาก มีให้เห็นไม่กี่เกาะเท่านั้น พวกเราไม่เคยเห็นปูแม่ไก่เลย ไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร มีไกด์ผู้ชายที่ชื่อ น้องนุ้ย เป็นผู้นำทางไป โดยเราจะเดินไปดูทางด้านหลังของเต็นท์และห้องน้ำ ซึ่งตรงนั้นเป็นภูเขา มีโพรง มีถ้ำ น้องนุ้ยบอกว่า ปูแม่ไก่ชอบอยู่ในโพรง ในถ้ำ ชอบอยู่ที่มืด มันจะชอบออกหากินในเวลากลางดึก นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ยังมีกลุ่มครอบครัวคนไทยประมาณ 6 คน ที่มาร่วมหาปูแม่ไก่ด้วย แต่ด้วยที่มากันหลายคน คุยกันเสียงดัง ทำให้พวกเราไม่เห็นปูแม่ไก่แม้แต่ตัวเดียว (ผิดหวังอ่ะ) เห็นแต่เพียงปูเสฉวนชวนกันออกมากินน้ำใต้หินย้อย ยังดีที่ได้เห็นหินย้อยที่งดงามมาก เมื่อเราส่องแสงไฟ จะเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร จะเห็นเฉพาะกลางคืนเท่านั้น มหัศจรรย์มากๆทั้งที่ไม่ได้เป็นถ้ำลึกอะไร ถ่ายมารูปอาจไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่อยากให้เห็นจริงๆ เมื่อไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นปูแม่ไก่ จึงเดินออกไปยังชายหาด น้ำลดลงไปมาก ปูลมเล็กใหญ่ออกมาวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เมื่อแหงนหน้าไปบนท้องฟ้า มีดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับ บอกตรงๆเลยว่า ไม่เคยเห็นดวงดาวมากมายบนเกาะเช่นนี้มาก่อนเลย มันชัดเจนมากราวกับว่าท้องฟ้าอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง ถ้าใครมาฮันนีมูนที่นี่ โรแมนติกน่าดู บรรยากาศเป็นใจสุดๆ เราสามคนได้แต่แหงนหน้ามองเคลิ้มไปกับดวงดาว 555+


ค่ำคืนนี้อากาศร้อนเหลือเกิน ตัวเหนียวด้วย บรรยากาศรอบๆมืดมาก มีแสงไฟแค่บางจุดเท่านั้น ไม่คุ้นเลย T_T ยังไม่ง่วงด้วย เล่นมือถือไปสักพัก หันไปอีกทีเพื่อนสองคนหลับซะแระ เหลือแต่เราต้องปิดไฟสินะ พอปิดปุ๊บ มืดกว่าเดิมอี๊กกกก แอบกลัวววว เห็นอะไรก็แอบหลอนไปหมด ข่มหลับตานอน

ราตรีสวัสดิ์ บรึ๋ยยยยย


Day 2 30 Mar 2016

อรุณสวัสดิ์ ตื่นมาทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี ยามเช้าเช่นนี้อากาศดีมากๆเลย เค้าเริ่มตั้งอาหารเช้าเวลา 07.30 น. เป็นเมนูง่ายๆ เช่น ออมเลต ไข่ดาว แพนเค้ก ขนมปังปิ้ง ซีเรียล+นมสด ชา กาแฟ โอวัลติน



พอถึงเวลา 9 โมงเช้า เริ่มโปรแกรมออกไปดำน้ำตื้นด้วยเรือหางยาว เราไปกันแค่สามคน เอ็กซ์คลูซีฟมากๆ โดยเราจะไปที่เกาะตะเกียงก่อน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที แต่ด้วยคลื่นทะเลแรงมาก พี่ไกด์เลยไม่ให้ลง วนเรือกลับค่ะ อย่างที่บอกไปว่าคลื่นแรงมาก นั่งเรือเซไปเซมา โดนน้ำทะเลสาดเข้ามาในเรืออย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งเล่นน้ำสงกรานต์กัน ยังไม่ทันลงไปดำน้ำ ก็เปียกแล้ว ถ้าใครเมาเรือง่าย เตรียมรับมือไว้ด้วยนะ การนั่งหลับตาแล้วฮัมเพลงที่ชอบก็ช่วยได้ทีเดียว เพลินๆ


เราได้ลงดำน้ำตื้นจุดแรกที่หลังเกาะเหลาเหลียงพี่ น้ำแรงนิดหน่อย วันนี้น้ำขุ่นมองเห็นไม่ค่อยชัด พี่ไกด์นำพาพวกเราสามคนไปยังจุดที่มีปะการังสี ซึ่งมีอยู่นิดๆหน่อยๆ ตรงนี้ไรทะเลค่อนข้างเยอะ ขนาดใส่แขนยาวยังรู้สึกแสบๆคันๆยิบๆ หลังจากจุดนี้เราจะไปที่หน้าหาดของเกาะเหลาเหลียงพี่กัน

" เกาะเหลาเหลียงพี่ "เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ทางซ้ายของเกาะเหลาเหลียงน้อง(ถ้ามองจากตอนเรานั่งเรือขามาที่เกาะเหลาเหลียงน้อง) หรืออยู่ทางทิศใต้ของเกาะเหลาเหลียงน้อง ซึ่งอยู่ใกล้กันมาก ใช้เรือหางยาวเดินทาง 5 นาทีก็ถึงแล้ว เป็นเกาะที่ห้ามก่อสร้างสิ่งใดๆในที่นี้เด็ดขาด อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา แต่เราสามารถแวะมาท่องเที่ยวที่นี่ได้


ไฮไลท์ของที่นี่คือ มีมุมชายหาดที่ทรายละเอียด เหยียบได้เต็มผืน ไม่ต้องกลัวเปลือกหอย เศษหินให้เจ็บเท้า มีวิวภูเขาตั้งตระหง่านเหนือผืนทะเลที่ใสราวกระจก เมื่อเห็นแล้วต้องว้าวทันที อดถ่ายรูปไม่ได้เลยนอกจากนี้ยังมีถ้ำ ให้ขึ้นไปชมวิวบนหินสูงได้ภาพ silhouette เก๋ๆไปอีกแบบแต่สำหรับคนขาสั้นอย่างเราๆอาจลำบากสักหน่อย โชคดีที่พี่ไกด์แข็งแรงมาก ดึงมือเดียวพาเราขึ้นไปได้ สุดยอดดด แต่ตอนลงแอบลำบาก ต้องค่อยๆลง มิงั้นอาจได้แผล ถ้าเราโชคดีหน่อย อาจจะได้เห็นปลาดาวพันธุ์มงกุฏมานอนอาบแดดสวยๆ แต่วันนั้นไม่เจอพี่ปลาดาวสักตัว งอนนน กลับไปดูปลานีโมหน้าเต็นท์เราดีกว่าาา


พวกเราอยู่ที่เกาะเหลาเหลียงพี่ไม่นานมาก ก็กลับมาที่เกาะเหลาเหลียงน้อย เพื่อไปดำน้ำตื้นดูปลานีโม่หน้าหาดกันค่ะ ได้พี่ไกด์นำพาไปดู ที่นี่น้ำใสกว่า เป็นช่วงที่แดดจัดพอดี มีปะการังและฝูงปลาเยอะกว่าที่เกาะเหลาเหลียงพี่ แถมยังได้ดูปลานีโม่กับดอกไม้ทะเลอีกด้วย พวกเราใช้เวลาชมความงามโลกใต้ทะเลเป็นชั่วโมง เพลินมาก แนะนำให้ดำน้ำช่วงสายๆหรือช่วงเที่ยง ถ้าหลังบ่ายสามโมงไปแล้ว แดดจะเริ่มน้อย น้ำจะขุ่นขึ้น ทำให้มองเห็นไม่ชัด ***ควรดำน้ำแค่ในเขตที่กั้นเอาไว้ ถ้าจะไปนอกเขตควรมีไกด์ไปด้วย เพราะที่นี่มีปลาไหลมอเรย์ อาจจะไปรบกวนเขาแล้วโดนกัดเอาได้

หลังจากดำน้ำเสร็จ พวกเราก็ไปกินข้าวเลย หิววว 555+ เมนูวันนี้มีกระเพราะกุ้งปลาหมึก เข้มข้น อร่ยมาก ช่วงบ่ายนี้ตามอัธยาศัยเลยจ้า พวกเราพอกินข้าวเสร็จก็ไปอาบน้ำ แล้วมานั่งปาร์ตี้โค้กใกล้ๆบาร์ เม้าส์มอยไปเรื่อย เพลินๆ ดูเวลาอีกที จะสี่โมงแล้ว เตรียมไปเปลี่ยนชุดเล่นน้ำอีกรอบ วิถีติดเกาะ 555+


เมนูของค่ำคืนนี้มีผัดเปรี้ยวหวานหมึกกุ้ง มัสมันไก่ ปลาจ้องม่องทอด ใบเหลียงผัดไข่ ของหวานมีมันเชื่อมค่ะ และเรามีเมนูพิเศษด้วย เรื่องของเรื่องคือว่า เมื่อตอนเที่ยงบ่นกันว่าอยากกินปูม้าอีก และก็ได้รู้มาว่า จะมีเรือเข้ามาอีกรอบตอนบ่ายสาม ไม่รอช้ารีบสั่งเค้าไว้เลยค่ะ 2 กิโลฯ เหมือนเดิม งานนี้เราหมดไปกับปู 1600 บาทแล้วค่ะ เลยต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย 555+ ปล.น้ำจิ้มอร่อยเหมือนเดิม


หลายคนคงจะสงสัยว่าปลาจ้องม่องคือปลาอะไรหว่า ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้ว่าปลาที่เรากินเข้าไปเนี่ยมันคือปลาอะไร เลยถามน้องนุ้ย(ไกด์พาไปดูปูแม่ไก่) ก็ได้คำตอบว่า เป็นปลากระเบนเล็ก ชอบขึ้นมาน้ำตื้นเวลาใกล้พลบค่ำ เคยมีเด็กฝรั่งถูกหางปลากระเบนชนิดนี้ทิ่มที่ขา ร้องด้วยความเจ็บปวดจนต้องไปส่งโรงพยาบาลในช่วงค่ำ เพราะฉะนั้นไม่ควรเล่นน้ำจนเย็นเกินไป น่ากลัวค่ะ

กิจกรรมคืนนี้เรามีนัดกับน้องนุ้ยตอนสามทุ่ม เพื่อไปดูปูแม่ไก่อีกรอบ แต่คราวนี้เราไม่มีกรุ๊ปอื่นมาจอยด้วย ได้ไปแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ เพราะถ้าไปกันหลายคน เสียงดัง ทำให้ปูแม่ไก่ไม่โผล่ออกมาให้เห็น พวกนางไม่ชอบเสียงดัง แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ เราสามคนได้เห็นขาของปูแม่ไก่อยู่ในรูถ้ำเล็กๆที่อยู่บนพื้น หน้าเราแทบจะนาบกับพื้นเพื่อตะแคงมอง แต่เห็นแค่ขาเท่านั้น สงสัยจะกลัวเราแหละ เลยไม่ได้เห็นหน้าตาของปูแม่ไก่สักที

พวกเราจึงเดินกันต่อไป เพียงไม่ถึง 1 นาที น้องนุ้ยเรียกเราสามคน มือก็แกว่งไฟฉายถี่ๆไปที่รูหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่ารูที่แล้ว เฮ้ย! นั่นมันปูแม่ไก่นี่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นปูแม่ไก่ก็ตาม แต่สัญชาติญาณ(ที่เดาเอาเอง)บอกว่ามันใช่

การเห็นปูแม่ไก่ตัวที่ 2 นี้ ได้เห็นรูปร่างของปูเพิ่มขึ้น จากตัวแรกที่เราเห็นเพียงแค่ขา น้องนุ้ยบอกว่า นี่ตัวผู้ เราก็พยายามมองดูว่าตัวผู้มันเป็นยังไง แต่เจ้าปูมันเหมือนจะรู้ว่าถูกจับตามอง ก็หลบหายเข้าไป

โถ่....ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย

น้องนุ้ยบอกว่า ไม่ได้ถ่ายรูปหรอก เพราะปูชอบอยู่ในรู แค่ได้เห็นก็ดีแล้ว

พวกเราเดินต่อไป ก็พบปูแม่ไก่ในสภาพขาขาดไปหนึ่งด้าน เดินอยู่บนพื้นทรายข้างๆเขาหิน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราสามคนได้เห็นปูแม่ไก่แบบเต็มตา ชัดๆ ใกล้ชิดขนาดนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้สัมผัสผิวของปูแม่ไก่ เนื้อผิวสัมผัสของมันจะคล้ายๆหินด้านๆ ลื่นๆ คงเป็นเพราะให้กลมกลืนกับธรรมชาติที่มันอาศัยอยู่ น้องนุ้ยบอกว่า นี่เป็นตัวเมีย เลยถามกลับไปว่า ตัวผู้ ตัวเมีย ต่างกันตรงไหน ดูยังไงหรอ ก็ได้คำตอบมาว่า ตัวผู้ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า ตัวเมียที่เราเห็น ไม่ต้องตกใจ คงโดนอะไรทับมา แต่เดี๋ยวขาจะงอกขึ้นใหม่ ดีจัง มีงอกใหม่ด้วย น้องนุ้ยยังบอกอีกว่า พวกเราสามคนโชคดีมากที่ได้เห็นถึง 3 ตัว ในคืนเดียว เพราะโดยปกติจะเห็นแค่คืนละตัวเท่านั้น เราปิดท้ายทัวร์ของคืนนี้ด้วยการไปยืนดูดาวที่ริมทะเล ปูลมยังคงวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ดวงดาวยังคงส่องแสงระยิบระยับ เพียงแต่คืนนี้มาน้อยกว่าคืนแรก แต่อย่างน้อยก็ยังเห็นดาวพระศุกร์มองเราอยู่


Day 3 31 Mar 2016

วันนี้เราตั้งใจจะถ่ายรูปเล่นหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เวลาก็ยังเหลืออีกมาก พวกเราใช้เวลาตรงนี้ในการถ่ายรูป นอนเล่น ดูวิวทะเล อ่านหนังสือ เม้าส์กันไปเรื่อยที่หน้าเต็นท์ เราไปขอยืมเสื่อมาปูนอน เหมือนกับมาปิคนิกริมทะเล ทุกอย่างที่นี่เงียบสงบ ถ้าไม่นับเสียงพวกเราและเสียงลม สมองผ่อนคลาย จิตก็เบา ความสุขอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง จะเรียกธรรมชาติหรือทะเลบำบัดก็ไม่ผิดนัก อัสดงส่องแสงกระทบผิวทะเลระยิบระยับ ราวกับจะจุดประกายความหวัง กำลังใจ นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ธรรมชาติมอบให้เรา


มื้อเที่ยงสุดท้ายของวันนี้ เป็นเมนูเดียวกับมื้อเที่ยงของวันแรก มีเรือมาส่งของพอดีทำให้เราได้ปาร์ตี้โค้กอีกครั้งก่อนลา เนื่องจากเมื่อคืนน้ำแข็งหมด พวกเราต้องการของเย็นๆอยู่บ่อยๆ ความรู้สึกเริ่มประหลาด นี่เราจะกลับแล้วหรือ ตอนที่เจ้าหน้าที่เรียกให้พวกเราไปขึ้นเรือ รู้สึกหวิวๆในใจ แต่ใช่ว่าจะได้ไปทันที เพราะอยู่ๆเรือดันเสียขึ้นมา ยังซ่อมไม่ได้ในตอนนั้น แอบคิดในใจ หรือว่าเรายังไม่ได้ลาท่านเจ้าที่ สุดท้ายก็ย้ายมานั่งเรืออีกลำ ซึ่งเปิดผ้าใบด้านข้าง ทำให้ลมเข้ามาเต็มที่ ให้ลมหอบพาเรากลับบ้าน


เราสามคนไปอำลาทริปนี้ที่ร้าน ริชชี่ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เคยมาเมื่อครั้งที่แล้ว ที่นี่มีทั้งอาหารและเค้ก แถมติดแอร์เย็นๆด้วย รสชาติอร่อย พวกเราอยู่ที่นี่ชั่วโมงเศษๆ แล้วแยกย้ายกันกลับไปด้วยความทรงจำดีๆ


เกาะเหลาเหลียงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อน อยู่กับธรรมชาติจริงๆ เพราะที่นี่เงียบสงบมาก คนไม่วุ่นวาย ได้อยู่กับธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยามหลับและยามตื่น คุณจะได้พักผ่อนจริงๆ ชาร์จแบตร่างกายและจิตใจได้เต็มที่ ถ้าใครติดแอร์มากๆ ขี้ร้อนสุดๆ ติดความสบาย อาจจะไม่ชอบ ขอบอกตรงๆว่าร้อนค่ะ ความสะดวกสบายมีน้อย แต่คนที่ชอบธรรมชาติเขาก็อยู่ได้ และมีความสุขมาก มันได้อย่างเสียอย่าง อยู่ที่ใจคุณว่า สู้หรือเปล่า..... (ร้องเป็นเพลง ) แต่ถ้าคุณอยู่ได้ บอกได้เลยว่าจะไม่ผิดหวังค่ะ

-End-

เรื่องโดย แมวเพ้อเจ้อ



เรามาดูรายละเอียดโปรแกรมของแต่ละแพ็คเกจกันดีกว่า (ราคาปกติ)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Package A เที่ยวเกาะดูปะการัง (2 วัน 1 คืน)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 1

09:00 น. รถรับที่ บขส.ตรัง. สถานีรถไฟตรัง. สนามบินตรัง.

10.30 น. เดินทางออกจากเมืองตรัง มุ่งสู่ท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

11.30 น. ออกจากท่าเรือปากปรน-หาดสำราญมุ่งสู่เกาะเหลาเหลียงด้วยเรือหางยาว 15 ที่นั่ง

12:30 น. ถึงที่พัก พร้อมรับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 1)

13:30 น. Check In เก็บสำภาระเข้าที่พัก

- ดำน้ำตื้น ชมปะการัง และฝูงปลาหน้าที่พัก (บริการฟรี)

- พายเรือคายัคชมบรรยากาศรอบเกาะ (ชำระเพิ่ม)

- ทดลองปีนผาจริง เวลา 15:30 น. (ชำระเพิ่ม)

19:00 น. รับประทานอาหารมื้อค่ำ ที่ร้านอาหาร แบบบุฟเฟ่ต์ (มื้อที่ 2)

20.30 น. พร้อมกันที่ร้านอาหาร เจ้าหน้าที่พาเที่ยวชมปูแม่ไก่ ที่หาชมได้ยาก

21:00 น. พักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ อากาศเย็นสบายริมทะเล นั่งดื่มเครื่องดื่มได้ที่บาร์ริมชายหาด

วันที่ 2

07:30 น. รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่ 3)

09:00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย (ทางเกาะมีทริปดำน้ำตื้น เกาะเหลาเหลียงพี่ เกาะเหลาเหลียงน้อง สามารถจองเพิ่มเติมได้ ท่านละ 500 บาท เวลา 9.00 - 11.00 น.)

11:00 น. Check Out

11:30 น. รับประทานอาหารกลางวันบนเกาะ (มื้อที่ 4)

12:30 น. ออกเดินทางกลับสู่ท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

13:30 น. ถึงท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

14:30 น. ส่งนักท่องเที่ยวตามจุดหมาย เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ


ราคาแพ็คเกจ (ต่อท่าน)

แบบ A

- เต็นท์ไม่ sea view3,500 บาท

- เต็นท์ sea view4,000 บาท

* เด็กอายุ 1-2 ขวบ เดินทางฟรี เด็ก อายุ 3-9 ขวบ ลด 40 % 10-12 ขวบ ลด 25% และพักที่นอนเตียงเสริมกับผู้ปกครอง *

** ทางเราขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโปรแกรมตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ **


กิจกรรมที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม *

- เดินไต่ผาขึ้นสู่จุดชมวิวทะเล

- ตกปลาหน้าหาด (อุปกรณ์นำมาเอง)

- ดำน้ำชมปะการังหน้าหาด (มีหน้ากากและ ท่อหายใจให้ใช้ฟรี)


ค่าใช้จ่ายตามแพ็คเกจ

รวมที่พักแบบ Sea Camping 1 คืน , อาหารเช้า 1 มื้อ , อาหารเย็น 1 มื้อ , อาหารกลางวัน 2 มื้อ , รถรับส่งจากสถานีขนส่ง , สถานีรถไฟ , สนามบิน , เรือรับส่งจากท่าเรือหาดสำราญ , หน้ากากและท่อหายใจสำหรับดำน้ำตื้นตลอดทริป , น้ำดื่ม ชา กาแฟ และโอวัลติน บริการตลอด

ค่าใช้จ่ายกิจกรรมเพิ่มเติมนอกแพ็คเกจ

- พักเพิ่ม พร้อมอาหาร 4 มื้อท่านละ 1,700 บาทต่อคืน (พักเต็นท์ละ 2 ท่าน)

- เต็นท์ sea view เพิ่มท่านละ 500 บาท

- ดำน้ำตื้นที่เกาะเหลาเหลียงพี่ เกาะเหลาเหลียงน้อง ท่านละ 500 บาท

- เช่าเรือคายัคชั่วโมงละ 200 บาท

- ทดลองปีนผา 1 เส้นทาง 300 บาท

- กรณีต้องการเดินทางไม่ตรงกับรอบเรือที่จัดให้ตามแพ็คเกจ กรุณาติดต่อเช่าเรือเพื่อเดินทางเป็นกรณีพิเศษ

- กรณีรับ-ส่งที่ สนามบินกระบี่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Package B เที่ยวเกาะดูปะการัง (3 วัน 2 คืน)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 1

09:00 น. รถรับที่ บขส.ตรัง. สถานีรถไฟตรัง. สนามบินตรัง.

10.30 น. เดินทางออกจากเมืองตรัง มุ่งสู่ท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

11.30 น. ออกจากท่าเรือปากปรน-หาดสำราญมุ่งสู่เกาะเหลาเหลียงด้วยเรือหางยาว 15 ที่นั่ง

12:30 น. ถึงที่พัก พร้อมรับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 1)

13:30 น. Check In เก็บสำภาระเข้าที่พัก

- ดำน้ำตื้น ชมปะการัง และฝูงปลาหน้าที่พัก (บริการฟรี)

- พายเรือคายัคชมบรรยากาศรอบเกาะ (ชำระเพิ่ม)

15:30 น. พบความตื่นเต้นและท้าทาย กับการทดลองหน้าปีนผาจริง (รวมอุปกรณ์)

19:00 น. รับประทานอาหารมื้อค่ำ ที่ร้านอาหาร แบบบุฟเฟ่ต์ (มื้อที่ 2)

20.30 น. พร้อมกันที่ร้านอาหาร เจ้าหน้าที่พาเที่ยวชมปูแม่ไก่ ที่หาชมได้ยาก

21:00 น. พักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ อากาศเย็นสบายริมทะเล นั่งดื่มเครื่องดื่มได้ที่บาร์ริมชายหาด

วันที่ 2

07:30 น. รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่ 3)

09:00 น. พร้อมกันที่ร้านอาหาร เบิกอุปกรณ์ดำน้ำ ออกดำน้ำตื้นที่เกาะเหลาเหลียงพี่ เกาะเหลาเหลียงน้อง โดยเรือหางยาว 15 ที่นั่ง

11:30 น. กลับถึงที่พักบนเกาะเหลาเหลียงน้องรับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 4)

13:00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

15:00 น. สำหรับท่านที่สนใจ ปีนหน้าผาอีกรอบ ติดต่อได้กับเจ้าหน้าที่บนเกาะ (ชำระเพิ่ม)

19:00 น. รับประทานอาหารมื้อค่ำ ที่ร้านอาหาร แบบบุฟเฟ่ต์ (มื้อที่ 5)

21:00 น. พักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ อากาศเย็นสบายริมทะเล นั่งดื่มเครื่องดื่มได้ที่บาร์ริมชายหาด

วันที่ 3

07:30 น. รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่ 6)

09:00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

11:00 น. Check Out

11:30 น. รับประทานอาหารกลางวันบนเกาะ (มื้อที่ 7)

12:30 น. ออกเดินทางกลับสู่ท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

13:30 น. ถึงท่าเรือปากปรน-หาดสำราญ

14:30 น. ส่งนักท่องเที่ยวตามจุดหมาย เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ


ราคาแพ็คเกจ (ต่อท่าน)

แบบ B

- เต็นท์ไม่ sea view 6,000 บาท

- เต็นท์ sea view6,500 บาท

* เด็กอายุ 1-2 ขวบ เดินทางฟรี เด็ก อายุ 3-9 ขวบ ลด 40 % 10-12 ขวบ ลด 25% และพักที่นอนเตียงเสริมกับผู้ปกครอง *

** ทางเราขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโปรแกรมตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ **


กิจกรรมที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม *

- เดินไต่ผาขึ้นสู่จุดชมวิวทะเล

- ตกปลาหน้าหาด (อุปกรณ์นำมาเอง)

- ทดลองปีนผาในช่วงเวลาที่กำหนด

- ดำน้ำชมปะการังหน้าหาด (มีหน้ากากและ ท่อหายใจให้ใช้ฟรี)


ค่าใช้จ่ายตามแพ็คเกจ

รวมที่พักแบบ Sea Camping 2 คืน , อาหารเช้า 2 มื้อ , อาหารเย็น 2 มื้อ , อาหารกลางวัน 3 มื้อ , รถรับส่งจากสถานีขนส่ง , สถานีรถไฟ , สนามบิน , เรือรับส่งจากท่าเรือหาดสำราญ , ทริปดำน้ำตื้นเกาะเหลาเหลียงพี่ เกาะเหลาเหลียงน้องครึ่งวัน, หน้ากากและท่อหายใจสำหรับดำน้ำตื้นตลอดทริป , ทดลองปีนผาฟรี , น้ำดื่ม ชา กาแฟ และโอวัลติน บริการตลอด

ค่าใช้จ่ายกิจกรรมเพิ่มเติมนอกแพ็คเกจ

- พักเพิ่ม พร้อมอาหาร 4 มื้อท่านละ 1,700 บาทต่อคืน (พักเต็นท์ละ 2 ท่าน)

- เต็นท์ sea view เพิ่มท่านละ 500 บาท

- เช่าเรือคายัคชั่วโมงละ 200 บาท

- กรณีต้องการเดินทางไม่ตรงกับรอบเรือที่จัดให้ตามแพ็คเกจ กรุณาติดต่อเช่าเรือเพื่อเดินทางเป็นกรณีพิเศษ

- กรณีรับ-ส่งที่ สนามบินกระบี่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม


ติดต่อสอบถามข้อมูล

Laoliang Beach & เกาะเหลาเหลียง"

Inbox Facebook www.facebook.com/laoliangbeach

Tel. 081-737-8176 , 082-790-9674

E-Mail. [email protected]

















ความคิดเห็น